ตอนที่ 1 : ขึ้นเวร
“เฮ้อ~ส่งเวรเสร็จสักที” การเป็นพยาบาลมันไม่ได้ยากอย่างที่คิดหรอกนะ แต่มันเหนื่อย…..
ครืด ครืด ครืด ครืด
เสียงสั่นของโทรศัพท์ ‘ข้าวหอม’ พยาบาลสาวที่พึ่งจบการศึกษาหมาดๆที่กำลังเก็บของเข้ากระเป๋าเตรียมกลับบ้าน
“ฮัลโหลแม่ ” ข้าวหอมกรอกเสียงลงสมาร์ทโฟนที่แม่ซื้อให้เป็นของขวัญรับปริญญาที่ผ่านมา
(ข้าวลูก ของสดบ้านเราหมดแล้ว หนูไปซื้อให้แม่ได้มั้ย)
“ได้สิคะแม่ หนูพึ่งออกเวรพอดีเลย”
(รบกวนหนูแย่เลย ออกเวรมาเหนื่อยๆแท้ๆ)
“รบกวนอะไรกันคะแม่ สบายมากเลยเรื่องแค่นี้ ” ข้าวสวยคุยโทรศัพท์ไปเก็บของไปด้วย
(ขอบใจนะลูก งั้นแม่ไม่กวนหนูแล้ว )
“เจอกันที่บ้านนะคะแม่ สวัสดีค่ะ” ข้าวสวยกดวางสายก่อนนะกระชับกระเป๋าเตรียมลงจากวอร์ด
“ข้าว! เธอจะกลับบ้านเลยมั้ย” โรส พยาบาลสาวคนสนิทของข้าวสวยถาม
“กะว่าจะไปซื้อของเข้าบ้านก่อนน่ะ” ข้าวตอบ
“ให้ฉันไปเป็นเพื่อนมั้ย”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า เธอกลับบ้านไปนอนเถอะ ตาลอยหมดแล้วเนี่ย” ข้าวสวยตอบพลางชี้ไปที่ตาของโรส
“เธอก็เหมือนกันนั้นแหละ มาเดี๋ยวฉันขับรถไปส่งที่ตลาดดีกว่า” โรสเสนอ
“ไม่เป็นไร ใกล้ๆเอง” ถึงจะเป็นเพื่อนกันแต่ข้าวสวยก็เกรงใจโรสอยู่ดี
“ไม่ได้ๆ ไปขึ้นรถเดี๋ยวนี้เลย จะไปส่ง ดื้อจริงๆเลยเธอเนี่ย” โรสจัดการลากข้าวสวยมาที่รถของตัวเองสำเร็จ
“จริงๆเลยนะเธอเนี่ย” ข้าวสวยส่ายหัวให้กับความน่ารักของโรส
“ขอบใจนะที่มาส่ง” ข้าวสวยพูด
“ไม่เป็นไรหรอก รีบไปซื้อของแล้วกลับบ้านซะ ตัวซีดหมดแล้วเธอน่ะ”
“โอเค กลับบ้านดีๆนะ บ๊ายบาย” ข้าวสวยโบกมือลาก่อนที่โรสจะขับรถออกไป
เธอเดินเลือกซื้อของสดและผักผลไม้ต่างๆเยอะแยะมากมาย เพื่อที่แม่ของเธอจะได้ไม่ต้องออกมาซื้อด้วยตัวเอง พ่อแม่ของเธอมีอายุมากแล้ว กลัวว่าหากให้มาเดินตลาดร้อนๆจะหน้ามืดได้
ข้าวสวย มีความฝันตั้งแต่เด็กๆว่าอยากจะเรียนทำอาหารแล้วเปิดร้านเล็กๆเป็นของตัวเอง แต่ว่าเพราะบ้านเธอไม่ได้ฐานะดีขนาดเธอจะทำตามความฝันตัวเองได้ เธอจึงเลือกที่จะเรียนพยาบาล เพราะเป็นงานที่ได้ค่าตอบแทนที่เยอะพอสมควร แต่ต้องแลกกลับการที่จะได้เจอหน้าครอบครัวน้อยลง ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องที่ไม่ดีเอาซะเลย แต่ถ้าการที่เธอเป็นพยาบาล แล้วมีเงินให้พ่อแม่ได้ใช้ มีเงินให้น้องชายได้ร่ำเรียนในสิ่งที่ตัวเองอยากเรียน ขอแค่ทำให้ที่บ้านมีความสุข เธอจะยอมทำโดยไม่บ่นออกมาสักคำ
“แค่นี้น่าจะถึงอาทิตย์อยู่นะ” ข้าวสวยมองดูข้าวของในมือตัวเองระหว่างยืนรอรถประจำทางเพื่อกลับบ้าน
