มิวเดินสมัครงานอยู่หลายที่ตั้งแต่เช้า จนพระอาทิตย์ตรงหัวก็ยังหาร้านที่เลิกงานก่อนสี่โมงเย็นไม่ได้ ทั้งหมดต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘ไม่อาจรับเธอเข้าทำงาน’ หากเธอต้องออกจากร้านก่อนสี่โมงครึ่ง แต่จะให้มิวลาออกจากงานตอนกลางคืนที่เงินได้เยอะกว่า ก็ไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก
เด็กสาวหันซ้ายแลขวาเดินไปเรื่อยๆตามถนน มองหาร้านที่มีป้ายติดรับพนักงาน สองขาเริ่มล้าเพราะเดินมาตลอดทั้งเช้า เม็ดเหงื่อซึมออกมาตามกรอบหน้าก่อนจะไหลลงเบื้องล่างตามแรงโน้มถ่วงโลก
จังหวะที่มิวกำลังคิดถอดใจและเริ่มมองหาร้านข้าวข้างทางที่ราคาพอจะเป็นมิตรกับเธอ สายตาก็มองไปเห็นเรือนกระจกขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในย่านที่ผู้คนไม่พลุกพลาน บริเวณรอบด้านเรือนกระจกนั้นถูกเนรมิตให้เป็นป่าไม้ขนาดย่อมๆ มองดูร่มรื่นตา ราวกลับยกป่ามาไว้กลางเมือง
‘รับสมัครพนักงานเสริฟ’
แววตากลมโตของเด็กสาววาวระยับ หล่อนสาวเท้าเข้าไปยังเรือนกระจกแห่งนั้นอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง ราวกลับมีพลังงานดึงดูดลึกลับ ดูดดึงร่างของเธอให้เข้าไปในร้านนั้นอย่างยากจะต้านทาน
เมื่อเข้าไปภายในมิวจึงได้รู้ว่าเรือนกระจกแห่งนี้เป็นร้านกาแฟ ทว่าตัวร้านออกจะคล้ายกับสวนดอกไม้ในเรือนกระจกเสียมากกว่า โต๊ะและเก้าอี้ถูกวางเอาไว้ห่างๆกัน การวางตำแหน่งโต๊ะดูไม่ตั้งใจ มองเผินๆกลับไม่เหมือนร้านกาแฟ ทว่าดูคล้ายกลับสวนที่มีเก้าอี้และโต๊ะวางไว้ก็เท่านั้น
ลูกค้าในร้านมีไม่มาก ทุกคนเหมือนกลับกำลังจมอยู่ในภวังค์ของตัวเอง ไม่มีใครสนใจใครและไม่มีใครใส่ใจการมาถึงของเธอ
“มาสมัครงานเหรอคะ?” เสียงของใครคนหนึ่งดังเบาๆที่ข้างตัว มิวจึงเบนสายตากลับมาทางอีกฝ่าย
“ค่ะ” หล่อนกล่าวตอบผู้หญิงคนนั้นอย่างนอบน้อม
อีกฝ่ายยิ้มให้ก่อนจะพามิวเดินมาอีกด้าน ซึ่งเป็นโซนสำหรับพนักงานในการจัดเตรียมอาหารและเครื่องดื่ม
“ตรงนี้จะเป็นครัว เปิดสองโมงเช้า ปิดสี่ทุ่ม” อีกฝ่ายเริ่มอธิบายอย่างใจเย็น ทว่าคำที่บอกว่าปิดสี่ทุ่มทำให้มิวใจแป่ว เนื่องจากหล่อนไม่อาจอยู่ที่นี่จนถึงสี่ทุ่มได้แน่ๆ
“แต่เด็กเสริฟช่วงค่ำเรามีแล้ว ตอนนี้ต้องการแค่ช่วงเช้าจนถึงสี่โมงเย็น ถ้าสะดวกก็เริ่มงานพรุ่งนี้ได้เลย” หญิงวัยกลางคนร่างท้วมที่ดูจิตใจดี พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเนิบช้าทำเอามิวเคลิบเคลิ้มจนลืมตอบคำถามของอีกฝ่าย
