งานใหม่ของดอกแก้ว
ในยุคที่เศรษฐกิจฝืดเคืองเช่นนี้ คนร่ำรวยคงไม่ได้รับผลกระทบกันเท่าใดนัก หากแต่คนยากจนหาเช้ากินค่ำที่ต้องปากกัดตีนถีบนี่สิ ใช้คำว่าเลือดตาแทบกระเด็นก็คงไม่ผิดนัก อย่างเช่น ‘ดอกแก้ว งามจิตกร’ หญิงสาวอายุ 22 ปี ที่พ่อของเธอเพิ่งจะเสียชีวิตไปจากอุบัติเหตุบนท้องถนน ปล่อยให้เธอต้องรับภาระดูแลอีกสามชีวิตที่เหลือในบ้านเช่าหลังเล็ก ๆ
“น้าจอยพอจะมีงานอะไรให้หนูทำบ้างไหมคะ พอดีว่าร้านที่หนูไปทำอยู่ตอนค่ำเขาเลิกกิจการแล้วค่ะ ตกงานเลยตอนนี้” ดอกแก้วส่งเสียงใส ๆ ถามน้าสาวของตัวเองเกี่ยวกับงานพิเศษ
“แก้วเอ๊ย! เอ็งไม่คิดจะพักบ้างหรือไงวะ กลางวันทำงาน กลางคืนก็ทำงาน วันหยุดก็ไปเรียน เอ็งเอาเวลาที่ไหนพักผ่อนวะ น้ารู้..ว่าเอ็งต้องหาเงินมาส่งให้น้องสองคนของเอ็งเรียน แต่ว่าถ้าทำจนไม่ได้พัก ร่างกายเอ็งมันจะรับไม่ไหวเอานา แล้วถ้าถึงเวลานั้นน้องเอ็งแม่เอ็งจะลำบากมากเข้าไปอีกนะ” โสพิศหรือจอยส่งเสียงเตือนหลานสาวด้วยความเป็นห่วง
“ขอบคุณค่ะน้าจอย แต่หนูไหวหนูไม่เป็นไรหรอก งานตอนกลางวันที่ร้านกาแฟก็ไม่ได้หนักหนาอะไรมาก หนูยังเหลือแรงไว้ทำตอนกลางคืนอยู่ค่ะ” เด็กสาวที่มองโลกในแง่ดียิ้มกว้างตอบน้าสาวของตนเอง
“เออ..เอ็งเก่ง เอาเป็นว่าเดี๋ยวน้าจะไปถามงานที่คอมเพล็กซ์ให้แล้วกันนะ แต่อันที่จริงเอ็งจะไปกับน้าเลยไหมล่ะ คอมเพล็กซ์ตั้งใหญ่มีตั้งหลายส่วน มันต้องมีงานให้เอ็งทำสักงานสิวะ ถ้าเอ็งไม่เลือกงานล่ะได้ทำแน่ แค่ไม่ต้องไปทำอยู่ส่วนเดียวกับน้าเป็นพอ”
เพราะงานที่น้าจอยของดอกแก้วทำอยู่นั้น คือสาวขายบริการ ในวัยสามสิบต้น ๆ แต่ความสวยความขาวของเธอนั้นยังคงเป็นที่หมายปองของชายหนุ่มผู้มาแสวงหาความสำราญจากนอกบ้าน และคอมเพล็กซ์ที่โสพิศพูดถึงนั้นก็คือ ลูฟี่คอมเพล็กซ์ สถานบันเทิงครบวงจรขนาดใหญ่ ที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ทำเลทองที่ใคร ๆ ก็ปรารถนาอยากจะได้ไปครอบครอง
“ไปค่ะ..ไป” น้ำเสียงกระตือรือร้นของดอกแก้วดังตอบน้าของเธอทันที รอยยิ้มสดใสอย่างคนมีความหวังฉายชัดบนใบหน้าของเด็กสาว
ใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมงจากบ้านของโสพิศ ทั้งสาวน้อยสาวใหญ่ก็มาถึง ลูฟี่คอมเพล็กซ์ จุดมุ่งหมายในการทำงานของทั้งสองคน ดอกแก้วรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับสถานที่จริงที่เธอเคยได้ยินแต่ชื่อมานานแล้ว เพิ่งจะได้มาเห็นของจริงก็ตอนนี้นี่เอง ตึกสูงใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ทำให้ดอกแก้วรู้สึกว่าตนเองเป็นมดไปเลยทีเดียว
