ตอนที่ 1 เริ่มต้น
โบรา โบร่า สวรรค์บนดินที่ได้ชื่อว่าเป็นเกาะที่สวยติดอันดับต้นๆของโลก ด้วยความงดงามของน้ำทะเลใสแจ๋วน่าแหวกว่ายและหาดทรายขาวนวลเนียนละเอียดลออทำให้เป็นที่หลงใหลของเหล่านักท่องเที่ยวที่ต้องการหาความสวยงามที่แปลกใหม่และสงบเงียบเพื่อพักผ่อน ซึ่งเกาะโบราโบร่าเป็นหมู่เกาะแห่งหนึ่งในมหาสมุทรแปซิฟิกทางตอนใต้ อยู่ในเขตพื้นที่ของเฟรนช์โปลินีเซียในดินแดนของฝรั่งเศส และเป็นหนึ่งในหมู่เกาะโซไซตี ลักษณะของเกาะจะมีเกาะกลางเป็นหลักและมีเกาะเล็กเกาะน้อยรายล้อมมากมายสามารถเดินทางท่องเที่ยวระหว่างเกาะได้โดยใช้เรือโดยสารที่มีไว้บริการนักท่องเที่ยว
ความเงียบสงบกับธรรมชาติที่สวยงามเมื่อมองออกไปด้านนอกทำให้ร่างสูงใหญ่ต้องลุกขึ้นจากเตียงเพื่อจะออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ที่หายากยิ่งในมหานครนิวยอร์ก เสียงลมหายใจสม่ำเสมอข้างกายบอกให้รู้ว่าเธอกำลังหลับสนิท ร่างสูงใหญ่ก้าวลงจากเตียงเพื่อหยิบเสื้อคลุมสีขาวที่ตกอยู่พื้นห้องขึ้นมาสวมแล้วออกมารับแสงแดดยามเช้าที่ตกกระทบผืนน้ำใสสะอาดจนเห็นพื้นทรายสีขาวด้านล่าง เรือนร่างกำยำสมบูรณ์ตามแบบฉบับชายหนุ่มเต็มวัยหย่อนกายลงบนเก้าอี้ผ้าใบสีขาวที่จัดไว้ด้านนอกระเบียงห้องเหม่อมองไปยังท้องทะเลเขียวมรกตไล่ระดับไกลออกไปจนเห็นเป็นสีน้ำเงินเข้ม
เรือนกายแน่นหนั่นด้วยกล้ามเนื้อและซิกแพ็ค เอวสอบช่วงหน้าท้องแบนราบ ไรขนอ่อนๆสีน้ำตาลยาวไล่ลงไปจากช่วงหน้าท้องและหายไปใต้ชายเสื้อคลุมที่มัดไว้หลวมๆทำให้ชายหนุ่มดูเซ็กซี่และเร้าใจเป็นอย่างมาก
แอชตัน มาริโน่...มหาเศรษฐีเจ้าพ่อการบิน
เจ้าพ่อแห่งอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องบินอันดับหนึ่งของโลก เขาคือคลื่นลูกใหม่แห่งวงการการผลิตเครื่องบินพาณิชย์ที่ขึ้นมารับตำแหน่งประธานบริษัทของแอชตัน แอร์เพลน แทนพ่อของเขาที่ปลดเกษียนตัวเองกลับไปเป็นบุคคลธรรมดาที่อยากมีชีวิตปกติสุขเหมือนชาวบ้านทั่วไปกับภรรยาที่รัก ภาระหนักทั้งหมดจึงตกอยู่ที่เขาที่เป็นลูกชายคนเดียวของตระกูลมาริโน่
ชายหนุ่มรู้สึกผ่อนคลายที่ได้ปลดปล่อยความคิดให้ล่องลอยไร้จุดหมาย หนีจากความวุ่นวายของผู้หญิงที่วิ่งไล่ตามเพื่อยอมพลีกายให้เขา ถึงแม้จะเป็นเพียงชั่วข้ามคืนเท่านั้นก็ตามแต่ผู้หญิงพวกนั้นก็ดาหน้ากันเข้ามาไม่รู้จักจบสิ้น เขาจึงเลือกที่จะมาพักผ่อนให้ห่างไกลความวุ่นวายถึงที่นี่
