Re : 1 เริ่มต้นแห่งตราบาป
1
จุดเริ่มต้นแห่งตราบาป
‘ปิญญ์ชานนท์ อนันตไพลิน’ นี่คือชื่อที่เขาเกลียดสุดขั้วหัวใจ ริมฝีปากได้รูปเหยียดยิ้มเยาะเย้ยส่งมาให้เขา…ดูถูกแคลนเขายามที่เขาไม่รู้จะทำยังไงต่อไปกับชีวิตที่พังพินาศ
“พูดธุระของนายมาซะสิ ฉันไม่มีเวลามากพอมานั่งดูนายยืนทำหน้าตาน่าสมเพชแบบหรอกนะขนมผิง”
เสียงทุ้มก้องกังวานของชายหนุ่มตรงหน้าของเขามันทำให้ยิ่งกดดัน ขนมผิงกำมือแน่น เล็บจิกเข้าอุ้งมือจนเริ่มรู้สึกถึงความเจ็บปวด แต่ถึงอย่างนั้นความเจ็บปวดทางกายก็ยังเทียบไม่ได้กับความเจ็บปวดทางใจที่เกิดขึ้นเลย
เขากำลังท้อง!!
กำลังตั้งท้องลูกของผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า…คนที่ย่ำยีศักดิ์ศรีของเขาจนมันไม่เหลือชิ้นดี
ทั้งหมดเป็นเพราะร่างกายของเขาครึ่งหนึ่งเป็นของพี่สาวฝาแฝดที่ตัวติดกันมาตั้งแต่เกิด…ร่างกายที่ทำให้เขารู้สึกเกลียดตัวเอง เพราะตอนเกิดสมองของพี่สาวขาดออกซิเจน ทำให้แม่ของเขาต้องตัดสินใจเสียสละชีวิตของพี่สาวเพื่อช่วยเขาเอาไว้
หนึ่งชีวิตแลกกับหนึ่งชีวิต…นำพามาซึ่งความอัปยศ
‘สมเพช’ นี่คงเป็นคำที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเขาในเวลานี้ ขนมผิงจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้า มองดูกายสูงใหญ่ลุกขึ้นจากเก้าอี้บุนวมราคาแพงลิบ
ปิญญ์ชานนท์เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของเขา ยกแขนขึ้นมากอดอก หรี่ตามองเขาด้วยท่าทีเหยียดหยามราวกับว่าเขาเป็นสิ่งของไร้ค่า ปิญญ์ชานนท์ชอบคิดแบบนั้น เพราะตัวเขาถูกซื้อด้วยเงิน…เงินที่เขาไม่เต็มใจรับมัน
“นายมีอะไรก็พูดมาสักที ฉันไม่มีเวลามากพอที่จะมารอฟังนายพูดหรอกนะขนมผิง”ปิญญ์ชานนท์ถามย้ำ เอนกายพิงโต๊ะทำงานราคาแพงกดดันให้ขนมผิงเม้มปากเป็นเส้นตรง กัดริมฝีปากจนห้อเลือด
“ผม…”
ราวกับว่าริมฝีปากมันหนักอึ้งจนแทบจะยกไม่ขึ้น ร่างสูงโปร่งกำลังสั่น กายชาดิกราวกับโดนพิษของสัตว์ร้ายต่อยจนแน่นิ่ง
“หรือว่านายต้องการเงินล่ะ…ถ้านายต้องการเงินเพิ่มทำไมไม่ลองไปหาน้องชายของฉันล่ะ บางทีเขาอาจจะเต็มใจใช้บริ…”
“ไม่ใช่!! ไม่ใช่อย่างที่คุณคิด”
“หืม…นายอย่าทำตัวเป็นนักโทษที่ไม่ยอมรับความผิดไปหน่อยเลยในเมื่อหลักฐานมันมัดตัวแน่นขนาดนี้”ปิญญ์ชานนท์แสยะยิ้ม
“ผมไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิด!!”
