จากนิยาย(วาย)สู่สถานที่จริง ตามรอย... “โผล่”
สวัสดีค่ะ เพื่อนๆ ชาวธัญวลัยที่รัก กำลังติดนิยายเรื่องไหนในธัญวลัยกันอยู่รึเปล่าคะ ธัญวลัยยอมรับนะว่านิยายบางเรื่องนี่มันสนุกจริงๆ สนุกจนติดงอมแงม จนอยากจะกระโดดเข้าไปอยู่ในนิยายเองเลย ถ้าทำได้น่ะนะ แถมบางเรื่องก็เขียนออกมาได้สมจริง ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินเรื่อง ตัวละคร การใช้ชีวิต ฉากต่างๆ ชนิดที่เราต้องร้องว่า
“เฮ้ย! ตัวละครมันมีตัวตนจริงๆ ปะเนี่ย”
แล้วอยากทราบไหมคะว่า อะไรคือสิ่งที่ทำให้นิยายดูเรียลและสมจริงได้ปานนี้
คำตอบคือ... ประสบการณ์ค่ะ นักเขียนที่ดีควรมีความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับสิ่งที่เขียน ถึงจะเป็นงานสายแฟนตาซี เราก็สามารถทำให้งานเขียนของเราสมจริงได้ด้วยการหาข้อมูลหาความรู้ และวางโครงเรื่องโดยมีการอ้างอิงอย่างดี หรือถ้ามาจากการจินตนาการของเราก็ควรจินตนาการอย่างสมเหตุสมผลไม่ใช่นั่งเทียนเขียนขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
แล้ววันนี้ธัญวลัยก็มีนิยายเรื่องหนึ่งซึ่งนับว่าเป็นต้นแบบที่ดีจากการนำความรู้ ประสบการณ์ที่ตัวเองมีมาสร้างสรรค์ร้อยเรียงเป็นเรื่องราว นั่นก็คือเรื่อง...
>> โผล่<< เขียนโดยเจ้าของนามปากกา 27 Degree (http://www.tunwalai.com/story/38332)
ซึ่งชาวธัญวลัยหลายคนอาจรู้จักนิยายเรื่องนี้ หรืออาจผ่านตามาบ้างเพราะชื่อเรื่องที่สั้นสะดุดตา แปลกกว่าใคร แม้จะเป็นนิยายวาย แต่ก็แทบเดาธีมเรื่องจากชื่อเรื่องไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ชนิดที่ว่าเห็นครั้งเดียวคงจำได้ แต่สำหรับอีกหลายคนที่ยังไม่รู้จักก็ลองเข้าไปอ่านกันได้นะคะ อยากอ่าน >> คลิก << เลยค่ะ
ก่อนอื่นธัญวลัยขอเกริ่นถึงนิยายเรื่องโผล่สักเล็กน้อยเผื่อคนที่ยังไม่รู้จักจะได้ทราบว่า โผล่ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร
โผล่ เป็นนิยายที่นักเขียนจำกัดความว่าเป็นแนว Love Comedy + Slice of life ยังสงสัยอยู่ใช่มั้ยว่ามันคือแนวอะไรกันแน่ เอาเป็นว่าธัญวลัยจะอธิบายสั้นๆ ว่ามันคือ รักเบาๆ ใสๆ ในชีวิตประจำวันค่ะ (แต่วงเล็บไว้เลยว่าไม่ไร้สาระ!)
ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดจะมุ่งเน้นไปที่การดำเนินชีวิตประจำวันของนิสิต ปี 3 คณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิศวกรรมการบินและอวกาศ ผู้มีนามว่า ลูกโป่ง แต่ชีวิตประจำวันของลูกโป่งก็ไม่ได้ราบรื่นปูพรมด้วยกลีบกุหลาบอย่างที่คิด เพราะลูกโป่งต้องจับพลัดจับผลูกลายมาเป็น ประธานชุมนุมนิสิตภาควิชาวิศวกรรมการบินและอวกาศ (แอโร่คลับ) และทำหน้าที่รับผิดชอบการดำเนินกิจกรรมของภาคอย่างช่วยไม่ได้
ด้วยเหตุนี้เองทำให้ลูกโป่งได้ประสบการณ์ใหม่ เชื่อมสัมพันธ์กับผู้คนใหม่ๆ โดยเฉพาะกับนายกสโมสรนิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ ที่บอกคนอื่นว่าตัวเองชื่อ โหล และ พายุ หนุ่มน้อยอารมณ์ดีจากวิศวกรรมการบินและอวกาศ ภาคอินเตอร์ ที่เหมือนจะสนใจลูกโป่งเป็นพิเศษ
เอาล่ะค่ะ น่าจะพอเห็นภาพแล้วว่าเรื่องโผล่ เป็นนิยายที่มีธีมเรื่องแนวไหน ซึ่งฟังๆ ดูแล้วก็เหมือนจะเป็นนิยายธรรมดา แต่ที่เป็นจุดเด่นของนิยายเรื่องนี้คือ ตัวละครทุกตัวเขียนออกมาได้อย่างมีมิติราวกับมีชีวิตจริงๆ ฉากที่ปรากฏในเรื่องมีอยู่จริง ซึ่งนั่นเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยเสริมให้นิยายเรื่องนี้ดูสมจริง และมีเสน่ห์มากขึ้น
และวันนี้ธัญวลัยก็มีภาพจากสถานที่จริงที่ปรากฏเป็นฉากในนิยายมาฝากเพื่อเอาใจแฟนๆ เรื่องโผล่ หรือคนที่กำลังตัดสินใจจะเข้าไปอ่านให้ได้เห็นภาพฉากมากขึ้น มาเริ่มกันเลยค่ะ
ฉากหลักของเรื่องคือ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน นั่นเองค่ะ
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน ซึ่งตั้งอยู่เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร
เป็นมหาวิทยาลัยที่ตัวละครเอกของเรื่องเรียนอยู่ค่ะ
ธัญวลัยจะพาเข้าไปชมด้านในนะคะ อาจมีสปอยล์เรื่องนิดหน่อย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน เป็นมหาวิทยาลัยที่กว้างมาก แต่บรรยากาศร่มรื่นมากทีเดียวค่ะ
เรามาดูในฉากที่ปรากฏในเรื่องกันบ้าง พามาชมตึกเรียนกันก่อนนะคะ เริ่มที่ คณะวิศวะของม.เกษตรฯ บางเขน มีหลายตึกค่ะ แต่เราจะพูดถึงสถานที่แรกที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราว นั่นก็คือ ห้องสโมสรนิสิต ใน ตึกสโมสรนิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์
เหตุการณ์เส็งเคร็งนี่มันเกิดขึ้นเมื่อเย็นตอนไปประชุมสโม เพราะเนื่องจากว่าภาคผมมันไม่ลงรอยกันเรื่องเลือกประธานในภาควิชาซักที ทุกคนเกี่ยงกันหมด เพราะไอ้หน้าที่ตรงนี้มันไม่มีใครอยากทำหรอกครับ มันเหนื่อย ไม่คุ้มด้วย พูดง่ายๆ แม่งไม่ค่อยมีผลประโยชน์ต่อการเรียนอ่ะ
บทความคัดจากตอนโผล่ที่ 1
ผมเดินออกจากตึกสโมลัดไปทางลานเคม และตัดไปตึกภาคคอม รถเบนซ์คันสีขาวของไอ้โหลจอดเด่นหราสังเกตง่ายมาแต่ไกล ไอ้โหลเดินตรงไปที่รถแล้วหยิบพวงกุญแจที่แสนคุ้นเคยโยนมาให้ผมรับ
บทความคัดจากตอนโผล่ที่ 17
