ตอนที่ 13
เรื่องราวคราวนั้นและความทรงจำที่หายไป
ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าสิ่งที่ตัดสินใจทำลงไปนั้นมันเปล่าประโยชน์ ไม่มีความหมาย ไม่มีอะไรเป็นไปอย่างที่คิด ไม่รู้ว่าพระเจ้าจะนำพาคนที่อยากจากไปกลับมาที่นี่ทำไม
เมื่อการรอดตายคล้ายว่าจะเป็นปาฏิหาริย์ ความกล้าที่มีถูกใช้ไปหมดสิ้นจึงกลับกลายเป็นความกลัวเมื่อต้องกลับมามีชีวิตอีกครั้ง เพราะผมไม่รู้ว่า สิ่งที่ตามมาจากการกระทำนั้นมันจะต้องรับมือยังไง
"น้องพลีส"
เสียงเรียกคุ้นหูจากหน่อย ปลุกผมออกจากความคิด ก่อนยันตัวเองขึ้นนั่งบนเตียงของโรงพยาบาล
"เป็นยังไงบ้างคะ"
ผมเงยหน้ามองหน่อยด้วยความรู้สึกสงสัยเพราะทรงผมที่สั้นลงกว่าตอนที่ผมเดินออกจากบ้านมา หน่อยเอาเวลาที่ไหนไปตัดผม?
"น้องพลีส"
ผมไม่รู้ว่าตัวเองใช้เวลาอยู่บนดาดฟ้าตึกนั่นนานเท่าไร มองเห็นแค่ท้องฟ้ามืดสนิทและตอนนี้ฟ้าด้านนอกก็ยังเป็นเช่นนั้น เวลายังไม่ข้ามผ่านคืนนี้ไปแต่ทำไมผมกลับรู้สึกว่า...เวลามันผ่านไปนานกว่านั้น
"เจ็บตรงไหนไหมคะ"
นอกเหนือจากรอยถลอกที่สำรวจมองผ่านๆ ตามร่างกาย ก็ไม่มีแม้แต่บาดแผลใดที่ทำให้ผมรู้สึกเจ็บเลยสักนิด ตกจากดาดฟ้าของตึกห้าชั้น...ผมได้แผลแค่นั้นจริงๆ เหรอ
"น้องพลีส"
"..."
"น้องพลีสคะ!"
"ครับ?"
"เป็นยังไงบ้างคะ รู้สึกยังไงบอกหน่อยสิคะ"
"พลีส..."
"..."
"พลีสหิว"
"คะ?"
ไม่รู้ทำไมถึงพูดออกไปแบบนั้นแต่ว่านั่นคือความรู้สึกแรกที่ชัดเจนขึ้นมาหลังจากได้สติ หิวเหมือนไม่ได้กินอะไรมาเป็นเดือนแล้ว...หิวมากเลย
"งั้นเดี๋ยวหน่อยลงไปซื้ออะไรมาให้ทานแต่น้องพลีสแน่ใจนะคะว่าไม่เป็นอะไรจริงๆ"
ก็น่าสงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมถึงไม่เป็นอะไรเลยทั้งๆ ที่ควรจะแขนขาหัก หัวแตกหรือว่าตายแต่นี่กลับสบายดีอย่างกับผมเพียงแค่ลื่นล้มแล้วแขนถลอก ทุกอย่างมันไม่เหมือนที่คิด มันไม่ใช่...
"แล้วไปทำยังไง ถึงได้ถูกรถชนเอาได้ล่ะคะ"
"ครับ?"
"หน่อยบอกกี่ครั้งแล้วว่าข้ามถนนให้ระวังรถดีๆ ดีนะคะที่ไม่เป็นอะไรมาก ไม่อย่างนั้นคง..."
"เดี๋ยว..." ผมยกมือเบรกคำพูดของหน่อยด้วยความสงสัย
"คะ?"
"ใครถูกรถชน"
"ก็น้องพลีสไงคะ"
"พลีสตกลงมาจากตึก"
"คะ?"
"พลีส...กระโดดลงมาจากตึก"
ผมพูดให้ชัด เพื่อให้หน่อยได้รู้ว่าสาเหตุที่ทำให้ผมต้องมานอนอยู่ที่โรงพยาบาลแบบนี้ก็เพราะว่าผมทำสิ่งนั้นลงไปแต่ดูเหมือนว่าหน่อยจะไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมพูด แสดงออกถึงความไม่เข้าใจผ่านใบหน้าที่ดูงุนงง
"เรื่องนั้น..."
"..."
"มันผ่านไปเป็นเดือนแล้วนะคะ"
กลายเป็นผมที่สับสนอย่างไม่มีสิ้นสุด อย่างที่ความรู้สึกบอกกับผม ว่าดูเหมือนเวลามันผ่านไปนานกว่านั้น และนอกเหนือจากความรู้สึก วันที่บนหน้าจอมือถือและบนรายการข่าวในทีวีก็ช่วยยืนยันกับผมว่าเวลามันได้ผ่านไปนานขนาดนั้นแล้ว ไม่ใช่แค่หนึ่งหรือสองชั่วโมง...แต่เป็นหนึ่งเดือน
ผมลุกออกจากเตียงแล้วก้าวเท้าไปที่หน้าต่างพลางคิดอะไรมากมายอยู่ในหัว แปลกประหลาด สับสนและไม่เข้าใจ มันเหมือนจะนานแต่มันก็เพิ่งผ่านมา ภาพสุดท้ายที่ผมจำได้และรู้ตัวดี คือการเดินออกจากบ้านด้วยความรู้สึกว่างเปล่า ตัดสินใจทำบางสิ่งที่คิดว่ามันเป็นจะเป็นจุดจบสุดท้ายของชีวิตแต่กลับลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งในวันนี้...วันที่เวลาผ่านไปแล้วหนึ่งเดือน
เหมือนได้ตื่นจากการที่จิตวิญญาณหลับใหลอย่างยาวนาน โดยที่ความทรงจำในช่วงเวลาที่ผ่านมานั้นกลายเป็นศูนย์...ผมจำอะไรไม่ได้เลย
"น้องพลีส!"
