[ส่วนที่ 1 ความสามารถอันเจิดจรัส] บทที่ 1 หญิงงามผู้เย็นชา
แคว้นหนันโหลวปีหนึ่งร้อยสามสิบ รัชศกหย่งกู้ปีที่สี่สิบเจ็ด
เวลานี้เป็นเดือนแปดซึ่งตรงกับฤดูใบไม้ร่วง ด้วยเพราะแคว้นหนานโหลวตั้งอยู่ทางตอนใต้ อากาศจึงยังคงอบอุ่น ฤดูกาลนี้จึงเป็นช่วงเวลาที่สภาพอากาศดีที่สุดในรอบปี
คฤหาสน์นอกเมืองที่เก่าแก่และมั่นคงตั้งหลบซ่อนอยู่กลางป่าเขาเขียว
กำแพงแดงกระเบื้องเขียว ศาลาตึกและหอดูกลมกลืนกับเขาเขียวนี้เป็นอย่างดี กลางป่ามีเสียงนกร้องที่ไพเราะส่งมาเป็นระลอก ก้องกังวานข้างหูไพเราะเป็นที่สุด อากาศบริสุทธิ์สดชื่น คฤหาสน์นอกเมืองที่สะดวกสบาย ชวนให้ผ่อนคลายทั้งกายและใจเป็นที่สุด
ในสวนดอกไม้ของคฤหาสน์ที่อยู่ด้านนอกปลูกต้นกุ้ยไว้มากมายนับไม่ถ้วน กลิ่นหอมจากต้นกุ้ยลอยมากับสายลม สดชื่นเบิกบานยิ่งนัก
ศาลาแปดเหลี่ยมรายล้อมด้วยต้นกุ้ย ผ้าม่านโปร่งบางพลิ้วไหวไปตามสายลม บนโต๊ะหินอ่อนในศาลามีถ้วยชาเขียวสองถ้วยที่มีไอร้อนลอยวนวางอยู่ สองด้านของโต๊ะหินอ่อนมีชายชราชุดดำและหญิงสาวในชุดกระโปรงสีฟ้านั่งอยู่ แต่ถ้าพูดให้ถูกคือหญิงสาวที่เพิ่งผ่านพิธีเกล้าผมปักปิ่น*มาหมาดๆ ชายชราและหญิงสาวมองกระดานหมากรุกบนโต๊ะหินอ่อนอย่างจดจ้อง
แต่สีหน้าของชายชราแสดงออกอย่างชัดเจนว่ากำลังตกที่นั่งลำบาก ขมวดคิ้วครุ่นคิดอย่างหนัก
หญิงสาวมีท่าทีผ่อนคลาย หากแต่ใบหน้าที่อ่อนเยาว์ของนางกลับสุขุมเยือกเย็นผิดกับวัยของนาง
ด้านข้างของทั้งสองคนมีหนุ่มน้อยอายุสิบกว่าปีนั่งอยู่ รูปโฉมงามหมดจดเป็นที่สุด คิ้วสวยกำลังขมวดขึ้นเล็กน้อยๆ มองหมากรุกโดยไม่พูดอะไร
ดวงตาดำขลับดุจหินอัคนีสีดำแม้ฉายแววงงงัน ทว่ากลับมีความอดทนเป็นเลิศ ไม่แม้แต่จะปริปากพูด ด้วยเกรงจะรบกวนสมาธิของผู้เล่นทั้งสอง เห็นได้ว่าแม้ว่าเขาจะอายุน้อยแต่ได้รับการอบรมมาอย่างดีเยี่ยม
“อวี้เจี้ยน”
น้ำเสียงอันน่าหลงใหลและอบอุ่นดังขึ้น
เมื่อหนุ่มน้อยได้ยินก็มีท่าทีตื่นเต้น หันหน้าไปหาต้นเสียงด้วยความดีใจ
ชายหนุ่มที่สวมรัดเกล้าหยกขาว แต่งกายด้วยชุดสีขาวบริสุทธิ์ มือทั้งสองข้างไพล่หลัง ผมสีดำขลับและแขนเสื้อกว้างรวมถึงชายชุดพลิ้วไหวไปตามสายลม รองเท้าหุ้มข้อสีขาวหิมะเหยียบอยู่บนพื้นที่เต็มไปด้วยดอกไม้ที่ร่วงโรย เดินเยื้องย่างเสมือนเทพในหมู่เมฆมุ่งหน้ามาทางสวนที่เต็มไปด้วยดอกกุ้ย กลีบบุปผางามนับพันนับหมื่นที่อยู่ข้างหลังกลายเป็นฉากหลังที่ขับให้เขาเด่นขึ้นมา
ตามจังหวะการก้าวที่ใกล้เข้ามาของเขา ใบหน้าหล่อเหลาประดุจภาพวาดนั้นเข้ามาในระดับสายตาของอวี้เจี้ยนอย่างชัดเจน โดยเฉพาะคือหน้าผากสูงศักดิ์ได้รูปงดงามของคนที่มาทำให้ดอกไม้มากมายในสวนนี้ดูไร้สีสัน