ที่พักสุดหรูถูกสร้างให้มีรูปแบบคล้ายกับกิ่งก้านของต้นไม้ยื่นเข้าไปในทะเล กิ่งก้านที่ว่านั่นแท้จริงแล้วคือทางเดินที่เชื่อมไปยังห้องพักส่วนต่างๆ ที่ออกแบบให้ห้องพักแต่ละหลังเปรียบเสมือนใบไม้ที่ติดอยู่ตามกิ่งก้านของต้นไม้โดยมีทางเดินเล็กๆเชื่อมจากทางเดินส่วนกลางไปถึงหน้าห้องพักเพื่อความเป็นส่วนตัวของผู้มาพักอาศัย ห้องพักแต่ละห้องถูกยกให้สูงเหนือผืนน้ำประมาณหนึ่งเมตร ภายในห้องถูกตกแต่งด้วยวัสดุจากธรรมชาติ ระเบียงห้องมีเตียงผ้าใบสีขาวไว้สำหรับนอนอาบแดดและมีบันไดเล็กๆให้ลงไปเล่นน้ำได้ แอชตันเลือกพักที่โรงแรมแห่งนี้เพราะความสวยงาม หรูหรา และเพื่อความเป็นส่วนตัวชายหนุ่มจึงลงทุนเหมาปิดที่พักแห่งนี้เพื่อการพักผ่อนของเขาโดยเฉพาะ
ชายหนุ่มกลับเข้าไปในห้องพักอีกครั้งเพื่อสวมกางเกงว่ายน้ำแล้วกลับออกมาที่ระเบียงเพื่อลงไปว่ายน้ำยามเช้าที่อากาศกำลังดี ทันทีที่เท้าสัมผัสกับพื้นทรายมันเหมือนกับเขาเหยียบลงไปบนพื้นนุ่มนิ่ม ทรายเม็ดละเอียดให้ความรู้สึกเหมือนเหยียบผงแป้งมากกว่าจะเป็นเม็ดทรายที่หยาบกร้านที่บาดตามฝ่าเท้า ทำให้เขาหลงรักสถานที่แห่งนี้ได้ในทันที
“คุณมารีโน่คะ”
ชายหนุ่มหันไปมองตามเสียงเรียกจากบนห้องพัก หญิงสาวที่เขาใช้เป็นที่หาความสุขเล็กๆน้อยๆเมื่อคืนนี้กำลังยืนกอดเสื้อคลุมที่แทบจะหลุดจนเห็นไปถึงไหนต่อไหนกำลังเรียกเขาจากบนนั้น แต่สำหรับเขาความตื่นเต้นน่าค้นหานั้นมันได้หมดไปแล้วตั้งแต่เขาได้ชิมรสสวาทของเธอไปแล้วเมื่อคืนนี้
“มีอะไร”
“พอลเขามารอพบคุณค่ะ บอกว่ามีเรื่องด่วน”
“ฉันมาพักผ่อน ไม่อยากรับรู้เรื่องอะไรทั้งนั้น”
“แต่เจ้านายต้องรู้ครับ”
พอล ที่รอไม่ไหวรีบเข้ามาหาเจ้านายถึงระเบียงในห้องซึ่งเป็นเขตหวงห้ามเด็ดขาดสำหรับช่วงเวลาที่เจ้านายของเขามาพักผ่อนแบบนี้ แต่เรื่องนี้เขาขอยอมฝ่าฝืนกฎเข้ามาดีกว่าโดนสั่งฆ่าในตอนที่เจ้านายของเขารู้เรื่องราวทั้งหมดทีหลังโดยที่เขาไม่ได้ทำอะไรเลย
“คำสั่งของฉันไม่ศักดิ์สิทธิ์ใช่ไหม นายถึงเข้ามาถึงที่นี่ได้”
“เรื่องนี้ผมยอมฝ่าฝืนคำสั่งครับ เจ้านาย”
แอชตันเห็นสีหน้าจริงจังของลูกน้องคนสนิทที่ฝ่าฝืนกฎความเป็นส่วนตัวของเขา หนังตาซ้ายก็เกิดอาการกระตุกขึ้นมาทันที จะมีเรื่องอะไรที่พอล แอลลิสัน มือขวาคนสนิทที่เคร่งครัดในกฎของเขามากกว่าใครยอมฝ่าฝืนคำสั่งของเขาเข้ามาถึงที่นี่ ร่างสูงใหญ่เดินขึ้นบันไดระเบียงห้องพักแล้วหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาสวมทับร่างกายก่อนจะหันหน้าเดินเข้าห้องพักและตรงไปยังส่วนของห้องน้ำ
“ฉันขอเวลาอาบน้ำห้านาที”
“ไม่ได้ครับ เจ้านายต้องรู้เดี๋ยวนี้”
“อะไรวะ..”