ความสับสนพุ่งชนจนความเจ็บปวดแทรกเข้ามาในหัว งุนงงจนทรงตัวไม่อยู่ ผมเกือบจะล้มลงกับพื้นแต่หน่อยตรงเข้ามารับร่างผมเอาไว้ได้ก่อน
"เป็นอะไรไหมคะ"
"พลีสไม่เป็นอะไร"
"จะไม่เป็นอะไรได้ยังไง เดี๋ยวหน่อยตามหมอให้นะคะ"
"พลีสแค่หิว"
"คะ?"
"บอกแล้วไงว่าหิวมากเลย"
"เดี๋ยวหน่อยรีบลงไปหาอะไรมาให้ทานนะคะ"
ผมพยักหน้ารับแต่สายตากลับมองไปยังนมกล่องหนึ่งที่วางอยู่ข้างๆ กระเป๋าผ้าของหน่อย
"กล่องนี้ของหน่อย หน่อยเจาะแล้วแต่ยังไม่ทันได้กิน"
"พลีสขอ"
"แต่ปกติน้องพลีสไม่..."
"พลีสหิว"
"..."
"มากๆ เลย"
"ค่ะ"
หน่อยหยิบนมกล่องนั้นส่งให้ผมดื่มประทังความหิวที่มีมากจนเกือบทนไม่ไหว ไม่สนว่ามันจะเป็นนมรสชาติงาดำที่เคยเกลียดอย่างกับอะไรดีแต่ตอนนี้อะไรก็ได้ที่จะช่วยบรรเทาความหิวโหยนั้นให้หายไป ก็พร้อมจะยัดลงท้องทั้งหมดเลย หน่อยหัวเราะเบาๆ ตอนที่เห็นผมดูดนมไม่หยุด แล้วนั่งลงข้างๆ มือข้างหนึ่งยื่นมาลูบหัวเบาๆ ด้วยรอยยิ้มที่เอ็นดูผมเหมือนอย่างเคย
"น้องพลีส"
"..."
"กลับบ้านช้านะคะ"
สายตาผมเหลือบขึ้นมองตอนที่หน่อยพูดเช่นนั้น ประโยคสุดท้ายที่พูดออกไปว่าจะไม่กลับช้า มีความหมายว่าจะไม่กลับไปเลยซึ่งผมได้ตั้งใจให้มันเป็นคำบอกลาแต่สุดท้ายแล้วผมก็กลับมา แม้ว่าจะช้าไปถึงหนึ่งเดือน แม้ว่าจะช้าไปสักหน่อย...
"ครับ"
"..."
"พลีสกลับมาแล้ว"
คำว่ากลับมาของผมกับหน่อยอาจมีความหมายไม่เท่ากันแต่ขณะนั้นผมก็รับรู้ได้ถึงความห่วงใยของหน่อยที่มีให้ผมมาโดยตลอด ผมโต้ตอบอ้อมกอดของหน่อยที่ประคองร่างของผมเอาไว้หลวมๆ ผ่านอ้อมกอดนั้น ผมอยากย้ำให้หน่อยรู้อีกครั้ง...ผมกลับมาแล้ว
"พลีส"
เราทั้งคู่หันมองเสียงเรียกของพ่อกับแม่ที่พรวดพราดเข้ามาอย่างตกใจนิดๆ แม่ตรงเข้ามาสำรวจร่างกายของผมด้วยการจับตรงนั้นที ตรงนี้ทีแล้วถามซ้ำๆ ว่าเป็นอะไรไหม ส่วนพ่อยืนนิ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย
"ไม่เจ็บตรงไหนใช่ไหม ไม่เป็นอะไรใช่ไหมพลีส"
ผมไม่ได้ตอบคำถามของแม่ คิดว่ารอยถลอกเล็กๆ ที่แม่มองเห็นก็คงบ่งบอกได้ว่าผมไม่เป็นอะไรมาก ผมนิ่งไปนิดหนึ่งตอนที่แม่โผเข้ามากอด ขณะที่พ่อก็เอ่ยปากพูดเป็นครั้งแรกด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
"สองครั้งแล้วนะ ที่พลีสทำให้พ่อเป็นห่วงแบบนี้"
แม่กอดผมแน่นกว่าเดิม ลูบหัวเบาๆ ด้วยท่าทางทะนุถนอมอย่างที่ผมไม่เคยชิน
ไม่บ่อย...หรือไม่เคยเลย
ที่พ่อกับแม่จะแสดงออกถึงความห่วงใยอย่างชัดเจนแบบนี้ คำว่าเป็นห่วงของพ่อทำเอาผมเกือบคิดไปว่าตัวเองได้ตายไปแล้วหรือนี่อาจจะเป็นความฝันก็ได้
"พลีสไม่เป็นอะไรนะ"
"ไม่เป็นอะไรครับ"
หมายถึงในทางร่างกาย...แต่ถ้าถามไปถึงสภาพจิตใจตอนนี้ รู้สึกเจ็บแปลกๆ