“ยอดบุรุษแห่งยุค”ทั้งห้าคำนี้ได้ดูจะขยายความลักษณะของเขาได้อย่างครอบคลุมที่สุด
“ท่านพี่ซังมั่ว ท่านมาแล้ว รีบอธิบายหมากรุกนี้ที ทำไมข้าถึงไม่เข้าใจวิถีหมากเลยสักนิด” สีหน้าและแววตาของอวี้เจี้ยนเต็มไปด้วยความเลื่อมใส เอ่ยขอร้องด้วยเสียงเล็กๆ
ปากบางของกงซังมั่วยกยิ้มขึ้น ใบหน้ามีรอยยิ้มอ่อนโยนและสดชื่น ดวงตาเรียวสวยดั่งท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มีแสงดาวพร่างพราวคู่นั้นกระพริบเบาๆ “ทำไม ไม่เข้าใจหมากรุกของพี่สาวเชียนอวี่อีกแล้วหรือ”
ปากเล็กๆของอวี้เจี้ยนเบะน้อยๆ ท้อแท้เป็นอย่างมาก คิ้วงามทั้งสองข้างก็ขมวดเข้าหากัน “ท่านพี่ซังมั่ว ท่านว่าพี่สาวเชียนอวี่โตกว่าข้าแค่ห้าปี ทำไมนางถึงทำเป็นตั้งหลายอย่าง พูดถึงหมากรุกนี้ สามปีที่ผ่านมาเสด็จปู่ไม่เคยชนะนางได้เลยสักครั้ง”
สามปีก่อน พี่สาวเชียนอวี่เพิ่งจะอายุสิบสอง คิดดูแล้วปีนี้ตัวเองก็อายุสิบขวบแล้ว สามปีที่ผ่านมาเขาตั้งจะเล่าเรียนอย่างหนัก ทักษะการเดินหมากรุกนี้ท่านอาจารย์ไท่จากแคว้นหนันโหลวสอนให้กับมือ แต่ก็เดาใจพี่สาวเชียนอวี่ไม่ได้อยู่ดี อย่างหมากรุกเมื่อไม่กี่วันมานี้ เขาก็คาดเดาไม่ได้อย่างไม่มีสาเหตุ ทำลายความหยิ่งในศักด์ศรีของลูกผู้ชายมาก
กงซังมั่วหัวเราะอย่างอ่อนโยนให้กับท่าทางกลัดกลุ้มของอวี้เจี้ยน ดวงตาเรียวสวยส่งสายตาอ่อนโยนดั่งน้ำไปที่ร่างบางนั้น
อวิ๋นเชียนอวี่ยังคงก้มหน้าอยู่ ดวงตาดั่งสายน้ำนั่นมีประกายความอบอุ่นและการซัดสาดเหมือนดั่งผลึกหินแวววาว ขนตายาวกระพริบอย่างสม่ำเสมอ หน้าผากเนียนเรียบอิ่มเอิบใสดั่งหยก จมูกเล็กสวยแต่เชิดขึ้นนั้นทำให้คนอยากลองบิดขึ้นลง ริมฝีปากหยักสีแดงเหมือนดั่งน้ำค้างบนดอกไม้ยามรุ่งอรุณที่แวววาวพร่างพราว คางเล็กกลมมนดูเหมาะเจาะเข้ากัน
เส้นผมเงางามดั่งเส้นไหม ไม่ได้หวีมวยขึ้นสองข้างเหมือนเด็กสาวอายุสิบห้า แต่แบ่งข้างและถักเปียเล็กๆ และใช้แถบผ้าไหมสีฟ้าเช่นเดียวกับชุดบนร่างของนางผูกเอาไว้ ความเกียจคร้านและความเป็นธรรมชาติแสดงให้เห็นถึงนิสัยและบุคลิกสบายๆ ออกมา!เข้ากับการแสดงออกที่เย็นชานั่น จนทำให้คนยากจะเชื่อว่าปีนี้นางเพิ่งจะอายุสิบห้า
เมื่อได้ยินเสียงที่อวี้เจี้ยนและกงซังมั่วคุยกัน แพขนตาหนาดุจปีกผีเสื้อของอวิ๋นเชียนอวี่กระพริบเบาๆ เอียงคอมองหาต้นเสียง ดวงตาคู่นั้นปรากฏสายตาเงียบสงบที่ดูไม่เข้ากับอายุของนางออกมา คล้ายกับว่าไม่มีอะไรทำให้นางหวั่นไหวได้!