พอลเอื้อมมือไปหยิบรีโมทขึ้นมากดปุ่มเปิดรับสัญญาณทีวี ก่อนจะเลื่อนไปยังช่องสถานีของต่างประเทศซึ่งมีหลากหลายช่องไว้สำหรับบริการนักท่องเที่ยว จนกระทั่งถึงช่องข่าวของอเมริกาช่องหนึ่งซึ่งกำลังคุยข่าวเรื่องของเขาอยู่ในขณะนี้
‘เป็นเรื่องที่น่าตกใจมากเลยครับ สำหรับการประกาศแต่งงานสายฟ้าแลบของประธานบริษัทหนุ่ม แอชตัน มารีโน่ เจ้าของอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องบินพาณิชย์แอชตัน แอร์แพลน คอมพานี ทั้งนี้อดีตประธานบริษัทอย่างคุณอาร์เธอร์ มารีโน่ และคุณสุชาดา มารีโน่ ภรรยา ได้เปิดคฤหาสน์มารีโน่ให้นักข่าวเข้าไปทำข่าวเกี่ยวกับการประกาศแต่งงานครั้งนี้กันถึงที่ และยิ่งเซอร์ไพรส์มากขึ้นไปอีกด้วยการขอไม่บอกเรื่องว่าที่เจ้าสาวว่าเป็นใครมาจากไหนแบบนี้ยิ่งทำให้เป็นที่สนใจของนักข่าวอย่างพวกเรา งานนี้ผู้หญิงทั่วเมืองที่เคยฝันหวานว่าจะเป็นผู้ครอบครองหัวใจของเจ้าพ่อแอชตันคงจะต้องอกหักกันเป็นแถว...’
ร่างสูงใหญ่ยืนแข็งทื่อไปชั่วครู่ก่อนจะคว้าเอาขวดแชมเปญที่วางอยู่บนโต๊ะด้านข้างขึ้นมาปาลงกับพื้นด้วยความโมโห มือขวาหนุ่มที่รู้จักเจ้านายของตัวเองเป็นอย่างดีรีบจัดการไล่นางแบบสาวที่เป็นคู่ขาของเจ้านายหนุ่มเมื่อคืนนี้ให้รีบออกจากห้องให้เร็วที่สุด ก่อนพายุที่กำลังตั้งเค้าจะทำลายสิ่งที่อยู่รอบตัวจนราบเป็นหน้ากลอง
“ฉันเนี้ยนะจะแต่งงาน โว้ยยย!!!”
“เจ้านายใจเย็นๆก่อนไหมครับ”
“ไม่ใช่แกนิพอล รีบบอกคนของเราให้เตรียมเครื่องเดี๋ยวนี้ ฉันจะกลับนิวยอร์กภายในครึ่งชั่วโมง”
“ครับ เจ้านาย”
........................................................................................................................
มูลนิธิฟ้าพราว เชียงใหม่ ประเทศไทย
“ลูกแพร เสร็จหรือยัง”
“จ้า รอแปบนึงนะตีตี้ แพรขอแต่งตัวให้น้องพราวก่อน”
“โอเค เสร็จแล้วรีบตามมานะ”
แพรวา ตะโกนบอกเพื่อนหนุ่มหัวใจสาวที่ขึ้นมาตามเธอและน้องพราวลงไปร่วมงานเลี้ยงอาหารมื้อกลางวันที่จัดเลี้ยงให้แก่เด็กยากไร้ในมูลนิธิฟ้าพราวที่เธอและตีตี้ หรือเอกพลเป็นคนก่อตั้งขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสที่ถูกทิ้งไว้ตามที่ต่างๆหรือโรงพยาบาลเพื่อรับเข้ามาอยู่ในความดูแล