ผมโกรธพ่อกับแม่แทบบ้า โกรธที่แม่เอาแต่กดดันให้ผมทำสิ่งนั้นสิ่งนี้เพื่อความต้องการของตัวเอง โกรธที่พ่อเพิกเฉยไม่เคยใส่ใจเรื่องของผม เบื่อที่พ่อกับแม่เอาแต่ทะเลาะกันราวกับทั้งคู่สนใจแต่เรื่องของตัวเองจนหลงลืมความรู้สึกของผม ไม่เคยสนใจเลยแม้แต่น้อย ผมเคยผิดหวังเพราะความบริสุทธิ์ในวัยเด็กหลอกลวงให้ผมเชื่อว่าความรักของพ่อกับแม่นั้นเป็นรักแท้ที่ยิ่งใหญ่แต่มันไม่ใช่แบบนั้นเลย...ผมจึงผิดหวัง
วันที่ผมคิดจะจากไป ผมไม่ได้บอกลาหรือคิดถึงหน้าพ่อกับแม่ด้วยซ้ำ ครอบครัวอาจไม่ใช่สิ่งที่ผมนึกถึงหรืออาวรณ์ คำว่าพ่อกับแม่นั้นไม่มีพลังที่จะฉุดรั้งการจากไปของผมได้เลยแต่ไม่รู้ว่าทำไม...การที่ได้กลับมาเห็นหน้าของพวกเขามันกลับทำให้ผมรู้สึกผิด...รู้สึกผิดที่คิดทำสิ่งนั้นลงไป
...
ผมรอดตายจากการกระโดดตึกแต่ตื่นขึ้นมาอีกทีตอนที่วันเวลาผ่านไปแล้วหนึ่งเดือน ความไม่สมเหตุสมผลของสิ่งที่ผมกำลังเป็นถูกอธิบายทางการแพทย์ว่าภาวะสูญเสียความทรงจำ ผมได้แต่บอกตัวเองให้เชื่ออย่างนั้นแม้ว่าความรู้สึกจะไม่ได้เป็นไปเช่นนั้นเลยก็ตาม
ก่อนหน้านี้ผมตื่นมาพร้อมความกังวลว่าผมจะรับมือยังไงกับสิ่งที่ตามมาหลังจากที่ตัวเองได้ตัดสินใจทำแบบนั้นลงไป คิดไปว่าผมอาจจะถูกจับส่งโรงพยาบาลแผนกจิตเวชหลังจากพยายามฆ่าตัวตาย ผมอาจกลายเป็นเรื่องเล่าของคนอื่นที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะถูกพูดถึงในแง่ไหน จะเห็นใจ สงสาร หรือว่าสมน้ำหน้า แต่ว่า...กลับทุกอย่างไม่เป็นเช่นนั้น
ด้วยความที่เวลามันผ่านไปนานนับเดือนแล้วและตัวผมเองไม่ได้เป็นที่สนใจของคนอื่นมากมายขนาดนั้น เรื่องวันนั้นจึงไม่ได้พูดถึงอีก ทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน ความกังวล สับสนและความกลัวทั้งหมดที่มีก็ค่อยๆ ผ่อนคลายและหายไปช้าๆ ผมไม่รู้และจำไม่ได้จริงๆ ว่า ตอนที่ตื่นขึ้นมาในคราวก่อนมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง ไม่รู้ว่าผ่านมาได้ยังไง ก็อยากจะทำใจให้สบายว่าสุดท้ายมันได้ผ่านไปแล้วแต่ก็อดสงสัยไม่ได้อยู่ดี...ว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นในหนึ่งเดือนนั้นกันแน่
จากหน้าต่างของห้องเรียนที่อยู่ชั้นสี่ มองออกไปเห็นตึกสูงมากมายที่อยู่ใกล้ๆ บริเวณโรงเรียน มองเห็นตึกสูงและดาดฟ้า สมองก็ย้อนคิดถึงเรื่องวันนั้นอย่างห้ามไม่ได้ ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกยังไงรอดชีวิตมาได้ แม้จะได้รับโอกาสจากพระเจ้าให้ยังมีลมหายใจอยู่แต่ขณะเดียวกันมันก็หมายความว่า ชีวิตผมต้องกลับมาจมอยู่ในวงเวียนแห่งความทุกข์เช่นเดิม...ต้องกลับมาเป็นเช่นเดิม
"ไอ้พลีส"
ผมเงยหน้ามองเสียงเรียก ก่อนเจ้าของเสียงอย่างปั้นจะตรงเข้ามาหา ไม่รู้ว่าจะมาหาเรื่องอะไรอีก สิ่งเดียวที่ผมทำได้คือการก้มหน้าลงต่ำ ทำเป็นไม่สนใจ
"ไม่ไปกินข้าวกลางวันเหรอวะ" ปั้นถาม ขณะดึงเก้าอี้ของโต๊ะตัวข้างๆ แล้วนั่งลง ความใกล้ชิดที่ผมไม่ชอบ พาให้ผมขยับตัวหนีออกไปจนชิดหน้าต่าง
"เป็นอะไร"