ดวงตาทั้งสี่ของทั้งสองคนผสานกัน อวิ๋นเชียนอวี่พยักหน้าให้กงซังมั่ว หลังจากนั้นก็เก็บสายตาอย่างเป็นธรรมชาติ จดจ้องหมากรุกต่อ
ยังคงเย็นชาเหมือนเดิม! ดวงตาเรียวสวยของกงซังมั่ววาววับ เบนสายตาไปมองหมากรุกบนโต๊ะ ยิ้มให้กับอวี้เจี้ยนที่รอคอยอย่างจดจ่ออยู่ข้างๆ แล้วพูดขึ้นเสียงเบาว่า“พวกเราดูให้จบก่อนค่อยพูด”
ผู้ดีดูหมากรุกย่อมไม่พูด อวี้เจี้ยนรู้ดี จึงพยักหน้าตาม
กงซังมั่วสะบัดชายเสื้อแล้วนั่งลงอีกฝั่งหนึ่ง ผู้ดูแลที่อยู่ด้านข้างจึงรีบรินชาดอกไม้หอมจรุงใจให้เขาถ้วยหนึ่ง
เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสกำลังเคลิบเคลิ้มอยู่กับหมากรุก ไม่เห็นว่าข้างกายมีคนเพิ่มมาอีกคน กงซังมั่วไม่ได้พูดขัดจังหวะ มือเรียวยาวยกถ้วยชาขึ้นอย่างสง่างาม จิบเบาๆหนึ่งอึก ชายตามองอวิ๋นเชียนอวี่ข้างกาย
ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงัดเช่นนี้ เวลาผ่านไปเร็วมาก ช่วงเวลาหนึ่งแค่ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไป
ในที่สุดชายชราก็เงยหน้าขึ้น ทอดถอนใจแล้วพูดว่า“แพ้อีกแล้ว!แม่หนูนี่สมองนี้โตมาอย่างไรกัน”เมื่อพูดจบถึงได้เห็นกงซั่งมั่วที่ดื่มชาอยู่ข้างกาย
“ซังมั่ว เจ้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่”
ชายชราไม่มีท่าทีทุกข์ใจจากการแพ้หมากรุกแม้แต่น้อย กลับถามขึ้นอย่างสบายใจ
“มาได้พักหนึ่งแล้ว เห็นฝ่าบาทเล่นหมากรุกอย่างจริงจัง เลยไม่กวนพ่ะย่ะค่ะ” กงซังมั่ววางถ้วยชาลงแล้วยิ้มขึ้นบางๆ
มู่หรงชางมองกระดานหมากรุกครั้งหนึ่ง “แม่หนูน้อยนี่เจ้าเล่ห์เหมือนจิ้งจอก ร้ายกาจมากเหมือนเจ้าไม่มีผิด!”
