บทที่ 1 เข้าวัง
ฤดูใบไม้ผลิ รัชสมัยเทียนฉี่ปีที่สี่สิบแปด ฮ่องเต้ทรงประชวรอย่างหนัก จึงได้ปลดปล่อยคนในวังกว่าสามพันคนออกจากวังหลวง โดยหวังใช้กุศลนี้ทำให้อาการประชวรของฮ่องเต้ดีขึ้น
สองเดือนผ่านไป พระอาการประชวรของฮ่องเต้ดีขึ้นมาก ผลของการปลดปล่อยคนในวังจำนวนกว่าครึ่งออกไป ทำให้ในวังหลวงมีคนไม่เพียงพอ วังหลวงจึงได้คัดเลือกหญิงสาววัยแรกรุ่นเข้าวังอีกครั้ง
ถาวจวินหลัน พร้อมด้วยน้องสาวก็ได้รับเลือกให้เข้าวังในครั้งนี้ด้วย หลังจากเข้าวังแล้ว ทั้งสองยังไม่ได้ถูกส่งไปที่หน่วยงานใด ต่างก็เข้ารับการอบรมและสอนกฎเกณฑ์ต่างๆ ด้วยกัน
ถาวจวินหลันยืนตัวตรงอยู่ในกลุ่มคน ฟังการอบรมของนางกำนัลอาวุโส
รอบๆ กายนาง รายล้อมไปด้วยหญิงสาวที่มีอายุไม่ต่างกันมากนัก ทว่ารูปร่างและหน้าตานั้นแตกต่างกันออกไป หากแต่ผู้ที่ดูขี้เหร่ที่สุดนั้นก็ยังดูเป็นหญิงสาวที่งดงามนางหนึ่ง แม้กระทั่งความสูง น้ำหนักก็ต่างกันไม่มาก นั่นก็เป็นเพราะผ่านการคัดเลือกแต่ละด้าน และมาตรฐานของผู้ตัดสินนั้นก็ไม่ต่างกันนัก
ความแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวของสาวแรกรุ่นเหล่านี้นั่นคือเสน่ห์ ท่าทางและความงดงามของแต่ละคน บางคนดูราวกับภาพทิวทัศน์อันสวยงาม สดใส และมีชีวิตชีวา แต่บางคนนั้นกลับดูยังห่างไกลโดยสิ้นเชิง
แต่ในตอนนี้พวกนางทุกคนต่างมีท่าทางไม่ต่างกัน ต่างก้มหน้าลงอย่างนอบน้อม ไม่กล้าส่งเสียใดๆออกมา บางคนยังแสดงออกว่ามีความกลัวเล็กน้อย
ถาวจวินหลันไม่นับว่าเป็นผู้ที่ดูโดดเด่นในกลุ่ม แต่ก็เป็นที่ดึงดูดสายตาของผู้คนอยู่ไม่น้อย
นางกำนัลอาวุโสเหลือบมองนางอยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่นางนั้นกลับไม่รู้สึกตัวเลยสักนิดเดียว ราวกับหุ่นไม้แกะสลักที่ไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น
“หลังจากเข้าวังมาแล้ว ต้องรู้ฐานะของตัวเอง ไม่ว่าเมื่อก่อนอยู่นอกวังจะมีฐานะอะไร หลังจากเข้าวังมาแล้วก็ล้วนแต่มีฐานะเท่าเทียมกัน! ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะอะไร หากทำความผิดในวังหลวงนี้ ก็ต้องรับโทษไม่ต่างกัน!” นางกำนัลอาวุโสกวาดสายตาที่เข้มงวดมองไปที่ทุกคน เมื่อเห็นหญิงสาวแรกรุ่นเหล่านั้นต่างกลัวจนตัวเกร็งไปหมด ทันใดนั้นถึงได้เปลี่ยนมาใช้เสียงที่นุ่มนวลขึ้นกล่าวว่า “แน่นอน หากทำงานได้ดีก็จะมีรางวัลให้ อยู่ที่นี่ต้องขยันทำงาน อดทน ซื่อสัตย์ และรู้ฐานะของตัวเอง มีเพียงเท่านี้! ไม่ต้องคิดเรื่องที่ไม่ใช่หน้าที่ของตัวเอง!”