มูลนิธิฟ้าพราวเกิดขึ้นด้วยความบังเอิญของเธอและเอกพลที่กำลังจอดรถติดไฟแดงในตอนที่เธอแอบหนีมาเที่ยวประเทศไทยเมื่อสองปีที่แล้ว แล้วหันไปเจอผู้หญิงคนหนึ่งนั่งร้องไห้อยู่หน้าโรงพยาบาล ในสภาพที่มือกอดห่อผ้าที่มีชื่อโรงพยาบาลแห่งหนึ่งเอาไว้แน่น การเคลื่อนไหวในห่อผ้าทำให้แพรวารู้ว่าเธอคนนั้นเป็นคุณแม่มือใหม่ที่เพิ่งออกจากโรงพยาบาล แพรวามองภาพนั้นด้วยความยินดีที่ได้เห็นชีวิตน้อยๆถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ด้วยความรัก แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อผู้หญิงคนนั้นค่อยๆวางห่อผ้าที่มีทารกน้อยลงบนเก้าอี้ข้างตัวแล้วลุกขึ้นเดินห่างออกไปโดยไม่หันกลับมาสนใจห่อผ้านั้นอีก แพรวารีบบอกให้เอกพลจอดรถเข้าข้างทางแล้วรีบวิ่งเข้าไปอุ้มทารกน้อยในห่อผ้านั้นเอาไว้ด้วยความเป็นห่วงเพราะเป็นเวลาค่ำแล้ว ขณะที่เอกพลรีบวิ่งไล่ตามแม่ใจร้ายไปได้ไกลพอสมควรให้กลับมารับลูกของเธอคืน
น้ำตาแทบเป็นสายเลือดเมื่อรู้ความจริงออกจากปากของคุณแม่ที่ไม่สามารถเลี้ยงดูลูกได้เพราะฐานะที่ยากจนเหลือตัวคนเดียวและเป็นเด็กกำพร้าอีกทั้งมีโรคร้ายติดตัว เธอรู้ตัวว่าท้องก็ตอนที่พบว่าตัวเองเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์โดยไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อเด็ก ยังดีที่เด็กในท้องไม่ติดเชื้อไม่อย่างนั้นเธอบอกว่าเธอคงจะฆ่าตัวตายตั้งแต่เด็กอยู่ในท้อง แต่ในเมื่อเด็กไม่ติดเชื้อเธอจึงอุ้มท้องจนกระทั่งคลอดแต่เธอก็ไม่สามารถมีชีวิตเลี้ยงดูลูกน้อยได้เพราะอาการของโรคที่กำเริบมากขึ้นทุกที เธอจึงคิดที่จะทิ้งลูกให้พบเจอกับคนดีๆที่พร้อมจะเลี้ยงดูหรืออาจจะมีคนเก็บเอาไปส่งสถานรับเลี้ยงเด็กให้ดูแล แต่แพรวาและเอกพลมาพบเข้าเสียก่อน
แพรวาเป็นลูกสาวคนสุดท้องที่ถูกพ่อแม่และพี่ชายตามใจมาตลอด แต่เธอก็ได้รับความรักความอบอุ่นในครอบครัวเสมอมา ในขณะที่เอกพลก็เป็นน้องชายคนสุดท้องของครอบครัวเช่นกันแต่มีจิตใจเป็นหญิง ครอบครัวของเอกพลเป็นครอบครัวที่อบอุ่นจึงยอมรับในตัวลูกชายได้ขอแค่ให้ลูกของพวกเขาเป็นคนดี ทั้งสองจึงอยากรับเลี้ยงดูเด็กหญิงตัวน้อยเพื่อช่วยเหลือคุณแม่ที่มีเวลาใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้อีกไม่นานเอาไว้ เพราะเอกพลไม่สามารถมีลูกของตัวเองให้กับพ่อแม่ได้ จึงอยากรับเด็กหญิงไว้เป็นบุตรบุญธรรม แม่ของเด็กน้อยร้องไห้ก้มลงกราบแพรวาและเอกพล จนเธอต้องรีบบอกให้ลุกขึ้นเพราะทั้งคู่ช่วยไว้ด้วยความบริสุทธิ์ใจไม่ใช่อย่างอื่น เด็กหญิงจึงได้ชื่อว่าเด็กหญิงฟ้าพราว อนุวัฒ ตามนามสกุลของเอกพลที่รับเป็นพ่อบุญธรรมมูลนิธิฟ้าพราวจึงก่อตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือเด็กที่มีปัญหาเช่นเดียวกับฟ้าพราวด้วยทุนของเธอและเอกพล
แน่นอนเรื่องทั้งหมดนี้เป็นความลับ!!