หลังจากนั้นก็ลูบเครา ชายตามองอวิ๋นเชียนอวี่ ถามขึ้นอย่างไม่เต็มใจว่า“แม่หนู มาเล่นอีกครั้งเป็นอย่างไร ข้าชนะเจ้าแน่”
ในน้ำเสียงไม่มีมาดของความเป็นจักรพรรดิอยู่เลย แต่กลับนุ่มนวลและดูสบาย
อวิ๋นเชียนอวี่ค่อยๆเงยหน้าขึ้นช้าๆ ใบหน้าเล็กเหมือนเครื่องปั้นดินเผาตุ๊กตา สายตามองผ่านไปที่หมู่บ้านกลางเขากว้างใหญ่ที่มีกำเเพงล้อมรอบอยู่
“เสด็จปู่ วันนี้เกรงว่าจะไม่ได้แล้วเพคะ”
“เพราะอะไร” มือที่มู่หรงชางลูบเคราชะงักงันแล้วถามขึ้น
ยังไม่รอให้อวิ๋นเชียนอวี่ตอบ ก็เห็นหญิงสาวชุดชมพูสะบัดพลิ้ววิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วแล้วหยุดลงที่ข้างกายอวิ๋นเชียนอวี่
นางทำความเคารพมู่หรงชาง กงซังมั่วและอวี้เจี้ยนก่อนหนึ่งครั้งแล้วถึงพูดว่า“นายหญิง พิธีรับตำแหน่งผู้นำหมู่บ้านกลางเขาเฟิงอวิ๋นของซือถูหันอีเสร็จสิ้นลงแล้ว กำลังจะส่งคนไปเชิญนายหญิงไปที่โถงเฟิงอวิ๋นเจ้าค่ะ”
ในที่สุดใบหน้าไร้อารมณ์ของอวิ๋นเชียนอวี่ก็แปรเปลี่ยนไป
“ในที่สุดก็จบเสียที!”
พูดจบนางก็รีบลุกขึ้น ควานหยิบผ้าคลุมหน้าสีฟ้าบนโต๊ะ แล้วคลุมหน้าเอาไว้ “เฉินเซียง ไปดูกันว่าซือถูหันอีจะถอนหมั้นอย่างไร”
ริมฝีปากของหญิงชุดชมพูยกขึ้น นายหญิง ท่านทำตัวเหมือนคนที่จะถูกถอนหมั้นหน่อยได้หรือไม่ จนถึงเวลานี้แล้ว ไม่ต้องเยือกเย็นเช่นนี้ก็ได้ ควรแสดงสีหน้าเสียใจและเหมือนการมีชีวิตอยู่แย่กว่าการตายจากไปถึงจะถูกมิใช่หรือ ทำไมถึงเหมือนไปดูความคึกครื้นของผู้อื่นเล่า
แต่ในใจของนางรู้ดี การจะเห็นท่าทางของนายหญิงที่เสียอกเสียใจนั้นยากเสียยิ่งกว่าการดูพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกเสียอีก ดูแลนายหญิงมาหลายปีแล้ว นางไม่เคยเห็นความรู้สึกที่สองของนายหญิงเลย และก็ไม่รู้ว่าใครจะเป็นสาเหตุให้นายหญิงหวั่นไหว ถ้าหากคนผู้นั้นปรากฏขึ้นมา เฉินเซียงจะยกย่องเขาเหมือนกับเป็นเทพเจ้าเลยทีเดียว!
ในใจคิดกลับไปกลับมา กระนั้นการเคลื่อนไหวของเฉินเซียงกลับมิได้ช้าสักนิด เร่งรุดตามหลังไป
ดวงตาเรียวสวยของกงซังมั่วกระพริบปริบๆ มองตามร่างนั้นจนลับหายไป ผู้ที่มีดวงตางดงามดุจบุปผาสวรรค์และร่างบอบบางสวมชุดสีฟ้านั่น มือกำถ้วยชาแน่นขึ้น
“เสด็จปู่ อวี้เจี้ยน เสียนอ๋อง เชียนอวี่ขอตัวก่อน ละครฉากต่อไปนี้ หากไม่มีเชียนอวี่ ลำพังสือถูหานอีคนเดียวคงเล่นต่อไปไม่ได้หรอก” ตัวเดินไปไกลแล้ว แต่เสียงบางเบาผ่านดอกกุ้ยยังคงสดใสเหมือนพูดอยู่ข้างหู
อวี้เจี้ยนลูบหัว มองเสด็จปู่และกงซังมั่วของตนเองด้วนสีหน้างงงันแล้วพูดว่า “พี่สาวเชียนอวี่จะถูกถอนหมั้นหรือ”
กงซังมั่งพยักหน้าเบาๆ หลุบตาลง
มู่หรงชางโบกมือขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉยแล้วพูดว่า “ถอนก็ดี พี่สาวของเจ้าเป็นหญิงประหลาดขนาดนี้ จะเข้ากับซือถูหันอีได้อย่างไร”