“แล้วยังไงในเมื่อคืนนั้นนายก็ดูจะชอบมาก…หรือว่าเป็นแค่การบริการ”เอ่ยด้วยน้ำเสียงดูถูกก่อนที่สายตาหยาบโลนจะจ้องมองมาที่ขนมผิงหัวจรดเท้า
เป็นอย่างนี้เสมอ…ปิญญ์ชานนท์มักดูถูกคนและตีค่าของคนอื่นต่ำกว่าตัวเอง
“คุณจะว่ายังไงผมก็ไม่สน…ที่ผมมาวันนี้”พูดด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า น้ำตาที่กักเก็บเอาไว้มันเกือบจะไหลลงมาเต็มทน “ผมแค่…จะมาบอกคุณว่า…ผม…ท้อง…ท้องลูกของคุณ”
ในที่สุดก็พูดออกไป สิ่งที่มันย้ำเตือนความคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก้อนเนื้อเล็กๆที่กำลังเติบโตอยู่ภายในร่างกาย เล็บจิกลงในอุ้งมือบาดลึกลงจนเลือดซิบ ความเจ็บเริ่มแปลเปลี่ยนเป็นความชาชิน…ไร้ความรู้สึก
ขนมผิงจ้องมองตาคู่คมกริบที่มองมายังตนด้วยหัวใจที่สั่นเทา แววตาที่มองมามันเต็มไปด้วยความดูถูกและเหยียดหยามเสียเขารู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า
“หึ!! นายบอกฉันว่านายท้องอย่างนั้นเหรอขนมผิง นี่นายอับจนถึงขนาดต้องปั้นเรื่องเลยรึยังไงกัน นายนี่เกินความคาดหมายของฉันจริงๆ”
ชายหนุ่มหัวเราะในลำคออย่างเย้ยหยัน ขายาวย่างก้าวเข้าหาร่างสูงโปร่งเจ้าของนัยน์ตาสีโศกอย่างย่ามใจ มันใกล้จนขนมผิงรับรู้ได้ถึงลมหายใจที่เป่ารดลงมาใบหน้า หัวใจดวงเล็กเต้นกระหน่ำจนแทบรู้สึกว่ากำลังจะตายซะให้ได้
“คุณจะเชื่อหรือไม่ผมไม่บังคับ ที่ผมมาหาคุณในวันนี้ผมแค่ต้องการให้คุณยืนยันคำตอบ”
“หึหึ คำตอบอะไรล่ะ นายลองเสนอมาสิ…เผื่อฉันจะสนใจ”น้ำเสียงเย็นชาถูกส่งเข้ามาในโสตประสาตพร้อมกับมือที่ร้อนราวกับเหล็กนาบไฟช้อนกรอบหน้าให้เงยขึ้นละจ้องตอบดวงตาดุดัน
“คุณ…จะยอมรับลูกในท้องของผมว่าเป็นลูกของคุณไหม…ถ้าไม่ผมจะถือว่าคุณปฏิเสธ และนับตั้งแต่วันนี้ไปผมจะไม่เข้ามายุ่งในชีวิตของคุณอีก คุณเองก็ห้ามเข้ามายุ่งเกี่ยวกับชีวิตของผมกับลูกอีกต่อไป”บอกด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าว พยายามบังคับไม่นัยน์ตาสั่นระริกเมื่อถูกจ้องมองด้วยแววตาเช่นนั้น
ปิญญ์ชานนท์เหยียดยิ้มเล็กน้อยกับคำตอบของขนมผิง ราวกับเป็นเรื่องที่น่าขบขันก็ไม่ปาน…ชายหนุ่มไม่คิดว่าขนมผิงจะท้องจริงๆ
“นายมีหลักฐานอะไรมายืนยันว่านายท้อง”ปิญญ์ชานนท์ถามก่อนจะแตะมือที่ปลายคางของขนมผิง อออกแรงปัดมันจนใบหน้านั้นหันไปตามแรงอย่างดูแคลน
ขนมผิงได้แต่กัดฟันจ้องมองอีกฝ่ายด้วยความโกรธเคือง ปิญญ์ชานนท์ไม่เชื่อว่าเขาท้อง!! เพียงแค่จ้องมองตาคู่นั้นเขาก็รับรู้ได้เป็นอย่างดี
ขนมผิงพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้สั่นกลัวกับท่าทีของอีกฝ่าย ตาคู่สวยจดจ้องตามร่างของปิญญ์ชานนท์เดินกลับไปนั่งลงบนเก้ากี้บุนวมราคาแพงแล้วไขว้ขาอย่างวางท่าที ดวงตาดุดันราวกับดวงตาของพญามัจจุราชจับจ้องมาที่เขาราวกับว่ากำลังจะคาดคั้นเอาคำตอบ
ขนมผิงหยิบซองจดหมายสีขาวสะอาดขึ้นมาแล้ววางมันลงบนโต๊ะ เรียกให้ปิญญ์ชานนท์มองด้วยความสนใจทั้งที่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์อันแสนชั่วร้ายยังคงประดับอยู่ที่มุมปาก
“นี่เป็นหลักฐานจากโรงพยาบาลที่ผมไปตรวจ คุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้ว่ามันเป็นของจริง เพราะคุณตรวจสอบมันได้อยู่แล้ว”
ปิญญ์ชานน์หยิบซองเอกสารสีขาวสะอาดขึ้นมาเปิดอ่านก่อนจะเหยียดยิ้มแล้วโยนมันลงบนโต๊ะดังเดิมราวกับว่ามันเป็นของสกปรก
“ฉันจะเชื่อได้ยังไงว่าเด็กในท้องนั่นเป็นลูกของฉัน มันอาจจะเป็นของน้องชายฉันหรือลูกค้าคนอื่นๆของนายก็ได้ จะให้ฉันมั่นใจได้ยังไงกัน”
