คุณศรัทธาอะไร? ความดี ความยิ่งใหญ่ หรือความเป็นผู้นำ
สร้อยรูปตราชั่งคือสิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวหัวใจของ "ธำรง" ตลอดมา
เพื่อตามล่าราชายาเสพติดที่ยังคงลอยนวล
สวมสร้อย กระชับปืน แล้วยืนประจัญ!
................................................................................................
ผมกำลังอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ ตรงกลางห้องมีโต๊ะไม้สีน้ำตาลอ่อนคั่นกลางเก้าอี้สองตัวเอาไว้ ด้านบนมีหลอดไฟนีออนส่องสว่างทั่วห้อง ผนังริมประตูมีกระจกบานใหญ่หันหน้ามายังโต๊ะ ราวกับว่ามันจะสะท้อนความจริงทุกอย่างมา ณ ที่แห่งนี้
เบื้องหน้าของผมคือชายฉกรรจ์ ผมรกรุงรัง หนวดเครายาว ผิวสีดำแดง สวมเสื้อสีดำสนิทและกางเกงยีนส์ขาสั้น ชายคนนี้ยังคงจ้องมองผมด้วยสายตาที่สิ้นหวัง หลังจากที่ผมและเขานั่งอยู่ในห้องนี้กว่าสามชั่วโมง
สองวันที่แล้วเวลาเดียวกันนี้ผมขี่รถมอเตอร์ไซค์สีบลอนด์พุ่งทะยานผ่านถนนวราวุธ เพื่อไล่จับชายในรถกระบะคันสีแดงเข้มที่อยู่ด้านหน้า ขณะที่ตัวรถของผมโซซัดโซเซด้วยแรงของก้อนหินถนนลูกรัง ชายคนนั้นก็รีบหักรถเข้าป่าทันที จังหวะนั้นผมคว้าปืนเซมิออโต้แล้วลั่นไกไปยังล้อหน้าด้านซ้าย กระบะคันนั้นเสียการควบคุมแล้วหยุดลงในที่สุด ผมตัดสินใจกระโดดออกจากมอเตอร์ไซค์พร้อมทั้งยิงขาของชายฉกรรจ์ที่กำลังวิ่งออกจากรถ เขาทรุดลงเหมือนกำลังยอมแพ้ แต่ในขณะที่ผมเข้ารวบตัวชายผู้นั้นกลับจู่โจมผมด้วยหมัดอันหยาบกร้าน ผมจึงใช้สันปืนตีศีรษะของเขาก่อนควบคุมตัวไปยังโรงพัก
ลึกๆแล้วผมเชื่อว่าสิ่งที่ทำให้ผมจับกุมคนร้ายได้สำเร็จคือ สร้อยรูปตาชั่ง ที่ท่านณรงค์ให้ผมเมื่อหลายปีก่อน ผมมักจะห้อยติดตัวเวลาปฏิบัติหน้าที่เสมอ สร้อยเส้นนี้จึงเปรียบเสมือนการนำคุณธรรมของท่านณรงค์มายึดเหนี่ยวผม
ชายฉกรรจ์เริ่มกระดิกตัวเล็กน้อย ผมรู้สึกว่าเขาต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง
“บุรินทร์ ถ้าคุณให้การเป็นประโยชน์โทษจะเหลือกึ่งหนึ่งเลยนะ” ผมพยายามโน้มน้าว และดูเหมือนว่ามันจะได้ผล
“ผมไม่รู้จริงๆครับว่าใครจ้างมา รู้แค่ว่าเป็นตำรวจครับ”
“คุณเคยเจอหน้าเขาไหม”
ขณะนั้นเองจ่าพุทธก็เปิดประตูเข้ามา แล้วยื่นเอกสารทางคดีให้ผม ผมเพิ่งสังเกตว่าบุรินทร์มีสีหน้าตื่นกลัว อาจเป็นเพราะตกใจใบหน้าที่เคร่งขรึมของจ่าพุทธก็เป็นได้
“สรุปแล้วคุณเคยเจอหน้าเขาไหม ! ” ผมตบโต๊ะเรียกสติ
“มะ มะ มะ ไม่เคยครับ”
“เล่าความจริงทั้งหมดมาซิ”
“เดือนที่แล้วมีวัยรุ่นคนหนึ่งมาว่าจ้างผมให้ค้ายาบ้า เพราะรู้ว่าบ้านผมมีปัญหาเรื่องเงิน ทีแรกผมพยายามปฏิเสธ แต่มันบอกว่าเจ้าของใหญ่อยู่ในแวดวงตำรวจ โอกาสถูกจับมีน้อย ผมเลยตัดสินใจขายครับ” บุรินทร์อธิบายอย่างละเอียด
“วัยรุ่นคนนั้นคือใคร” ผมถามอย่างรวดเร็ว
“ไอ้พัฒน์ครับ คนแถวถนนวิเชียรชัยรู้จักมันดีครับ” เขาพูดพลางกลืนน้ำลาย
“คนนี้ใช่ไหม” ผมหยิบรูปนายพัฒน์จากเอกสารประวัติอาชญากรชูขึ้นมา บุรินทร์พยักหน้า “วันเกิดเหตุล่ะ เล่ามาซิ”