ผมเพียงแค่ส่ายหน้าเบาๆ เพื่อปฏิเสธ
"ทำไมไม่ไปกินข้าว"
"เราไม่หิว"
"เป็นอะไร ผีเข้าผีออก"
ผมหันมองปั้นที่พูดออกมาเช่นนั้นด้วยใบหน้าสงสัย อีกคนจึงพูดต่อ
"ก็อยู่ดีๆ กลับมาพูดเพราะกับกูเฉยเลย สมองมึงกระทบกระเทือนอีกรอบเหรอ"
ไม่เข้าใจสักนิดว่าปั้นพูดถึงอะไรแต่ก็ไม่ได้คิดที่จะถามอะไรต่อ ในตอนนั้นเอง ปั้นหันไปหยิบกระเป๋าของตัวเองที่โต๊ะด้านหลังผม ก่อนจะดึงชีทปึกหนึ่งออกมา
"เอาการบ้านคณิตมาลอกหน่อย"
"การบ้านอะไร"
"ก็การบ้านที่มึงไปเรียนซ่อมกับกูไง มึงเสร็จแล้วใช่ไหม เอามาลอกหน่อยเร็ว"
มันบ้าบอที่สุดที่ผมจำอะไรไม่ได้เลย ข้อมูลของหนึ่งเดือนที่ผ่านมาจึงถูกป้อนใส่สมองโดยคนอื่นอยู่เสมอ ผมเปิดกระเป๋าตัวเองแล้วหาชีทที่เหมือนกันกับในมือของปั้น ก่อนจะพบว่ามันสอดอยู่ในแฟ้มโดยที่การบ้านเหล่านั้นถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว
"เสร็จแล้วนี่หว่า เอามาลอกหน่อย"
ไม่ได้รอให้ผมอนุญาต ปั้นก็ดึงชีทการบ้านนั้นไปจัดการลอกตาม ผมเลื่อนสายตามองโจทย์คณิตเหล่านั้น คำพูดของปั้นที่บอกว่ามันคือการบ้านจากการเรียนซ่อมติดอยู่ในใจ จนต้องเอ่ยปากถาม
"ทำไมเราต้องเรียนซ่อม?"
ปั้นหยุดมือที่กำลังเขียนแล้วเงยหน้าขึ้นมองผม
"กูดิต้องถามว่าทำไมมึงถึงสอบตก"
"เราสอบตก?"
"เออดิ! แดกศูนย์ทุกข้อสอบ"
"ไม่จริงอะ" ผมเผลอแย้งออกไป โดยที่ลืมคิดไปว่า ในช่วงเวลาที่ความทรงจำหายไปชั่วขณะ ความสามารถทางด้านคณิตศาสตร์อาจจะบกพร่องไปด้วยก็ได้และแน่นอนว่าคำพูดของผมทำให้อีกคนที่นั่งอยู่ด้วยทำหน้างุนงง วางปากกาลงบนโต๊ะแล้วหันมาจ้องผมจริงๆ จังๆ
"ผีออกแล้วเหรอ"
"ฮะ?"
"มึงไง ผีออกแล้วเหรอแต่ออกก็ดีแล้ว กูไม่ชอบตอนมึงผีเข้าเท่าไรหรอกนะ กวนตีนฉิบหาย" ปั้นพูดขำๆ แล้วก้มลงลอกการบ้านต่อ ขณะนั้นก็เอ่ยปากเรียกผมขึ้นมาเบาๆ
"พลีส"
"..."
"มึงชอบนมรสสตอว์เบอร์รี่ไหม"
"ถามทำไม"
"กูถามก็ตอบ เสือกมาย้อน เดี๋ยวตบหูแตก"
ผมโยกตัวหลบตอนที่ปั้นง้างมือขึ้นทำท่าจะตบเข้ามาจริงๆ หลับตาแน่นอย่างกลัวๆ แต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะออกมาแล้วใช้ฝ่ามือนั้นตบเข้าที่หน้าผากผมเบาๆ ก่อนล้วงกระเป๋าหยิบนมสตรอว์เบอร์รี่ออกมากล่องหนึ่ง
"กูให้"
"ให้ทำไม"
"คราวก่อนกูหวง ก็เลยรู้สึกผิด"
"ไม่เข้าใจ"
"ก็ที่มึงบอกว่าอยากกินแล้วกูไม่ให้ไง คราวนี้กูมีสองกล่อง เอาไปดิ" ปั้นจัดการแกะพลาสติกที่หุ้มหลอด เจาะกล่องนมแล้วยื่นให้ผม ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเขา คนที่เอาแต่กลั่นแกล้งผมอยู่ตลอดเวลากลับมาทำดีด้วยราวกับว่าเราสนิทสนมกัน บทสนทนาระหว่างผมกับปั้นก็พูดคุยได้ยืดยาวโดยไม่ทะเลาะกัน นี่มันแปลกยิ่งกว่าแปลกเสียอีก
หัวคิ้วชนกันแน่นด้วยความสงสัยแต่ก็หาคำตอบไม่ได้จึงทำได้แค่ถอนหายใจเบาๆ แล้วหันมองไปนอกหน้าต่าง ท่ามกลางความเงียบ ปั้นเรียกผมขึ้นมาอีกที
"พลีส"
"..."
