19th Shoot
กำลังใจของกันและกัน
น้องปุณย์’s Part
เสียงเชียร์ที่ดังกระหึ่มของผู้คนจำนวนมากรอบๆสนามทำให้หัวใจผมในตอนนี้เต้นแรงมากๆเลย ขนาดผมเป็นนักกีฬากรีฑาที่ผ่านสนามแข่งแบบนี้มาหลายต่อหลายครั้งแล้วนะ แต่มันก็ยังรู้สึกตื่นเต้นอยู่ดี
“ตื่นเต้นเหรอ” น้ำเสียงอบอุ่นของพี่ศรเอ่ยถาม ตอนนี้ผมกำลังยืนตัวสั่นหน่อยๆด้วยความตื่นเต้นอยู่ตรงประตูทางเข้าสนามแข่งของนักกีฬา พี่ศรอาสาเดินลงมาส่งผมโดยทิ้งให้พี่แทนกับไอ้ไพร์นั่งอยู่ด้วยกัน ตอนนี้ไม่ต้องบอกผมก็พอจะเดาออกว่าไอ้ปัญที่เป็นคนกลางกำลังทำตัวลำบากใจขนาดไหน
“นิดหน่อยครับ” ผมตอบ
. “ไม่นิดแล้วมั้งตัวสั่นเชียว”
“…” ยอมรับก็ได้ว่าตื่นเต้นมาก พี่ศรชอบรู้ทันผมทุกที
“นี่…” พี่ศรค่อยๆวางมือทาบลงบนหัวผมก่อนตะออกแรงลูบตรงท้ายทอยของผมอย่างแผ่วเบา “มึงบอกเองไม่ใช่เหรอว่าเรื่องอื่นมึงอาจจะไม่ได้เรื่องแต่เรื่องวิ่งแข่งให้ไว้ใจมึงได้”
“ครับ” ผมค่อยๆพยักหน้ารับ
“เพราะฉะนั้นไม่ต้องตื่นเต้นหรอก มันก็แค่กีฬาเฟรชชี่เอง”
“…”
“กูไม่ได้จะบอกว่าแค่กีฬาเฟรชชี่ไม่ต้องทำเต็มที่ก็ได้ ที่กูจะบอกก็คือให้มึงทำให้เต็มที่ไม่ต้องกังวลอะไร เรื่องแพ้ชนะมันเป็นเรื่องธรรมดาของการแข่งขันอยู่แล้ว ถ้ามึงทำมันเต็มที่ผลจะออกมายังไงกูก็ภูมิใจในตัวมึงนะ”
“พี่ศร…”
“แล้วมึงก็เป็นแฟนเด็กที่น่ารักของกูด้วย”
“พี่ศร! ผมยังไม่ได้เป็นแฟนพี่สักหน่อย” ไอ้พี่ศรบ้า คนกำลังจะเข้าโหมดซึ้งอยู่แล้วเชียวดันมาเข้าโหมดนี้ซะได้
“อ้าวเหรอ นึกว่าจะยอมเป็นแล้วซะอีก อุตส่าห์กะจะเนียนสักหน่อย” พี่ศรพูดหน้าตาย ยังจะมายิ้มอีก คนกำลังตื่นเต้นอยู่นะมาเข้าโหมดคุยเล่นไปได้
“พี่กลับขึ้นไปอยู่กับพี่แทนเลยไป”
“แค่นี้ต้องไล่ด้วยเหรอ น้อยใจนะเนี่ย”
“ผมไม่ได้ไล่ แต่พี่ก็รู้ว่าพี่แทนกับไอ้ไพร์เพื่อนผมเป็นยังไงกัน พี่ออกมานานผมกลัวว่าไอ้ปัญจะห้ามศึกสองคนนั้นไม่อยู่”
“ก็ได้ แต่ก่อนไปต้องทำอะไรอย่างนึงก่อน”
“ทำอะไรครับ”
“นี่ไง” ว่าจบพี่ศรก็ย่อตัวลงมาในระดับเดียวกับผม อีกคนหันหน้าเบี่ยงข้างเล็กน้อยก่อนที่จะทำแก้มป่องๆแล้วหันมาทางผม
“พะ…พี่ศร” ผมหันซ้ายหันขวาเพราะกลัวว่าจะมีใครมาเห็น ก็ยอมรับแหละว่าพี่ศรตอนนี้ทำตัวน่ารักแล้วก็ดีกับผมมากขึ้นทุกวัน แต่ผมก็ไม่คิดว่าพี่ศรจะทำถึงขนาดนี้ ทำไมผมจะไม่รู้ละว่าที่พี่ศรทำแบบนี้คือต้องการจะให้ผมหอมแก้มใช่ไหม
“เร็วๆ” เสียงพูดอู้อี้เพราะกำลังทำแก้มป่องอยู่ของพี่ศรเร่งเร้าผมอีกครั้ง พี่ศรค่อยๆขยับตัวยื่นหน้าเข้ามาประชิดผมมากขึ้นจนผมเองต้องก้าวเท้าถอยหนี
“เอ่อคือ…ผมว่าพี่รีบไปดีกว่านะครับ” สุดท้ายสิ่งที่ผมเลือกทำคือการออกแรงดันตัวพี่ศรให้ออกห่าง
“ไม่เอา ถ้าไม่ทำกูก็ไม่ไป” ไม่พูดเปล่า พี่ศรคว้าข้อมือผมไว้แน่นก่อนจะดึงตัวผมไปใกล้จนตัวเราติดกัน
“พี่ศร นี่ไม่ใช่เวลางอแงนะครับ ผมจะต้องเข้าไปในสนามแล้วนะ”
“งั้นก็รีบๆทำซะสิ”
ผมชะงักนิ่งไปสักพัก จนสุดท้าย…ฟอด!
พี่ศรยื่นหน้าเข้ามาใกล้อีกครั้ง ผมเองทั้งกลัวว่าใครจะมาเห็นเข้า แถมยังได้ยินเสียงเขาประกาศตามตัวนักกีฬาแล้วด้วย สุดท้ายที่สิ่งผมเลือกทำก็คือการยอมที่จะค่อยๆหอมแก้มของพี่ศรอย่างที่พี่เขาต้องการ
ฟอด!