“หรือหนูอยากทำงานเวลาไหนก็คุยกันได้ ที่ร้านไม่ได้ฟิคมาก” อีกฝ่ายอธิบายอย่างใจกว้าง
“ได้ค่ะ ได้ หนูทำได้ถึงสี่โมงเย็นเลยค่ะ” มิวตอบอย่างไม่คิดมาก การได้งานในวันที่เดินจนขาลากเปรียบได้กับการถูกรางวัลที่หนึ่ง ไม่มีอะไรให้ต้องคิดมากหรือเป็นกังวลอีกแล้ว
“โอเค ถ้างั้นขอบัตรประชาชนหน่อย จะได้มั่นใจว่าไม่ได้รับเด็กดอยเข้าร้าน” คำพูดติดตลกทำให้มิวยิ้มออก หล่อนรีบหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาและควักบัตรประชาชนให้อีกฝ่ายทันที
“อืม ตรงปกเป๊ะเลย ขอถ่ายสำเนาไว้หน่อยนะ เดี๋ยวพี่ทำสัญญาจ้างให้ พรุ่งนี้หนูก็มาทำงานได้เลย” อีกฝ่ายบอกก่อนจะเดินหายไปด้านใน ซึ่งเป็นห้องปิดมิดชิดที่น่าจะเป็นออฟฟิศของทางร้าน
รอไม่นานหญิงร่างท้วมก็เดินกลับเข้ามาก่อนจะยื่นบัตรประชาชนคืนให้มิว
“พี่ชื่อขวัญ พรุ่งนี้เช้าน้องเข้ามาตอนหกโมงไหวไหม?” อีกฝ่ายเอ่ยถามอย่างใจดี
“ได้ค่ะพี่ขวัญ” มิวตอบอย่างขยันขันแข็ง อยากจะบอกเหลือเกินว่าเริ่มงานตอนนี้เลยก็ยังไหว แต่กลัวจะดูไม่ดีจึงได้เงียบเสียดีกว่า
“โอเค พรุ่งนี้เจอกันจ๊ะ” ใบหน้าที่ดูใจดีค่อยๆระบายยิ้มอย่างจริงใจ เด็กสาวยิ้มตอบก่อนจะเดินออกจากร้านด้วยความงุนงง
ทุกอย่างเหมือนฝันไปเลย ใครจะไปคิดว่าเธอจะได้งานเร็วและง่ายดายขนาดนี้
เด็กสาวที่ได้งานเสริมกึ่งเดินกึ่งวิ่งกลับจนลืมความหิวเมื่อครู่ไปจนสิ้น หากหล่อนหันกลับไปทางเรือนกระจกนั้นอีกครั้ง ก็อาจจะได้เห็นถึงต้นต่อของการได้งานอย่างง่ายดายของเธอ
เพราะเขายืนกอดอกอยู่ในเรือนกระจก ทอดสายตามองดูร่างแบบบางวิ่งจากไปด้วยสายตายากจะอ่าน ทว่ามุมปากก็ยังบิดโค้งน้อยๆ
อิฐมองดูทีท่าของนายแล้วแอบนินทาอยู่ในใจ ช่วงหลายวันมานี้นายของเขาทำอะไรแปลกขึ้นทุกที และทุกเรื่องที่ทำก็เกี่ยงข้องกับเด็กสาวคนนั้นทั้งสิ้น หรือตอนนี้เขาควรจะหันไปทำดีกับเด็กสาวคนนั้นเอาไว้ เกิดในอนาคตมี “เรื่องน่ายินดี” ตัวเขาจะได้ไม่ลำบากภายหลัง
แต่พอมาคิดๆดูแล้ว การเป็นที่สนใจของพระอาทิตย์ดวงโตอย่างนาย พาลแต่จะทำให้เธอเดือดร้อน ไม่มีใครรู้ได้ถึงเบื้องลึกของสิ่งที่นายลงมือทำ อีกทั้งแสงสว่างที่มีอยู่มากมายรอบตัวเขา ‘อำนาจ’ เหล่านั้น หากหันเหไปหาใครมากจนเกินไปก็จะร้อน นำมาซึ่งหายนะอย่างใหญ่หลวง
“เรื่องผู้จัดการร้านคนเก่งของเรา เป็นยังไงบ้าง?” เตโชเอ่ยถามอิฐที่จ้องมองเขามาพักใหญ่ๆ
“เพิ่งออกจากโรงแรมมาเมื่อตอนเที่ยงครับ แต่แยกกับผู้หญิงคนนั้นแล้ว” อิฐรายงานไปตามข่าวที่ได้รับมาอีกที