"ถ้ากูบอกว่ากูขอโทษ มึงจะเชื่อไหมวะว่ากูรู้สึกผิดจริงๆ"
"ขอโทษ?"
"อือ"
"เรื่องอะไร"
"ก็ทั้งหมด"
"..."
"ที่ผ่านมา"
เราต่างคนต่างเงียบขณะที่เอาแต่มองหน้ากัน ปั้นดูอ้ำอึ้งคล้ายว่าจะพูดอะไรออกมา เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นว่าใบหน้าของคนที่เคยเย่อหยิ่งและก้าวร้าวกลับดูไม่มั่นใจและกล้าๆ กลัวๆ ผมจึงบอกให้เขาพูดมันออกมา
"พูดมาสิ"
"กูคิดได้ หลังจากที่มึงพูดกับกูคราวก่อน..."
คราวก่อน...
"เพราะคำพูดของมึงกูถึงคิดได้ กูกลับไปถามตัวเองว่าที่ผ่านมากูแกล้งมึงทำไมแล้วกูก็ถามตัวเองอีกว่ามันเป็นเพราะกูหรือเปล่าที่ทำให้มึงตัดสินใจกระโดดตึกในวันนั้น มึงไม่ต้องพูดให้กูสบายใจว่าไม่ใช่ เพราะกูรู้ดีว่ากูก็มีส่วน ใช่ไหมล่ะ"
ผมไม่อาจปฏิเสธความจริงข้อนั้น ปั้นเคยบั่นทอนความรู้สึกของผมด้วยการเอาแต่รังแกและกลั่นแกล้ง แม้ไม่ใช่เหตุผลหลักของการตัดสินใจแต่มันก็ช่วยเพิ่มเหตุผลที่ทำให้ผมคิดที่จะจากไปได้ง่ายขึ้น
"กูไม่ได้แก้ตัวนะ มึงอาจจะคิดว่ากูทั้งโง่ทั้งเหี้ย เหตุผลส้นตีนอะไรก็ตามแต่แต่มึงฟังกูหน่อยได้ไหม"
"อืม พูดมา"
"กูแค่อยากให้มึงมีตัวตนอะ"
"ฮะ?"
"กูนึกไปเองแบบโง่ๆ ว่าการที่กูแกล้งมึงทุกวัน จะทำให้มึงรู้สึกมีตัวตนขึ้นมาบ้าง กูรู้เรื่องของมึงเหมือนที่เพื่อนคนอื่นรู้ เรื่องที่มึงเคยถูก..." คำพูดถูกละเอาไว้แต่เป็นที่เข้าใจได้ว่าผมเคยผ่านอะไรมา ผมพยักหน้ารับก่อนที่ปั้นจะพูดต่อ
"ที่กูไม่สงสารมึงเลย เพราะกูไม่อยากให้มึงคิดว่าตัวเองน่าสงสาร กูก็แค่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เผื่อว่ามึงจะได้ไม่คิดถึงเรื่องนั้นอีก กูยังอยากให้มึงมีตัวตนอยู่ ต่อให้เพื่อนทั้งห้องไม่คุยกับมึงแต่มีกูที่คอยแกล้งมึงทุกวันนะ ความคิดกูมันดูโง่เหี้ยๆ เลยใช่ป่ะ"
"อืม"
"..."
"เหี้ยๆ เลย"
ปั้นถอนหายใจเบาๆ ด้วยใบหน้าสลดที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา อยากให้เพื่อนทั้งห้องได้เห็นว่าเวลาอันธพาลหัวโจกมันจ๋อย หน้าตาดูน่าเวทนาขนาดไหน
"กูผิดไปแล้ว กูขอโทษ"
"..."
"กูยกนมสตรอว์เบอร์รี่ให้มึงแล้ว มึงก็ยกโทษให้กูดิ"
ผมหลุดขำเพราะคำพูดบ้าๆ จากประโยคนั้น ผมยังคงยิ้มกว้างและให้คำตอบปั้นด้วยการยกนมกล่องนั้นขึ้นดื่ม เป็นไปได้ว่า ความรู้สึกโกรธเคืองที่มีในใจลบเลือนหายด้วยนมสตรอว์เบอร์รี่เพียงกล่องเดียว ผมพลันคิดหาเหตุผลว่าทำไมจึงยกโทษให้ปั้นง่ายๆ เช่นนั้นแต่ก็ยังให้คำตอบตัวเองไม่ได้ อาจเป็นเพราะผมไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ยินคำขอโทษจากปากของคนๆ นี้ และจากที่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องกลับมาอยู่ในจุดเดิมแต่มันมีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปจนน่าตกใจ ผมก็คงเผลอดีใจจนให้อภัยเขาง่ายๆ ไปอย่างนั้น
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมฉุกคิดและคาใจจากคำอธิบายยืดยาวของปั้น การพูดคุยคราวก่อนที่ผมจำไม่ได้สักนิด มันทำให้ผมคิดสงสัย ด้วยนิสัยจริงๆ ของผมแล้ว ผมอาจจะไม่ใช่คนที่พูดจาอะไรจนอีกคนกลับไปคิดได้ว่าตัวเองทำอะไรผิด ยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัยไม่หยุดหย่อน ในช่วงระยะเวลาหนึ่งที่ความทรงจำของผมหายไป...มันถูกแทนที่ด้วยสิ่งใดกันแน่
...