“นั่นมันเรื่องของคุณว่าคุณจะคิดยังไง ผมแค่ต้องการคำตอบจากปากคุณว่าคุณจะรับหรือว่าปฏิเสธเด็กคนนี้เป็นลูก”ขนมผิงถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่น มันเป็นทางเดียวที่จะปกป้องสิ่งมีค่าที่สุดในชีวิตของเขาได้
“แน่นอนอยู่แล้ว ฉันไม่รู้ว่าเด็กนั่นเป็นลูกของใคร แต่ถ้าคิดจะมาจับฉันด้วยวิธีนี้ล่ะก็นายเลิกหวังซะเถอะ เพราะคนอย่างนายมันไม่มีค่าพอที่ฉันจะลดตัวลงไปแตะเป็นรอบที่สองแน่นอน”
“นั่นผมจะคิดเอาเองว่าคำตอบของคุณคือปฏิเสธ”
“ถ้านายคิดจะรวยทางลัดด้วยการจับใครสักคนโดยใช้เด็กที่นายคิดว่ามีอยู่ในท้องของนายนายจะลองเข้าหาน้องชายของฉันก็ได้นะ บางที…หมอนั่นอาจจะพิจารณา อ้อไม่สิ อาจจะเต็มใจเลยด้วยซ้ำ”
“ขอบคุณสำหรับคำตอบ”ขนมผิงตัดบท คงไม่มีอะไรที่เขาจะต้องพูดคุยกับผู้ชายคนนี้อีกแล้ว
“หวังว่าเจอกันอีกทีนายคงไม่เป็นเมียของน้องชายของฉันนะ ฉันสงสารคนดีดีแบบเจ้าวุฒิที่ต้องติดกับคนชั้นต่ำอย่างนาย”คำพูดนั้นทำให้ขนมผิงชะงักฝีเท้า มือสองข้างกำเข้าหากันแน่น ริมฝีปากขบเม้มเข้าหากันอย่างเจ็บใจกับถ้อยคำดูถูกเหยียดหยาม
“ครับ…หวังว่าเราคงจะไม่เจอกันอีก”
บอกลาอย่างไม่เต็มใจ จบสิ้นกันทีที่ต้องแบกหน้าเข้ามายุ่งเกี่ยวกับคนของบ้านอนันตไพลิน ถ้าไม่ใช่เพื่อลูกในท้องเขาจะไม่มีวันเหยียบย่างเข้ามาที่นี่เด็ดขาด
จะไม่มีวันพาร่างกายที่เคยถูกย่ำยีมาที่นี่เพื่อให้ปิญญ์ชานนท์มองด้วยสายตาดูแคลน
‘ปิญญ์ชานนท์ อนันตไพลิน’ ถ้าหากฟ้ามีตาจริง สักวันเขาจะต้องบดขยี้อีกฝ่ายให้แหลกเหลวสมกับที่เคยโดนอีกฝ่ายกระทำเอาไว้
ผู้ชายที่ไม่ยอมรับเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง!!
สามเดือนก่อนหน้านี้ที่เขาเจอกับปิญญ์ชานนท์ เป็นครั้งที่สองที่เคยเจอกับอีกฝ่าย ปิญญ์ชานนท์จับจ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาดูถูกดูแคลนอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ดวงตาดุดันคู่นั้นทำให้ขนมผิงนึกกดดันจนแทบอยากจะอาเจียนออกมา วันนั้นเป็นวันรับปริญญาของเขาและเพื่อนรุ่นพี่ว่าที่กุมารแพทย์คนใหม่อย่างคุณวุฒิ
หากเขารู้มาก่อนว่าเพื่อนรุ่นพี่ที่เขาสนิทด้วยอย่างคุณวุฒิเป็นลูกพี่ลูกน้องกับปิญญ์ชานนท์และเป็นหนึ่งในคนของอนันตไพลิน เขาจะไม่มีวันข้องเกี่ยวกับคุณวุฒิเด็ดขาด
หากแต่ทุกอย่างมันกลับสายไปแล้ว ความรู้สึกดีที่เขามีต่อคุณวุฒิมันมีมากจนเขาไม่อาจทำใจตัดตัดความสัมพันธ์นี้ให้ขาด
ปิญญ์ชานนท์มาร่วมแสดงความยินดีกับน้องชายด้วยดอกไม้ช่อใหญ่ ความโดดเด่นของอีกฝ่ายแยกให้เห็นถึงความแตกต่างจากผู้คนรอบตัวโดยสิ้นเชิง และความสนิทความเอ็นดูของคุณวุฒิที่มีต่อเขานั้นทำให้ปิญญ์ชานนท์ไม่พอใจเป็นอย่างมาก ขนมผิงรับรู้มันได้ทางสายตาที่มองมาที่ตน
ช่วงเย็นเขาถูกเชิญมางานเลี้ยงเพื่อร่วมแสดงความยินดีกับว่าที่นายแพทย์คนใหม่พร้อมกับกลุ่มเพื่อนคนอื่นๆ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของฝันร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้น…รอยของตราบาปที่กำลังถูกประทับโดยไม่มีวันลบเลือน
“ลูกไม้คงจะหล่นไม่ไกลต้นสินะ”น้ำเสียงที่ดูแคลนถามขึ้นขณะที่ขนมผิงกำลังก้มหน้าลงไปล้างหน้าเพื่อเรียกความสดชื่นหลังจากรู้สึกมึนเมาจากเครื่องดื่มต่างๆที่เพื่อนคะยั้นคะยอให้ดื่ม
ใบหน้านิ่งเฉยเงยหน้าขึ้นมามองกระจกเบื้องหน้าเล็กน้อย ก่อนจะหยิบกระดาษทิชชู่ซับหน้าตัวเองอย่างไม่สนใจเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายคือใคร
คนของอนันตไพลิน…พวกที่เห็นแก่ตัวและใส่ร้ายแม่ของเขา!!