เตโชก้มหน้ามองกุหลาบเลื้อยสีแดงสดตรงหน้า มันถูกเลี้ยงให้เกี่ยวพันกับโครงเหล็กรูปโลมา ความงดงามของมันชวนให้ใครต่อใครหลงไหลและอยากสัมผัส
ฝ่ามือหนายื่นไปลูบไล้กลีบดอกอย่างแผ่วเบาก่อนจะเอื้อมปลายนิ้วไปหาก้านดอก ฉันพลันนั้นเองหนามแหลมคมก็ฝังเข้าที่ปลายนิ้วของเขาเต็มๆ
“ระวังครับนาย” อิฐร้องเตือนทว่าไม่ทันเสียแล้ว ปลายนิ้วของนายอาบย้อมไปด้วยหยาดเลือด แต่ถึงกระนั้นเขาก็คว้าดอกกุหลาบแดงมาถือเอาไว้ในมือจนได้
“ของสวยๆนี่พิษสงเยอะดีจริงๆ” ชายหนุ่มพูดเหมือนกับกำลังบ่นกับตัวเอง สายตาก็จ้องมองดอกกุหลาบสวยโดยที่ไม่สนใจหยาดเลือดที่ไหลตามหง่ามนิ้วของตนเองสักนิด
ดอกกุหลาบงามถูกยกขึ้นมาจรดปลายจมูกคมสัน เขาสูดดมกลิ่นหอมหวานของมันจนชื่นใจก่อนจะประคองเอาไว้ในมือนิ่ง
“บ้านพักทุกที่ของเรา สั่งการลงไปให้ลดราคาลงเหลือแค่ครึ่งเดียว ไม่ต้องเก็บเงินมัดจำ” เตโชออกคำสั่งก่อนจะเดินออกจากร้านไป
อิฐยังไม่ทันได้รับคำสั่งก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ นายสั่งลดราคาค่าเช่าบ้านพัก เขาไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหม อย่างนายเนี่ยนะจะยอมทำอะไรที่ไม่คุ้มทุน แบบนี้มันแปลกเกินไปแล้ว!
“มันแปลกๆว่าไหม?” อิฐหันไปถามอรรถที่ยืนนิ่งเป็นหินไม่มีปาก
อีกฝ่ายเพียงมองดูเขานิ่งก่อนจะส่ายหัวน้อยๆแล้วเดินตามนายออกไป เสียเวลาหากต้องพูดจากับคนหัวชาอย่างอิฐ นอกจากเรื่องฆ่าคนแล้ว เขาคงไม่ถนัดอะไรอีกเลย
กลัวก็แต่ผู้หญิงคนนั้น จะรู้ตัวไหมว่าตัวเองกำลังเดินตามเส้นที่นายขีดเอาไว้ให้ทุกก้าว
ถึงอรรถจะพอเดาการกระทำของนายได้บ้าง แต่ก็ไม่รู้ถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของนายอยู่ดี
เขารู้ว่านายสนใจผู้หญิงคนนั้น แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้หญิงคนนั้นมีอะไรน่าสนใจที่ทำให้คนอย่างนายลงทุนกับเธอมากมายขนาดนี้ ก็ได้แต่หวังว่าเขาจะได้รู้คำตอบในเร็ววัน
**********************************************************************************************************************
มาแล้วจ้าาา พระเอกโผล่มาแล้ววว 555 มาน้อยแต่มานะ
ไม่อยากสัญญาว่าจะลงวันละกี่ตอน เพราะกลัวบางวันงานยุ่งแล้วไม่มีเวลามาลงให้ กลัวรีดจะรอตาปริบๆ แต่ตอนนี้ไรท์กำลังสนุกกับมันมากจริงๆ เผลอคิดว่าตัวเองโรคจิตตามพระเอกไปแล้ว 555 พอสนุกก็จะมีแรงมากหน่อย เลยอยากจะรีบแต่งกลัวไฟจะมอดละมาห่าง
แต่ยังไงก็อย่าเพิ่งหนีหายกันไปเลยนะค้าาาา รักในรัก มาอยู่ดูความโรคจิดของไรท์ เอ้ย ของพระเอกสิ 555 อยู่ด้วยกันจนจบเด้อออ เยิฟยูววว