คำว่าเมื่อวานสำหรับผมมันแสนสั้นแต่เวลาที่ผ่านไปจริงๆ นั้นมันยาวนาน แม้ผมจะยังไม่อาจลืมเรื่องราวของเมื่อวานที่เพิ่งผ่านมาแต่กาลเวลาและคนรอบข้างลืมมันไปหมดแล้ว ผมจึงต้องลบความทรงจำนั้นทิ้งราวกับมันไม่เคยเกิดขึ้นจริง ทำตัวเองให้เป็นปกติ และใช้ชีวิตเหมือนอย่างที่เคยมีชีวิตมา
"น้อง"
ผมหยุดเท้าที่กำลังจะก้าวข้ามถนนเมื่อได้ยินเสียงนั้น มีคนเดียวที่เรียกผมแบบนั้น...คนที่ผมหันไปก็จะได้เห็นรอยยิ้มของเขาแน่นอน
คุณหมอ
ยิ้มกว้างๆ จากคนตรงหน้าพาให้ผมต้องเม้มริมฝีปากกลั้นรอยยิ้มของตัวเองเอาไว้
"กำลังจะกลับบ้านเหรอ"
"ครับ แล้วคุณหมอ..."
"อะไร! ไหนตกลงกันแล้วไงว่าจะไม่เรียกแบบนั้น"
"ครับ?"
"ก็คราวก่อนบอกว่าจะเรียกพี่ไง"
คราวก่อน...อีกแล้ว
ผมไม่รู้จะโต้ตอบว่ายังไง และไม่รู้เหมือนกันว่าผมเอาความกล้าที่ไหนไปเรียกเขาด้วยคำว่า พี่ ใช่ว่าจะไม่อยากเรียกแบบนั้น แต่มัน...มันเขินนะ
"ตกลงกันแล้ว อย่ามาเปลี่ยนใจง่ายๆ ดิ พี่ไม่ยอมนะ จะโกรธด้วยแหละ" ว่าแล้วก็ทำเป็นสะบัดหน้าใส่ไม่พอใจ แต่เมื่อเห็นว่าผมไม่โต้ตอบอะไรก็ชำเลืองตาหันมามอง มองแล้วมองอีกจนกระทั่งยอมหันหน้ากลับมา
"ไม่เรียกก็ไม่เรียก ตามใจน้องเลย พี่ไม่อยากงี่เง่า พี่โตแล้ว พี่แก่แล้วด้วย จะคุณหมอ จะทันตแพทย์อะไรก็ตามใจน้องเลย พี่ไม่มีสิทธิ์อะไรไปบังคับน้องอยู่แล้ว พี่มันก็แค่..."
"พี่ต่อ"
คนที่กำลังพร่ำพูดอะไรยาวยืดหยุดชะงักกะทันหันเมื่อผมพูดออกไปแบบนั้น
"พี่ต่อครับ"
ผมเรียกชื่อเขาอีกที เพียงแค่อยากจะย้ำกับตัวเองว่าผมสามารถเรียกเขาด้วยคำว่าพี่แบบนั้นโดยไม่รู้สึกเคอะเขินจนเกินไป การถูกเรียกด้วยคำที่พอใจจึงทำให้อีกฝ่ายยิ้มกว้างให้ผม ที่ผ่านมามันเป็นยิ้มที่เยียวยาทุกอย่างที่หนักหนาในใจ และเป็นยิ้มที่ผมคิดจะละทิ้งไปอย่างตั้งใจ ตอนนี้จึงรู้สึกเสียดายขึ้นมา หากว่าตายไปจริงๆ...คงจะไม่ได้เห็นรอยยิ้มนี้อีก
"ไปกินไอติมกันไหม"
ผมเผลอแสดงสีหน้างุนงงขณะที่อยู่ดีๆ ก็ถูกชวนแบบนั้น
"ร้านที่เราไปกินด้วยกันวันก่อนไง"
ผมไปกินไอติมกับพี่ต่อ?
คุยกันมากกว่าสิบคำยังทำให้ใจสั่น นี่ไปนั่งกินไอติมด้วยกัน ผมไม่ไหลตายไปก่อนเหรอ ไม่มีทางที่ผมจะทำแบบนั้นได้ หรือการสูญเสียความทรงจำจะทำให้ผมสูญเสียการเป็นตัวเองไปด้วยถึงได้กล้าทำอะไรที่ไม่เคยทำมากมายขนาดนั้น ผมไม่มีวันที่จะทำแบบนั้นได้อีก ผมไม่...
"ตกลงไปไหมครับ"
"ไปครับ"
บ้าไปแล้ว!
พี่ต่อพาผมมาคาเฟ่ที่บอกว่าพี่ตามทำงานอยู่ที่นี่แต่ยังไม่เห็นพี่ตามเลย ผมไม่รู้ว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้น แต่ผมรับรู้ได้ถึงความใกล้ชิดในความสัมพันธ์ของผมกับพี่ต่อ ราวกับว่าเราดูสนิทกันมากขึ้นจากการกระทำ คำพูด และการพูดคุยของพี่ต่อที่ดูใจดีมากกว่าเดิมเสียอีก มันทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายจนลืมตัวเองคนเดิมไปเลยว่าเวลาที่อยู่ข้างๆ เขาผมรู้สึกเกร็งมากแค่ไหน ผมไม่แน่ใจว่าจะอธิบายความเปลี่ยนแปลงที่ผมเองก็ไม่รู้ตัวนั้นว่าอย่างไรเหมือนกัน
"อร่อยไหมน้อง"
"อร่อยครับ ของพี่ล่ะ"
"อร่อยมาก"
ชอบที่เขาเรียกผมว่าน้อง ชอบที่ตัวเองกล้าเรียกเขาว่าพี่...มันอบอุ่นชะมัด
"เออน้อง ไหนบอกจะให้พี่ช่วยติวเลขไง"
"ครับ?"