ในห้องน้ำเวลาดึกสงัดทำให้ขนมผิงและปิญญ์ชานนท์อยู่กันตามลำพัง สายตาของปิญญ์ชานนท์ทำให้ขนมผิงอึดอัดจนต้องเดินหนีออกมา ทว่าข้อมือก็ถูกคว้าเอาไว้และถูกดึงจนเซไปทางด้านหลังปะทะเข้ากับแผงอกของอีกฝ่าย
“จะ…ทำอะไร!!”นัยน์ตาสีโศกเบิกกว้างอย่างตกใจไม่คิดว่าปิญญ์ชานนท์จะดึงเขาเอาไว้
“เดี๋ยวสิจะรีบไปไหนล่ะ กำลังจะไปหาเหยื่อรึไง”คำพูดไม่กี่ประโยคแต่กลับแสดงออกถึงความดูถูกได้อย่างชัดเจน เหมือนกับที่คนของอนัตไพลินกล่าวหาแม่ของเขา…ว่าเป็นผู้หญิงขายตัวและทรยศ
“ผมว่าคุณคงจะเข้าใจอะไรผิด”
“หึ เข้าใจอะไรผิดล่ะ ถ้านายคือขนมผิง วารีจินดาลูกของผู้หญิงทรยศคนนั้นล่ะก็…ฉันคงไม่เข้าใจอะไรผิด”ปิญญ์ชานนท์เหยียดยิ้มจ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาดูถูก
“คนอย่างพวกคุณไม่มีสิทธิมาตัดสินคนอื่น พวกคุณมันก็แค่คนเห็นแก่ตัวที่ใช้อำนาจของเงินตัดสินค่าของคนจากภายนอก”ขนมผิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าว
เลว....ความเลวร้ายที่ตีตราลงมาบนครอบครัวของเขา สิ่งที่ตีตราลงมาที่แม่ของเขามันโหดร้ายมากเกินกว่าที่จะรับไหว ทำให้เขาตกอยู่ในฐานะลูกชายของผู้หญิงที่ถูกมองว่าเป็นพวกขายตัวและทรยศ
“นายจะพูดยังไงความไร้ค่าที่ส่งผ่านมาทางสายเลือดมันก็ไม่หายไปหรอกนะ อย่าคิดว่าฉันจะไม่รู้ว่านายคิดจะจับน้องชายของฉัน ขอบอกไว้ก่อนเลยว่าตราบใดที่ฉันคนนี้ยังอยู่ คนไร้ค่าอย่างนายอย่าหวังว่าจะก้าวเข้ามายุ่งกับอนันตไพลินอีก อ้อ! ถึงแม้ว่านายวุฒิจะไม่ได้ใช้นามสกุลอนันตไพลินแต่ฉันก็ถือว่าเขาเป็นคนของตระกูล นายอย่าหวังว่าจะได้นายสิ่งที่คิด”
“คุณเป็นบ้ารึไงถึงได้พูดเป็นตุเป็นตะ ขอตัว!! ผมไม่คิดว่ามีอะไรจะต้องพูดกับพวกอนันตไพลินที่ชอบคิดเองเออเอง อีกอย่าง พี่วุฒิเขาไม่ได้เป็นเหมือนพวกอนันตไพลินที่ชอบคิดเอาเอง ถึงคุณจะรู้ว่าผมเป็นใครจะสืบอะไรมาเกี่ยวกับตัวผมบ้าง แต่ผมไม่มีอะไรที่อยากจะข้องเกี่ยวกับพวกคุณอีก โชคดี” เขาตอบกลับด้วยท่าทางที่แข็งกร้าว ถึงแม้ว่ามือที่กำจนแน่นมันกำลังสั่นอยู่ก็ตาม
ร่างสูงโปร่งเดินหนีออกมาจากห้องน้ำโดยไม่สนว่าปิญญ์ชานนท์จะเดินตามมาหรือไม่ หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบบ้าเมื่อปิญญ์ชานนท์พูดถึงเบื้องหลังอันน่าอับอายที่เขาพยายามจะปกปิดตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ถึงแม้จะเป็นโรงแรมใจหรูใจกลางเมืองแบบนี้ แต่ด้วยเวลาที่ค่อนข้างจะดึกมากทำให้ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่านสักเท่าไร และขนมผิงก็ต้องชะงักกับคำพูดของอีกฝ่ายราวกับถูกตบ
“เท่าไรล่ะถึงจะซื้อนายได้”น้ำเสียงเย็นชาถามขึ้นอีกครั้งพร้อมกับมือแข็งราวกับคีมเหล็กดึงกระชากให้เข้าไปหา
ครั้งนี้มันไม่ง่ายเลยที่ขนมผิงจะสะบัดมือออก ดวงตาคมนิ่งจ้องมองไปที่ร่างสูงของอีกฝ่ายด้วยความไม่พอใจ ปิญญ์ชานนท์กำลังตีค่าเขาด้วยสายตาและรอยยิ้มชั่วร้ายที่ผุดอยู่บนริมฝีปาก ขนมผิงรู้สึกโกรธกับคำพูดของอีกฝ่ายจนตัวสั่น
“ถ้าคุณกำลังพูดถึงเรื่องทุเรศๆอยู่ล่ะก็ คุณคงจะพูดด้วยผิดคน”ขนมผิงตอบโต้ พยายามแกะมือที่บีบข้อมือออก
“หึ!! อย่าทำเป็นเล่นตัวไปหน่อยเลยขนมผิง หรือนายว่าคืนนี้คิดจะไปกับเจ้าวุฒิล่ะ”
“คุณมันบ้า ไอ้โรคจิต!! ไม่มีใครเขาคิดแบบคุณหรอกนะ ปล่อยแขนผม ไม่อย่างนั้นผมจะร้องให้คนช่วย”
“ก็เอาสิ นายคงไม่รู้ว่าฉันมีหุ้นอยู่ที่นี่ คิดดูเอาว่าเขาจะเชื่อฉัน…หรือว่าคนไร้ค่าอย่างนาย”
“คุณต้องการอะไร!!”