“มะ..แม่ แม่”
“จ๋า ลูก”
“หนม..กินหนม”
“หิวแล้วเหรอคะคนเก่ง เสร็จแล้วลูก”
เด็กหญิงตัวน้อยในชุดน้องหมีพร้อมกับถักผมเปียสองข้างน่ารักราวกับตุ๊กตา กำลังร้องเรียกหาขนมหวาน แพรวาที่แต่งตัวให้กับเด็กหญิงฟ้าพราวและตัวเองเรียบร้อยจับจูงมือเล็กออกจากห้องพักของตัวเองที่จัดไว้สำหรับเธอโดยเฉพาะ เพราะเธอจะมาอาศัยพักอยู่ที่นี่ทุกครั้งที่มาที่นี่ไม่เคยพักโรงแรมข้างนอกหรือแม้แต่บ้านของเอกพลตั้งแต่เปิดมูลนิธิแห่งนี้อย่างเป็นทางการแทบจะอาศัยเป็นบ้านหลังที่สองของเธอเลยก็ว่าได้ สองสาวแม่ลูกจับจูงกันมาถึงห้องอาหารในตอนที่ทุกคนนั่งพร้อมกันในห้องเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงแค่แพรวากับเด็กหญิงฟ้าพราวเท่านั้น
“ลูกแพร ขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้ทุกคนต้องรอ”
“ไม่เป็นไรค่ะ เราก็เพิ่งจัดเด็กๆให้นั่งประจำที่กันเรียบร้อยก่อนหน้าคุณลูกแพรจะมาไม่กี่นาทีเองค่ะ” ประภา ที่เป็นเหมือนแม่ใหญ่ของเด็กทุกคนในมูลนิธิด้วยทุกอย่างในมูลนิธิเธอเป็นผู้ดูแลแทนเจ้าของมูลนิธิตัวจริงทั้งหมด ตอบแพรวาตามจริง
“ถ้าอย่างนั้นเราก็เริ่มทานกันเลยดีกว่าค่ะ เด็กๆคงจะหิวแล้ว ใช่ไหมค่ะฟ้าพราว”
แพรวาบอกกับประภาแล้วจึงก้มลงพูดฟ้าพราวที่นั่งกึ่งกลางระหว่างเธอและเอกพลแล้วจ้องมองอาหารในจานตลอดเวลา
“หิวแล้วค่ะแม่”
“หิวก็ทานเลยค่ะลูก พ่อก็หิวแล้ว รอหนูกับแม่แต่งตัวจนท้องร้องไปหมด”
“ตีตี้เวอร์ไปป่าว แกเพิ่งจะกินเค้กของฉันไปเมื่อกี้นี่เองนะ”
“ทานกันดีกว่าครับ”
เอกพลตัดบทแล้วจึงลงมือทานอาหารกลางวันตามด้วยทุกคนในห้องอาหาร ประภามองภาพความน่ารักของเจ้าของมูลนิธิที่คอยดูแลลูกบุญธรรมของพวกเขาเป็นความอบอุ่นที่ยากจะหาที่ไหนได้ หากเธอไม่รู้มาก่อนว่าเอกพลนั้นเป็นชายที่จิตใจเป็นหญิงคงจะคิดว่าเอกพลเป็นคุณพ่อตัวจริงไม่ยาก หลังจากทั้งแพรวาและเอกพลทานอาหารของตัวเองเรียบร้อยแล้วจึงปล่อยฟ้าพราวให้อยู่กับประภา แล้วลงไปช่วยพี่เลี้ยงที่คอยป้อนอาหารให้กับเด็กเล็กที่ยังไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ส่วนเด็กๆที่โตพอจะทานได้ด้วยตัวเองก็นั่งทานอาหารกันไปเรื่อยๆโดยมีพี่เลี้ยงคอยดูอยู่ห่างๆเพื่อเป็นการฝึกให้พึ่งพาตัวเองและช่วยเหลือตัวเอง
กริ๊งงง กริ๊งงง
เสียงโทรศัพท์ของแพรวาดังขึ้น เธอจึงวางมือจากการแกะผลส้มให้กับเด็กชายตัวน้อยแล้วล้วงมือหยิบมือถือออกจากกระเป๋ากางเกงเพื่อดูว่าใครที่โทรเข้ามาหาเธอในเวลานี้
“แด๊ด!!”