ขอโทษจริงๆ นะคะที่ธัญวลัยไม่สามารถเก็บภาพห้องสโมสรนิสิตมาได้ ทีมงานเป็นคนนอกจะเข้าไปข้างในก็กระไรอยู่ จึงได้ภาพมาแค่ตึกสโมสรนิสิต
บางภาคของคณะวิศวะมีตึกแยกเป็นของตัวเองด้วยค่ะ อย่างเช่นภาควิศวกรรมเคมี ที่ โหล ตัวเอกอีกคนของเรื่องเรียนอยู่ และนี่คือภาพตึกภาควิชาวิศวกรรมเคมีค่ะ
“ไม่รู้สิ แต่ถ้าจำไม่ผิดโหลมีเรียนบ่ายอ่ะ ลองไปดูที่ตึกเคมสิ เผื่อจะเจอ” ผมก้มหัวขอบคุณให้ผู้มาเยือน ซึ่งเธอคนนี้ก็มาเร็วไปเร็วเหมือนกัน นี่ก็เหมือนมาเอาของอะไรซักอย่างแล้วก็เดินออกจากห้องไป
จะให้ผมเดินไปหาที่ตึกเคมเหรอ ห้องมันเยอะจะตายห่า มีตั้งหลายชั้น เดินกันขาลากพอดี และเอาเข้าจริงๆ ผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะไปหาโหลหรอก
บทความคัดจากตอนโผล่ที่ 3
ตึกนี้ใหญ่มีหลายชั้นจริงๆ นั่นแหละค่ะ ที่หน้าตึกมีลานกว้างอยู่ซึ่งเด็กวิศวะเรียกกันว่า ลานเคม
ขบวนแถวเด็กแอโร่กำลังเดินไปลานหน้าตึกเคมี พวกผมเรียกว่า ‘ลานเคม’ เป็นลานที่เรียกรวมพลเด็กปีหนึ่งก่อนที่จะขึ้นไปยังห้องเชียร์อันแสนศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งก่อนจะเข้าห้องก็มีการตรวจระเบียบเครื่องแต่งกาย หรือจุดตรวจอะไรก็ว่าไป ผมเองก็จำอะไรไม่ค่อยได้เหมือนกัน
บทความคัดจากตอนโผล่ที่ 6
ต่อไปพามาที่แหล่งอาหารการกินของชาววิศวะค่ะ ซึ่งเรียกกันว่า บาร์วิศวะ อยากจะบอกว่าที่นี่เป็นฉากที่ โหลและพายุเจอกันครั้งแรกค่ะ ซึ่งคู่นี้ก็ประกาศสงครามกันเบาๆ โดยที่ตัวต้นเหตุจุดชนวนสงครามก็นั่งอยู่ด้วย แต่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย
ผมได้แต่ยักไหล่ให้พี่เอิงก่อนที่จะเดินไปบาร์วิศวะข้างล่าง เออ... ไหนๆ ก็มาแล้ว หาข้าวกินดีกว่า แฮมเบอร์เกอร์เมื่อกี้ก็ไม่ได้อิ่มอะไรเลย
...
พายุนั่งลงข้างๆ ผม ส่วนไอ้โหลก็ลุกขึ้นพอดี “คนนี้ใครอ่ะโป่ง” แล้วจู่ๆ พายุก็หน้าหงิกลง ส่วนโหลมันหน้านิ่งอยู่แล้ว ช่างมัน
ผมมองไปรอบๆ จนเห็นไอ้โหลมันเดินดูดชาเขียวเดินมาตรงทางเชื่อมบาร์วิศวะกับอาคารสามชั้น มันหันมามองผมพร้อมกับโบกมือที่กำมือถือไว้แน่น ก่อนที่ข้อความอีกข้อความจะเด้งขึ้นมาอีกรอบ
กินยาด้วย :)
บทความคัดจากตอนโผล่ที่ 4
คราวนี้มาดูบรรยากาศรอบๆ คณะบ้างค่ะ ถึงคณะวิศวะจะมีตึกเยอะ แต่ก็ร่มรื่นน่านั่งพักผ่อนหย่อนใจมาก โดยเฉพาะสวนที่เรียกว่า สวนโย ซึ่งเป็นลานกว้างหลังตึกภาควิศวกรรมโยธาค่ะ มีลมพัดโชยเย็นๆ ด้วย บรรยากาศดีมากจริงๆ ซุ้มกาแฟที่เห็นนั่นก็คือซุ้มกาแฟในเรื่องนั่นแหละค่ะ
ลานโยธากับสวนโยธามันคือสถานที่เดียวกัน ลานกว้างนี้มันอยู่หลังตึกโยธาครับ ความพิเศษของมันคือ มันที่มีตู้สูบบุหรี่กับต้นไม้ใหญ่หลายต้นคอยให้ร่มเงากับคนสูบบุหรี่ และคนลงมาซื้อกาแฟตรงลานโย เนื่องจากมันร่มรื่นมาก พวกผม... เอ่อ ไม่สิ เด็กทั้งคณะเลยเรียกไอ้ลานนี้ว่าสวนโยแทน
บทความคัดจากตอนโผล่ที่ 6
มาถึงตึกหลักของคณะวิศวะ เป็นตึกที่มีจำนวนชั้นมากที่สุด เขาเรียกกันว่า ตึกสิบสามชั้น ภาคแอโร่ของลูกโป่งและพายุก็อยู่ตึกนี้ค่ะ เนื่องจากภาคแอโร่ไม่มีตึกเป็นของตัวเองเหมือนภาคอื่นๆ ซึ่งถ้าใครเคยอ่านเรื่องโผล่จะมีฉากที่ลูกโป่งบ่นอุบอิบในใจถึงภาคตัวเองเหมือนกัน
