(ต่อ)
"คุณคะ..."
เสียงของป้าอบดังขึ้นมาในความเงียบที่ปกคลุมอยู่รอบ ๆ ตัว ขณะที่คุณผกากรองกำลังนั่งอยู่ในห้องนอน หลังจากที่บุตรสาวคนเดียวของตัวเองมาพูดเรื่องสำคัญด้วยแล้ว คุณผกากรองจึงหาเรื่องผละออกมาหาที่สงบเงียบอยู่ตามลำพัง ซึ่งก็คงไม่พ้นห้องนอนของตัวเอง โดยมีป้าอบ ผู้ซึ่งเคยทำหน้าที่พี่เลี้ยงของตนมาก่อน จากนั้นก็กลายมาเป็นแม่บ้านใหญ่ของบ้านชลันทรแทน และป้าอบผู้นี้ นอกจากสามีของตัวเองแล้ว ก็คือเพื่อนคู่คิดของตนด้วยนั่นแหละ
คุณผกากรองหันกลับมาสบตากับผู้สูงวัยกว่า แววตาทั้งคู่ได้สะท้อนออกมาซึ่งความหนักอกหนักใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
"เรื่องที่คุณหนูพูด ... เรื่องจริงหรือเปล่าคะ" ป้าอบค่อย ๆ ถาม เพราะตนก็ไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน
คุณผกากรองพยักหน้ารับ นี่ก็เป็นเรื่องที่ซุกซ่อนอยู่ภายในใจของคุณผกากรองอยู่ทีเดียว ทำให้ตนเกิดความรู้สึกอึดอัด และน้อยใจอยู่เพราะ ความจริงก็เป็นอย่างที่ช่อลดาว่ามา ย้อนไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน รุ่งระวีเพื่อนรักของตนเอง ได้มาเยี่ยมเยือนตนที่นี่ได้พูดคุยกันตามประสาเพื่อนฝูง ก่อนจะวกกลับมาพูดในเรื่องเด็ก ๆ ที่หมายถึงลูกสาวของตนและหลานชายคนเดียวที่รุ่งระวีได้เลี้ยงดูราวกับลูกชายแท้ ๆ
ช่วงหนึ่ง รุ่งระวีเอ่ยว่าอยากจะเกี่ยวดองทั้งสองบ้านเข้าไว้ด้วยกัน ดังนั้น เมื่อเด็ก ๆ โตขึ้น จะให้ดรันหลานชายของรุ่งระวีและช่อลดาลูกสาวตนได้หมั้นหมายกันเอาไว้
แต่แล้วคำพูดเหล่านั้นก็เลือนหายไปกับวันและเวลา กระทั่งถูกกระทบให้กระเพื่อมขึ้นมาอีกครั้ง ที่ไม่ใช่มาจากคำพูดของช่อลดาหรอก แต่มาจากการกระทำของรุ่งระวีนั่นเอง เพราะหลายเดือนมาแล้วที่มีข่าวมาเข้าหูคุณผกากรองเป็นระลอก ๆ ว่ารุ่งระวีได้ใช้เวลาในแต่ละวันตระเวนดูตัวหญิงสาวให้กับหลานชายคนเดียวตามแวดวงของคนรู้จัก
เนื่องจากใคร ๆ ก็รู้ว่ารุ่งระวีอยากให้หลานชายได้แต่งงานกับหญิงสาวที่เหมาะสม จากบ้านนั้นไปสู่บ้านนี้… ทว่า กลับข้ามบ้านหลังนี้ มองข้ามลูกสาวของตัวเองไป