หากเป็นคนที่เฉลียวฉลาด ก็จะเข้าใจความหมายที่นางกำนัลอาวุโสกล่าว เข้าใจว่า เรื่องที่ไม่ใช่หน้าที่ของตัวเอง...นั้นหมายความว่าอะไร
ถาวจวินหลันเข้าใจได้เป็นอย่างดี ไม่ใช่เพราะนางเป็นคนฉลาด แต่เป็นเพราะก่อนหน้านี้นางได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับที่นี่มามากมายเหลือเกิน เรื่องที่ว่าเวลาเพียงคืนเดียวนางกำนัลธรรมดาๆ ได้เปลี่ยนฐานะตัวเองกลายเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้นั้น ฟังแล้วทำให้นางรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก แต่แน่นอนว่า เมื่อมีสิ่งที่ดีก็ย่อมมีสิ่งที่ไม่ดีด้วย มีคนที่ได้เปลี่ยนฐานะตัวเองจนกลายเป็นที่โปรดปราน แต่ก็ยังมีคนที่แม้แต่ตายเพราะอะไรก็ยังมิอาจทราบสาเหตุ
นางไม่อยากเป็นทั้งแบบแรกและไม่อยากเป็นแบบหลัง นางหวังเพียงสิ่งเดียวนั้นก็คือการได้ออกจากวังหลวงไปอย่างสงบสุข
ทว่าหากดูตอนนี้แล้ว เวลายังอีกยาวนานนัก นางต้องเป็นนางกำนัลในวังหลวงครบแปดปีถึงจะได้ถูกปล่อยตัวออกจากวัง ตอนนี้นางอายุสิบห้าปี รอวันที่ได้ออกจากวังหลวง นางก็อายุยี่สิบสามปีแล้ว ช่างเป็นเวลาที่ยาวนานเหลือเกิน...
แต่นางนั้นไม่มีทางเลือก หากเลือกได้นางกลับไม่อยากที่จะเข้าวัง มากไปกว่านั้นนางเข้าวังในช่วงอายุเท่านี้ก็นับว่าช้าไปแล้ว ส่วนมากหญิงสาวอายุสิบเอ็ดปีก็ต้องเข้าวังแล้ว เมื่ออายุประมาณยี่สิบปีก็จะได้ออกจากวังหลวง อายุสิบเอ็ดปีเป็นช่วงที่อบรมสั่งสอนได้ง่าย และสามารถทำงานได้แล้ว เหมือนดังเช่นน้องสาวของนางถาวซินหลัน
เมื่อนึกถึงใบหน้ากลมๆ ไร้เดียงสา ของน้องสาว ถาวจวินหลันก็รู้สึกทั้งสงสารทั้งปวดใจ เช่นนั้นจึงอดไม่ได้ที่แอบเหลือบไปมองไปข้างๆ ตัว
ถาวซินหลันก็ยืนตัวตรงเช่นกัน เดิมทีนางก็อายุยังน้อย การได้ยืนตัวตรงๆ อย่างนี้เป็นชั่วโมง จึงทำให้แทบจะยืนไม่ไหว
แต่ทว่า ยืนไม่ไหวก็ต้องยืน
“เจ้า ชื่ออะไร!” นางกำนัลอาวุโสจ้องเขม็ง
ถาวจวินหลันยังไม่รู้สึกตัว ทำให้คนอื่นต่างมองนางเป็นตาเดียว ตอนนั้นนางถึงได้รู้ว่าคนที่นางกำนัลอาวุโสเรียกนั้นคือนางนั่นเอง
“เรียนกูกู* ข้าน้อยชื่อถาวจวินหลันเจ้าค่ะ” นางรีบตอบกลับไปอย่างสุภาพและรวดเร็ว ในใจก็คิดว่า คนตั้งมากมาย เหตุใดจึงต้องเป็นนางด้วย?
“เป็นชื่อที่ดีนี่” นางกำนัลอาวุโสหัวเราะหึๆ “เจ้าใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่สนใจสิ่งที่ข้าพูดอย่างนั้นหรือ?”
ถาวจวินหลันรู้สึกหนังหัวเกร็งไปหมด รีบกล่าวขอโทษออกไป “ไม่ใช่อย่างนั้นเจ้าค่ะ คำสอนของท่าน ข้าน้อยจะไม่ฟังได้อย่างไร? คำพูดของท่านนั้นทั้งมีค่าราวกับทอง และมีประโยชน์ต่อพวกข้าน้อย ข้าน้อยจะจดจำไว้ในใจ จะให้ข้าน้อยละเลยได้อย่างไรเจ้าคะ”
“ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ดี!” ยังดีที่นางกำนัลอาวุโสไม่ได้ติดใจอะไร ต่อจากนั้นก็ได้อบรมต่อไป นี่เพียงแค่จะลองทดสอบ และเชือดไก่ให้ลิงดูเท่านั้น ทั้งยังถือเป็นการเตือนทุกคน “ต่อไปข้าจะมาสอนกฎระเบียบพวกเจ้า ตั้งใจเรียน เรียนกฎระเบียบแล้วถึงจะได้ถูกส่งไปทำหน้าที่!”