ผมเดินออกมากินข้าวอีกครั้งตอนช่วงสี่โมงเย็น ก่อนที่จะกลับตึกภาควิชาไป ผมจะบอกว่าภาคแอโร่ของผมมันคือภาคเมียน้อย ไม่มีตึกเหมือนภาคอื่นๆ หรอกครับ ถ้าอยากมีจริงๆ นู่นเลย กลับศรีราชาแดนสับปะรดได้มีตึกเป็นของภาควิชาสมใจอยากแน่ แต่ได้ข่าวว่ามันจะโดนเวนคืนไปสร้างตึกใหม่ให้คณะอะไรก็ไม่รู้
สรุปนะ สรุปคือภาคผมมันอนาถาเพราะใช้ตึกรวมกับคนอื่น ทั้งๆ ที่นิสิตในภาคผมก็เยอะกว่าพวกวัสดุตั้งเยอะ
บทความคัดจากตอนโผล่ที่ 1
และนี่คือภาพตึกสิบสามชั้นค่ะ
“อ้าว... โป่ง” ผมเจอไอ้พายุที่หน้าร้านเครื่องเขียนตรงตึกสิบสามชั้น ไอ้พายุใส่ชุดไปรเวตยืนดูดชานมปั่นพร้อมส่งยิ้มให้ผม ผมยิ้มทักทายมันแบบขอไปที ก่อนที่จะเดินขึ้นตึก
บทความคัดจากตอนโผล่ที่ 9
เราเข้ามาในตึกสิบสามชั้นกันนะคะ ซึ่งอย่างที่บอกว่าภาคแอโร่อยู่ในตึกนี้ และด้วยความสามารถ ธัญวลัยก็พยายามไปหาภาพภายในมาให้ดูจนได้
พอวิ่งเข้าลิฟต์ที่ตึก 13 ชั้นได้ ทุกอย่างก็เข้าสู่สภาวะเงียบ ผมมองตัวเลขที่วิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ แบบไม่จอดที่ชั้นไหนเลย จนมาจอดชั้น 11 ที่เป็นถิ่นผมเอง
บทความคัดจากตอนโผล่ที่ 14
บรรยากาศห้องเรียนดูมีสีสันมากเลยค่ะ ซึ่งภาพเหล่านี้ได้มาจากชั้น 12 นะคะ นิสิตภาคนี้เขาตั้งใจเรียนกันน่าดู ใครสนใจอยากเรียน ลองถามลูกโป่งดูนะคะ
พอเดินทะลุ ลัดๆ ออกมาหน่อย เราก็จะเจอสถานที่อีกฉาก ซึ่งเป็นจุดเกือบจะเกิดดราม่าขึ้นระหว่างลูกโป่งกับโหล นั่นก็คือ สนามบาส
“งั้นก็ไปเอากุญแจด้วยกัน รถจอดตรงสนามบาสเอง”
ผมยังยืนอยู่ที่เดิม หากแต่ไอ้โหลก้าวออกจากห้องไปแล้ว เรื่องที่ผมจะคุยอะไรกับมันนี่ลืมหมด ลืมไปหมดเลย เคยเป็นมั้ยครับ มันคือความโกรธสับสน แต่พอมาเจอต้นเหตุ ก็กลับนึกอะไรไม่ออกแล้วมองตัวต้นเหตุเดินฉุยฉายออกไปซะอย่างนั้น
“ไหนบอกว่ารีบไง มาดิ” ไอ้โหลเปิดประตูห้องอีกครั้งเพื่อเรียกผมให้เดินตามมันลงไป ผมเอื้อมมือไปปิดสวิตช์แอร์กับไฟให้หมด ก่อนเดินออกจากห้อง
ผมเดินออกจากตึกสโมลัดไปทางลานเคม และตัดไปตึกภาคคอม รถเบนซ์คันสีขาวของไอ้โหลจอดเด่นหราสังเกตง่ายมาแต่ไกล ไอ้โหลเดินตรงไปที่รถแล้วหยิบพวงกุญแจที่แสนคุ้นเคยโยนมาให้ผมรับ
บทความจากตอนโผล่ที่ 17
อันที่จริงต่อจากนี้อีกสองสามย่อหน้าน้องโป่งแกก็ปล่อยหมัดใส่หน้าพี่โหลเขาเลย น้องแมนมาก แต่จะเป็นเพราะอะไร แล้วทั้งคู่จะกลับมาเข้าใจกันได้มั้ย หาคำตอบได้ที่เรื่องโผล่ค่ะ
ขยับห่างวิศวะออกมาอีกหน่อยแล้วกันค่ะ ความจริงก็ไม่ห่างมากหรอก สถานที่ที่เราจะพูดถึงนี้คือ บาร์ใหม่ ค่ะ
โอเคครับ เราตัดภาพกลับมาที่ตรงหน้าบาร์ใหม่ โรงอาหารที่ได้รับการปรับปรุงแล้ว ปรับปรุงอีก แต่คุณภาพอาหารมันคงเหมือนเดิม หมายถึงว่าอร่อยเหมือนเดิมไง!! อร่อยอ่ะอร่อย (เชื่อผมสิ) ราคาก็เท่าเดิมด้วยนะ แต่ประทานโทษ คนก็เยอะเหมือนหนอน แม่งไม่เคยแดกข้าวหรือไงวะ!?