“ช่วยด้วยค่ะ มีคนเป็นลม!!!!!” ยืนรอรถไม่ทันไร เธอก็ได้ยินเสียงคนร้องขึ้นมา
“อย่ามุงนะคะทุกคน ขอพื้นที่ให้ผู้ป่วยมีอากาศหายใจด้วยนะคะ” ด้วยความที่เธอเป็นพยาบาล เมื่อเห็นว่ามีคนเป็นลมจึงรีบวิ่งเข้าไปดูทันที
“ช่วยเรียก 1669 มาให้ทีค่ะ ใครก็ได้!!” ข้าวสวยปฐมพยาบาลเบื้องต้นเพราะเห็นว่า ที่หัวของคนที่เป็นลืมมีเลือดไหลออกมาด้วย น่าจะเพราะล้มลงไปแรง จึงทำให้หัวแตกได้
“พี่ทำแผลให้เรียบร้อยแล้วนะข้าว” หมอเรียว บอกข้าวสวย
หมอเรียว เป็นหมอที่ทำงานที่โรงพยาบาลเดียวกันกับข้าวสวย ทั้งคู่รู้จักกันตั้งแต่ที่ข้าวสวย มาฝึกงานตอนปี 4 ที่โรงพยาบาลเพราะได้ขึ้นฝึกวอร์ดเดียวกันกับหมอเรียว จึงค่อนข้างที่จะสนิทกันพอสมควร
“ขอบคุณค่ะพี่หมอ แล้วอาการของคุณยายเป็นยังไงบ้างคะ”
“ดูจากผลซีที สแกนแล้วไม่มีอะไรน่าห่วงนะ แต่ต้องรอดูอีกทีต้องคนไข้ฟื้นน่ะ”
“โล่งอกไปที นึกว่าจะเป็นอะไรมากซะแล้ว”
“หายห่วงได้แล้วนะเราน่ะ เดี๋ยวคนไข้ฟื้นพี่จะติดต่อญาตให้มารับ ส่วนข้าวกลับบ้านไปพักผ่อนได้แล้ว ตัวซีดหมดแล้ว ” หมอเรียวบอกข้าวสวย ก่อนจะบอกให้กลับบ้านเพราะรู้ว่าข้าวสวยยังไม่ได้พักเลย เพราะเธอเข้าเวรเช้าบ่ายดึกต่อกันรวดเดียว 24 ชั่วโมงเลย
“ซีดตรงไหนพี่หมอ ข้าวออกจะแข็งแรง” ข้าวสวยเถียงกลับ
“พอเลยๆ มาเดี๋ยวพี่ไปส่ง”
“ไม่รบกวนพี่หมอหรอก ข้าวกลับก็ได้” ข้าวสวยเก็บของเตรียมจะกลับบ้าน
“กลับดีๆนะเด็กน้อย” หมอเรียวบอกลาข้าวสวย
“ข้าวไม่เด็กแล้วนะพี่หมอ” ข้าวสวยทำหน้ายู่ก่อนจะรีบเดินหนีหมอเรียวออกมา
“เด็กน้อย….น่ารัก” หมอเรียวมองตามหลังข้าวสวยที่เดินหนีตนไป
“แม่คะ หนูกลับมาแล้วววววววว” ข้าวสวยรีบวิ่งเข้าบ้าน
“จ้า ไม่ต้องวิ่งก็ได้ลูก ทำไมกลับมาช้าจังเลย” แม่ของข้าวสวยรีบวิ่งมารับของจากมือลูกสาว
“พอดีหนูเจอคนเป็นลมน่ะแม่ เลยเข้าไปช่วย”
“ทำถูกแล้วลูก หนูไปอาบน้ำให้สดชื่นไปเดี๋ยวของพวกนี้แม่จัดการเอง”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวหนูช่วยแม่จัดของก่อน” ข้าวสวยบอก
“ทำอย่างที่แม่บอกเถอะลูก แล้วค่อยลงมากินข้าว จะได้พักผ่อน หนูทำงานมาทั้งวันแล้ว” พ่อของข้าวสวยเข้ามาเสริมคำพูดคนเป็นแม่
“ก็ได้ค่ะ งั้นหนูขอตัวก่อนนะคะ” ข้าวสวยขอตัวขึ้นมาที่ห้องของตน เพื่ออาบน้ำ ก่อนจะลงไปทานข้าวที่ผู้เป็นแม่เตรียมไว้ให้
“วันนี้หนูว่างใช่มั้ยลูก” พ่อของข้าวสวยถามลูกของตน ขณะที่ข้าวกำลังทานข้าว
“หนูมีเข้าเวรบ่ายค่ะพ่อวันนี้ ” ข้าวสวยตอบพ่อของตนไปพลางตักข้าวเข้าปาก