กดฝังปลายจมูกลงบนแก้มพี่ศรแล้ว ตอนนี้…รู้สึกร้อนๆที่หน้าขึ้นมาเลย มันร้อนมากๆ ร้อนเหมือนมีคนเอาสปอร์ตไลท์มาส่องตรงหน้าเลย
“หึ!” พี่ศรกระตุกยิ้มมุมปากอย่างพอใจ
“พอใจก็ไปได้แล้วครับ” ผมพูดกับพี่ศรทั้งๆที่ตอนนี้ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาหรือเงยหน้ามองพี่เขาเลยด้วยซ้ำ
ฟอด!
แต่หนึ่งการกระทำของพี่ศรก็เรียกความตกใจและการเบิกตากว้าของผมได้
“...” พะ…พี่ศรหอมแก้มผม เมื่อกี้พี่ศรหอมแก้มผม!
“แกล้งเล่นนิดเดียวหน้าแดงหมดแล้ว” พี่ศรพูดจบผมสัมผัสได้ถึงแรงมือที่ยีหัวผมเล่นอีกครั้ง ตอนนี้ผมไม่รู้เลยว่าพี่ศรกำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่ สิ่งที่ผมทำได้คือการก้มหน้าหลุบตามองต่ำอย่างทำตัวไม่ถูกแบบนี้
ไม่ใช่ครั้งแรกก็จริงที่ถูกพี่ศรทำแบบนี้ แต่ในตอนนี้ที่รู้แล้วว่าใครอีกคนกำลังจีบผมอยู่ มันก็…ทำให้เขินจนผมจะเป็นบ้าอยู่แล้วนะ
“ปุณย์” พี่ศรสะกิดเรียกเมื่อเห็นว่าผมเงียบไป พี่ศรพยายามจะให้ผมเงยหน้าขึ้นมองแต่ผมก็เบี่ยงหน้าหลบสายตาอย่างไม่ลดละ
“ผมเข้าสนามก่อนนะครับ” จนกระทั่งผมออกแรงผลักหน้าอกพี่ศรให้ออกห่างแล้วรีบวิงหนีเข้าสนามมาเลย ตอนที่วิ่งออกมาสายตาเผลอไปเห็นพี่ศรกำลังยิ้มอยู่ด้วย
คนบ้า มาทำให้ใจผมเต้นแรงจนจะหลุดออกมาขนาดนี้ยังยืนยิ้มอยู่ได้ ถ้าผมหัวใจวายตายไปก่อนพี่ต้องรับผิดชอบผมเลยนะ
ผมคิดว่าความตื่นเต้นของผมจะหายไปหมดแล้วตั่งแต่ตอนที่โดนพี่ศร…หอมแก้ม แต่จริงๆคือผมคิดผิด ไม่เลย ความตื่นเต้นทั้งหมดมันไม่ได้หายไปไหนเลย ยิ่งตอนนี้ผมกำลังยืนอยู่ในลู่วิ่งของตัวเอง ยืนอยู่ท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมายที่อยู่รอบสนาม จนกระทั่งผมเหลือบไปเห็นสีหน้าวิตกกังวลกับอาการหลบสายตาของใครคนหนึ่งที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากผม
ไอ้อันธพาลที่มาทำร้ายผมที่ห้องน้ำคนนั้น
ตอนนี้ใครอีกคนก็คงจะรู้สึกผิดไม่มากก็น้อยแล้วละผมว่า ก็ในเมื่ออาการวิตกกังวลในความผิดของตัวเองมันชัดซะขนาดนั้น คนเรานี่ก็นะ ผมไม่รู้หรอกว่าสำหรับเขาแล้วการชนะครั้งนี้มันสำคัญมากแค่ไหน แต่ถึงจะสำคัญขนาดไหนก็ไม่ควรจะใช้วิธีสกปรกแบบนั้น ถ้าเกิดเขาทำร้ายผมได้จริงๆจนผมไม่สามารถลงแข่งขันได้ แบบนั้นแล้วเข้าจะภูมิใจกับชัยชนะของเขาจริงๆเหรอ
แต่ก็ช่างเถอะ ยังไงตอนนี้อีกคนก็คงจะได้รับผมกรรมของเขาไปแล้วไม่มากก็น้อย
“อ๊ะ!” จนกระทั้งผมเผลอยกมือขึ้นโบกไปมาเพราะสายตาหันไปเจอเข้ากับพี่ศรที่กำลังยืนยิ้มนิ่งๆอย่างที่พี่เขาชอบทำ ข้างๆกันมีพี่แทนที่กำลังโบกไม้โบกมือให้ผมอยู่ มองไปข้างๆก็เห็นไอ้ไพร์กำลังนั่งหัวเสียเพราะพี่ถูกพี่แทนยืนบังไว้โดยมีไอ้ปัญกำลังนั่งห้ามไว้อยู่ข้างๆ เห็นแบบนั้นผมได้แต่ถอนหายใจแล้วส่ายหน้าออกมา สำหรับสองคนนี้คงจะต้องกลายเป็นไม่ชอบขึ้นหน้าไปแล้วสิซะแล้วสินะ
“เตรียมตัว!” เสียงตะโกนดังของกรรมการเรียกให้ผมต้องละสายตาจากพวกพี่ศร ตอนนี้ทุกคนที่เขาแข่งขันอยู่ในท่าพร้อมวิ่งกันหมด จนกระทั่งเสียงปืนดังขึ้นเป็นสัญญาณปล่อยตัว ผมก้าวเท้าออกแรงวิ่งอัตโนมัติตามสัญชาตญาณ
การแข่งวันนี้สำหรับผมแล้วค่อนข้างยากและท้าทายมากๆเลย เพราะว่าต้องวิ่งแข่งในระยะเดียวกันกับการแข่งโอลิมปิกเลยนะ ระยะทางไกลเอาเรื่องเลย แค่มองไปข้างหน้าก็อยากจะร้องไห้แล้ว นี่มันคือการแข่งกีฬาเฟรชชี่จริงไหมใช่ไหมเนี่ย