ถาวจวินหลันโล่งอกขึ้นเล็กน้อย ไม่กล้ามองน้องสาวอีก ได้แต่ตั้งใจฟัง
นางกำนัลอาวุโสไม่มัวพูดพร่ำทำเพลง เริ่มสอนพวกนางถึงเรื่องที่ต้องระวัง ท่าทางการเดินและการคำนับ
ในวังหลวงนี้ จะทำอะไรแต่ละอย่างก็ต้องเป็นไปตามกฎระเบียบ การคำนับ ไม่เพียงแต่จะต้องถูกต้อง ท่าทางสวยงาม แต่ยังต้องดูนอบน้อมและเคารพ อีกอย่างยังมีการคำนับที่แตกต่างกันออกไปตามลำดับยศของเจ้านาย พบกับเจ้านาย พบกับคนฐานะเท่ากัน ต่างมีการคำนับที่แตกต่างกันออกไป
แต่ว่าเป็นแค่นางกำนัลนั้นไม่ต้องจำขนาดนั้นก็ได้ แค่เรียนเพียงที่จำเป็นต้องได้ใช้ก็เพียงพอแล้ว
“เดิน...”
“คำนับ...”
“หยุด...”
เหล่าหญิงสาวก็เดิน คำนับ หยุด ตามคำสั่งของนางกำนัลอาวุโส
นางกำนัลอาวุโสมองดูแต่ละคน ดูไปนางก็ใช้มือผลักเบาๆ ไปด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ หลายคนที่ยืนไม่มั่นคงอยู่แล้วเมื่อโดนผลักก็ล้มลง
เมื่อถึงคราวของถาวจวินหลัน จากหญิงสาวสิบเจ็ดสิบแปดคน เหลือเพียงแค่หนึ่งคนสองคนที่ยังคงยืนอยู่ได้
นางกำนัลอาวุโสใช้มือดันไหล่ของนาง ไม่นับว่าแรง แต่ก็ไม่เบานัก หากนางนั้นยืนไม่มั่นคงแล้วล่ะก็ คงต้องล้มลงอย่างแน่นอน
ถาวจวินหลันแน่นิ่งไม่ขยับ
นางกำนัลอาวุโสเผลอยิ้มออกมาเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร แล้วก็เดินตรวจต่อไป ถาวซินหลันเองก็ยืนไม่ไหวเช่นกัน เพราะนางนั้นอายุยังน้อยมาก
หลังจากทดสอบครบทุกคนแล้ว มีเพียงประมาณห้าหกคนที่ยังคงยืนอยู่ ในกลุ่มคนพวกนี้หากไม่ใช่คนที่มีความสามารถมาก ก็ต้องเคยฝึกฝนมาก่อนอย่างถาวจวินหลัน
หลังจากนั้นนางกำนัลอาวุโสได้ยกนางเป็นแบบอย่างให้ทุกคนดู “ดูนี่ คราวหลังการคำนับต้องดูนางเป็นตัวอย่าง ขาย่อลงไป แต่ลำตัวต้องมั่นคง แขนต้องวางไว้ข้างกาย ต้องไม่เกร็งจนดูแข็งเกินไป แต่ก็ต้องไม่ปล่อยตัวสบายมากเกินไปเช่นกัน ไหล่ต้องดูเป็นธรรมชาติ คอห้ามหด แต่ศีรษะห้ามชูขึ้นมา อีกอย่าง ต้องยืนอย่างมั่นคง ไม่ใช่พอลมพัดมาก็ล้ม พวกเจ้าต้องเรียนรู้ให้มากกว่านี้”
ดูก็รู้ว่านางกำนัลอาวุโสนั้นพอใจในตัวนางอย่างมาก
ถาวจวินหลันไม่ถึงกับดีใจ แต่ก็รู้สึกสบายใจขึ้นเยอะ ในเวลานี้ การได้รับความสนใจจากนางกำนัลอาวุโสนั้น นับว่าเป็นเรื่องที่ดี
แต่บางครั้ง การได้เป็นที่สนใจก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่ดีเท่าไรนัก หลังจากที่นางกำนัลอาวุโสให้ทุกคนแยกย้ายกันได้แล้ว นางก็ถูกรายล้อมไปด้วยผู้คน
“นี่มันอะไรกัน?” ถาวจวินหลันขมวดคิ้วมอง ‘คนรู้จัก’ ที่อยู่ตรงหน้า นางรู้สึกไม่สบอารมณ์ แต่ก็ต้องควบคุมไว้ อย่างไรก็ตาม เพิ่งเข้าวังหลวงมาไม่นานหากมีเรื่องขึ้นมานั้นคงไม่ดีแน่นอน
“หึ คิดว่าตัวเองเป็นหัวหน้าใหญ่หรือ!” ฝ่ายตรงข้ามแสดงออกอย่างไม่เป็นมิตร หัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น แล้วใช้มือผลักไปที่ไหล่ถาวจวินหลันอย่างแรง
ถาวจวินหลันเซถลา เกือบจะล้มลง ยังไม่ทันที่จะได้นึกโกรธ นางก็ได้ยินอีกฝ่ายกล่าวเยาะเย้ย “เมื่อครู่ไม่ใช่ว่ายืนได้อย่างมั่นคงหรือ? ตั้งใจอยากจะทำตัวเด่น?”
