ฮีโร่ของชาติ
เสียงเชียร์ฟุตบอลนัดชิงชนะเลิศกำลังดังกึกก้องไปทั่วประเทศ ไม่เว้นแม้แต่ภายในห้องพักของสาวสวยอย่าง ชิตาพร นับถือสุข หรือ พิ้งค์ นักร้องสาวเสียงเพราะ ผู้หญิงหวาน ๆ หัวใจมุ้งมิ้ง ฟุ้งฟิ้ง อ่อนโยน จนไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างเธอจะชอบดูกีฬาฟุตบอลด้วย
“ลากไป ๆ ๆ...ยิงเลย ๆ...ยิง...เย้!!”
ชิตาพรถึงกับกระโดดตัวลอยพร้อมกับตุ๊กตาคิตตี้ตัวพอดีกอดในมือ เมื่อนักฟุตบอลดาวรุ่ง ขวัญใจมหาชน ลากลูกบอลบุกเดี่ยวฝ่ากองหลังของคู่แข่งในสนามเข้าไปยิงประตู ในนาทีสุดท้ายของช่วงการทดเวลาบาดเจ็บ นับเป็นการยิงประตูชัยให้กับทีมไทยได้สำเร็จ เสียงโห่ร้องแสดงความดีใจ ทั้งจากผู้ชมในสนามและหน้าจอโทรทัศน์ดังขึ้นพร้อมกัน นับเป็นการปิดฤดูกาลแข่งขันที่น่าประทับใจที่สุด
ก๊อก..ก๊อก..ก๊อก... เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ทำให้ชิตาพรต้องเบรคความปีติของตัวเองเอาไว้ชั่วคราวแล้วเดินไปเปิดประตู
“โห! ไอ้พิ้งค์ ถ้าฉันไม่รู้จักห้องแก ก็ไม่ต้องโทรถามเลยจ้า เสียงแกนะ มันดังออกไปบอกฉันตั้งแต่ฉันเดินเข้ามาที่หน้าอพาร์ทเม้นต์ของแกแล้ว” มัทรีบอกเพื่อนสาวเจ้าของห้อง ในขณะที่ถือถุงอาหารพะรุงพะรังเข้ามาในห้อง
“เสียงฉันดังออกไปขนาดนั้นเลยเหรอแก” ชิตาพรถามเสียงอ่อย กัดหูตุ๊กตาคิตตี้ในมือแก้เขินไปด้วย
“ก็เออน่ะสิ ไม่รู้ตัวเลยละสิ”
“แฮ่ ๆ” หญิงสาวเจ้าของห้องยิ้มแหยอย่างรู้สึกผิด ในขณะที่เดินกอดตุ๊กตาคิตตี้ตามเข้ามาดูของที่มัทรีซื้อเข้ามา “แล้วนี่แกซื้ออะไรมาเยอะแยะเลยอ่ะ”
“ของกินไง ฉันเดาเอา ว่าแกคงยังไม่ได้กินอะไร เพราะมัวแต่จ้องทีวีดูบอลอยู่นี่ไง” มัทรีวางของกินทั้งหมดไว้ที่โต๊ะอาหาร ในขณะที่ตอบเพื่อน
“แกนี่ น่ารักที่สุดเลย รู้ใจจริง ๆ”
ชิตาพรยิ้มกว้าง รีบเอาตุ๊กตาคิตตี้ของเธอไปวางไว้ที่โซฟา ก่อนจะวิ่งไปที่มุมครัวเล็ก ๆ ของห้อง หยิบจานชามมาเทอาหารใส่
“ใจเย็น ๆ แก พอเห็นของกินละทำเป็นหิวขึ้นมาเลยนะ อยู่ได้มาครึ่งวันไม่ยักหิว ถ้าฉันไม่รู้จักแกมาก่อนนี่ฉันไม่เชื่อเลยนะ ว่าแกจะบ้าบอลได้ขนาดนี้ ดูซิออกจะหวานฟุ้งฟิ้งไปทั้งห้องขนาดนี้”
