บทที่ ๑
“เหมยเอ๋อร์เจ้าได้ยินข้าหรือไม่!”เสียงทุ้มเข้มกล่าวอย่างกังวลใจ มือหนาเร่งเขย่าร่างบอบบางที่นอนนิ่งสนิทราวกับคนไร้ความรู้สึก
“ทูลไท่จื่อ กระหม่อมสมควรตาย! กระหม่อมไร้ความสามารถ ได้โปรดลงโทษกระหม่อมด้วยเถอะพะยะค่ะ!”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” หยางเจินขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นเมื่อได้ยินหมอหลวงกล่าวสีหน้าร้อนรน หางคิ้วพลันกระตุกขึ้นเล็กน้อย
“คุณหนูลู่ไม่หายใจแล้วพะยะค่ะ!”
ดวงตาดำขลับเกิดม่านหมอกขึ้นเจือจาง สิ้นคำตอบของหมอหลวงเสียงฮือฮาก็ดังขึ้นไปทั่วทุกทิศทาง
ที่นี่คือลานประลองฝีมือที่กำลังจัดงานกันอย่างครึกครื้น ผู้คนล้วนเข้ามานั่งรับสำรับกลางวันและมาชมการต่อสู้ของสุดยอดฝีมือในวังหลวงมากมาย
ทว่าเรื่องไม่คาดฝันดันเกิดขึ้น หยางเจินปล่อยเสือขาวตัวโปรดของเขาให้กระโจนใส่ลู่หนิงเหมยเพื่อให้นางรู้สึกหวาดกลัวเพียงเล็กน้อย ถึงอย่างไรก็ยังมีตะข่ายเหล็กแข็งแรงทนทานกั้นอยู่ เสือขาวของเขาที่ปล่อยไปไม่มีทางกระโจนเข้าไปทำร้ายนางให้ได้รับบาดเจ็บจนถึงแก่ชีวิต!
แต่นึกไม่ถึงว่าคู่หมั้นคู่หมายของเขาจะตื่นตระหนกตกใจกลัวจนสิ้นใจไปได้ ช่างเป็นสตรีที่มีจิตใจอ่อนแอยิ่งนัก ร่างสูงสบถอยู่ภายในใจ
เขาเพียงแค่อยากให้นางเอ่ยขอถอนหมั้นกับเขาต่อหน้าเสด็จพ่อ เขายังไม่พร้อมที่จะแต่งงานตอนนี้ และยังไม่สนใจในอิสตรีนางใด การที่นางมาสิ้นใจตายต่อหน้าเขา ผู้คนคงครหาต่อว่าว่าเขาเป็นคนจิตใจอำมหิตโหดเหี้ยมแล้วกระมัง ถึงได้กลั่นแกล้งหญิงสาวตัวเล็กๆเช่นนางจนสิ้นใจตาย
“นางตายเพราะเสือขาวของข้าอย่างนั้นหรือ…”
“คุณหนูลู่ตกใจเป็นอย่างมาก จึงทำให้การเต้นของหัวใจหยุดชะงักไปพะยะค่ะ!” หมอหลวงเหงื่อตก เขาไม่กล้ากล่าวโทษหยางเจินได้ไม่เต็มปากนัก
“ทหาร!” เสียงทรงอำนาจของหยางเจินทำให้ผู้คนที่กำลังฮือฮาเงียบเสียงลงในพริบตา
“พะยะค่ะ!”
“สังหารเสือขาวตัว…”
“อึก…”
หยางเจินยังไม่ทันกล่าวจบ ทุกคนก็ต้องหยุดชะงักค้างหันไปมองร่างบางที่สิ้นลมหายใจไปแล้วด้วยแววตาตื่นตระหนกตกใจราวกับเห็นผีอย่างไรอย่างนั้น
“อึก..เฮือก!”