“ฉันต้องการให้นายเลิกยุ่งกับคุณวุฒิน้องชายของฉัน”
“จะบ้ารึไง ทำไมผมจะต้องเลิกยุ่งกับพี่วุฒิด้วย ผมจะยุ่งหรือไม่ยุ่งกับใครมันก็ไม่เกี่ยวกับคุณ”
“เกี่ยวสิ!!ทำไมจะไม่เกี่ยว นายเป็นลูกของผู้หญิงทรยศ ฉันจะไม่ยอมให้ลูกของผู้หญิงทรยศคนนั้นมาเกี่ยวข้องกับคนในตระกูลฉันอีกเด็ดขาด”
ผลั๊วะ!!
ราวกับเป็นคำพูดที่ทำให้ขนมผิงสะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้ไม่ไหว ปล่อยหมัดเล็กๆไปที่ใบหน้าของชายหนุ่มอย่างไม่พอใจ
“ประสาท!! คุณมันก็แค่ไอ้พวกตระกูลโรคจิตที่เอาแต่มองคนอื่นจากคำพูดที่เชื่อถือไม่ได้ คุณไม่มีสิทธิมาว่าแม่ของผมอย่างนั้น!!”
ปิญญ์ชานนท์หันไปตามแรงหมัดที่ส่งมาเล็กน้อยก่อนใบหน้าคมคายจะหันกลับมามองขนมผิงด้วยแววตาเกรี้ยวกราด
“นายนี่มัน!!”
สิ้นเสียงชายหนุ่มก็กระชากร่างของขนมผิงเข้าไปอีกครั้ง มือใหญ่จับดึงเอาใบหน้าเกลี้ยงเกลาของขนมผิงเอาไว้แล้วบีบกรอบหน้าให้ได้รู้สึกเจ็บจนต้องขมวดคิ้ว
“ปล่อย!!”
“นายมันก็แค่ลูกของอีตัวที่เอาแต่พูดปฏิเสธความไร้ค่าความโสโครกของตัวเอง นายอย่าคิดนะว่าฉันจะไม่รู้ความคิดของนาย”ปิญญ์ชานนท์พูดด้วยน้ำเสียงตะคอก มือของเขาบีบลงบนกรามของขนมผิงแน่น
“ปล่อยผม!!”
ขนมผิงพยายามดันตัวออกห่างจากพันธนาการที่หยาบคายของปิญญ์ชานนท์ แต่กลับไม่เป็นผลเมื่อมือที่กุมแขนเอาไว้นั้นบีบแน่นจนแกะไม่ออก แขนที่ถูกบีบเอาไว้เจ็บแสบขึ้นมาเมื่อรู้สึกถึงเล็บที่จิกลงมาบนผิวเนื้อ
“เท่าไรล่ะ นายถึงจะเลิกยุ่งกับนายวุฒิ”อีกครั้งที่ปิญญ์ชานนท์เสนอมูลค่าของเงินเพื่อแลกกับสิ่งที่ตัวเองต้องการ
“เท่าไรดีล่ะ ล้านนึงคุณจ่ายไหวไหมล่ะ”ขนมผิงพูดออกไปด้วยความเบื่อหน่ายเต็มทนกับคนตรงหน้า ในเมื่อปิญญ์ชานนท์เสนอเขาก็จะสนอง
“มันไม่แพงไปหน่อยรึไงสำหรับคนไร้ค่าอย่างนาย”ชายหนุ่มเหยียดยิ้ม
“ไม่หรอก…ถ้าเทียบกับทั้งหมดในชีวิตของเขาที่ผมต้องการจะได้มา”ขนมผิงพูดพร้อมกับเงยหน้าขึ้นจ้องตอบอีกฝ่ายอย่างทระนงตน
ในเมื่อปิญญ์ชานนท์ต้องการที่จะยืดเยื้อแต่เขาต้องการที่จะจบ ทางเดียวที่คิดได้ก็คงเป็นการตอบรับไปส่งๆ แต่นั่นมันทำให้เขารู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองคิดอยู่มันผิด
“ก็ได้ หนึ่งล้านแลกกับการที่นายจะเลิกยุ่งกับน้องชายฉันและอนันตไพลิน แล้วก็หนึ่งคืนกับบริการบนเตียงให้กับฉัน!!”