หลังจากออกตัว เวลาผมวิ่งเหมือนสิ่งรอบๆข้างละลายหายไปอย่างไงอย่างนั้น นึกถึงตัวเองสมัยก่อนแล้วก็ยังแอบขำไม่หาย ผมไม่เคยสนใจวิ่งแข่งหรืออะไรพวกนี้เลยนะ จะว่าไปก็ไม่ได้สนใจกีฬาอะไรเลยด้วยซ้ำ จนกระทั่งผมได้เห็นพี่ศรในหน้าจอที่วีในวันนั้น วันที่ผมเริ่มแอบชอบพี่เขา ผมถึงรู้ว่ากีฬามันเป็นอะไรที่วิเศษมากๆ มันทำให้คนเรามีความอดทน มีความพยายาม มีความหวังและความมุ่งมั่นได้อย่างน่าประหลาด
ผมสัมผัสมันได้จากพี่ศร เพราะพี่ศรรู้สึกแบบนั้นเขาถึงส่งต่อความรู้สึกแบบนั้นมาให้ผมด้วย หลังจากวันนั้นผมก็ตัดสินใจว่าจะต้องเล่นกีฬาอะไรสักอย่างให้ได้ และสุดท้ายกีฬาที่ผมเลือกก็คือวิ่งแข่งนี่แหละ มันง่ายแล้วก็เหมาะกับผมด้วย แต่ใครจะไปคิดละว่าคนตัวเล็กๆขาสั้นๆแบบผมจะกลายมาเป็นนักวิ่งระดับภาคเลยนะ แถมวันนี้ผมยังได้มาวิ่งแข่งให้พี่ศรดูเป็นครั้งแรกด้วย ยังไงผมก็ต้องสู้ให้เต็มที่ ผมจะต้องทำให้พี่ศรภูมิใจในตัวผมให้ได้เลย
พอเริ่มวิ่งไกลออกมาเรื่อยๆ นักกีฬาที่เข้าแข่งหลายคนก็เริ่มอ่อนแรงและผ่อนแรงวิ่งไปในที่สุด ต้องไม่ลืมว่านี่คือการแข่งขันกีฬาเฟรชชี่นะครับ นักกีฬาหลายๆคนก็มาจากหลายๆคณะที่ส่งเข้าแข่ง บางคนไม่ได้เป็นนักกีฬา บางคนไม่ได้เล่นกีฬามาก่อนด้วยซ้ำ เป็นแบบนี้ก็เลยไม่แปลกที่พวกรุ่นพี่จะบอกผมว่ายังไงก็ห้ามแพ้เพราะจะเสียชื่อคณะวิทยาศาสตร์การกีฬาแบบเราเอาได้ ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมรุ่นพี่ถึงบอกแบบนั้น ก็ในเมื่อมีแค่คณะเราที่ทุกคนล้วนเป็นนักกีฬากันซะส่วนใหญ่ ถ้าแพ้ขึ้นมามีหวังโดนไล่ออกจากคณะแน่
จริงๆแล้วผมก็แอบเห็นใจคนอื่นๆอยู่เหมือนกันนะ นั้นเพราะระยะทางที่วิ่งแข่งกันวันนี้ขนาดผมที่เป็นนักกีฬายังแอบหวั่นเลย นับภาษาอะไรกับคนอื่นที่ไม่ได้เป็นนักกีฬาจะถอดใจ ตอนนี้ผมวิ่งอยู่นำหน้าใครทั้งหมดคิดว่าตัวเองคงลอยลำชนะแล้วแน่ๆ แต่ว่าบางอย่างทำให้ผมรู้ว่าผมคิดผิด
บางอย่างที่ว่าคือตอนนี้ผมหันไปเห็นใครอีกคนกำลังวิ่งตามผมมาด้วยสีหน้ามุ่งมั่นและเอาจริงมากๆ จนกระทั่งอีกคนวิ่งมาอยู่ในระยะเดียวกับผมนั้นแหละผมถึงได้เห็นว่าเป็นคนเดียวกับคนที่จะทำร้ายผมในห้องน้ำ สีหน้าและแววตาของอีกคนดูเอาจริงมากๆ มากจนมันดูกดดันไปหมด ถึงแม้ตอนนี้ใครอีกคนจะไม่ได้สนใจอะไรผมแล้วก็ตามแต่ผมก็ไม่อยากจะอยู่ใกล้หรือข้องแวะอะไรกับเขาอยู่ดี
ดังนั้นสิ่งที่ผมเลือกทำก็คือการเร่งฝีเท้าเพิ่มความเร็วเพื่อจะได้ทิ้งตัวออกห่าง
“…” แต่สิ่งที่อีกคนเลือกทำคือพยายามเร่งฝีเท้าตามผมมาเหมือนกัน กลายเป็นว่าตอนนี้อีกคนไม่ได้สนใจที่จะทำร้ายหรือทำอะไรผมแล้วแต่กลับกลายเป็นว่าเขาเลือกที่จะกดดันตัวเองด้วยการเอาชนะผมแทน
“โอ้ย!” จนสุดท้ายอีกคนก็สะดุดล้ม ผมหยุดวิ่งแล้วยืนมองกลับไปทางอีกคนด้วยความลังเล มองไปข้างหน้าที่เป็นเส้นชัยกับอีกคนที่นั่งอยู่กับพื้นสลับกันอย่างลำบากใจ ดูเหมือนอีกคนจะบาดเจ็บด้วยสิ สถานการณ์ตอนนี้โคตรจะกดดันเลย นี่ผมต้องเลือกระหว่างมนุษยธรรมกับชัยชนะใช่ไหม
“มานี่” และนั้นแหละครับ สุดท้ายผมก็ต้องเลือกมนุษยธรรมจนได้ ผมเข้าไปช่วยประคองใครอีกคนให้ลุกขึ้นยืน ดูเหมือนจะเจ็บที่ข้อเท้าตอนล้มนิดหน่อยแต่คงไม่ถึงกับเป็นอะไรมากเพราะเขาก็ยังใช้ข้อเท้าพยุงตัวลุก ขึ้นยืนได้อยู่
“ปล่อย!” แนะ! มีหยิ่งใส่อีก รู้งี้ไม่มาช่วยก็ดี
“อย่าดื้อ นายขาเจ็บอยู่ไม่ใช่หรือไง”
“ไม่ใช่เรื่องที่นายจะมายุ่ง”
“ก็ไม่อยากยุ่งหรอก แต่มันอดไม่ได้โว้ย!” ผมพูดออกไปอย่างเหลืออด คนอะไร เราอุตส่าห์มาช่วยแท้ๆยังมาทำหยิ่งใส่อีก