“อ้าว!ไหนว่าวันนี้ว่างไงลูก” แม่ข้าวสวยถามขึ้น
“พอดี หนูซื้อเวรเขามาน่ะค่ะ แฮ่ๆ” ข้าวสวยตอบยิ้มๆ
“เจ้าลูกคนนี้!แล้วอย่างนี้จะมีเวลาพักผ่อนมั้ยล่ะลูก อย่าหักโหมสิ” แม่พูดดุข้าวสวยด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ขอแค่ทำงานได้เงินเอามาให้พ่อแม่ใช้ หนูก็ยอมทำหมดนั้นแหละ”
“พักผ่อนบ้างนะลูกพ่อ เดี๋ยวจะไม่สบายเอานะ”
“พ่อแม่ไม่ต้องเป็นห่วงหนูนะคะ หนูไหว แค่นี้สบายมากเลย เดี๋ยวหนูขอตัวก่อนนะคะ จะขอนอนก่อนไปเวรหน่อย” ข้าวสวยพูดตัดบทก่อนจะจัดการเก็บถ้วยจานไปล้าง แล้วขอตัวขึ้นห้องตัวเอง
เธอไม่อยากให้พ่อแม่เป็นห่วงที่เธอทำงานหนักแบบนี้ เพราะเธอยอมทำเพราะอยากให้ครอบครัวสบาย และอยากทำงานเก็บเงินแล้วไปเรียนทำอาหารแล้วเปิดร้านอาหารอย่างที่ตัวเองฝันไว้ ถึงมันจะใช้เวลานานเธอก็จะอดทน
“มาแล้วค่ะ พี่อร” ข้าวสวยทักทาย พี่อร หัวหน้าวอร์ดที่เธอทำงานอยู่
“ข้าว! ทำไมมาเร็วแบบนี้ พึ่งจะบ่าย3เองนะ ขึ้นเวรตั้ง4โมงเย็น”
“ข้าวกลัวรถติดน่ะค่ะ เลยออกมาก่อน ไม่คิดว่าจะถึงเร็วขนาดนี้เหมือนกัน 5555” ข้าวสวยตอบตามความจริง เธอคิดว่าวันนี้รถจะติดมากเหมือนทุกวัน เลยออกมาล่วงหน้าหลายชั่วโมง
“งั้นก็ไปพักผ่อนก่อนก็ได้นะ อ้อ!!คนไข้ที่เราช่วยไว้วันนี้ฟื้นแล้วนะ บอกว่าอยากเจอข้าวด้วย”
“คุณยายคนนั้นฟื้นแล้วเหรอคะ ดีจัง!! ” ข้าวสวยดีใจอย่างเห็นได้ชัดที่คนที่เธอช่วยไว้ ฟื้นแล้ว
“ไปเจอเขาหน่อยไป เห็นถามหาเราใหญ่เลย” พี่อรบอก
“งั้นข้าวขอตัวด่อนนะคะ^^”
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
“ขออนุญาตค่ะ” ฉันขออนุญาตไปตามมารยาทก่อนจะเปิดประตูเข้าไปห้องพักพิเศษของผู้ป่วย
“อ้าว!คุณพยาบาลคนเมื่อกี้พึ่งมาเช็ดตัวให้ฉันเองนะ” คุณยายที่นอนใส่ชุดผู้ป่วยเอยขึ้น
“หนูไม่ได้มาเช็ดตัวให้คุณยายค่ะ” ฉันตอบยิ้มๆให้คุณยาย
“อ้าว!งั้นมาฉีดยาเหรอ”
“ไม่ใช่ค่ะคุณยาย เห็นว่าคุณยายถามหาหนูใช่มั้ยคะ” ฉันเดินมาหยุดที่ข้างเตียงของคุณยาย
“หนูคือคนที่ช่วยฉันเหรอ ขอบใจหนูมากๆเลยนะจ้ะ” คุณยายกุมมือของฉันพลางพูดขอบใจ
“ไม่เป็นไรค่ะคุณยาย มันเป็นหน้าที่ของหนูอยู่แล้ว”
“ถ้าไม่ได้หนู ฉันคงแย่แน่ๆเลย หนูชื่ออะไรเหรอจ้ะ”
“คุณยายอย่าพูดแบบนั้นสิคะ หนูชื่อข้าวสวยค่ะ ตอนนี้คุณยายปลอดภัยแล้วนะคะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ได้กลับบ้านแล้วค่ะ”
“หนูนี่น่ารักจริงๆเลย ขอบใจนะจ้ะ”
“พูดแบบนี้หนูก็เขินสิคะ >< คุณยายอยากได้อะไรบอกหนูเลยนะคะ หนูเข้าเวรบ่ายวันนี้ เดี๋ยวหนูจะดูแลคุณยายเอง”
ก๊อก! ก๊อก!ก๊อก!