ทีแรกคุณผกากรองก็รู้สึกน้อยใจอยู่ทีเดียว แต่เมื่อมาคิดดูอีกที ตนก็พอจะเข้าใจว่าทำไมรุ่งระวีถึงไม่ยอมเหลียวแลบุตรสาวคนนี้ ทั้งที่อีกฝ่ายก็เคยพลั้งปากอยากหมั้นหมายช่อลดาให้ดรัน นั่นก็เพราะช่อลดามีนิสัยที่ไม่น่ารักหลายอย่าง ทั้งเกียจคร้าน เอาแต่ใจ บางทีก็เจ้าอารมณ์ และชอบใช้วาจากระด้างไม่อ่อนหวานกับผู้คน ซึ่งก็เป็นนิสัยที่ตนเองได้พยายามแก้อยู่แล้วแต่ก็แก้ไขไม่ได้สักที
เมื่อใคร่ครวญได้ สุดท้าย คุณผกากรองจึงเข้าใจว่า ในเมื่อลูกสาวตนเองสอบตกคุณสมบัติของหญิงสาวที่ดี จะให้รุ่งระวีเอาชีวิตหลานชายคนเดียวของเขามาไว้กับลูกสาวคนนี้ก็ใช่ที่ คุณผกากรองเลยไม่นึกถึงเรื่องหมั้นหมายนั้นอีก แต่กับช่อลดาที่บอกกับตัวเองเมื่อครู่ ก็ทำเอาคุณผกากรองหนักใจขึ้นมาอีกครั้ง เพราะหากช่อลดาไม่ทราบเรื่องนี้เลยยังจะดีเสียกว่า
แต่ช่อลดากลับรู้เรื่องการพูดจาหมั้นหมายในวันวาน แถมช่อลดาคงมีใจให้กับดรันไม่อยู่น้อยด้วย เมื่อครู่จึงได้อาจหาญมาทวงคำพูดต่อหน้าคนอื่น ๆ
ตอนนี้คุณผกากรองเริ่มกลุ้มใจขึ้นมาหลายอย่าง เนื่องว่าหากช่อลดามีใจให้กับดรัน ฉะนั้นหัวอกของคนป็นแม่จึงอดรู้สึกสงสารเห็นใจบุตรสาวตัวเองไม่ได้เช่นกัน ขณะเดียวกันจะไปทวงถามเรื่องนี้กับรุ่งระวีเพื่อลูกสาวคนนี้ ตนก็ทำไม่ได้ด้วยเหตุผลหลายอย่างอย่างที่ว่ามา และที่พลอยหนักใจที่สุดก็คือ จากแววตาที่งมุ่งมาดปรารถนาของช่อลดาก่อนหน้า ก็ทำเอาคุณผกากรองเริ่มรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ ขึ้นมา หากลูกสาวคนนี้ไม่ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ก็คงไม่ยอมเลิกราจากเรื่องนี้ไปง่าย ๆ แน่ เพราะนิสัยของช่อลดาที่ตนหนักใจอีกอย่างก็คือ การจะเอาชนะเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ตัวเองต้องการนั่นเอง!
.
"ฉันไม่ยอมหรอกนะ!"
ช่อลดากว่าอย่างเกรี้ยวกราด พร้อบตบมือลงกับโต๊ะจนเกิดเสียงดัง จนสร้อยที่เพิ่งปิดประตูห้องพลอยสะดุ้งโหยงขึ้นมาด้วย
"เป็นผู้ใหญ่จะพูดจาพล่อย ๆ แล้วไม่รับผิดชอบ นั่นเหมาะสมหรือไง!"
"ไม่เหมาะหรอกค่ะ คุณลดา" สร้อยว่าอย่างเอาใจคนเป็นนาย พลางนั่งหมอบกระแตลงอยู่ตรงประตูห้องนอน พร้อมทอดสายตามองหญิงสาวที่กระแทกตัวลงนั่งกับเตียงนอนด้วยน้ำหนักพอควร พลางทำใบหน้าบึ้งตึง ดวงตาขวางจัดไปด้วย
"หน็อย... ทีจะมาสั่งสอนเด็ก ๆ ให้เป็นคนรักษาคำพูดล่ะก็พากันพูดดีเชียว แล้วทำไมตอนนี้พวกผู้ใหญ่ถึงไม่ยอมรักษาคำพูดพวกนั้นกัน!"