บทความคัดจากตอนโผล่ที่ 2
บาร์ใหม่ เป็นชื่อที่เหล่านิสิตเรียกโรงอาหารซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากคณะวิศวะที่ลูกโป่งเรียนนัก ปัจจุบันหน้าตาเป็นแบบนี้ค่ะ
ที่นี่มีร้านอาหารตามสั่งร้านหนึ่งที่เป็นร้านเจ้าอร่อยของลูกโป่งเขาแหละ เด็กเกษตรฯ เรียกร้านนี้จนชินปากว่า ร้านพี่แอน
ไอ้โหลมันเดินนำหน้าผมไปเรื่อยๆ จนมันไปหยุดยืนอยู่ร้านอาหารตามสั่งที่อร่อยที่สุดในบาร์ใหม่เพราะมันมีอยู่ร้านเดียว ไม่ใช่!! ผมเห็นมันยืนนิ่งหน้าร้านเหมือนใช้ความคิดมากพอสมควร ผมไม่เข้าใจอ่ะ จะกินอะไรทั้งทีมันต้องคิดมากด้วยหรือไง
“พี่แอน...เอาพริกเผาหมูกรอบสอง ใส่จาน” ผมสั่งในขณะที่ไอ้โหลมันหันมาทางผมแบบงงๆ “กูสั่งเผื่อ ไม่ต้องมองหน้ากูแบบนั้นก็ได้” พอพูดจบโหลมันเหลือกตาขาวใส่ผมอีก “ทำไม...แดกหมูกรอบไม่ได้รึไง”
บทความคัดจากตอนโผล่ที่ 2
เอาไว้ไปใหม่คราวหน้าธัญวลัยจะลองสั่งมากินดูสักจานว่าจะอร่อยเหมือนที่ลูกโป่งคอนเฟิร์มไหม ร้านนี้มีแฟนเพจด้วยนะ เพื่อนๆ คนไหนที่กำลังจะเป็นนิสิตเกษตรฯ หรือใครสนใจร้านนี้ลองเข้าไปดูกันได้ที่ เพจ ร้านพี่แอน บาร์ใหม่
เมื่อสั่งอาหารก็ต้องพากันไปนั่งกินกุ๊กกิ๊ก แม้ในความเป็นจริงลูกโป่งกับโหลจะไม่ค่อยกุ๊กกิ๊กกันเท่าไหร่ก็เถอะ
มันพาผมไปนั่งติดกับแอร์ตั้งโต๊ะ ผมเลยแสดงน้ำใจนิดๆ หน่อยๆ โดยการลวกช้อนให้มัน แล้วเดินกลับมานั่งที่เหมือนเดิม
บทความคัดจากตอนโผล่ที่ 2
สถานที่ตรงนี้ยังอยู่ในส่วนของบาร์ใหม่ ซึ่งแยกออกมาเป็นที่นั่งรับประทานอาหารค่ะ โหลกับลูกโป่งคงนั่งกันตรงที่มีแอร์น่ะค่ะ
ขยับออกมาอีกนิด ตรงนี้เป็นจุดที่เกิดฉากสุดฟินระหว่างลูกโป่งกับพายุค่ะ นั่นคือ เซเว่นศร.1
“กินอะไร หยิบเลย เราจ่ายเอง” ผมหันไปบอกพายุทันทีที่เข้าไปในเซเว่นเล็กที่อาคารศูนย์เรียนรวมหนึ่ง หรือเรียกสั้นๆ ว่าศร.1 เซเว่นนี้อยู่ใกล้คณะผมมากที่สุดแล้วครับ ถ้าไม่นับเซเว่นที่ตึกไอที สแควร์
