"ทำไมจูเหล่าซือต้องคิดมากด้วย มันเป็นงานแจกรางวัลแบบกาล่าดินเนอร์ ก็แค่ไปนั่งที่โต๊ะดินเนอร์ แล้วก็ขี้นไปประกาศตามคิว" ผู้ประสานงานเริ่มเสียงดังจนแม้คนที่ยืนอยู่ข้างๆก็ได้ยินเสียงจากโทรศัพท์ ผู้จัดการมองจูอี้หลงแล้วกรอกตา เขาทำท่าผายมือเหมือนจะถามว่าจะเอายังไง จูอี้หลงส่ายหัวอย่างหนักแน่น ริมฝีมากเม้มเป็นเส้นตรง สายตานั้นบอกให้ผู้จัดการร่างเล็กรู้ว่าจะไม่มีการต่อรองใดๆทั้งสิ้น
"ทางผมต้องขอโทษจริงๆ จูเหล่าซือไม่ค่อยสบาย ขอแค่ไปขึ้นเวทีเพื่อประกาศรางวัลก็พอ คงจะนั่งร่วมโต๊ะดินเนอร์ไม่ได้ คุณก็รู้นี้นาว่าวันถัดมาเรายังต้องบิน....."
"โอเค โอเค ไม่ต้องอธิบาย ผมรู้หรอกน่าว่าทำไมเขาไม่อยากไปนั่งที่โต๊ะ แต่จะขอมาถึงก็ขึ้นเวทีเลย ประกาศเสร็จก็จะกลับเลยนี่ ผมไม่ตกลง อย่างน้อยเขาจะต้องมาเดินเข้างาน มาถ่ายรูปหน้างาน ห้ามเลี่ยงเด็ดขาด" เสียงที่แผดมาทางโทรศัพท์ไม่ใช่เสียงของผู้ประสานงานเหมือนแต่แรก แต่เป็นเสียงของโปรดิวเซอร์ค่าตัวสูง ที่คนในวงการต่างเกรงใจ ผู้จัดการส่วนตัวของจูอี้หลงรีบยืนระวังตรงอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะพูดไปด้วยค้อมตัวไปด้วยเหมือนว่าทางคู่สนทนาจะมองเห็นตัวเขา
"ครับ ครับ หวังพีดี ผมจะคุยกับจูเหล่าซืออีกที..." ยังไม่ทันจะพูดอะไรต่อทางด้านโน้นก็วางหูใส่เขาแล้ว
ผู้จัดการยกแขนเสื้อขี้นปาดเหงี่อบนหน้าผาก มองสบตาจู้อี้หลงที่ยืนเท้าสะเอวมองอยู่
"ไม่ต้องมาเลิกคิ้วถาม พีดีแย่งโทรศัพท์ไปพูดเองเลยคราวนี้ นายอย่าทำให้เขาโกรธเลย"
"เขาว่าไง" จูอี้หลงถามเบาๆ
"ให้นายไปเดินเข้างาน ถ่ายรูปหน้างานด้วย" จูอี้หลงเงียบไป เขาหมุนตัวเดินหนีมายืนหันหน้าเข้าผนังห้อง สีหน้าส่อแววครุ่นคิด จนเผลอตัวเริ่มกัดเล็บมือข้างขวา
"ก็ได้ แต่เกอเช็คกับทางนู้นให้หน่อยว่าจะถึงงานกี่โมง"
"โอเค" ผู้จัดการตอบสั้นๆพร้อมถอนหายใจโล่งอก
ทางนู้น กลายเป็นคำพูดที่ทุกคนในทีมงานของจูอี้หลงเข้าใจดีโดยไม่ต้องอธิบายให้แจ่มแจ้ง มันหมายถึงทางทีมงานของไป๋อวี่ จูอี้หลงคงอยากจะเลี่ยงไป๋อวี่ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ทำไมเขาจะไม่เข้าใจ เขามองตามร่างที่นับวันก็จะผอมบางลงไป จูอี้หลงเดินไปทรุดนั่งลงที่โซฟา หยิบรีโมทคอนโทรลขึ้นมากดเปิดทีวี ผู้จัดการเมินหน้าหนีจากภาพที่เห็น เขารู้ว่าน้องชายของเขาคนนี้คงทั้งไม่เห็นและไม่ได้ยินทีวีที่แผดเสียงอยู่ตรงหน้า
"วันนี้เกอกลับก่อนนะ เดี๋ยวก็อาบน้ำนอนซะ ถ้านอนไม่หลับก็กินยาซะหน่อยก็ดี ไม่งั้นพรุ่งนี้ตานายจะโรย ไม่น่าดู" เขาสั่งก่อนหันตัวเดินไปทางประตู
"ครับ" จูอี้หลงตอบรับพร้อมลุกขึ้นยืน หมายจะเดินมาส่งเขาที่ประตู ผู้จัดการโบกมือห้าม แต่จูอี้หลงก็เดินตามมาส่งเขาอยู่ดี ผู้จัดการถอนใจเบาๆ
"ไม่ต้องรักษามารยาทให้มากนักหรอก เรารู้จักกันมากี่ปีแล้ว" เขาว่า ทั้งๆที่รู้ว่าคงแก้นิสัยนี้ของจูอี้หลงไม่หาย นิสัยที่มักจะนึกถึงคนอื่นก่อนนึกถึงตัวเอง
ใครที่ไม่รู้จักจูอี้หลงดีก็มักจะนึกว่าเขาเสแสร้ง ยุคสมัยนี้จะมีคนหนุ่มที่ไหนหัวโบราณยืดมั่นมารยาทและประเพณีอย่างจูอี้หลงอยู่อีก ความแตกต่างอันนี้มันเป็นเหมือนเกราะกำบังให้จูอี้หลงมาตลอด แถมยังเป็นตัวไล่เพื่อน ทำให้เขามีเพื่อนในวงการแสนจะน้อยนิด คงจะมีอยู่ไม่กี่คนที่มองทะลุเกราะหนามาเห็นความจริงใจของจูอี้หลงได้
ตอนนี้ก็มีอีกรายนึงที่มองลอดเกราะหนาเข้ามาเห็นหัวใจที่ซ่อนอยู่ของมังกรตัวนี้ เป็นห่วงก็แต่ว่า คนคนนี้ไม่ได้แค่มองเข้ามา แต่ดันเดินเข้ามาติดอยู่ในเกราะหนานี้ แล้วก็ทำท่าว่าจะหาทางออกไปไม่ได้ มังกรรูปงามตัวนี้เองก็ตกใจอยู่ไม่น้อยที่เผลอไผลปล่อยให้ใครเจาะเกราะกำบังเข้ามาถึงหัวใจที่ซุกงำไว้อย่างดีได้ พอมันตกใจมันก็รีบปิดกั้น สร้างเกราะกำบังที่แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม แต่มันดันลืมไปว่า มีคนติดอยู่ในนั้น เอาละซิ มังกรเอ๋ย ผู้จัดการส่วนตัวของจูอี้หลงถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ ได้แต่รำพึงในใจ
"ยิ่งนายทำยังงี้ เสี่ยวไป๋ก็จะยิ่งหาทางออกมาไม่ได้ นายไม่รู้ตัวหรือยังไงว่านายขังใครไว้กับหัวใจของนาย"
.....