มัทรีส่งเสียงบอกในขณะที่ไปนั่งลงบนโซฟาตัวสีชมพู แล้วหยิบตุ๊กตาของเพื่อนขึ้นมากอดไว้แทนเจ้าของ สายตามองสำรวจไปรอบ ๆ ห้อง ก็เห็นแต่สีชมพูกับสีขาว สลับกันกระจายอยู่ทั่วห้อง ไม่ว่าจะเป็นผ้าม่านสีชมพู โต๊ะ ชั้นวางของ ตู้เสื้อผ้า ตู้เย็น เตาไมโคเวฟ จานชาม ทุกอย่างถูกตกแต่งไว้ด้วยสีชมพู ไม่ว่าจะเป็นผ้าคลุม สติ๊กเกอร์ หรืออุปกรณ์ตกแต่งต่าง ๆ และถ้าจะมีลวดลาย ก็จะเป็นลายคิตตี้ ส่วนตุ๊กตาคิตตี้นี่ไม่ต้องพูดถึง ตัวเล็กตัวใหญ่กระจายอยู่ทั่วห้อง ไม่ว่าจะหันมองไปทางไหนเป็นต้องได้เจอ
“ไม่ได้หวานแต่ห้องนะคะ คนก็หวาน ไม่เชื่อลองมาชิมดูสิ ฮ่าฮ่า” ชิตาพรพูดจบก็ขำมุกตัวเอง “เรื่องฟุตบอลนี่แกต้องไปโทษพ่อกับพี่ชายของฉันเลย เชียร์บอลกรอกหูฉันมาตั้งแต่เด็ก ๆ เลยจ้า ฉันจำได้ว่าตอนนั้นรำคาญมากนะ แต่ก็ไม่รู้จะหนีไปไหน เลยดูด้วยซะเลย ดูไปดูมาก็เลิกรำคาญเปลี่ยนเป็นสนุกแทน คราวหลังแกก็มาดูกับฉันสิ ยิ่งดูกันหลายคนก็ยิ่งสนุก แกจะได้รู้ไงว่าฟุตบอลนี่มันมีเสน่ห์ยังไง”
“เอาเถอะจ้ะ ตามสบาย ฉันยังไม่อยากบ้าแบบแกไปด้วยอีกคน อะไรก็ไม่เป็นอันทำ ต้องมานั่งเฝ้าหน้าจออยู่อย่างนี้ไง ฉันละเชื่อเลย..ดูถึงขนาดข้าวปลาไม่ลงไปหากิน”
“ก็มันติดพันนี่นา ลงไปแล้วกลัวกลับขึ้นมาดูไม่ทัน”
“เฮ้ย! ไอ้พิ้งค์สรุปแกดูบอลหรือแกดูนักฟุตบอลวะ หล่อ ๆ ทั้งนั้นเลยอ่ะ โห..เพิ่งรู้ว่านักฟุตบอลนี่เขาหล่อกันขนาดนี้เลย” มัทรีส่งเสียงดังขึ้น ในขณะที่สายตาจับจ้องไปที่หน้าจอทีวีไม่กะพริบ
“ฮ่าฮ่าฮ่า ดูทั้งสองอย่างสิ ก็ดูนักฟุตบอลเล่นบอลไง นี่แกเริ่มอยากดูบอลบ้างแล้วใช่ป่ะล่ะ”
“เออ ถ้านักฟุตบอลจะหล่อขนาดนี้ มันก็น่าดูอยู่นะแก อิอิ นั่น ๆ แก เบอร์เจ็ดชื่ออะไรอ่ะแก”
มัทรีชี้ไปที่นักเตะที่กำลังแจกลายเซ็นให้กับคนที่เข้าไปเชียร์ในสนามอยู่ หลังจากจบเกมส์การแข่งขัน ซึ่งโทรทัศน์ยังคงถ่ายทอดบรรยากาศในสนามให้ดูต่ออีกนิดหน่อยเท่าที่เวลาการถ่ายทอดสดยังเหลือ ถึงแม้จะมีการขึ้นชื่อผู้สนับสนุนมาบังภาพอยู่บ้างก็ตาม
“เบอร์เจ็ดเหรอ ชื่อกริช กรกริช นพสว่าง หล่อใช่ไหมล่ะ สุด ๆ อ่ะคนนี้ สเป็คฉันเลย ถ้าได้มาเป็นแฟนนะ จะไม่ปล่อยให้หลุดมือเลยแหละ อิอิ”
“แหม ถ้าจะหล่อขนาดนี้ ก็ไม่น่าปล่อยหรอกนะ”
“คือแต่ตอนนี้แค่จับก็ยังไม่ได้ไง อย่าว่าแต่ปล่อยเลย ชาตินี้ไม่รู้ว่าจะได้โคจรมาเจอกันตัวเป็น ๆ หรือเปล่าเลย ฮ่าฮ่า ฉันก็ฝัน ๆ ไปอย่างนั้นแหละ”