“นายไม่รีบวิ่งไปเข้าเส้นชัยแล้วทิ้งเราไว้เหรอ”
“ก็อยากทำแบบนั้นอยู่หรอก แต่ถ้าทำมันก็คงจะเลวเกินไป ยังไงเราก็ยังมีความเป็นคนอยู่นะ”
“แต่เราพึ่งจะ…”
“เรื่องก่อนหน้านั้นเราลืมไปแล้วละ
“นี่นาย…”
“ช่างมันเถอะ ตอนนั้นนายคงมีเหตุผลของนายนั้นแหละเราเข้าใจ แต่เอาเป็นว่าต่อไปก็อย่าทำอีกแล้วกัน เราไม่รู้ว่านายจะรู้สึกหรือเข้าใจความหมายของคำว่ากีฬามากแค่ไหน แต่เชื่อเราเถอะว่าถ้าเราชนะด้วยความสามารถ ความมุ่งมั่นและความพยายามของเราอ่ะ มันรู้สึกดีและภูมิใจกว่าเยอะเลย”
“…อืม เราขอโทษนะ” คนที่ผมกำลังช่วยพยุงตัวอยู่ตอนนี้มีอาการเงียบไปสักพักก่อนจะตัดสินใจกล่าวคำขอโทษออกมา ผมเองที่ไม่คิดว่าจะได้ยินคำนั้นก็มีนิ่งไปชั่วขณะเหมือนกัน ก่อนจะยิ้มและพยักหน้ารับบอกอีกคนว่าไม่เป็นไร ผมไม่ได้โกรธอะไรเขาแล้ว
“แล้วนี่นายยังวิ่งไหวไหม”
“พอได้”
“งั้นเรามาวิ่งต่อกัน” อีกคนพยักหน้ารับ ตอนนี้ก็ปรากฏภาพคนสองคนกำลังประคองกันวิ่งอย่างทุลักทุเล ผมประคองตัวอีกคนให้พาดวงแขนไว้บนไหล่ผม มืออีกข้างที่ว่างสวมกอดประคองอีกคนให้วิ่งได้ถนัดขึ้น โชคดีที่อีกคนมาล้มตรงจุดที่ไกลจากคนอื่นพอสมควร ตอนนี้เลยทำให้ถึงแม้ผมจะต้องประคองอีกคนที่บาดเจ็บไปด้วยแต่ก็ยังวิ่งนำคนอื่นๆอยู่ดี
เพราะมัวแต่สนใจกับการวิ่งและช่วยคนที่อยู่ข้างๆจนทำให้ผมลืมที่จะมองว่าตอนนี้เรามาใกล้เส้นชัยมากแค่ไหนแล้ว
“อ๊ะ!”
“ไหวไหม” ผมค่อยๆประคองคนที่ทำท่าจะล้มเพราะเจ็บขาให้ทรงตัวไว้ สีหน้าของอีกคนตอนนี้ดูไม่ค่อยดีเลย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตอนนี้อีกนคคงจะเจ็บมาก
“นายรีบไปเถอะ ถ้านายช้าคนอื่นอาจจะตามมาทันนะ”
“ได้ยังไงละ เราช่วยนายแล้วก็ต้องช่วยให้สุด ถ้าจะไปเส้นชัยก็ต้องไปพร้อมกันนี่แหละ”
“นาย…”
“ไม่ต้องมาทำหน้างง เลย ไปอีกนิดเดียวก็ถึงเส้นชัยแล้ว ถ้าชักช้าอดได้ที่หนึ่งไม่รู้ด้วยนะหรือว่าเปลี่ยนใจจะยอมแพ้แล้ว” ผมพูดทีเล่นทีจริงกับอีกคนเพราะไม่อยากจะให้เครียด ทำไมผมจะไม่รู้ว่าอีกคนในตอนนี้กำลังกังวลมากแค่ไหน
“ไม่ยอมอยู่แล้ว” รอยยิ้มเล็กๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าของอีกคน
ดูเหมือนผมจะไปปลุกเลือดนักสู้ของอีกคนให้ลุกโชนขึ้นมาซะแล้ว จากตอนแรกที่ผมทั้งต้องประคองทั้งต้องออกแรกพยุงให้อีกคนวิ่งไปได้ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าอีกคนออกแรงวิ่งได้เองโดยที่ผมแค่คอยประคองไม่ให้เสียหลักแค่นั้นเอง ถึงมันจะทุกลักทุเลอยู่บ้างแต่ก็ถือว่าเร็วพอตัวสำหรับคนที่กำลังเจ็บขาละนะ
“เหวอ!” จนกระทั้งพวกเราทั้งสองคนวิ่งมาจนจะถึงเส้นชัย ผมรู้สึกได้ถึงแรงผลักจากด้านหลักจนทำให้ผมต้องพุ่งตัวออกไปข้างหน้าอย่างไม่ทันระวัง โชคดีที่ตั้งหลักได้ทันไม่งั้นคงล้มซะแล้ว
“วิทยาศาสตร์การกีฬาเข้าไปแล้วครับ!” เสียงพิธีกรประกาศใส่ไมโคโฟนจนดังไปทั่วทั้งสนามเรียกสติผมให้กลับมา
วิทยาศาสตร์การกีฬางั้นเหรอ ก็หมายถึงผมละสิ งั้นตอนนี้ก็…
“…” ผมมองซ้ายมองขวาอย่างไม่เข้าใจ ตอนนี้ผมกำลังยืนอยู่ในจุดที่…เลยเส้นชัยมาแล้ว งั้นแสดงว่าเมื่อกี้คือหมอนั่นผลักผมในวินาทีสุดท้ายให้เข้าเส้นชัย ก่อนที่อีกคนจะเข้าตามผมมาทีหลัง นั้นหมายความว่าผมได้ที่หนึ่งและเขาจะต้องได้ที่สอง
เขายอมเสียสละตัวเองเพื่อให้ผมชนะ