เมื่อได้ยินอวี้เจี้ยนที่สุขุมในตอนแรกก็ยืนขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น กำหมัดแน่นทั้งสองข้างแล้วทุบเข้าที่หน้าอก พูดขึ้นด้วยสีหน้าดีใจว่า“ดีจริงๆ เสด็จปู่ เช่นนี้แล้วข้าก็แต่งงานกับพี่สาวเชียนอวี่ได้แล้วใช่หรือไม่”
มู่หรงชางยังไม่ได้ตอบ กงซังมั่วก็สาดน้ำเย็นจากใจใส่เขาว่า“รอให้เด็กอย่างเจ้าโต พี่สาวเชียนอวี่ของเจ้าก็มีลูกชายลูกสาวแล้ว”
อวี้เจี้ยนบุ้ยปากแล้วพูดกระซิบขึ้นว่า“ไม่ได้ห่างกันมากเสียหน่อย ก็แค่ห้าปีไม่ใช่หรือ ข้าไม่รังเกียจที่พี่สาวเชียนอวี่โตกว่าข้าหรอก”
“แต่พี่สาวเชียนอวี่รังเกียจที่เจ้าเด็ก!” กงซังมั่วโจมตีต่อ
อวี้เจี้ยนนิ่งอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง ความตื่นเต้นเมื่อครู่หายไปหมดสิ้น ท้อใจนั่งลงแล้วขยับถ้วยชาไปมา
มู่หรงชังมองกงซังมั่ว กงซังมั่วรินชาใส่ถ้วยด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติ
มู่หรงชางเก็บสายตา “ซังมั่ว เจ้าเที่ยวเตร่ข้างนอกมาสามปีแล้ว เมื่อไหร่จะกลับเมืองหลวง”
เมื่อไม่ได้ยินเสียงกงซังมั่วตอบ มู่หรงชางก็พูดต่อว่า “ข้าไม่ได้มีเวลามาก นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่ออกมาแล้ว“
ดวงตาเรียวสวยของกงซังมั่วจดจ้อง วางถ้วยชา “ร้อยปีที่ผ่านมา จวนเสียนอ๋องจะลงมือก็ต่อเมื่อแคว้นหนันโหลวถูกต่างแคว้นรุกรานหรือไม่ก็มีพวกคิดก่อกบฏเท่านั้น ไม่เคยยื่นมือเข้าไปยุ่งเรื่องการแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดบัลลังก์”
“ข้ารู้ แต่อวี้เจี้ยนยังเด็ก รุ่ยชินอ๋องจับตามองข้าอยู่ตลอด หากข้าวางมือจากไป ฝากอวี้เจี้ยนไว้กับใครข้าถึงจะสบายใจได้เล่า”
มู่หรงชางทำหน้าเหมือนผ่านโลกมามาก ลูกชายคนเดียวก็ปกป้องไว้ไม่ได้ ตอนนี้หลานชายเพียงคนเดียวยังเล็กอยู่ เขามีพลังไม่มากพอ ทำอย่างไร เขามองอวี้เจี้ยนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความจนใจและอาลัยอาวรณ์
อวี้เจี้ยนรีบลุกยืนแล้วเดินมาข้างๆ มู่หรงชาง ออกแรงดึงชายแขนเสื้อของเขาอย่างแรง ดวงตาสีดำเหมือนหินอัคนีมีไอน้ำจับ
“เสด็จปู่อย่าจากอวี้เจี้ยนไปนะพ่ะย่ะค่ะ”
มู่หรงชางโอบกอดอวี้เจี้ยนไว้ด้วยความรัก ปลอบโยนเขาด้วยการตบหลัง
กงซังมั่วมองชายชราและเด็กชายตรงหน้า ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า“ถ้าหากว่ามีคนผู้หนึ่งมีสามารถมากพอที่จะรับผิดชอบหน้าที่นี้ได้ ก็ต้องแล้วแต่ฝ่าบาทแล้วว่าจะยอมรับได้หรือไม่”
“ใครกัน” ใบหน้าที่แก่ชราฉายแววมีความหวังออกมา
---
* พิธีเกล้าผมปักปิ่น หรือพิธีเข้าสู่วัยสาว จะกระทำเมื่อเด็กหญิงอายุครบสิบห้าปี เป็นการแสดงว่าเด็กสาวนั้นบรรลุนิติภาวะและพร้อมที่จะออกเรือน
กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น