ถาวจวินหลันกำทั้งสองมือไว้แน่น แล้วใช้ความอดทนอย่างสูงข่มความโกรธเอาไว้ “เจ้าต้องการอะไร?”
“ข้าจะบอกเจ้าให้ ลูกขุนนางนักโทษอย่างเจ้า ถึงแม้จะได้เข้ามาในวังหลวง ก็อย่าคิดที่จะปีนขึ้นไปอยู่บนตำแหน่งสูงๆ! ยิ่งไม่ต้องคิดเรื่องจะเป็นหัวหน้าใหญ่ หรือคิดจะเป็นคนที่โดดเด่นกว่าคนอื่น! ฐานะเจ้าในตอนนี้ ไม่ว่าไปเทียบกับใครก็เทียบไม่ได้!” อีกฝ่ายพูดคุกคามและข่มขู่ ทั้งยังพูดเย้ยหยันต่ออีกว่า “ว่าแต่ จากหัวหน้าใหญ่ที่สูงส่ง ต้องมาเป็นนางกำนัลเล็กๆ เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้างเล่า?”
ถาวจวินหลันเข้าใจความหมายของอีกฝ่ายแล้ว อีกฝ่ายคงคิดว่านางต้องการจะเป็นคนที่โดดเด่น เพราะอย่างนั้นถึงได้มาหาเรื่องนาง
แต่ว่าทำไม...นางจะต้องเป็นคนที่ถูกรังแกเล่า?
“เราทุกคนต่างเป็นนางกำนัลในวังหลวงกันทั้งนั้น ไม่มีใครสูงส่งกว่าใคร” นางควบคุมอารมณ์ของตัวเองพูดออกมาเพียงเท่านี้
“ก็ต่างกันตรงที่พ่อของเจ้าเป็นนักโทษ แต่พ่อของข้าเป็นขุนนางน่ะสิ!” อีกฝ่ายหัวเราะ ‘หึๆ’ อย่างภาคภูมิใจ แล้วพูดต่ออีกอย่างร้ายกาจว่า "ถึงจะเป็นนางกำนัลในวังหลวง แต่ก็มีตำแหน่งสูงต่ำต่างกัน! เจ้าคิดว่าเจ้ายังเป็นเช่นเมื่อก่อน ที่ไม่ว่าอะไรก็ดีกว่าข้าไปเสียทุกอย่างหรือ ข้าจะบอกอะไรให้นะ อย่างเจ้าน่ะฝันไปเถอะ!”
ถาวจวินหลันได้แต่เม้มปากแน่นกลั้นความโกรธไว้ หากไม่เช่นนั้น นางเกรงว่าคงจะทนไม่ไหวเข้าไปทะเลาะกับอีกฝ่ายจริงๆ แล้ว
“เจ้ากล้ารังแกพี่ข้าหรือ?” ถาวซินหลันกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ขุ่นมัว แล้วพุ่งกายเข้าไปผลักฝ่ายตรงข้าม หลังจากนั้นก็หัวเราะเยาะเย้ยแล้วกล่าวขึ้นว่า “พ่อของเจ้าเป็นเพียงแค่ขุนนางเล็กๆ ที่ไม่มีแม้แต่ลำดับขั้น เมื่อก่อนยังมากระดิกหางประจบบ้านพวกข้า ตอนนี้เจ้ากล้าทำเช่นนี้แล้วหรือ!”