“นาย…” คำพูดผมเหมือนจะขาดหายเพราะรู้สึกตื้นตันจนพูดไม่ออกกับสิ่งที่อีกคนทำ ภาพที่ผมเห็นคือใครอีกคนกำลังยกนิ้วโป้งให้ผมพร้อมสีหน้าราวกับจะกล่าวคำชื่นชม ไม่รอช้าผมรีบยกมือขึ้นทำท่าเดียวกันบ้างเพื่อเป็นการชื่นชมและขอบคุณกลับ ยิ้มให้กันสักพักจนคนอื่นๆเริ่มตามเข้าเส้นชัยมา แล้วภาพสุดท้ายที่ผมเห็นคือทีมปฐมพยาบาลรีบเข้ามาดูอาการเจ็บที่ข้อเท้าของอีกคน
ผมบอกแล้วว่ากีฬามันเป็นอะไรที่ทั้งวิเศษและมหัศจรรย์ เพียงแต่ว่าคนเราน่ะชอบที่จะทำให้กีฬาเป็นอะไรที่ผิดวัตถุประสงค์ไป เราแข่งกีฬาก็เพื่อความสามัคคี เพื่อความเข้าใจและมีน้ำใจต่อกัน ไม่ใช่เพื่อการเอาชนะและทำร้ายกันสักหน่อย ถึงตอนนี้ผมว่าหมอนั่นก็คงจะเข้าใจความหมายที่แท้จริงของการแข่งกีฬาแล้วละ
หลังจากแข่งจบผมก็ต้องไปรับรางวัลและร่วมถ่ายรูป เหรียญทองที่ได้มาถึงแม้มันจะเป็นแค่การแข่งกีฬาเฟรชชี่ธรรมดาแต่มันก็ทำให้ผมภูมิใจมากๆเลย แถมผมยังพึ่งจะได้รู้ว่าเหรียญทองที่ผมพึ่งจะได้มาช่วยให้คณะวิทยาศาสตร์การกีฬาของผมมีคะแนนนำทุกคณะในตอนนี้เลย ได้เห็นรอยยิ้มของพวกพี่ๆที่มาเชียร์ก็พลอยทำให้ผมยิ้มไม่หยุดไปด้วย
จนกระทั้งมาสะดุดสายตาเขากับร่างของใครคนหนึ่งที่แสนคุณเคย
พี่ศร ผู้ชายร่างสูง ผิวขาวกำลังดี คิ้วที่เข้มรับกับใบหน้าหล่อๆและสายตาคมๆนั้นผมจำได้ดี สิ่งที่ผมเลือกทำต่อไปคือการรีบวิ่งไปหาพี่ศรทันที
“ผมชนะด้วยนะครับ เก่งไหม” ผมถาม มือก็ชูเหรียญทองที่ห้อยอยู่ที่คอให้พี่ศรดู
“เก่ง แบบนี้ค่อยเหมาะกับการเป็นแฟนคลับอันดับหนึ่งของกูหน่อย” ได้ยินแบบนั้นผมยิ้มรับอย่างภูมิใจ “แล้วก็เป็นว่าที่แฟนตัวจริงของกูด้วย”
“อะไรเล่า!” แต่ประโยคต่อมาที่ได้ยินก็ทำให้รู้สึกร้อนผ่าวที่หน้าอีกแล้ว
“หึ! หน้าแดงอีกแล้ว”
“…” ไม่ต้องมาพูดเลย ก็เพราะพี่นั้นแหละผมถึงได้เป็นแบบนี้
“พึ่งเคยเห็นมึงวิ่งแข่งกับตาตัวเองนะเนี่ย เห็นตัวเล็กๆขาสั้นๆแบบนี้ไม่ใช่เล่นๆนี่หว่า ตอนแรกนึกว่ามึงแค่ราคาคุยซะอีก”
“เห็นไหมผมบอกพี่แล้ว ถึงเรื่องอื่นผมจะไม่ได้เรื่อง แต่เรื่องวิ่งแข่งนะผมไม่เป็นรองใครหรอกนะครับ”
“เก่งครับเก่ง ว่าแต่…อะไรนะ ที่กูเห็นในสมุดบันทึกของมึง มันเขียนว่ายังไงนะ ผมเริ่มวิ่งแข่งเพราะว่าพี่…”
“อือออ” ผมรีบยกมือขึ้นปิดปากพี่ศรไว้ไม่ให้พูดต่อ “อย่าพูดนะครับ” พอเห็นว่าพี่ศรเงียบไปแล้วผมถึงได้ยอมปล่อยมือ
“ทำไมไม่ให้กูพูด”
“ก็…ผมอายนี่” ผมเบี่ยงหน้าหลบสายตาก่อนจะพูดออกมาเสียงเบา
“หึ!” พี่ศรกระตุกยิ้ม “กูดีใจนะที่กูมีส่วนทำให้มึงค้นพบตัวเอง ถึงแม้ว่าจริงๆแล้วกูจะไม่ได้ช่วยอะไรมึงเลยก็ตาม แต่กูก็ดีใจที่มึงยอมให้กูมีผลกับชีวิตของมึงขนาดนี้”
“ไม่จริงหรอกครับ ใครบอกว่าพี่ไม่มีส่วน สำหรับผมพี่มีส่วนมากๆเลยละครับ เพราะผมเห็นพี่มีความพยายามผมก็เลยพยายามตาม จริงๆผมไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าตัวผมเองจะมาชอบหรือทำอะไรแบบนี้ได้ จนผมได้มาเจอกับพี่ผมถึงได้รู้วาเส้นทางชีวิตของผมจริงๆแล้วคืออะไร เพราะฉะนั้นพี่น่ะเป็นกำลังใจที่สำคัญมากๆของผมเลยนะ”
“เหมือนกับมึงที่เป็นกำลังใจที่สำคัญของกูใช่ไหม”
“พี่ศร…” ถูกอีกคนพูดมาแบบนี้ผมถึงกับไปต่อไม่ถูก ผมก็ยังคงเป็นคนที่ลังเลและรู้สึกควบคุมตัวเองไม่ได้ทุกครั้งเวลาที่พี่ศรพูดหรือแสดงให้ผมรู้ว่าผมเป็นคนสำคัญของเขา "ผมไม่รู้...” จนสุดท้ายเรื่องก็จบลงแบบเดิมคือผมที่เป็นฝ่ายหลบสายตาแล้วพูดออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบาราวกับกลัวว่าพูดออกไปแล้วเสียงนั้นมันจะหล่นหายไป
หมับ!