ช่อลดาก่นว่าอย่างโกรธเคือง พร้อมกับย้อนกลับไปนึกถึงเรื่องราวในวันนั้นเมื่อหล่อนยังเป็นเด็กหญิงอายุเจ็ดขวบอีกครั้ง
ยามนั้นหล่อนยังเด็กก็เลยยังไม่เข้าใจความหมายคำว่า 'หมั้นหมาย' เท่าที่ควร กระทั่งโตขึ้นนั่นเอง จึงได้รู้ความหมาย และยิ่งลึกซึ้งกลายเป็นความต้องการมากขึ้นก็ตอนที่ หล่อนเติบโตเป็นสาวแรกรุ่นอายุสิบห้าย่างสิบหก ตอนนั้นหล่อนได้ติดตามคุณแม่ไปเที่ยวคฤหาสน์อาจณรงค์ของคุณอารุ่งระวี แล้วก็ได้เห็นรูปถ่ายของดรันที่ถูกส่งมาจากประเทศอังกฤษเพื่อให้คนทางนี้ดู
เขา...ช่างเป็นชายหนุ่มที่ดูดีด้วยรูปร่างสูงในสูทสีกรม พร้อมด้วยหน้าตาหล่อเหลาจนหาใครมาเทียบไม่ได้ในความรู้สึกของช่อลดา ใช่ จากภาพถ่ายเพียงใบเดียว หล่อนได้ตกหลุมรักเขาแล้วนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
และไม่นานมานี้ หล่อนก็บังเอิญได้พบเจอกับเขาอีกครั้ง หล่อนได้ติดตามคุณพ่อคุณแม่ไปที่วังเหมวัฒน์ที่เป็นค่ำคืนงานแต่งงานของคนที่คุณพ่อหล่อนรู้จัก ดรันได้มาทักทายคุณพ่อและคุณแม่ แล้วก็ได้ทักทายหญิงสาวอย่างสุภาพตามด้วย แต่แล้วเขาก็ขอตัวกลับไปอยู่ร่วมกับกลุ่มของเพื่อนเจ้าบ่าวเสีย
จากนั้น ช่อลดาจีงเข้าใจหัวอกของคนที่ถูกพิษรักกลุ้มรุมทำร้ายว่าเป็นอย่างไร หล่อนเข้าใจดีแล้ว เพราะหลังจากกลับจากงานแต่งงานในคืนนั้น ช่อลดาก็เอาแต่เฝ้าเพียรคิดถึงชายหนุ่มคนนี้อยู่ทุกขณะจิต หากให้หล่อนนั่งนอนรออยู่เฉย ๆ ก็คงไม่สมหวังในรักเสียที วันนี้หล่อนจึงต้องลองพูดเรื่องหมั้นหมายนี้ขึ้นมากับคุณแม่เอง เพราะรู้ว่าคุณแม่น่าจะพูดกับคุณอารุ่งระวีได้ไม่ยาก
ทว่า ท่าทีของคุณแม่ที่ตอบกลับมาอย่างอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ เมื่อครู่ บอกปัดแต่เพียงว่า นั่นเป็นคำพูดเชิงกระเซ้าเหย้าแหย่กันระหว่างผู้ใหญ่เท่านั้น ไม่ใช่คำพูดที่จะสามารถยึดถือเอาเป็นคำสัญญามั่นหมายได้ เท่านี้ก็แสดงออกแล้วว่า ท่านไม่สามารถทำเพื่อให้ลูกสาวคนเดียวนี้สมหวังในรักได้แล้ว
"สร้อย มาหาฉันหน่อย..." ช่อลดาหันไปสั่งสร้อยที่นั่งอยู่ไม่ห่างออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
คนถูกสั่งเผลอกลืนน้ำลายลงคอทีเดียว แม้จะเริ่มหวาดหวั่นแต่เมื่อเป็นคำสั่งจากเจ้านาย สาวใช้อย่างตนก็ขัดไม่ได้ ว่าแล้วสร้อยจึงค่อย ๆ เข้าไปนั่งหมอบลงตรงข้างกายหญิงสาว
ช่อลดาจึงได้วางมือข้างหนึ่งลูบลงตรงศีรษะสร้อย แต่สร้อยกลับผวาแทนที่จะรู้สึกดีเพราะ...
"โอ๊ย! คุณลดาอย่าจิกผมสร้อย...สร้อยเจ็บค่ะ!"
ช่อลดาเหลือบมองมือข้างที่เผลอจิกทึ้งผมยาวของสร้อยอย่างเต็มกำมือ แม้สร้อยจะขอร้องอ้อนวอนอย่างเจ็บปวด แต่หญิงสาวก็หาคลายมือออกให้ไม่ ช่อลดากลับพูดด้วยน้ำเสียงเคียดแค้นเสียเองอีกว่า
"ฉันจะไม่ยอมให้เรื่องนี้มันเงียบหายไปอย่างนี้หรอกนะสร้อย ไม่มีทาง!"
.
ออกแนวจิตเนาะะะะะ … ดูหลอน ๆ ดี