“ขออนุญาตค่ะ อาหารเย็นมาแล้วค่ะ” ระหว่างนั้นพี่เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลก็เอาอาหารเข้ามาให้พอดี
“ขอบคุณนะคะพี่หน่อย” ฉันรับถาดอาหารมาแล้วจัดแจงให้คุณยายพร้อมรับประทาน
“หนูข้าว ฉันลืมบอก ว่าฉันแพ้กุ้ง” คุณยายชี้ไปที่ข้าวต้มกุ้งที่ทางโภชนาการของโรงพยาบาลเตรียมไว้ให้
“อ้าว!หนูขอโทษนะคะ” ฉันยกมือไหว้ขอโทษคุณยาย
“ไม่ใช่ความผิดของหนูหรอก ฉันผิดเองแหละที่ไม่ได้บอกก่อน”
“งั้นหนูจะไปแจ้งให้นะคะ เดี๋ยวข้าวต้มนี้หนูจะเอาไปเปลี่ยนให้” ฉันเตรียมจะยกถาดออกไป
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยววุ่นวายเปล่าๆ หนูช่วยไปซื้อข้าวมาให้ฉันใหม่ได้มั้ย”
“ได้ค่ะ คุณยายอยากทานอะไรคะ” ฉันก้มดูนาฬิกา ยังเหลือเวลาตั้ง40นาทีกว่าจะขึ้นเวร คงไปซื้อให้คุณยายทัน
“ขอข้าวต้มหมูก็พอจ้ะ ไม่ใส่เลือดกับเครื่องในนะ” คุณยายบอก
“ได้ค่ะ ข้าวต้มหมูไม่ใส่เครื่องในกับเลือดนะคะ งั้นเดี๋ยวหนูมานะคะ” ฉันบอกคุณยายก่อนจะเดินออกมาเพื่อไปซื้อข้าวต้มให้ท่าน
“ข้ามต้มหมู หูยยยยย น่ากินจัง” ฉันมองข้าวต้มในมือในขณะที่กำลังรอลิฟท์
ห้องพักของคุณยายอยู่ชั้น 20 ซึ่งถือว่าเป็นชั้นที่มีเพียง2ห้องเท่านั้น ทั้ง2ห้องคืนนึงก็ตกคืนละ 50000 แหน่ะ แสดงว่าคุณยายคงรวยน่าดู แต่ตั้งแต่ที่ฉันไปเยี่ยมคุณยายยังไม่เห็นลูกหลานสักคน หายไปไหนกันหมดนะ ทำไมปล่อยให้คุณยายอยู่คนเดียวแบบนี้ ใช้ไม่ได้เลย
“ขอโทษนะครับ ลิฟท์นี้ใช้ไม่ได้ครับ” ระหว่างที่ฉันรอลิฟท์อยู่ก็มีผู้ชายชุดดำกลุ่มหนึ่งกันคนไม่ให้ใช้ลิฟท์
“ทำไมล่ะคะ หรือลิฟท์มันเสีย แต่เมื่อกี้ยังเห็นคนใช้อยู่เลยนะ” ฉันถามขึ้น
“เปล่าครับ พอดีบอสผมจะใช่ลิฟท์ตัวนี้” หนึ่งในผู้ชายที่ใส่ชุดดำตอบ
“ก็ใช้ด้วยกันสิคะ บอสของคุณตัวใหญ่ขนาดต้องใช้ลิฟท์คนเดียวเลยเหรอ” ฉันพูดตามความเป็นจริง
“บอสผมไม่ชอบใช้ของร่วมกับคนอื่นน่ะครับ ต้องขออภัยด้วย”
“นี่คุณ!! นี่มันของส่วนรวมนะ ถ้าไม่ชอบใช้ของร่วมกับคนอื่นก็ไปสร้างลิฟท์ใช้เองไป!” ฉันไม่โอเคนะคนประเภทนี้ เห็นแก่ตัว!!!!