เซเว่นศร.1 เป็นเซเว่นที่มีความคับแคบที่สุดในมอเลยก็ว่าได้ แคบแค่ไหนลองคิดตามนะครับว่าคนยืนในเซเว่นสองคนก็ไม่สามารถยืนต่อแถวเป็นแถวตอนลึกได้แล้ว ระยะความกว้างของเซเว่นที่นี่มันน้อยมากครับ ทำให้มันเป็นสถานที่ที่ผมซื้อของแล้วไม่ค่อยจะมีความสุขเท่าไหร่ แต่เห็นแบบเล็กๆ แบบนี้ของกินเยอะนะครับ เน้นขายแต่ของกินอย่างเดียว อย่างอื่นไม่ขายเลย หรือแม้แต่กระดาษทิชชู่ แต่ตอนหลังก็มีมาขายแล้วนะครับ
บทความจากตอนโผล่ที่ 15
จากบทบรรยายในเรื่อง หลายคนคงสงสัยว่ามันเป็นเซเว่นแบบไหนกัน คับแคบขนาดนั้นเลยเหรอ ธัญวลัยไปเหยียบมาแล้วค่ะ และขอเป็นพยานยืนยันอีกเสียงว่า มันแคบมากจริง! ถ้าไม่นับเซเว่นที่เป็นซุ้มๆ เหมือนที่อนุสาวรีย์ ธัญวลัยว่านี่อาจเป็นเซเว่นที่เล็กที่สุดในประเทศไทยก็ได้ค่ะ และนี่คือภาพยืนยัน
ดูภายในค่ะ
แต่ธัญวลัยอยากขอบพระคุณพระเจ้าที่ประทานความคับแคบใหเซเว่นนี้เพราะมันทำให้ลูกโป่งและพายุได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น ใกล้ชิดยังไง แบบไหน ธัญวลัยไม่ขอเล่านะคะ เดี๋ยวจะหาว่าสปอยล์ แต่ขออธิบายนิดหนึ่งว่าโป่งกับพายุเขามาหาของกินกันค่ะ พอซื้อของเสร็จก็หาที่นั่งกันตรง ป้ายรถตะลัยหน้าศร.1
“นั่งตรงนี้เถอะ” พายุชี้ไปที่ป้ายรถตะลัยหน้าศร.1 แล้วก็ไม่ได้บอกด้วยว่าจะนั่งทำไม จะนั่งทำอะไร แล้วจะนั่งนานมั้ย คือเหี้ยอะไรมันเนี่ย!?
พายุลากตัวผมจากหน้าเซเว่นมาที่ป้ายรถตะลัยที่อยู่ข้างๆ จากนั้นก็จัดการกินข้าวเหนียวหมูปิ้งมันตรงนั้นเลยครับ
เพื่อความฟินธัญวลัยมีภาพประกอบค่ะ ว่าเขานั่งป้อนกันตรงนี้แหละ เมื่อก่อนที่นั่งจะไม่ได้สูงแบบนี้นะคะ (คำให้การจากเด็กเกษตรเก่า)
เหมือนพายุมันจะตั้งใจมากกับอะไรเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ นี่ตอนนี้มันกำลังจะแกะกุ้งออกจากเปลือก กลุ่มน้องผู้หญิงก็มองกันใหญ่ เออ... ผมรู้ว่าการที่ผู้ชายสองคนมานั่งป้อนข้าวที่ป้ายรถตะลัยมันจะโคตรเกย์เลย แต่ให้ทำยังไงได้ล่ะครับ ก็มันดูเกย์จริงๆ
บทความคัดจากตอนโผล่ที่ 15
หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมต้องเรียกว่าป้ายรถตะลัย ทำไมไม่เรียกป้ายรถเมล์ ป้ายรถประจำทาง ป้ายรอรถ นั่นก็เพราะมันคือจุดที่เอาไว้ใช้รอรถตะลัยไงคะ จึงเรียกว่า ป้ายรถตะลัย แล้วรถตะลัยหน้าตาเป็นยังไงน่ะเหรอ ธัญวลัยมีภาพมาฝากค่ะ
หน้าตาแบบนี้ค่ะ นี่คือรถที่เด็กเกษตรฯ เรียกว่ารถตะลัย ซึ่งจากคำให้การของเด็กเกษตรฯ อีกนั่นแหละ เขาบอกว่ารถตะลัยคำนี้ ย่อมาจาก รถตระเวณรอบมหาวิทยาลัย ตัดตรงกลางออกเหลือหัวกับท้ายก็กลายเป็น รถตะลัย แหม ช่างคิดกันจังเลยค่ะ
ออกมาไกลอีกหน่อยแล้วกันนะคะ มาอยู่ที่หน้ามหาวิทยาลัย ถ้าเป็นเด็กเกษตรฯ คงไม่มีใครไม่รู้จักร้านสเต๊กกอริล่าชื่อดังที่อยู่ตรงข้ามมหาวิทยาลัย หรือที่เขาเรียกกันว่าฝั่งอมรพันธ์ ซึ่งตั้งอยู่ในซอยงามวงศ์วาน 64
เวลาห้าโมงกว่าๆ ผมใช้เวลาเดินจากมอไปฝั่งอมรพันธ์เพื่อกินสเต๊กตามที่สัญญากับไอ้พายุไว้ อันนี่จริงผมจะกบฎก็ได้ แต่ก็ไม่ได้ทำ เพราะจริงๆ แล้วก็แอบอยากกินอยู่เหมือนกัน อิอิ
เรามากันสิบกว่าคน และช่วงเวลาที่เป็นช่วงเปิดเทอมใหม่ๆ แน่นอนครับว่าร้านสเต็กอย่างกอริล่าแทบจะระเบิดออกมาอยู่แล้ว เพราะคนเยอะสัส ไม่ไปแดกร้านอื่นมั่งวะ แซมเซิมก็มี แดกๆ ไปสิ
บทความคัดจากตอนโผล่ที่ 3
ความจริงร้านสเต๊กละแวก ม.เกษตรฯ บางเขนก็ขึ้นชื่อหลายร้านนะคะ แต่แก๊งลูกโป่งเขาเลือกกินร้านนี้ส่วน แซมเซิม ที่พูดถึงนั้นหมายถึงร้านสเต๊กอีกร้านซึ่งดังไม่แพ้กันชื่อร้าน แซม ค่ะ มีหลายสาขา
กลับมาพูดถึงร้านกอริล่ากันค่ะ ร้านนี้เคยย้ายร้านมาก่อน ธัญวลัยจึงไม่แน่ใจว่าร้านปัจจุบันที่ธัญวลัยไปถ่ายภาพมาเป็นร้านที่ตั้งอยู่ตำแหน่งเดียวกับร้านกอริล่าที่พูดถึงในนิยายไหม แต่ปัจจุบันร้านตั้งอยู่ตรงต้นซอยค่ะ
ผมคุยกับพี่เอิงอีกสองสามประโยคก่อนที่จะวางสาย จากนั้นเดินเข้าไปในร้านและตรงไปนั่งที่โต๊ะ เพื่อนผมมันก็แสนดี กินอะไรไม่เคยจะรอกันเลย แต่ใครมันจะอดใจไหวล่ะครับ กลิ่นมันหอม ผมจะนิ่งทำไม จัดการของตัวเองบ้างดิ มา...กอร์ดองเบลอ มันบดอบชีส กูจะแดกให้เรียบเลย!!