ความรู้สึกพะอืดพะอมจนอยากจะอาเจียนและเสียงกึกก้องน่ารำคาญหูจากรอบข้าง ทำให้ร่างบางค่อยๆขมวดผูกคิ้วเข้าเป็นปม ก่อนที่เธอจะสะดุ้งเฮือกสูดเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าร่างกายทันทีราวกับคนที่กลั้นหายใจอยู่ใต้น้ำเป็นเวลานานแล้วเพิ่งโผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมาหายใจก็ไม่ปาน
ดวงตากระจ่างใสเบิกกว้างด้วยความตกใจก่อนจะเปลี่ยนเป็นงุนงงเมื่อสายตาสบเข้ากับบุรุษรูปงามในชุดสูงศักดิ์สีดำแดงที่กำลังจดจ้องเธอตาไม่กระพริบ
ผิวของเขาขาวดุจดั่งหยกชั้นดี จมูกโด่งเป็นสันดูสง่าผ่าเผย ริมฝีปากหยักได้รูปน่าหลงใหลจนอยากสัมผัส เรือนผมสีดำยาวถูกรวบมัดเพียงครึ่งหัวแล้วปล่อยปลายผมให้ปลิวรับกับสายลมที่พลัดผ่าน
เธอไม่เคยพบเจอคนที่มีรูปลักษณ์หล่อเหลาและสมบูรณ์แบบเท่านี้มาก่อนในชีวิต ความรู้สึกคุ้นเคยที่อยู่ๆก็เข้ามาโอบล้อมภายในใจก็ทำให้เธอต้องขมวดคิ้วต่อต้านอย่างรุนแรง
ร่างสูงยืนนิ่งสงบ นัยน์ตาดำขลับราวกับพยัคฆ์ดุร้ายของเขากำลังแสดงความประหลาดใจไม่แพ้ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ สตรีที่ชีพจรหยุดเต้น ไร้ซึ่งลมหายใจ อีกทั้งยังได้รับคำยืนยันจากหมอหลวงว่าตายจากไปแล้วกลับฟื้นขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ…
เมื่อสัมผัสได้ว่ากำลังเป็นเป้าสายตาคนนับร้อย ร่างบางก็ตื่นจากภวังค์ พลันครุ่นคิดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ที่นี่คือที่ไหน ทำไมช่างโบราณย้อนยุค...
ทุกคนก็แต่งตัวย้อนยุค...
พอลองสังเกตดูดีๆ ก็ต้องตกตะลึงงึงงัน เหมือน... เหมือนมาก เหมือนกับพระราชวังต้องห้ามที่กรุงปักกิ่งไม่มีผิด เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แล้วคนพวกนี้คือใครกันถึงได้มายืนจ้องมองเธอเช่นนั้น
ทันทีที่เธอได้สติความทรงจำก่อนตายก็พรวดพราดเข้ามาในหัวจนตัวสั่นระริก ความโหดร้ายทารุณที่เธอจำได้ทำให้นัยน์ตากระจ่างใสหดเล็กลง เธอถูกฆ่า! เธอถูกฆ่าตายไปแล้วไม่ใช่หรือไง ทำไมถึงได้ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง และเธอก็ตายที่รัสเซียอยู่ๆจะมาโผล่ที่ประเทศบ้านเกิดอย่างประเทศจีนได้ยังไง
เธอถูกองค์กรมืดลอบสังหารเพราะไปล่วงรู้ความลับสำคัญ แถมยังถูกจับได้ว่าทำงานเป็นนักภาษาศาสตร์อยู่ในหน่วยข่าวกรองพิเศษของสหรัฐ แน่นอนว่าแม้แต่กระดูกก็คงไม่หลงเหลือไว้ให้ตามหาเบาะแสได้อีก
เธอกลายเป็นบุคคลหายสาบสูญไปเสียแล้ว...