“เออ ปล่อยไป เรื่องของความฝัน เอาเรื่องของความเป็นจริงดีกว่า คืนนี้แกต้องไปร้องเพลงหรือเปล่า” มัทรีละสายตาจากหน้าจอโทรทัศน์ หันกลับมามองเพื่อนสาวของเธอแทน
“ไปสิ ไม่ไปทำงานจะเอาที่ไหนกินที่ไหนใช้ล่ะ ฉันไม่ได้มีคนเลี้ยงนะแก” ชิตาพรตอบกลับในขณะที่เดินเข้าไปหยิบจานและช้อนออกมาเพิ่มอีกสองชุด “มาแก เสร็จแล้ว มากินด้วยกัน แกซื้อมาขนาดนี้ ก็มากินเป็นเพื่อนฉันเลย..มาเร็ว”
“แล้วแกจะว่างวันไหนล่ะ มีคนรอเลี้ยงอยู่เนี่ย ฉันไม่กล้าไปคนเดียวอ่ะ แกต้องไปเป็นเพื่อนฉันด้วย” มัทรีตอบกลับ ในขณะที่ลุกขึ้นมานั่งที่โต๊ะอาหารอย่างว่าง่าย
“ฮั่นแน่! ใครอ่ะแกที่หลงผิด ฉันเคยเจอแล้วยัง?”
“ยัง คนนี้เพิ่งรู้จักกัน ฉันเองก็ยังไม่เคยเจอตัวเป็น ๆ ของเขาเลย มีแต่รูปที่ส่งมาให้ดู”
“ว้าว! ตื่นเต้นแทนเลยอ่ะ แล้วไปรู้จักกันยังไงล่ะ อย่าบอกนะว่าเขาโทรเข้าคอลล์เซ็นเตอร์ แล้วหลงเสียงนางอย่างนั้นเหรอ?”
“อืม ก็ประมาณนั้นมั้ง” มัทรีตอบกลับอ้อมแอ้ม ออกอาการเขินอายอย่างเห็นได้ชัด สีจากบลัชออนยังแดงสู้สีแดงที่เกิดขึ้นจากความเขินอายของเธอไม่ได้ ทั้งนี้เพราะมัทรีทำงานเป็นสาวคอลล์เซ็นเตอร์ อยู่บริษัทบัตรเครดิตแห่งหนึ่ง
“แล้วเขาส่งรูปมาให้แกดูบ้างป่ะ? มีรูปไหม ฉันอยากเห็น”
“อืม...” มัทรีพยักหน้าตอบรับหงึก ๆ
“หล่อป่ะ? ว่าที่เพื่อนเขยของฉันเนี่ย เอามาส่องกันบ้างสิ” ชิตาพรทำเสียงเล็กเสียงน้อยขอดูรูปของชายหนุ่มที่หลงเสียงเพื่อนสาวจนต้องนัดพบกัน ซึ่งมัทรีก็หยิบโทรศัพท์มือถือของเธอออกมาเปิดรูปแล้วส่งให้เพื่อนรักดู
“เฮ้ย! แก..หล่อนี่หว่า ใช้ได้นะจ๊ะ เรื่องหน้าตาผ่านมาก ถ้าเขาใช้รูปตัวเองนะแก ฮ่าฮ่า”
“แล้วเขาจะส่งรูปคนอื่นมาให้ฉันดูทำไมกันเล่า” มัทรียื่นมือไปดึงรูปกลับทันที ถึงแม้ว่าปากจะพูดดังหนักแน่น แต่ว่าในใจก็แอบหวั่นว่าชายหนุ่มที่นัดเธอจะหลอกเอาเช่นกัน
“ถ้าแกมั่นใจ จะมาเสียงดังใส่ฉันทำไมเนี่ย ถ้าเป็นอย่างที่แกมั่นใจมันก็ดี หน้าตาผ่าน แล้วเรื่องอื่นไม่รู้เป็นไงบ้าง ยังไงก็ทำใจเผื่อไว้หน่อยนะแก ดูท่าแกจะเริ่มหลงรูปเขาแล้วนะ”
“เรื่องการเงินก็ไม่มีปัญหานะแก ฉันแอบเช็คประวัติการเงินของเขาแล้ว บัตรเครดิตของเขานะ วงเงินเป็นล้านจ้า ไม่มีประวัติชำระล่าช้าหรือบัญชีผิดปกติด้วย”
กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น