สิ้นเสียงปิญญ์ชานนท์ก็ดึงเอาร่างขนมผิงให้เดินตามโดยไม่ฟังเสียงห้าม ขายาวก้าวเดินไปยังลิฟท์ที่อยู่ริมทางเดิน อ้อมแขนแข็งแรงดึงรั้งเอาขนมผิงเข้าไปกอดเพื่อพันธนาการเอาไว้ไม่ให้หนีรอดไปได้
ลิฟท์หยุดลงที่ชั้นสามสิบกว่าพร้อมกับแรงกระชากที่ทำให้ขนมผิงเซจนเกือบล้ม ประตูห้องถูกเปิดออกด้วยการ์ดก่อนที่ขนมผิงจะถูกผลักเข้าไปข้างในแล้วล้มลงบนพื้นพรมราคาแพง
แววตาที่หยาบโลนจ้องมองมาที่เขาก่อนประตูจะถูกปิดลงขวางกั้นอิสรภาพเอาไว้ ถึงแม้ว่าพยายามจะร้องให้คนช่วยแค่ไหนก็ไร้ผล ร่างสูงใหญ่ของปิญญ์ชานนท์ก้าวเข้าหาพร้อมกับปลดกระดุมเสื้อเชิ๊ตอย่างใจเย็น รอยยิ้มที่น่ากลัวของอีกฝ่ายเหยียดยิ้มออกมาราวกับร้อยยิ้มของปีศาจก็ไม่ปาน
ขนมผิงถอยหลังหนีพลางมองไปที่ประตูอย่างหวาดระแวง ไม่เข้าใจว่าปิญญ์ชานนท์ทำอย่างนี้ไปเพื่ออะไร แขนถูกจับกระชากเหวี่ยงขึ้นไปบนเตียงอย่างแรงจนรู้สึกเจ็บจุกที่ช่วงท้อง กายสูงเปลือยท่อนบนอวดแผงอกคืบคลานมาหาเขาราวกับราชสีห์กำลังล่าเหยื่อด้วยท่าทางคุกคาม
ทั้งที่เขาไม่เต็มใจ แต่ก็กลับถูกกดลงกับเตียงด้วยแรงมหาศาล เสื้อยืดตัวโปรดถูกดึงออกแรงมากจนมันฉีกออก ปิญญ์ชานนท์ไม่สนใจเสียงร้องห้ามของเขาแต่อย่างใด
“บริการให้สมราคาด้วยล่ะ”
สิ้นเสียงริมฝีปากที่พูดพร่ำแต่ถ้อยคำดูถูกก็ระดมจูบลงมาที่ริมฝีปากของเขาอย่างรุนแรง กลิ่นเลือดจางๆพร้อมกับรสชาติฝาดเฝื่อนคละคลุ้งอยู่เต็มโพลงปาก ลิ้นร้อนราวกับเล็กที่นาบไฟสอดเข้ามาอย่างจาบจ้วงพร้อมกับมือที่ฟอนเฟ้นไปทั่วร่างของเขา
"ปล่อย!!”
เสียงร้องขอความเมตตากลับไม่ช่วยอะไรเลย กลับยิ่งปลุกเร้าอารมณ์ป่าเถื่อนของอีกฝ่ายให้โหมกระหน่ำ ร่างกายสั่นเทากับสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
เขากำลังถูกข่มขืน…โดยผู้ชายที่มาจากตระกูลที่เขาเกลียด
“อยู่เฉยๆน่า!!”
ปิญญ์ชานนท์ขู่เมื่อขนมผิงดิ้นรนหาหนทางรอด ก่อนจะปลดเข็มขัดของตัวเองออก ขบกัดบนผิวเนื้อของขนมผิงอย่างหื่นกระหาย ความรุนแรงและความเจ็บปวดแล่นผ่านร่างกายจนขนมผิงแทบรู้สึกบ้า
“ปล่อยผม อึก!! อย่าทำอย่างนี้ อย่า”ร้องขอน้ำเสียงสั่นพร่า
“อย่าสำออยไปหน่อยเลย”
“อะ โอ้ย!!”