"วิชาเลขที่น้องสอบตกไง ว่างเมื่อไรก็ไปหาพี่ที่คลินิกได้นะ ตอนเย็นๆ ไม่ค่อยมีคนไข้หรอก"
ด้วยความสัตย์จริง คณิตศาสตร์เป็นวิชาที่ผมถนัดมากที่สุด ในบทเรียนของคณิตฯ ม.ปลาย แทบจะไม่มีโจทย์ข้อไหนที่ผมแก้ไม่ได้ เป็นไปได้ว่าความรู้ในส่วนนั้นอาจแตกสลายไปในตอนที่หัวกระแทกพื้นแต่ตอนนี้ความทรงจำถูกรื้อฟื้นและทุกโจทย์คณิตก็ไม่ได้ยากเกินความสามารถ
แม้ผมจะถูกสั่งสอนมาตลอดว่าการโกหกนั้นเป็นเรื่องต้องห้ามแต่วันนี้ผมละทิ้งความจริงและไม่อาจปฏิเสธข้อเสนอของพี่ต่อได้ ผมอาจถูกลงโทษจากการโกหกนี้ก็ได้แต่ท้ายที่สุดผมก็ยอมหลอกลวงทั้งตัวเองและตัวเขาเพื่อให้เราได้ใกล้ชิดกัน
"ครับ ผมจะไปหาพี่ที่คลินิก"
"โอเค มาวันไหนก็ไลน์มาบอกพี่นะ"
ผมมีไลน์พี่ต่อด้วยเหรอ?
ถามตัวเองในใจ ก่อนที่จะหยิบมือถือขึ้นมากดดูแล้วไลน์ของพี่ต่อก็ปรากฏชัดให้เห็นเป็นชื่อแรก ไปมีไลน์เขาตอนไหนเนี่ย..บ้าไปแล้ว...บ้าไปแล้ว
"ยิ้มอะไรคนเดียว"
"ครับ?"
"เราน่ะ ยิ้มไม่หุบเลย"
ยิ่งพี่ต่อแซว ผมก็ยิ่งยิ้มกว้างกว่าเดิม ขณะนั้นพี่ต่อก็ยื่นมือมาบีบแก้มผมเบาๆ แล้วเอ่ยปากบอก
"น้องน่ารักเวลายิ้ม"
ผมนิ่งไปครู่หนึ่งด้วยความเคอะเขิน พลันสติกลับคืน รอยยิ้มจึงหุบลงช้าๆ ตอนที่รู้ตัวว่าพี่ต่อกำลังแตะต้องส่วนหนึ่งของร่างกายผมอยู่
"ฟึ่บ!"
สมองที่ไวกว่าความรู้สึกสั่งให้ผมปัดมือของพี่ต่อออก พี่ต่อชะงักไปครู่หนึ่งแล้วลดมือตัวเองลงช้าๆ
"พี่ขอโทษ"
"..."
"ลืมไปว่าน้องไม่ชอบ"
ผมเองก็ได้แต่อึกอักกับการกระทำของตัวเองแต่ไม่ได้อธิบายสิ่งใด พี่ต่อที่ดูจะเข้าใจก็ทำได้เพียงพยักหน้าด้วยรอยยิ้มบางๆ ความรู้สึกสดใสก่อนหน้านี้ถูกแทนที่ด้วยอารมณ์ขุ่นมัวของตัวเอง
จริงอยู่ที่ว่าการที่ได้ใกล้ชิดพี่ต่อ มันทำให้ผมอบอุ่นแต่ในหัวใจผมยังหนาวเย็นด้วยยังมีบางเรื่องที่ผมก้าวผ่านมันไปไม่ได้ เมื่อถูกสัมผัสหรือแตะต้อง ร่างกายยังเผลอสั่นเทา หัวใจยังคงเต้นแรง ความหวาดกลัวคงอยู่ในใจและพร้อมที่จะแสดงออกในรูปแบบของการต่อต้านทางร่างกายผ่านความทรงจำที่เลวร้ายอยู่เสมอ ถ้าการกระทบกระเทือนทางสมองจะทำให้ผมลืมบางเรื่องไป ทำไมถึงไม่เป็นเรื่องนี้...เรื่องที่อยากลืมใจจะขาด
"ครืด...ครืด..."
เสียงโทรศัพท์ของพี่ต่อที่สั่นอยู่บนโต๊ะ ทำลายทุกความเงียบตรงนี้ไป ผมดึงสติตัวเองกลับมาได้ก็ตอนที่พี่ต่อหันมาพูดกับผม
"พี่ไปรับโทรศัพท์แป๊บหนึ่งนะ"
"ครับ"
ผมมองตามพี่ต่อออกไปยังนอกร้านเพื่อมองดูเขาอยู่ไกลๆ ในขณะเดียวกันนั้นก็ต้องหันกลับมาเพราะการปรากฏตัวของอีกคนที่ตรงเข้ามาทักจนผมตกใจ
"เขี้ยวกุด!"