แรงกอดจากพี่ศรกระชับสวมกอดผมไว้แน่น ผมตกใจและตื่นเต้นจนเผลอเบิกตากว้างออกมา
“พี่ศร พี่จะทำอะไรครับ”
“ก็กอดคนขี้อายไว้ไง”
“…”
“ขี้อายแล้วก็ยังปากแข็งอีก”
“ผมเปล่าสักหน่อย”
“เถียงเก่งด้วย”
“อะไรเล่าผมไม่ได้เถียงสักหน่อย”
“แบบนี้แหละเขาเรียกว่าเถียง ถ้าเถียงเก่งกูจะกอดไว้ให้แน่นกว่าเดิมนะ” ว่าจบพี่ศรก็ทำแบบนั้นจริงๆ พี่ศรกระชับแรงกอดผมจนแน่น หน้าผมซุกแนบชิดกับหน้าอกของพี่ศรจนสัมผัสได้ถึงไออุ่นบนตัวพี่เขา
“…” ไม่เถียงแล้วก็ได้
“ที่กูพูดเมื่อกี้น่ะ กูพูดจริงๆนะ ที่บอกว่ามึงเป็นกำลังใจที่สำคัญของกูแล้วกูก็ดีใจด้วยที่กูได้เป็นกำลังใจของมึง ดีใจที่เราต่างก็เป็นกำลังใจของกันและกัน”
“…”
“กูคงยังไม่เคยบอกมึงสินะ สำหรับกู…มึงก็ไม่ต่างอะไรกับนางฟ้า นางฟ้าที่ถูกส่งให้มาช่วยเหลือกู มาช่วยกูในช่วงเวลาที่กูท้อแท้ สิ้นหวัง มาช่วยกูในเวลาที่กูไม่มีใคร แล้วกูก็คงจะดีใจมากๆถ้ากูได้ดูแลนางฟ้าประจำตัวของกูไปตลอด จะให้กูดูแลมึงตลอดไปได้ไหม”
“แต่…ผมไม่ใช่นางฟ้านี่ครับ”
“หึ! นุ่มนิ่มแบบมึงเป็นเทวดาไม่ได้หรอกเป็นนางฟ้านั้นหละถูกแล้ว จะได้คู่กับเทวดาแบบกูไง”
“คนบ้า”
“นอกจากเถียงเก่งตอนนี้ด่าเก่งแล้วด้วยเหรอ ปากเก่งแบบนี้กูจะทำยังไงเป็นการลงโทษดีนะ จูบอีกทีดีไหม”
“ไม่เอานะครับ” ได้ยินแบบนั้นภาพความทรงจำที่ถูกพี่ศรจูบตอนนั้นผุดขึ้นมาย้ำเตือนความทรงจำของผมอีกครั้ง ผมพยายามดิ้นและขืนตัวให้หลุดพ้นจากอ้อมกอดพี่ศรให้ได้
ขืนถูกกอดอยู่แบบนี้มีหวังต้องโดนพี่ศร…ทำแบบที่พูดจริงๆแน่ๆ
“พี่ศรปล่อยผมนะครับ” แต่ขืนตัวยังไงก็สู้แรงพี่ศรไม่ได้เลยสักที สุดท้ายวิธีอ้อนวอนก็เลยต้องถูกงัดเอามาใช้แทน
“อยากให้ปล่อยเหรอ” แต่สิ่งที่พี่ศรทำคือการกระชับอ้อมกอดแน่นก่อนจะก้มลงมากระซิบถามผมใกล้ๆ
“คะ…ครับ” ผมตอบเสียงสั่น
“ถ้างั้นก็ตอบกูมาก่อนสิว่าจะยอมเป็นนางฟ้าให้กูป้องป้องไปตลอดไหม”
“ผม…” เอาไงดี เอาไงดี ทำไมผมจะไม่รู้ว่านี่คือวิธีการขอให้ผมยอมรับเป็นแฟนพี่เขาชัดๆ ถ้าผมตอบตกลงก็เหมือนยอมคบกับพี่ศร แต่ผมยังโป้งพี่เขาอยู่นะที่มารู้ความลับผมแล้วยังมาทำเนียนทำเป็นไม่รู้อยู่ได้
“ว่างไงละ ถ้าไม่ตอบกูก็ไม่ปล่อยนะ”
“คือผม…”
“เฮ้ยไอ้ศรมึงทำอะไรน่ะ” ถึงตอนนี้พี่ศรเลิกคิ้วสงสัยกับเสียงที่ได้ยิน จนกระทั่งไม่นานวงแขนของพี่ศรก็ถูกเจ้าของเสียงอย่างพี่แทนดึงออกจนอ้อมกอดที่รวบตัวผมไว้คลายออกในที่สุด
“มึงรังแกไอ้ปุณย์อีกแล้วเหรอ” เป็นน้ำเสียงโวยวายกับสีหน้าร้อนรนของพี่แทนที่ถามต่อ พอเห็นว่าพี่ศรไม่ได้สนใจอะไรนอกจากถอนหายใจแรงๆกับการชักสีหน้ารำคาญใส่พี่แทนเลยเปลี่ยนมาคะยั้นคะยอถามผมแทน “ว่าไงไอ้ปุณย์ เจ็บตรงไหนไหม ไอ้ศรมันทำอะไรมึงหรือเปล่า” พี่แทนถามผมไปก็เขย่าตัวผมไปด้วย
“พี่แทนผมเจ็บ” ผมจับตัวพี่แทนให้หยุดนิ่งและสงบสติอารมณ์ลง ก่อนจะค่อยๆแกะมือที่เกาะกุมต้นแขนผมทั้งสองข้างออก
“ก็กูเป็นห่วงมึงนี่หว่า”
“ผมไม่ได้เป็นอะไรครับ”
“แต่หน้ามึงแดงๆนะ เมื่อกี้ไอ้ศรมันทำอะไรมึงหรือเปล่า บอกกูมาได้นะเดี๋ยวกูจัดการมันให้” ว่าจบพี่แทนก็หันไปส่งสายตาอาฆาตให้พี่ศร
พี่ศรทำอะไรผมที่ไหนเล่า มีแต่ผมนี่แหละที่ไปแพ้พี่เขาเอง แพ้พี่ศรทุกทางเลย ส่วนที่ผมหน้าแดงก็…เพราะเขินต่างห่างละ
“อะแฮ่ม!” เสียงกระแอมจากอีกคนดังขึ้นเรียกสายตาของผมให้คนมอง เป็นไอ้ไพร์กับไอ้ปัญที่เดินตามมา “เชื่อแล้วว่าคนเรานี่บางทีสมองกับตัวก็โตไม่เท่ากัน” เป็นไอ้ไพร์ที่พูดขึ้น
“มึงว่ากูเหรอ” แล้วคนที่ถูกว่าแบบพี่แทนก็ร้อนตัวขึ้นแทบจะในทันที
“แล้วผมเอ่ยชื่อพี่แล้วเหรอ” คนเริ่มอย่างไอ้ไพร์ก็ตอบกลับแทบจะทันทีเช่นกัน ผมละปวดหัวกับสองคนนี้จริงๆ
“ไอ้เด็กเชี่ยนี่แม่ง!”
“พี่แทนอย่า!”