“คุณอย่าหาเรื่องเลยน่า”
“ลิฟท์มีตั้ง3ตัวก็เลือกใช้สิ” ฉันขัดขึ้นมาก่อนจะชี้ไปที่ลิฟท์อีก 2ตัวที่อยู่ถัดไป
“บอสชอบขึ้นลิฟท์ที่อยู่ด้านขวามือ”
“-_-” มีคนแบบนี้ด้วยเหรอว่ะเนี่ย
“มีเรื่องอะไร!” ระหว่างที่ฉันกำลังคุยกับพวกชายชกรรณ์นับ10ชีวิตอยู่ก็มีผู้มาใหม่เข้ามาในวงสนทนา
“คุณพยาบาลคนนี้ เขาจะใช้ลิฟท์ตัวนี้ครับ” ชายที่ใส่ชุดดำโค้งให้ผู้ชายคนนั้นก่อนจะรายงานสถานการณ์
“นี่มันของส่วนรวมนะ จะมาบอกว่าชอบลิฟท์ตัวนี้ไม่ชอบตัวนี้ไม่ได้นะ” ฉันพูดออกไป
“?!” ผู้ชายคนนั้นหันหน้ามามองฉันนิ่ง ความสูงของสูงกว่าฉันมาก แววตา ท่าทางที่น่าเกรงขาม ใบหน้าที่มีการดูแลเป็นอย่างดี ทำเอาฉันขนลุกไปทั้งตัวเลย ทำไมรัศมีความน่ากลัวแผ่ออกมามากมายขนาดนี้
“คะ…คุณจะมาเอาแต่ใจตัวเองแบบนี้ไม่ได้…นะ” ฉันพูดกับผู้ชายคนนั้น
“เอาแต่ใจ?หึ!” ผู้ชายคนนั้นไม่พูดอะไรต่อแค่เค้นหัวเราะออกมาแค่นั้น ทำไมน่ากลัวแบบเน้!!!! T^T
ติ้ง!!
“นี่คุณ!!!” ทันทีที่ลิฟท์เปิดออกผู้ชายคนนั้นรวมถึงผู้ชายชุดดำก็เดินเข้าไปในลิฟท์หน้าตาเฉยก่อนที่หนึ่งในชายชุดดำจะกดปิดลิฟท์เพื่อไม่ให้ใครเข้าไปได้อีก
“เห้ย!!!เดี๋ยวดิ!” ฉันร้องตามลิฟท์ที่กำลังเคลื่อนขึ้นไป
“รออีกตัวก็ได้ว่ะ ชิ!! ข้าวต้มจะเย็นหมดแล้วเนี่ย!” ฉันบ่นออกมา ผู้ชายบ้าอะไรน่ากลัวชัด อย่าให้ได้เจอกันอีกเลย
ก๊อก! ก๊อก!ก๊อก!
“ขออนุญาตค่ะ คุณยายคะข้ามต้ม…..” ฉันพูดขออนุญาตคุณยายก่อนจะเปิดประตูเข้ามา….เจออีกแล้ว
“อ้าว!หนูข้าวมาพอดีเลย” คุณยายทักฉัน
“เจออีกแล้ว!” ผู้ชายคนนั้นพูดสั้นๆ
“คนเอาแต่ใจ!!” ฉันพูดขึ้น
“ทำงานกันยังไง ทำไมไม่รู้ว่าคนไข้แพ้กุ้ง!” ผู้ชายคนนั้นมองหน้าฉันอย่างคาดโทษก่อนจะพูดกับฉันด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ตาแพท! ยายบอกแล้วไงว่ายายไม่ได้บอกทางโรงพยาบาลเอง” คุณยายตอบแทนฉัน
“คุณยายไม่บอก ก็ควรถามไม่ใช่รึไง”
“ฉันขอโทษสำหรับข้อผิดพลาดค่ะ แต่คุณช่วยลดเสียงด้วยนะคะ นี่โรงพยาบาลนะ”
“ก็จะบอกว่าเสียงคุณมันดังไง รบกวนคนไข้เข้าใจมั้ยคะ” ฉันพูดตามความจริง
“ฉันไม่ชอบรับคำสั่งจากใคร” เขาตอบมาหน้านิ่งๆ
“ไม่ได้สั่ง! ขอร้องค่ะขอร้อง!” ฉันพูดด้วยความเหลืออด เป็นคนแบบไหนกันนะ
“เอาล่ะๆทั้ง 2 คนพอเถอะ ตาแพทหยุดว่าหนูข้าวได้แล้ว หนูข้าวช่วยยายไว้นะ” คุณยายห้ามทัพ
“ผมบอกคุณยายแล้วนะครับว่าอย่าออกไปข้างนอกคนเดียว เห็นมั้ยว่าเกิดอะไรขึ้น” ผู้ชายคนนั้นหันไปพูดกับผู้เป็นยาย
“เพราะคุณรึเปล่าที่ดูแลคุณยายไม่ดี คุณยายถึงออกไปข้างนอกคนเดียวแบบนี้” ฉันสวนกลับ
“ใครให้เธอพูด!”