ริมฝีปากอมชมพูดุจกลีบดอกเหมยเม้มเข้าหากันแน่น ดวงตาสุกสว่างกวาดมองไปยังใบหน้าทุกคนที่ยังคงอ้าปากตกตะลึงว่านางฟื้นขึ้นมาจากความตายเมื่อครู่ราวกับปาฏิหาริย์ได้อย่างไร
ยังไม่ทันจะได้กล่าวถามว่าที่นี่คือกองถ่ายทำละครย้อนยุคหรือเปล่า ฉับพลันความทรงจำแปลกประหลาดมากมายก็พรั่งพรูเข้ามาในสมองจนนางต้องยกมือขึ้นกุมขมับ เหงื่อไหลซึมไปทั่วทั้งแผ่นหลังเล็ก ความทรงจำเหล่านี้ตอบคำถามในใจของเธอจนหมดสิ้น
‘ลู่ หนิงเหมย’ บุตรีสายตรงของตระกลูชนชั้นสูง ผู้มีบิดาเป็นถึงราชครูของฮ่องเต้ และนางยังมีศักดิ์เป็นคู่หมั้นคู่หมายของไท่จื่อแห่งแคว้นเยี่ยนนามว่า ‘ตงฟาง หยางเจิน’ ซึ่งเขากำลังยืนจับผิดนางอยู่ไม่ห่าง
ความรู้สึกสิ้นหวัง ผิดหวังในหัวใจทำให้นางปวดหนึบไปทั่วทั้งร่างกาย หากแต่นั่นไม่ใช่ความรู้สึกของนางแต่เป็นของเจ้าของร่างเดิมที่วิญญาณนางยังไม่จากไปไหน
นางรักไท่จื่อผู้นี้เหลือเกิน แต่ก็ต้องผิดหวังจนหัวใจแหลกสลายเพราะเขาเป็นต้นเหตุทำให้นางตกตายอย่างไร้เกียรติ ความรู้สึกที่บางเบาดุจขนนกแต่กลับหนักอึ้งดั่งขุนเขาโหมกระหน่ำเข้ามาไม่ขาดสาย จนร่างบางต้องขยับตัวลุกขึ้นนั่งช้าๆ เพื่อบรรเทาความรู้สึกที่ว้าวุ่นอยู่ภายในใจ
ทันใดนั้น สายตาของนางก็เหลือบไปเห็นอาหารถ้วยหนึ่งที่วางอยู่บนสำรับของนาง สิ่งแปลกปลอมที่อยู่ในนั้นทำให้หนังใต้ตาของลู่หนิงเหมยกระตุกอย่างฉับพลัน
‘เจ้าไม่ได้ตายเพราะชายที่เจ้ารัก มีคนคิดปองร้ายเจ้าหมายโยนความผิดให้กับเขาเท่านั้น เหมยเอ๋อร์เจ้าจงวางใจเถิด ข้าจะสืบหาตัวคนร้ายและลงทัณฑ์มันผู้นั้นแทนเจ้าเอง…’
เพียงแค่นางนึกคำพูดอยู่ในใจ ความหนักอึ้งที่เคยมีก็สลายหายไปในพริบตา ราวกับว่าวิญญาณของเจ้าของร่างนี้ได้จากไปแล้วจริงๆ
ลู่หนิงเหมยขนแขนลุกซู่ชูชันขึ้นมาอย่างน่ากลัว ไม่เคยคิดไม่เคยฝันว่าจะต้องมาพบเจอเข้ากับเรื่องแบบเดียวกับในนวนิยายไม่มีผิด นางไม่รู้ว่านี่คือโลกใบไหน หรือจะเป็นโลกใบเดิมที่นางย้อนอดีตกลับมาเกิดใหม่กันแน่
จะว่าไปชาติที่แล้วนางก็ตายอย่างอดสูยิ่งนัก ยังไม่ทันได้เอ่ยปากบอกลาม๊ะมี้ที่นางรัก ลูกเขยก็ยังหามาให้ม๊ะมี๊ชื่นใจไม่ได้ คำว่า ‘เสียชาติเกิดและยังไม่ทันได้ตอบแทนบุญคุณ’ ถูกตอกลึกอยู่กลางหน้าผากสร้างความปวดใจให้กับนางเป็นอย่างมาก
ไหนๆ สวรรค์ก็มีเมตตาส่งนางมาเกิดอีกครั้งในยุคที่พระราชวังต้องห้ามยังมีคนอยู่อาศัยไม่ไร้ซึ่งผู้คนเหมือนในยุคปัจจุบันที่เป็นแค่แหล่งประวัติศาสตร์แล้ว นางไม่มีทางปฏิเสธชีวิตใหม่นี้อย่างแน่นอน