“อะไร ทำหน้าอย่างกับเห็นผี ใครโทรมายะ” เอกพลที่นั่งอยู่ไม่ไกลเห็นสีหน้าตกใจของแพรวาจึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง บวกจิกกัดเล็กน้อย
“พ่อฉันนะสิตีตี้ ทำไงดี ทำไงดี”
“งานเข้า แกรีบขึ้นห้องแล้วเปิดเพลงให้ดังๆเลยนะ แล้วค่อยกดรับจะได้เหมือนแกอยู่ในผับไง”
“โอเค”
แพรวารีบวิ่งกลับไปที่ห้องพักของตัวเองเพื่อจัดการตามที่เพื่อนแนะนำ ไม่นานหลังจากสายแรกที่โทรเข้ามาดับไป สายที่สองก็ดังขึ้นมาติดๆ หลังจากเปิดเพลงให้ดังไปทั้งห้องมือบางจึงกดรับสายของบุพการีทันที
“สวัสดีค่ะแด๊ด”
“ลูกแพร หนูอยู่ที่ไหน เสียงเพลงดังมากจนแด๊ดแทบจะไม่ได้ยินเสียงลูกเลย”
“แพรก็อยู่ที่ผับไงคะ กำลังสนุกเลย แด๊ดมีอะไรหรือเปล่าคะ”
“ช่วยหาที่เงียบๆหน่อยได้ไหมลูก แด๊ดมีเรื่องสำคัญมากจะคุยด้วย”
“สำคัญมากเลยเหรอคะ ไว้ลูกแพรกลับไปคุยที่บ้านได้ไหมคะ อีกสองสามวันลูกแพรก็กลับแล้ว” ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่เธอก็เดินไปหรี่เสียงเพลงที่เปิดให้เหมือนกับอยู่ในสถานบันเทิงนั้นเบาลง จนสามารถคุยกับพ่อของเธอได้รู้เรื่อง
“สำคัญมาก ลูกแพร...บริษัทของเรากำลังจะล้มละลาย”
“อะไรนะคะ!”
“สายการบินของเรากำลังจะตกเป็นของคนอื่น ตอนนี้แม่เขาช็อกกับเรื่องนี้มากจนล้มป่วย ลูกแพรต้องรีบกลับบ้านของเราด่วนเลยนะลูก”
“ลูกแพรจะรีบกลับบ้านเดี๋ยวนี้ค่ะแด๊ด”
แพรวาวางสาย ปิดเพลง แล้วรีบกลับไปยังห้องอาหารเพื่อลากแขนเอกพลที่กำลังล้างมือหลังจากแกะผลไม้ให้กับเด็กๆที่เปรียบเสมือนลูกจนทุกคนเรียกเขาและแพรวาว่า ‘พ่อ แม่’ ออกจากจุดนั้นไปยังศาลาข้างสวนเด็กเล่นที่ปลูกดอกไม้และต้นไม้ให้เด็กๆได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติมากที่สุด
“อะไรยัยลูกแพร ดึงแขนฉันมาทำไมยะ”
“ฉันต้องรีบกลับบ้านด่วนตอนนี้ ตีตี้”
“เกิดอะไรขึ้น สีหน้าแกไม่ค่อยดีเลยลูกแพร”
“แด๊ดบอกว่าบริษัทกำลังจะล้มละลาย แม่ช็อกกับเรื่องนี้จนล้มป่วย ฉันเป็นห่วงแม่”
“แกรีบจองตั๋วเครื่องบินด่วนเลยลูกแพร”
“แต่ฉันเพิ่งได้อยู่กับฟ้าพราวแค่ไม่กี่วันเอง แล้วฉันก็สัญญากับลูกไว้แล้วว่าจะพาลูกเที่ยว”
“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกนะลูกแพร ฟ้าพราวนะฉันจะบอกลูกเองว่าแม่ไม่ได้ผิดสัญญา”
“ตีตี้”
“แล้วฉันจะพาลูกแอบไปหาแกที่อเมริกาเอง”
“ขอบใจนะตีตี้”