“เฮ้ย!ไอ้ไพร์ใจเย็น” ทั้งผมและไอ้ปัญรีบเข้าไปรวบตัวทั้งสองคนห้ามไว้แทบไม่ทัน ไอ้ไพร์ก็ช่างกัดส่วนพี่แทนก็โดนยุง่ายซะเหลือเกิน คุยกันไม่กี่คำก็มีเรื่องกันอีกแล้ว ใจจริงผมก็อยากจะปล่อยให้สองคนนี้ตีกันให้ตายไปข้างนึงซะให้รู้แล้วรู้รอด แต่ดูท่าคนที่ตายน่าจะเป็นพี่แทนมากกว่าเพราะถึงพี่แทนจะมุทะลุไม่ยอมคนขนาดไหนแต่ยังไงก็สู้เทควันโดสายดำแบบไอ้ไพร์ไม่ได้แน่นอน
“ก็ไอ้เด็กนี่มันว่ากูว่าสมองโตไม่เท่ากับตัวนี่หว่า” พี่แทนตะโกนเถียง
“หรือว่าไม่จริงละครับ ก็เห็นอยู่ว่าเมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้นยังไม่รู้ตัวอีก ดีแล้วละที่มึงชอบอีกคนอ่ะไอ้ปุณย์”
“…” อ้าวไอ้ไพร์มาพาดพิงผมเฉย “มะ…มึงหมายความว่ายังไง” ผมแสร้งถามด้วยเสียงตะกุกตะกัก
พี่แทนเองก็นิ่งชะงักลงไปเมื่อได้ยินไอ้ไพร์พูดแบบนั้น และสุดท้ายเกมส์ก็มาลงที่ผมเพราะเป้าหมายต่อไปที่พี่แทนสนใจคือผมเอง “ไอ้เด็กนั้นหมายความว่ายังไงที่มึงชอบอีกคน มึงมีคนที่ชอบอยู่แล้วเหรอ”
“เอ่อ…คือผม…” ตอบยังไงดีวะเนี่ยไอ้ปุณย์
“ว่างไงมึงมีคนที่ชอบแล้วเหรอ”
หมับ!
“ถ้ามันจะมีคนที่ชอบแล้วมันเกี่ยวอะไรกับมึงวะไอ้แทน” ตอนนี้วงแขนหนักๆของพี่ศรพาดลงมาที่ไหล่ของผมอีกครั้ง ก่อนที่พี่ศรจะปัดมือพี่แทนที่จับต้นแขนผมไว้ให้ออกห่าง ผมค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองพี่ศรอย่างกล้าๆกลัวๆ ไม่รู้ว่าพี่ศรตอนนี้จะทำหน้าตายังไง แต่พอเอาเข้าจริงๆพี่ศรกลับไม่ได้มองหน้าผมด้วยซ้ำ เอาแต่จ้องตากับพี่แทนอย่างไม่ยอมกัน
“อ๊ะ…” แต่พอลองจะขยับตัวเอง พี่ศรก็เปลี่ยนจากการพาดวงแขนมาเป็นการโอบกอดผมไว้แทน ผมถูกพี่ศรออกแรงดึงจนตัวเราแทบจะติดกัน
“ก็กูแค่เป็นห่วงไอ้ปุณย์มัน” พี่แทนตอบพี่ศร
“มึงไม่ต้องเป็นห่วงมันหรอก มันอยู่ปีหนึ่งแล้วไม่ใช่เด็กอนุบาล ถ้ามันจะชอบใครก็เรื่องของมันกูเชื่อว่ามันดูแลตัวเองได้ ถ้ามันจะชอบใครกูคิดว่ามันเลือกก็คงจะชอบคนไม่ผิดหรอก จริงไหม” ประโยคสุดท้ายพี่ศรหันมาถามผมพร้อมสายตากดดัน
คนเจ้าเล่ห์ ก็รู้อยู่แล้วว่าคนที่ผมชอบเป็นใครยังจะมาถามอีก คนแบบนี้น่าตีชะมัด
แต่ว่า…สุดท้ายแล้วผมก็ได้แค่คิดนั้นแหละครับ คนแบบผมจะไปทำอะไรพี่ศรได้ สิ่งที่ทำได้ก็แค่พยักหน้าเบาๆรับคำพี่ศรไปแค่นั้นเอง
“แต่ว่ามันก็ยังเด็กอยู่เลยนะ” พี่แทนยังไม่ยอมแพ้
“มึงจะอะไรกับมันนักวะไอ้แทน หรือว่ามึงชอบไอ้ปุณย์”
“อึก!...ฮึบ” โดนพี่ศรถามกลับแบบนี้พี่แทนถึงกับหน้าถอดสีเลย จริงอยู่ว่าพี่ศรเคยบอกผมว่าพี่แทนชอบผม แต่ผมว่าคงไม่ใช่แบบนั้นหรอกพี่แทนก็แค่เป็นห่วงผมตามประสารุ่นพี่ร่นน้องเท่านั้น แถมพี่ศรน่ะพอพูดออกไปแบบนั้นก็ยังมายืนยิ้มมุมปากคนเดียว พวกไอ้ไพร์ไอ้ปัญที่รู้ทุกอย่างอยู่แล้วตอนนี้ก็กำลังยืนกลั่นหัวเราะจนหน้าแดงยิ่งกว่าผมซะอีก
เอาเข้าไปเลยนะแต่ละคน ตอนนี้นอกจากจะโป้งพี่ศรผมจะโป้งทุกคนด้วยแล้วนะ
“ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ ผมอยากพักผ่อน” สุดท้ายข้ออ้างโง่ๆก็ถูกงัดออกมาใช้จนได้ พูดจบผมก็ทำหน้ามุ่ยเดินหนีออกมาจากกลุ่มเลย
“เดี๋ยวสิไอ้ปุณย์ มึงไม่สบายเลย โอ้ย!”
“ขอโทษครับผมไม่ได้ตั้งใจ”
“มึงแกล้งกูชัดๆ มึงตั้งใจขัดขากูจนล้ม มึง!”