ชาติที่แล้วนางไม่มีบุญวาสนา จึงไร้คนข้างกายตายอย่างโดดเดี่ยว ชาตินี้นางจะไม่ยอมสิ้นใจไปก่อนจะได้กระอักความสุขออกมา ใช้ช่วงเวลาที่มีทำในสิ่งที่ไม่เคยได้กระทำ ลูกเขยก็จะหาให้ม๊ะมี๊ได้ชื่นใจ นางจะเป็นสตรีที่ยืนหนึ่งในแผ่นดิน มีความสุขเหนือผู้คน ต่อให้ท้องฟ้าถล่มทลายลงมาจนแผ่นดินพังพินาศ นางก็จะไม่ขยับเขยื้อนไปไหน
นับแต่นี้ไปนางคือลู่ หนิงเหมย แต่ไม่ใช่ลู่หนิงเหมยอิสตรีผู้อ่อนแอไร้ซึ่งอำนาจอีกแต่ไปแล้ว นางมาเกิดใหม่ในร่างนี้นางก็จะไม่ยอมให้ใครมารังแกร่างนี้ได้อีก
ชาติก่อนเสี่ยงตายมานักต่อนัก ไม่เคยได้ใช้ชีวิตเฉกเช่นคนปกติทั่วไป ครั้งนี้นางก็ขอเห็นแก่ตัว ลืมเลือนภพเก่าเสียให้สิ้น เสพสุขกับฐานะและอำนาจที่อยู่ในมือให้สาสมใจทีเถิด
ไม่เคยทำตามใจตัวเอง นางก็จะทำ ไม่เคยใช้อำนาจ นางก็จะใช้ให้เต็มที่ ชาติก่อนเคยเป็นคนในหน่วยพิเศษอะไรก็ช่าง ชาตินี้นางขอเป็นโฉมงามที่ใช้ชีวิตสุขสบายสักชาติจะเป็นไรไป
“ข้านึกว่าเจ้าจะตกใจตายเพียงเพราะเสือขาวของข้าทำท่าทางกระโจนใส่เจ้าเสียแล้ว…” เสียงทุ้มเข้มของไท่จื่อกล่าวขึ้นอย่างเย้ยหยันเรียกคืนสติของนางได้ทันท่วงที
หนอย เจ้าลูกหมาน้อย เจ้าจะเป็นคนแรกที่ข้าจะเอาคืนให้สาสมเลย ชอบสรรหาเรื่องมากลั่นแกล้งร่างนี้นักหรือ
ลู่หนิงเหมยปรายตามองไปที่บุรุษรูปงามแต่จิตใจคับแคบด้วยสายตาเย็นเฉียบอย่างที่ไม่มีใครเคยเห็นนางทำมาก่อน
หยางเจินชะงักค้างไปชั่วครู่ เขามองลึกเข้าไปในแววตาของลู่หนิงเหมย ความแข็งกร้าวภายในนั้นทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยอยู่ภายในใจจนเขาตื่นตระหนกและมึนงง ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยรู้สึกอะไรแม้แต่น้อย…
“ข้าไม่ตายเพราะเสือขาวที่เหมือนลูกหมาน้อยของท่านง่ายๆหรอก หยางเจิน” ลู่หนิงเหมยกล่าว
นอกจากแววตาที่เปลี่ยนไปแล้ว นางยังกล่าววาจาเสียดสีหาว่าเสือขาวของเขาคล้ายกับลูกหมาตัวหนึ่งที่นางไม่เกรงกลัวแต่อย่างใด และนางยังกล้าเอ่ยชื่อจริงของเขาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ทั้งๆที่ในแผ่นดินนี้ผู้ใดที่กล้าเอ่ยนามเขาล้วนตายไม่ดีทั้งสิ้น
ฮ่องเต้กับฮองเฮา ยังเรียกเขาว่า เจินเอ๋อร์...
ขันที ขุนนางในวัง ไพร่ฟ้าล้วนเรียกเขาว่า ไท่จื่อ…
เหตุใดนางถึงได้กล้า...
บ่าวไพร่ถึงกับอ้าปากค้างรีบก้มหัวหมอบลงกับพื้น หน้าแทบจะฝังลงไปในดิน เมื่อได้ยินคุณหนูของตนกล่าววาจาชวนให้ศีรษะหลุดออกจากบ่า