ฟันคมขบลงมาบนยอดอก ขบกัดลงมาจนเลือดซึมทั้ง รุนแรงและไร้ความปราณี ลิ้นร้อนชื้นตวัดเลียมันครั้งแล้วครั้งเล่าจนรู้สึกแสบ
ฝ่ามือร้อนกับสัมผัสที่หยาบกร้านกำลังฟอนเฟ้นไปทั่วร่างกาย บีบเคล้นรุนแรงให้เจ็บ…เจ็บจนร้องไม่ออกทั้งที่ใจกำลังกรีดร้องทุรนทุราย
นิ้วแข็งแรงลุกล้ำเข้ามาในร่างกายไร้ความปราณี ขนมผิงพยายามเบี่ยงสะโพกหลบแต่ก็ถูกกดเอาไว้ ร่างกายจุกงอทันทีเมือหมัดที่ไม่ถึงกับแรงมากแต่ก็พอที่จะทำให้จุกถูกส่งมาที่ช่องท้อง ความเจ็บแล่นพล่านไปทั่วร่างเมื่อสิ่งที่ทั้งทั้งใหญ่โตแข็งขืนยิ่งกว่านิ้วลุกล้ำเข้ามาข้างในโดยไม่มีความลังเล
“ปล่อย…ผมเจ็บ”
ร้องขอพลางจิกเล็บลงบนลาดไหล่ของชายหนุ่มเพื่อบรรเทาความเจ็บ แต่มันกลับไม่ได้ช่วยอะไรเลย
“อยู่เฉยๆ อย่าเกร็ง!!”ปิญญ์ชานนท์ตวาดเสียงแข็ง บีบมือลงไปบนบั้นเอวสอบแน่น
ขาเรียวทั้งสองข้างของขนมผิงถูกจับให้อ้ากว้างตอบรับท่อนกายใหญ่โตเข้ามาในร่างกาย แต่สิ่งที่น่าอัปยศมากกว่านั้นก็คืออารมณ์ร่วมของเขาที่เกิดขึ้นมา…มันสวนทางกับจิตใจของเขาอย่างสิ้นเชิง
ดวงตาที่แข็งกร้าวราวกับสัตว์ป่าจ้องมองร่างกายของเขาอย่างโลมเลียผ่านทางสายตาหยาบคายพร้อมกับรอยยิ้มเหยียดหยามฉายอยู่บนใบหน้า
“อะ เอาออก ขอร้อง”ร้องขอออกไปเสียงสั่นพร่า
พยายามดันสะโพกสอบที่กำลังขยับเข้าออกให้สิ่งที่อยู่ภายในหลุดออกไป แต่มันกลับเป็นเหมือนกับแรงกระตุ้นให้ปิญญ์ชานนท์ขยับเข้าออกอย่างรุนแรงมากกว่าเก่า โดยไม่สนใจเลยสักนิดว่าเขาจะเจ็บแค่ไหน
มันเหมือนกับคมมีดที่กรีดเข้ามาในร่างกาย ความแสบที่เหมือนกับแผลที่ปริแตกมันแผ่ซ่านจนขนมผิงแทบไม่อยากที่จะขยับตัว ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ปิญญ์ชานนท์สอดกายเข้ามาในร่างกายของเขา...พัดพาเอาความโหดร้ายที่โหมกระหน่ำยามค่ำคืน
เขาไม่รู้เลยสักนิดว่าค่ำคืนที่เลวร้ายมันจะไม่จบลงเพียงแค่นั้น แต่มันกลับเป็นจุดเริ่มต้นที่ฝังบางสิ่งบางอย่างเอาไว้ในร่างกายของเขา
สิ่งที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาไปตลอดกาล!!
หลังจากวันนั้นอีกเพียงไม่กี่วัน เช็คมูลค่าหนึ่งล้านก็ถูกส่งมาที่บ้านของขนมผิง…ราวกับตอกย้ำความโสมมของจิตใจที่หยาบช้าของปิญญ์ชานนท์
เงินที่อีกฝ่ายบูชาและคิดว่าสามารถซื้อได้ทุกสิ่งทุกอย่าง…เขาไม่ต้องการ!! ขนมผิงส่งมันคืนให้กับอีกฝ่ายโดยไม่ใยดีเลยสักนิดเพื่อตอกย้ำสิ่งที่ปิญญ์ชานนท์ดูถูกเขากับแม่ หลังจากคืนที่เลวร้ายมากที่สุดในชีวิตคืนนั้น เขาก็ไม่เจอกับปิญญ์ชานนท์อีกเลย
“กลับมาแล้วเหรอผิง”ลำดวนทักทายลูกชายที่เดินเข้ามาในบ้านด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อนกับการต่อรองที่จบลง
“ครับ”
“เป็นยังไงบ้าง ไปคุยกับพ่อของเด็กเขาว่ายังไง”ลำดวนเดินเข้าไปหาลูกชายแล้วแตะลงที่แขนเบาๆด้วยความห่วงใย
ขนมผิงรู้ว่าแม่ของเขารู้สึกผิดที่ทำให้เขาถูกตราหน้าว่าเป็นลูกของผู้หญิงไม่ดี แต่เขาไม่เคยโกรธเลยสักนิด กลับตรงกันข้ามที่เขากลับโกรธเกลียดและชิงชังพวกคนที่ทำให้เขาและแม่เป็นแบบนี้มากกว่า