หลังจากได้ยินอย่างนี้แล้ว ถาวจวินหลันก็รู้สึกว่าไม่ได้การณ์เสียแล้ว นางจึงรีบดึงถาวซินหลันมาปกป้องไว้ แล้วสั่งนางว่า “พอแล้ว ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว!”
หลังจากวันนี้ไปพวกนางต้องคอยระวังตัว วันนี้ไม่เหมือนที่ผ่านมาอีกแล้ว ถ้าหากเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา แล้วรู้ถึงหูของนางกำนัลอาวุโสเข้า นั่นคงไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่
“ท่านพี่ เหตุใดต้องกลัวนางด้วยเล่า?" ถาวซินหลันกลับไม่ยอม นัยน์ตาแดงระเรื่อ "เมื่อก่อนนางมากระดิกหางขอความช่วยเหลืออย่างไร? แต่วันนี้นางกลับมารังแกท่าน!”
ถาวจวินหลันกำมือแน่น พูดเชิงดุว่า “วันนี้เราต่างอยู่ในวังหลวง! แม้แต่คำพูดของข้าเจ้าก็จะไม่ฟังแล้วหรือ? ข้าสั่งให้เจ้าหยุดพูด!”
ถาวซินหลันทั้งโกรธทั้งรู้สึกไม่เป็นธรรม แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก จึงเชิดคอขึ้น แล้วดวงตาก็มีหยดน้ำตาไหลพรั่งพรูออกมา
ถาวจวินหลันรู้สึกเจ็บปวดหัวใจ แต่ก็พยายามไม่หันกลับไปมอง นางเข้าใจว่าถาวซินหลันไม่อยากให้นางต้องโดนรังแก แต่นี่มันเป็นเรื่องที่ทำอะไรไม่ได้ ยามนี้ เรื่องหลายๆ เรื่องต้องอดทนเก็บไว้ มันไม่เหมือนกับเมื่อก่อนแล้ว
ไม่รีรอให้สองพี่น้องได้ทำอะไรต่อ อีกฝ่ายก็ได้พุ่งเข้ามาด้วยอารมณ์โกรธจัด “ใครกล้าผลักข้า!” พูดแล้วก็ง้างมือขึ้นจะตบถาวซินหลัน
ถาวจวินหลันสีหน้าเคร่งขรึม ด้านหนึ่งก็บังถาวซินหลันไว้ อีกด้านก็จับมือห้ามอีกฝ่าย แล้วพูดออกมาว่า “เจ้าจะทำอะไร? จะต้องลงไม้ลงมือให้ได้ใช่หรือไม่? ”
อีกฝ่ายถูกนางมองด้วยสายตาแบบนั้น ก็รู้สึกใจฝ่อ แล้วค่อยๆ ลดมือลง แต่ผ่านไปเพียงชั่วครู่ก็ยืดตัวขึ้นอย่างรวดเร็วอีก พร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงนักเลง “หากข้าจะตบเจ้าแล้วจะเป็นอย่างไรหรือ? ทำไม เจ้ากล้าตบข้าคืนงั้นหรือ?”
หญิงสาวบางคนที่เมื่อครู่ต่างก็ร่วมกันหัวเราะเย้ยหยัน ตอนนี้ก็เริ่มรู้สึกกระวนกระวายขึ้นแล้ว ต่างรีบช่วยกันห้าม “พอเถอะ เดี๋ยวกูกูก็จะกลับมาแล้ว”
“มาแล้วจะอย่างไร ข้าไม่เห็นกลัวเลยสักนิด!”
“ดูเหมือนเจ้าจะไม่กลัวเลยจริงๆ!” พูดยังไม่ทันขาดคำ ก็ได้ยินเสียงของนางกำนัลอาวุโสพูดเสียงเย็นๆ ขึ้นท่ามกลางกลุ่มคน
ณ ตอนนี้ ใครต่างก็ไม่กล้าขยับตัว ต่างรู้สึกกลัวจนอยากจะหาที่ซ่อนตัวไว้ไม่ให้ใครเห็น
นางกำนัลอาวุโสกวาดสายตาอันเฉียบคมไปที่ทุกคน พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
* กูกู เป็นคำใช้เรียก นางกำนัลอาวุโส
กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น