“พี่ๆอย่า…ไอ้ไพร์พอแล้ว”
เสียงเอะอะโวยวายไล่หลังมาให้รู้ว่าตอนนี้ทั้งพี่แทนกับไอ้ไพร์คงเปิดศึกใส่กันอีกแล้ว ส่วนคนห้ามก็จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากไอ้ปัญที่ต้องรับหน้าที่นี้ไป แต่ผมก็ไม่สนใจเพราะตั้งใจแล้วว่าจะโป้งทุกคนให้หมดเลย
“ปุณย์เดี๋ยว” ผมเกือบจะหยุดตามเสียงเรียกที่ได้ยินไปแล้ว ถ้าสมองประมวลผลช้ากว่านี้หน่อยผมคงจะหยุดไปแล้ว
“เตี้ยหยุดก่อน” นั้นไงชัดเลยพี่ศรแน่ๆ แต่เรื่องอะไรผมจะยอมละ ไม่หยุดแถมผมจะรีบก้าวเท้าหนีให้เร็วกว่าเดิมอีกด้วย
“เตี้ยหยุด” พี่ศรร้องเรียกอีกครั้ง “เตี้ยแล้วยังดื้อเก่งอีกนะมึง”
“ผมไม่ได้ดื้อ” ผมยอมที่จะตอบกลับแต่ก็ยังไม่ยอมลดระดับฝีเท้าลงเลย ได้ยินเสียงพี่ศรเดินตามผมมาติดๆเหมือนกัน
“ไม่ได้ดื้อแล้วเดินหนีออกมาทำไม”
“ผมไม้ได้หนี ผมบอกไปแล้วนะว่าผมเหนื่อยจะกลับไปพักผ่อน”
“เหรอ จะเชื่อเด็กขี้น้อยใจดีไหมนะ”
“ผมไม่ได้ขี้น้อยใจนะ”
“ยอมหยุดเดินแล้วเหรอ”
“…” ผมหยุดชะงักเพราะรู้ตัวว่าตอนนี้เผลอหยุดเดินและยอมหันไปพูดกับพี่ศรซะแล้ว ผมกำลังจะอ้าปากเถียงแต่เห็นสายตากับรอยยิ้มของพี่ศรแล้วก็รู้ตัวเลยว่าเถียงไปก็มีแต่จะทำให้พี่ศรชอบใจ แล้วเรื่องอะไรผมจะต้องไปทำแบบนั้นละ
“เดี๋ยว!” กำลังจะเบี่ยงตัวหนีแต่ก็ถูกพี่ศรจับมือไว้ได้ก่อน
“ปล่อยผมครับ” ผมพยายามสะบัดมืออกจากการเกาะกุมของพี่ศร
“ดื้อ”
“ผมไม่ได้ดื้อ”
“ไม่ได้ดื้อแล้วเดินหนีกูทำไม”
“ก็ผมโป้งพี่อยู่นะ พี่ปล่อยผมเลย”
“โป้งคนที่แอบชอบได้ลงคอเหรอมึงนะ”
“ผม…ผมจะไม่ชอบพี่แล้ว”
“หือ จริงอ่ะ” ไม่ต้องมาทำหน้าไม่เชื่อเลย ผมพูดจริงๆ ผมโป้งพี่ศรแล้วก็จะเลิกชอบพี่ศรแล้วด้วย
“จริงครับ” ผมยืนยันหนักแน่น
“งั้นมาพิสูจน์”
“…” พี่ศรปล่อยมือผมออกก่อนที่อีกคนจะค่อยๆยกมือขึ้นประคองใบหน้าผมแผ่วเบา พี่ศรประคองให้ผมเงยหน้าขึ้นสบสายตากับเขา ตอนนี้เราสองคนกำลังยืนสบตากัน พี่ศรยิ้มอย่างพอใจแบบที่เขาชอบทำ…จนสุดท้ายก็เป็นผมเองที่ต้องเบี่ยงหน้าหลบสายตา
“เห็นไหมละ”
พอพี่ศรว่าแบบนั้นผมรีบผละตัวออก
“ก็พี่ขี้โกง”
“ขี้โกงอะไร กูยังไม่ได้ทำอะไรเลย ก็แค่จ้องตากัน”
“นั้นแหละพี่ขี้โกง” ขี้โกงมากๆด้วย ไม่รู้เหรอว่าผมน่ะแพ้สายตาพี่ศรทุกทีเลย ไม่กล้าสบตาอีกคนนานๆเลยสักครั้ง หัวใจมันเต้นแรงจนเหมือนจะหลุดออกมาทุกที
“หึ! น่ารัก”
“พี่ว่าอะไรนะ” ผมเงยหน้าขึ้นถาม เพราะเมื่อกี้ได้ยินพี่ศรพูดไม่ชัด
“กูบอกว่ามึงน่ารัก”
“…” คราวนี้ได้ยินชัดๆเลย ไอ้พี่ศรบ้า มาชมแบบนี้มันก็…เขินนะ
“ยิ้มแบบนี้หายโกรธกูแล้วสิ”
“ก็…” อยากจะบอกว่ายังอยากจะโป้งพี่ศรอยู่ แต่เหมือนเสียงผมจะหล่นหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้
“หายโกรธนะ” พี่ศรวางมือทาบลงบนหัวผมอีกครั้งอย่างแผ่วเบา “กูเคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าตอนมึงยิ้มน่ารักกว่าตั้งเยอะ”
“…”
“ถ้ายิ้มบ่อยๆจะพาไปกินของอร่อยๆ โอเคไหม”
“เดี๋ยวพี่ก็หาว่าผมแก้มยืดอีก”
“หึ! ไม่เป็นไรหรอก วันนี้เห็นกับที่มึงอุตส่าห์แข่งชนะยกผลประโยชน์ให้วันนึงแล้วกัน ไม่ล้อก็ได้ จะกินอะไรก็บอกเดี๋ยวกูเลี้ยง”
“จริงๆนะครับ”
“พอพูดถึงเรื่องกินนี่ตาลุกวาวเชียวนะมึง แก้มยืด” พูดจบพี่ศรก็ยื่นมือจะมาดึงแก้มผมเล่นอีกแล้ว
“อืออ! ไหนพี่บอกว่าจะไม่ล้อไง”
“ก็มันอดไม่ได้นี่หว่า ดูสิเนี่ยแก้มยืดเป็นหมูแล้ว”
“…” ผมมุ่ยหน้า
“แต่ช่างเหอะ ยังไงก็ชอบไปแล้วจะเลิกชอบก็คงไม่ทันแล้วละ”
“…” ได้ยินแบบนี้ก็หน้าร้อนสิครับจะไปรออะไร จะผ่านมานานแค่ไหนพี่ศรก็ไม่เคยอ่อนโยนกับหัวใจผมเลยจริงๆ ขยันแอดแทคกันทุกทีสิน่า