แพรวาโถมตัวเข้ากอดเพื่อนรักของตัวเองไว้แน่นก่อนจะรีบไปหาฟ้าพราว เพื่อบอกว่าเธอต้องรีบไปธุระด่วน หลังจากร่ำลากันเสร็จเรียบร้อยแล้วเธอจึงรีบกลับห้องพักเพื่อเก็บของใช้และเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กลับมาเป็นสาวเปรี้ยวตามแบบฉบับที่ทุกคนรู้จัก ‘แพรวา โฮเมอร์’ เจ้าของสายการบินโฮเมอร์แอร์ไลน์ที่เป็นสายการบินระดับโลก
หลังจากเครื่องบินที่เธอโดยสารมาลงจอดที่สนามบินนานาชาตินาริตะ ประเทศญี่ปุ่น แพรวาจึงรีบสั่งให้รีบติดต่อนำเครื่องบินส่วนตัวของตัวเองที่จอดรออยู่ขึ้นบินโดยด่วนที่สุด
เมื่อล้อเครื่องบินส่วนตัวของแพรวาแตะพื้นสนามบินแคลิฟอร์เนีย รถลีมูซีนสีดำคันหรูก็รีบเข้ามารับผู้โดยสารเพียงหนึ่งเดียวในเครื่องบินลำนี้ตามคำสั่งของประธานบริษัท ร่างระหงเดินเฉิดฉายลงมาจากรถคันหรูด้วยเครื่องแต่งกายสุดแสบสันด้วยเดรสสั้นสีดำคล้องคอปิดบังด้านหน้าแต่คว้านลึกด้านหลังโชว์แผ่นหลังนวลเนียนขาวผ่องจนถึงกลางหลัง ตรงเข้าไปยังบ้านหลังใหญ่ของตระกูลโฮเมอร์ ใจกลางลอสแอนเจลิส อันที่จริงต้องเรียกว่าคฤหาสน์โฮเมอร์ถึงจะใกล้เคียงกับความจริงมากกว่า
“แด๊ดคะ”
แพรวารีบวิ่งเข้าไปกอดบุพการีที่นั่งอยู่โซฟากลางบ้านพร้อมกับพี่ชายทั้งสองของเธอ
“ลูกแพร” ลูคัส โฮเมอร์อดีตประธานบริษัทสายการบินโฮเมอร์แอร์ไลน์ที่ลงจากตำแหน่งเพื่อให้ลูกๆทั้งสามขึ้นบริหารงานแทน โอบกอดลูกสาวสุดที่รักด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“มันเกิดอะไรขึ้นค่ะ แด๊ด พี่ลูฟ พี่โลฟ แล้วคุณแม่เป็นยังไงบ้าง”
“มันเป็นความผิดของพี่เอง พี่บริหารงานผิดพลาด” ลูฟ พี่ชายคนโตที่เป็นประธานใหญ่ของสายการบินยอมรับผิดในความผิดพลาดในการบริหารงานของตนเอง ชายหนุ่มในวัยสามสิบสองปีกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ
“ไม่ใช่พี่คนเดียวหรอกครับ ผมก็ด้วย” โลฟ พี่ชายคนรองที่อ่อนกว่าพี่ชายคนโตเพียงสองปีก็มีสีหน้าสำนึกผิดจนทุกคนในห้องต่างพากันเครียดในสิ่งที่เกิดขึ้นตามไปด้วย
“ลูกแพรเองก็ผิด ลูกแพรไม่ได้ช่วยพี่ชายทั้งสองบริหารงานเลยแม้แต่น้อย ถ้าลูกแพรสามารถช่วยอะไรพี่ชายกับแด๊ดได้ลูกแพรก็จะทำ เพื่อให้ได้บริษัทของเราคืนมา”
“ลูกแพรช่วยบริษัทของเราได้นะลูก”
“ยังไงคะแด๊ด ลูกแพรสัญญาว่าจะทำให้ได้บริษัทของเราคืนมาค่ะ”
“แต่งงาน”
“แต่งงาน!” แพรวาแทบจะกัดลิ้นตัวเองกับสิ่งที่ได้ยินและสิ่งที่ได้เอ่ยปากสัญญาออกไปโดยไม่ทันคิด
“เขาเป็นเพื่อนรักของแด๊ดที่คบกันมานาน...”