“เขาไม่ยอมรับว่าเด็กในท้องเป็นลูกของเขา”ขนมผิงตอบเสียงแข็ง แม่ของเขาไม่รู้ว่าพ่อของเด็กในท้องคือใครเพราะเขาไม่เคยบอกและไม่ต้องการที่จะให้ใครรู้
ขนมผิงกำเครื่องอัดเสียงในกระเป๋าแน่น…สิ่งที่จะปกป้องลูกของเขาได้ก็คงจะเป็นสิ่งนี้ ใจจริงเขาอยากที่จะให้ปิญญ์ชานนท์เซ็นเป็นลายลักษณ์อักษรเลยด้วยซ้ำเพื่อไม่ให้เข้ามาข้องเกี่ยวกับเขาและลูก หากแต่คนอย่างปิญญ์ชานนท์คงจะไม่ยอมเซ็นอะไรให้กับใครง่ายๆ โดยเฉพาะกับเขา
เอกสารที่บ่งบอกว่าเขากำลังตั้งครรภ์นั้นปิญญ์ชานนท์มองมันราวกับเป็นเรื่องตลกหลอกลวง ซึ่งนั่นมันก็เข้าทางของเขาเพราะหลังจากนี้เป็นต้นไป เขาจะไม่ยอมปล่อยให้ปิญญ์ชานนท์เข้ามายุ่งกับชีวิตของเขากับลูกได้อีก
“แล้วเรื่องนี้ตั้งใจว่าจะบอกพ่อเขาเมื่อไรล่ะ”
ขนมผิงถอนหายใจออกมาเล็กน้อย เขายังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับพ่อของเขา…พ่อที่เขาพึ่งจะรู้ว่ามีตัวตน พ่อซึ่งเป็นต้นสาเหตุที่ทำให้แม่ของเขาถูกตราหน้าว่าเป็นผู้หญิงเลวเพราะพ่อคือเจ้าของมณีรัตน์กรุ๊ป…คู่แข่งของอนันตไพลินกรุ๊ปที่ยิ่งใหญ่
แม่ของขนมผิงทำงานให้อนันตไพลินมาเกือบสิบปี เป็นเพียงผู้หญิงตัวคนเดียวที่ต้องเลี้ยงลูกตามลำพังโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อของลูกเป็นเจ้าของธุรกิจที่มีเงินมากพอจะเลี้ยงตัวเองกับลูกได้สบาย
เขาเกิดขึ้นมาด้วยความรักของแม่ที่มีต่อพ่อ แต่สุดท้ายแม่ของเขาก็ถูกทิ้งตั้งแต่ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าท้อง จนกระทั่งเกิดเขาขึ้นมา แม่และเลี่ยงลูกตามลำพังด้วยการเป็นพนักงานในเครืออนันตไพลินกรุ๊ป ไต่เต้าจนได้เป็นผู้ช่วยเลขาของอาทิตย์ประธานคนเก่าซึ่งเป็นพ่อของปิญญ์ชานนท์ และอาทิตย์เป็นคนที่เข้ามาจีบแม่ของเขาแต่ก็ถูกปฏิเสธเพราะใจของยังไม่ลืมพ่อของเขา เรื่องราวทั้งหมดมันเริ่มต้นที่พ่อของขนมผิงกลับมาและสารภาพว่าถูกที่บ้านบังคับให้แต่งงาน แต่ภรรยาใหม่ก็เสียโดยที่ไม่มีลูกจึงได้กลับมา ความสัมพันธ์เกิดขึ้นอีกครั้งโดยที่แม่ของขนมผิงเป็นคนที่อยู่ภายใต้อำนาจของอนันตไพลินกรุ๊ป เมื่ออาทิตย์รู้จึงได้ไม่พอใจและใส่ร้ายว่าแม่ของเขาเป็นผู้หญิงทรยศและเป็นนกสองหัว เห็นแก่เงิน ขายบริการให้พ่อของเขา และอีกมากมายที่เขาจะตีตราบาปลงมาได้
หลังจากที่แม่ของขนมผิงถูกไล่ออก อาทิตย์ก็เกิดเส้นเลือดในสมองแตกจนเป็นอัมพาตไปครึ่งร่าง ทำให้แม่ของขนมผิงถูกประณามมาตลอดว่าเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดทั้งที่ไม่มีส่วนรู้เห็นในสิ่งที่เกิดขึ้นเลย ความอ่อนโยนทำให้แม่ของเขาเลือกที่จะไม่โกรธเคืองอีกฝ่ายถึงแม้จะโดนต่อว่าและดูถูกมากมายก็ตาม หลังจากที่ถูกไล่ออกขนมผิงกับแม่ย้ายมาอยู่ที่บ้านมณีรัตน์…ในฐานะภรรยาและลูกที่ถูกต้องตามกฎหมาย
และในตอนนี้ขนมผิงก็กำลังจะก้าวขึ้นมาเป็นทายาทของมณีรัตน์คนต่อไป เขาวาดเป้าหมายเอาไว้ด้วยความเจ็บใจว่าสักวันเขาจะบดขยี้อนันตไพลิน บดขยี้พวกที่ตีตราบาปให้กับเขาและแม่ของเขา
“ถ้าพ่อกลับมาแล้วผิงจะบอกพ่อเอง ผิงคิดว่าผิงพร้อมแล้วที่จะเรียนรู้งานจากพ่อ”
กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น