บทความคัดจากตอนโผล่ที่ 3
แล้วนี่ก็คือเมนูอาหารที่ลูกโป่งสั่งมาทานค่ะ เพื่อนๆ เขาสั่งอะไรกันบ้างไม่รู้แหละ
ในฉากนี้พอลูกโป่งแอนด์เดอะแก๊งกินกันเสร็จก็พากันออกมาเข้าร้านเกมค่ะ ซึ่งธัญวลัยไม่แน่ใจว่าเป็นร้านไหน แต่น่าจะหมายถึงหนึ่งในสองร้านนี้ที่อยู่ใกล้ร้านกอริล่าที่สุด
มิชชั่นโค้กคนละสองลิตรที่กินเอาคุ้มจบกันไป ก็ถึงเวลาไปเล่นเกมครับ แล้วร้านเกมมันก็อยู่ใกล้ๆ เดินออกมาจากกอริล่าสามก้าวก็เจอแล้วครับ พวกผมเหมือนมาเฟียมาก บอกเลย อารมณ์แบบเดินเข้าไปนี่มีแต่คนมอง ที่มองไม่ใช่อะไรครับ เพราะจำนวนคนที่เดินเข้ามามันเยอะก็เท่านั้นเอง
บทความคัดจากตอนโผล่ที่ 3
เห็นพวกลูกโป่งอิ่มหน่ำสำราญเล่นกันอย่างเป็นสุขแบบนี้ แต่ขอโทษค่ะ สงบได้ไม่นาน เรื่องมาอีกแล้ว เพราะหลังจากฉากนี้ลูกโป่งเราก็กลายเป็นแพะรับรอยบาทาจากเจ้าหนี้โต๊ะบอลจนสะบักสะบอมอยู่ใน ซอยกอริล่านั่นแหละค่ะ จุดนี้เลย
ผมโดนพวกมันลากกลับมาสู่จุดเริ่มต้นของผมในถิ่นอมรพันธ์อีกครั้ง อย่างงครับ ผมโดนลากตัวมาที่หน้าร้านกอริล่า แล้วอีหน้าร้านนี่ก็ดันมืดอีก เพราะว่าหลอดไฟตรงหัวมุมถนนมันดันเสียไง
เสียได้จังหวะจริงๆ ไฟนี่!!
“ใช้หนี้พวกกูมาให้หมด” หนึ่งในนั้นพูดกับผม ใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเครานี้ มันทำให้ผมไม่รู้เลยพวกมันอ่อนกว่าหรือแก่กว่า
“หนี้เหี้ยอะไร กูเกิดมากูไม่เคยเป็นหนี้ใครเว้ย”
ด้วยความที่เป็นคนพูดจาตรงๆ แบบนี้เอง น้องลูกโป่งเลยโดนซัดไปกองกับพื้น
บทความคัดจากตอนโผล่ที่ 3
แต่ไม่ต้องห่วงค่ะ เป็นนายเอกยังไงก็ต้องมีอัศวินขี่ม้าขาวมาช่วย
“เฮ๊ย!! ตำรวจมา” หากแต่สวรรค์ทรงโปรด มีคนมาช่วยผมจริงๆ หนึ่งในพวกนั้นตะโกนว่าตำรวจมา พวกมันเตะผมอีกสองสามทีก่อนที่จะวิ่งแยกกันไปคนละทิศคนละทาง
ผมยังนอนกองอยู่บนถนนอยู่แบบนั้น ก่อนที่จะมีคนมาช่วงพยุงให้ไปนั่งข้างทางหลบรถในซอยที่ที่มันสวนไปสวนมา
...
ผมหันหน้าไปอีกที ป๊ะเข้าอย่างจังเลย “เฮ๊ย!!”
คนที่อยู่ข้างผมมันไม่ใช่ใคร
...
บทความคัดจากตอนโผล่ที่ 3
เอาเท่านี้พอหอมปากหอมคอนะคะ อยากรู้เรื่องต่อ ตามไปอ่านเลยที่ >> โผล่ << ว่างๆ ก็แวะไปเยี่ยมชมมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน ได้นะคะ ทุกๆ ปี จะมีงานเกษตรแฟร์ให้ผู้สนใจไปเที่ยวเดินชมงาน จับจ่ายซื้อของได้ตามต้องการเลย บางทีอาจเดินสวนกับ ลูกโป่ง โหล และพายุก็ได้นะ ขอขอบคุณ 27 degree ด้วยนะคะ ที่สรรค์สร้างนิยายวายฟินๆ มาให้เราได้อ่านและอนุญาตให้ธัญวลัยเขียนบทความนี้ อยากติดตามข่าวคราวของเรื่อง โผล่ และ คุณ 27 degree เข้าไปตามได้ที่ทวีตเตอร์ >> @twentysevendgre << ค่ะ
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ธัญวลัยเขียนบทความตามรอยนิยายจากนิยายในเว็บไซต์ธัญวลัย และอาจจะมีครั้งต่อๆ ไป ฉะนั้นนักเขียนเตรียมตัวนะคะ ครั้งหน้า... นิยายที่ทีมงานธัญวลัยจะไปตามรอยอาจเป็นนิยายของคุณ
แชร์เลย
6.7kอ่านประกาศ 2016-03-10T04:02:29.8630000+00:00ลงประกาศ
กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น