“โอ้โห! น้าจอยทำไมมันใหญ่โตขนาดนี้ล่ะ” หญิงสาวแหงนเงยจนคอเกือบตั้งบ่ามองความสูงใหญ่ของตึกด้วยความสงสัย ไม่อยากเชื่อว่าในทำเลทองย่านเศรษฐกิจใจกลางกรุง ที่พื้นที่ทุกตารางนิ้วนั้นเป็นเงินเป็นทองทั้งสิ้น แต่กลับมีคนสามารถซื้อที่แล้วสร้างตึกได้ใหญ่โตมโหฬาร จนเธอคิดว่าใช้เวลาหนึ่งเดือนก็ไม่รู้ว่าจะเดินทั่วทุกซอกทุกมุมหรือไม่
“เป็นยังไงล่ะ น้าไม่ได้พูดเว่อร์นะโว้ย ของเขาใหญ่จริง” โสพิศยิ้มให้กับหลานสาวอย่างนึกเอ็นดู “โห..เชื่อเลยน้า หนูเชื่อแล้ว โคตรใหญ่เลยอ่ะ” ดอกแก้วยังคงแหงนเงยกวาดสายตามองตึกสวยไปจนทั่ว
“ไป..เข้าไปข้างในกันได้แล้ว เดี๋ยวน้าจะลองพาเอ็งไปฝากกับผู้จัดการไนท์คลับดูก่อน คนนี้น้ารู้จัก เคยมาใช้บริการน้าอยู่ว่ะ ฮ่าฮ่า แต่ที่สำคัญคือ ที่นี่ดูดีมีแต่พวกไฮโซทิปหนักกันทั้งนั้น แต่ถ้าเป็นบาร์ที่โซนฝั่งตะวันออกนั่น ส่วนใหญ่จะเป็นพวกวัยรุ่นขาแดนซ์” พูดจบโสพิศก็เดินโอบไหล่หลานสาวพาเข้าไปด้านในตัวตึก
“จริงนะ น้าจอย” ดอกแก้วถามด้วยความตื่นเต้น ดวงตาลุกวาวทันทีที่ได้ยินคำว่าทิปหนัก
“อะไรจริงของเอ็งวะ”
“ก็ที่ว่าทิปหนักไง”
“เออ ก็คนที่ทำอยู่เขาว่ากันอย่างนั้นนะ” คำตอบของน้าสาวทำให้ดอกแก้วถึงกับยิ้มอย่างมีความหวัง
“น้าจอย แต่มันกว้างจริง ๆ นะ คนที่เขาทำงานอยู่ที่นี่เขามีหลงทางกันบ้างไหมน้า” ดอกแก้วชวนน้าของตนเองพูดคุยในระหว่างที่เดิน
“ฮ่าฮ่า ใหม่ ๆ ก็เป็นกันทั้งนั้นล่ะ อยู่ไปนาน ๆ ก็ชินเอง ทำงานอยู่ส่วนไหนชั้นไหนก็เดินตรงกันไปที่นั่นเลย อย่าเดินออกนอกเส้นทาง ถึงอยู่นานแล้วก็หลงได้อีกเหมือนกันว่ะ”
“อืม หนูเชื่อค่ะ”
โสพิศพาดอกแก้วเดินขึ้นมาที่ชั้นสองของตึกทางด้านฝั่งตะวันตก เป้าหมายคือลูฟี่ไนท์คลับ ที่มีคุณบวรเป็นผู้จัดการ
“น้องจ๋า คุณบวรมาหรือยังจ๊ะ” เสียงของโสพิศดังขึ้นเพื่อถามพนักงานที่กำลังจัดโต๊ะอยู่ในนั้น
“มาแล้วค่ะพี่ อยู่ในห้องทำงานโน่นน่ะค่ะ” พนักงานสาวพยักเพยิดหน้าไปทางช่องทางเดินข้าง ๆ บาร์น้ำ
“ขอบใจมากจ้ะ” โสพิศมองตามก่อนจะหันกลับมาขอบใจผู้ที่บอกทางให้ แล้วจึงหันไปบอกหลานสาวของตนเองบ้าง “ไปแก้ว..”
ดอกแก้วเดินตามน้าของตนเองไปตามทางที่พนักงานบอก ระหว่างทางหญิงสาวก็สอดส่ายสายตามองสำรวจไปทั่วบริเวณของไนท์คลับ ซึ่งก็พบว่าการตกแต่งจัดร้านดูเป็นแบบโมเดิร์น มีสไตล์ วัสดุที่นำมาตกแต่งก็ดูแปลกตา อย่างที่เธอไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน จนหญิงสาวนึกชื่นชมความคิดของคนออกแบบ
กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น