“อยากพูด จะทำไม” ฉันพูดแล้วย่นจมูกใส่ด้วยท่าทีฮึดฮัด
“คิดว่าช่วยยายฉันไว้แล้วจะพูดแบบนี้กับฉันได้เหรอ”
“ไม่รู้ไม่ชี้! คุณยายคะหนูขอตัวไปทำงานก่อนนะคะได้เวลาขึ้นเวรหนูแล้ว” ฉันหันไปพูดกับคุณยายเพราะเห็นว่าอีกไม่กี่ยาทีก็ต้องขึ้นเวรตัวเองแล้ว
“ไปเถอะจ้ะ ขอบใจหนูข้าวมากนะ”
“เดี๋ยวหนูมาดูอาการคุณยายอีกรอบนะคะ นี่ข้าวต้มคุณยาย” ฉันยิ้มให้คุณยายก่อนจะยื่นถุงข้าวต้มให้อีตาแพทอะไรนั้น
“อะไร??”ทำหน้างงใส่อีก
“ทำหน้าที่หลานที่ดีหน่อยสิ จัดใส่ถ้วยให้คุณยายไง ไปแล้วเดี๋ยวขึ้นเวรไม่ทัน ไปแล้วนะคะ” ฉันยัดถุงข้าวต้มใส่มืออีตานั้นก่อนจะรีบวิ่งออกจากห้องไป ที่จริงฉันอยู่จัดใส่จานให้ก็ได้นะ แต่อยากแกล้งง่ะ หมั่นไส้!!!
“เด็กบ้า!!” แพททริคพูดขึ้นหลังจากที่ ข้าวสวย วิ่งออกไป
แพททริค เพอร์ซีย์ อะเรดันโด นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ที่สุดในเอเชีย และเจ้าของโรงแรมกว่า 100 แห่งในภูมิภาคอาเซียน รวมไปถึงหุ้นส่วน 70% ของโรงพยาบาลที่เขากำลังยืนอยู่นั้น เห็นทีว่าเขาคงจะเป็นที่รู้จักไม่มากนัก ถึงขนาดมีพยาบาลสาวสวยไม่รู้จักเขา แถมยังยืนว่าเขาฉอดๆ นอกจากคุณยาย พ่อแม่ที่เสียไปแล้ว ก็ไม่มีใครกล้าต่อปากต่อคำกับเขา เห็นทีว่าจะต้องยกเว้นให้คนนึงซะแล้ว
“ไม่มีใครกล้าต่อปากต่อคำกับฉัน” แพททริคพูดขึ้นมา
“ให้ผมจัดการยังไงดีครับ” สกาย มือขวาของแพททริค ถามขึ้น
“นี่แกจะทำอะไรหนูข้าว ตาแพท!” คุณยายถามหลานชายของตน
“แค่…อยากสอนให้เด็กคนนั้นรู้ว่า….อย่าต่อปากต่อคำกับคนที่อายุมากกว่าก็แค่นั้น” แพททริคพูดกับคุณยาย
“ยังไง?”
“หึ!คุณยายอยากมีพยาบาลส่วนตัวมั้ยครับ” แพททริคถามคุณยายของตัวเอง
แผนการที่จะแกล้งยัยเด็กบ้าอย่างข้าวสวยน่ะเหรอ? เขาได้คิดเอาไว้ในใจตั้งแต่ที่ข้าวสวยอ้าปากว่าเขาตั้งแต่คำแรกแล้ว…..
Talk : ประเดิมตอนแรกจ้าาาา เขียนได้เรื่องไม่ได้เรื่องยังไงบอกกันได้นะ จะไปปรุงปรุงนะ ^^
กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น