ไม่ทันจะได้เอ่ยทักพี่ตามที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน อีกฝ่ายก็ดึงเก้าอี้มานั่งใกล้ๆ แล้วถามเสียงแข็งเหมือนกำลังโกรธเคืองกัน
"วันอาทิตย์ทำไมไม่มา"
"ครับ?"
"ก็ที่เรานัดกันไง เบี้ยวเฉยเลย ไม่โทรมาบอกสักคำ"
"พี่หมายถึงผมเหรอครับ"
"ก็คุยกับพลีสอยู่นี่ไง"
"ผมนัดกับพี่ตามเหรอครับ"
"ใช่ดิ พลีสบอกจะเลี้ยงข้าวพี่ไง ลืมเหรอ"
จากใจจริง ผมรู้จักพี่ตามแค่ผิวเผิน เราพูดคุยกันน้อยจนแทบจะนับคำได้ ต่างคนต่างไม่เก่งที่จะเข้าหากันผมจึงไม่คิดว่าเราจะสนิทกันขนาดนั้น และต่อให้ผมจะจำได้หรือไม่ได้ ผมก็นึกไม่ออกอยู่ดีว่าทำไมตัวเองถึงไปสนิทสนมกับพี่ตาม ไม่มีเหตุผลไหนที่จะสนับสนุนความเป็นไปในข้อนี้ ความคิดผมจึงโต้แย้งขึ้นมาซะเฉยๆ
"พี่ตามเข้าใจผิดหรือเปล่าครับ"
"พลีสเป็นอะไรป่ะเนี่ย"
"..."
"คราวก่อนเรายังคุยกัน..."
คราวก่อน...กลายเป็นคำที่ผมกลัว เพราะผมไม่รู้เลยว่าคราวก่อนนั้น มันหมายถึงอะไร พี่ตามไม่ทันได้พูดอะไรต่อ พี่ต่อก็เดินกลับเข้ามา
"อ้าว ตาม พี่ก็นึกว่าวันนี้ไม่ได้ทำงาน"
"อยู่หลังร้าน" พี่ตามลุกออกจากเก้าอี้เพื่อให้พี่ต่อนั่งแทน พูดคุยกันอีกสองสามประโยคก่อนที่พี่ตามจะเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์ ขณะที่ยังไม่ละสายตาไปจากผม ในตอนที่ผมเองก็ยังคงมองหน้าพี่ตามอยู่อย่างนั้น ก็ภาพบางอย่างในหัวแทรกซ้อนขึ้นมาจนคิดว่าตัวเองตาลาย...ผมเคยเห็นพี่ตามใส่ชุดนี้และยืนอยู่ตรงนั้น
"เพล้ง!"
เสียงแก้วแตกดังสนั่นร้าน ผมได้ยินเสียงนั้นดังมากกว่าความเป็นจริง ดังเสียจนต้องหลับตาแน่นเพราะรู้สึกเจ็บแปลบเข้าไปในหู
"ขอโทษค่ะๆ"
ผมหันมองพนักงานในร้านที่เพิ่งจะเดินชนแจกันดอกไม้หล่นจากโต๊ะ สายตาผมมองผ่านเศษแก้วที่แตกละเอียดไปยังกุหลาบสีขาวที่หล่นอยู่กับพื้น
คล้ายมีแสงสว่างวาบขึ้นในหัว พร้อมๆ กับภาพดอกกุหลาบสีขาวคล้ายกันกับดอกนี้ หล่นอยู่บนพื้นถนนและถูกรถเหยียบจนกลีบปลิวกระจาย ภาพในหัวสลับทับซ้อนจนผมไม่รู้ว่าความทรงจำพวกนั้นมันคืออะไร การพยายามที่จะคิดทำให้ความเจ็บปวดพุ่งเข้ามาจนเจ็บแปลบ
"พลีส เป็นอะไรหรือเปล่า"
ผมส่ายหน้าปฏิเสธแต่ไม่อาจปกปิดอาการปวดหัวนั่นเอาไว้ได้จนต้องยอมรับออกไปตรงๆ แต่ครู่เดียวเท่านั้นความเจ็บปวดเหล่านั้นก็หายไป แม้ไม่รู้สึกเจ็บปวดแต่ยังคงสับสน
ในตอนที่กลับมาถึงที่บ้านแล้ว ก็เอาแต่คิดถึงมันไม่หยุด ไม่รู้ว่าภาพที่เห็นนั้นมันคืออะไร ทั้งพี่ตาม ทั้งกุหลาบดอกนั้น มันคุ้นตาราวกับว่าได้เห็นมันด้วยตาของตัวเองแต่ความรู้สึกมันบอกว่านั่นไม่ใช่ความทรงจำของผม และยิ่งสับสนมากขึ้นทุกทีตอนที่หาอะไรมาอธิบายไม่ได้เลย
มีบางอย่างยังค้างคาใจและทำให้วนคิดซ้ำไปซ้ำมา และอยู่ดีๆ ก็มีความคิดโง่ๆ โผล่ขึ้นมาในหัว ด้วยการสันนิษฐานที่ดูไม่มีข้อเท็จจริงปะปนอยู่เลยแม้แต่น้อย เรื่องราวคราวก่อนที่ใครๆ ต่างพูดถึง ตัวผมในคราวนั้น แท้ที่จริงแล้ว...
อาจจะไม่ใช่ผมก็ได้
TBC.