“หนูไม่แต่งกับตาแก่คราวพ่อแบบนั้นนะคะแด๊ด” แพรวารีบลุกขึ้นโวยวายเมื่อพ่อของเธอเอ่ยถึงเพื่อนรักที่คบกันมานาน จะให้เธอแต่งงานกับคนรุ่นพ่อเธอไม่เอาด้วยเด็ดขาดถึงแม้จะต้องผิดคำสัญญาก็เถอะ
“ลูกแพรฟังแด๊ดให้จบก่อนดีกว่านะ”
“พี่ลูฟ...” แพรวาที่เห็นสีหน้าเคร่งเครียดของแต่ละคนที่มองมายังเธอราวกับฝากความหวังครั้งสุดท้ายไว้ที่เธอแล้วก็ต้องใจอ่อนยอมนั่งลงข้างลูคัสอีกครั้ง
“เขาเป็นเพื่อนรักของแด๊ดที่คบกันมานาน แด๊ดจึงขอความช่วยเหลือจากเขาและเขาก็เต็มใจช่วยครอบครัวและบริษัทของเรา แต่มีข้อแม้ว่าลูกจะต้องแต่งงานกับลูกชายของเขา”
“แล้วทำไมเขาต้องอยากให้ลูกแพรแต่งงานกับลูกชายของเขาด้วยละคะ ถ้าคิดจะช่วยแล้วคิดผลตอบแทนแบบนี้ลูกแพรว่าเราไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่นไม่ดีกว่าหรือคะ”
“ไม่มีใครยื่นมือเข้ามาช่วยบริษัทที่ขาดทุนและไม่รู้ว่าจะขาดทุนไปอีกนานแค่ไหนแบบนี้หรอกนะลูกแพร”
“พี่โลฟรู้ได้ยังไงคะ”
“ก็เพราะพี่กับพี่ลูฟทำทุกวิถีทางแล้วยังไงละ ตอนนี้ก็เหลือแค่ทางนี้ทางเดียว อยู่ที่การตัดสินใจของลูกแพรพี่ไม่บังคับน้องรักของพี่อยู่แล้ว เราค่อยมาเริ่มต้นใหม่เรายังมีมือมีเท้าต้องทำอะไรได้สักอย่าง”
“พี่ลูฟกับพี่โลฟ จะยอมปล่อยให้บริษัทที่ตกทอดกันมาตั้งแต่รุ่นคุณปู่คุณย่ามาพังทลายในรุ่นเราหรือคะ ลูกแพรไม่ยอม”
“แล้วลูกแพรจะให้พี่ทำยังไง พี่กับเจ้าโลฟก็ทำทุกวิถีทางแล้วเหมือนกัน”
แพรวาเงียบไม่สามารถตอบคำถามของพี่ชายคนโตได้ ขนาดนักบริหารสายการบินอันดับหนึ่งของโลกยังไม่สามารถหาคำตอบได้ แล้วเธอที่วันๆไม่ได้ทำอะไรนอกจากรับเงินปันจากบริษัทแล้วออกเดินทางไปยังที่ต่างๆของโลกและมูลนิธิจะสามารถทำอะไรได้ ความคิดหนักจึงตกอยู่ที่เธอ เมื่อเธอคือความหวังสุดท้ายที่จะสามารถกอบกู้บริษัทของครอบครัวเอาไว้ได้ แต่ต้องแลกด้วยการแต่งงานซึ่งมันคือการผูกมัดตัวเองไว้กับคนคนหนึ่งไปตลอดชีวิต แพรวามองหน้าพี่ชายทั้งสองและบิดาของเธอที่สภาพของแต่ละคนมีแววตาเคร่งเครียด หนวดเคราขึ้นรกครึ้ม เสื้อผ้ายับยู่ยี่เหมือนกับคนไม่ได้พักผ่อน อีกทั้งมารดาที่ถึงกับไม่สบายล้มป่วย ทั้งที่ปกติคุณหญิงแพรพรรณเป็นคนแข็งแรงยิ่งกว่าสาวๆบางคนด้วยซ้ำ
การตัดสินใจของเธอเป็นความหวังหนึ่งเดียวของครอบครัวและชีวิตของพนักงานอีกหลายแสนคน แพรวาหลับตาสูดลมหายใจเข้าปอดก่อนจะถอนหายใจเสียงดังจนทุกคนต่างลุ้นไปกับการตัดสินใจของน้องสาวสุดที่รักของพวกเขา
“แล้วผู้ชายคนนั้นชื่ออะไรคะ เป็นใคร ลูกแพรพอจะรู้จักไหม”
ทุกคนแทบจะถอนหายใจพร้อมกัน แสดงว่าน้องสาวของเขาเริ่มใจอ่อนคล้อยตามแล้วถึงยอมถามเรื่องของผู้ชายที่จะมาเป็นว่าที่เจ้าบ่าวแบบนี้
“แอชตัน มารีโน่”
“อะไรนะ!!”
*** ยังไงก็ขอกำลังใจให้กับรักลดาด้วยนะคะ เม้น ไลค์ ให้คะแนนอะไรก็ได้ ให้รักลดาได้รู้ว่าทุกคนยังคงคอยให้กำลังและชื่นชอบผลงานของไรท์
*** แนะนำ ติชมกันเข้ามาได้ค่ะ แล้วอย่าลืมเข้าไปกดไลค์เพจเพื่อติดตามอัพเดตการเคลื่อนไหวของรักลดาด้วยนะคะ