“สามวันที่แล้วไอ้พัฒน์ให้ผมไปรับยาจากฝั่งชายแดนครับ มันบอกให้ลำเลียงยาไปพักที่ย่านวิเชียรชัย แล้วค่อยนำยาไปส่งในหมู่บ้านแถบวราวุธ แต่ถูกจับได้เสียก่อนครับ”
“ทำไมต้องเป็นย่านวิเชียรชัย”
“ไอ้พัฒน์บอกว่าที่นั่นมีโกดังเช่าชั่วคราวอยู่ครับ มันจะเช็คของก่อนส่งขายครับ” เขาเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย
หลังจากที่ติดตามคดีของบุรินทร์มาหลายวัน ผมได้มีโอกาสมาขอคำปรึกษาท่านณรงค์อย่างเป็นจริงเป็นจัง วินาทีแรกที่ผมเห็นท่านแววตาของท่านเป็นประกาย ผิวพรรณผ่องใสดูมีราศี ท่านเดินเข้ามาพร้อมยื่นข้าวกล่องให้ผมเช่นทุกวัน
ตั้งแต่ที่ทางการส่งงบประมาณและเงินเดือนข้าราชการมาเพียงครึ่งหนึ่ง ตำรวจทุกคนก็ต้องลำบาก พวกเราพยายามส่งคำร้องเรียนไปยังรัฐบาลแต่ไม่เป็นผล ท่านณรงค์จึงช่วยเหลือค่าอาหารและค่าใช้จ่ายอื่นๆบางส่วนให้พวกเรา
“สวัสดีครับท่าน” ผมประนมมือไหว้
“สวัสดีธำรง คดียาเสพติดเป็นไงบ้าง”
“บุรินทร์ให้การว่าเรื่องนี้มีตำรวจมาพัวพันครับ”
“ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ไม่ว่ามันจะมียศใหญ่แค่ไหนฉันก็จะเอาผิดมันให้ได้” ท่านพูดด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยความมั่นใจ
“ครับผม คนร้ายยังบอกอีกว่ามีจุดพักยาอยู่แถวย่านวิเชียรชัยครับ"
“อ๋อ งั้นหมวดก็ลองไปถามเส้นทางจากจ่าพุทธดูสิ บ้านของเขาอยู่แถวๆนั้น” ท่านเสริม
เย็นวันนั้นผมจึงขอช่วยให้จ่าพุทธพาผมไปสำรวจเส้นทางของถนนวิเชียรชัย และแล้วเราก็มาหยุดที่หน้าโกดังดังกล่าว แสงอาทิตย์เริ่มลดตัวลงจนท้องฟ้าเริ่มมืดมัว ก้อนเมฆสีขาวขุ่นก็กลายเป็นสีเหลืองอมส้ม เหล่าพ่อค้าแม่ค้าต่างเก็บข้าวของเดินกลับบ้านอย่างพลุกพล่าน แม่ค้าคนหนึ่งเห็นผมกับจ่าพุทธยืนมองโกดังด้วยความงุนงง หล่อนจึงพูดขึ้น
“อ้าว พ่อหนุ่มมาทำอะไรที่นี่”
“เปล่าครับ แค่เดินผ่านมาเฉยๆ” จ่าพุทธตอบทันที
“โกดังนี้มันร้างมานานแล้ว ส่วนมากจะมีแต่วัยรุ่นมามั่วสุมกัน ที่นี่ตอนดึกๆไม่มีใครกล้าเดินผ่านหรอก” ป้าคนนั้นพูดก่อนจะเดินจากไป
“เอ่อ ป้าครับ!” จ่าพุทธรีบเอามือปิดปากผม เขาให้เหตุผลว่าหากถามมากๆป้าคนนั้นอาจจะสงสัยพวกเราได้
ทันใดนั้นโชคชะตาก็เล่นตลกกับพวกเรา เมื่อนายพัฒน์ซึ่งเป็นผู้จ้างวานนายบุรินทร์ให้ค้ายานั้นปรากฏตัวขึ้น
“อ้าว! จ่า” นายพัฒน์ตะโกนขึ้น ผมไม่รอช้าวิ่งเข้าไปหวังจะจับกุมตัว แต่นายพัฒน์กลับชักปืนมายิงดักไว้
เวลานั้นเองจ่าพุทธกระชากปืนเซมิออโต้ของผมขึ้นมา เขาลั่นไกเป็นสิบๆนัดอย่างรวดเร็ว แต่โชคดีนักที่จ่าพุทธมือสั่นจึงยิงไม่โดน
“จ่าพุทธ ! ถ้าเขาตายจ่าจะติดคุกนะ” ผมตวาดจ่าพุทธจนเขามีอาการเกร็งและทำตัวไม่ถูกผมจึงคว้าปืนในมือจ่าเพื่อยิงข้อมือของนายพัฒน์ สำเร็จ! ปืนกระบอกดำของนายพัฒน์หลุดจากมือ ผมกระโจนเข้าไปประชิดตัว หักแขนของเขาไพล่หลัง แต่กระนั้นนายพัฒน์ก็ยังไม่สิ้นท่า เขาฟาดแข้งลงไปที่เอวผม พร้อมกับใช้ขารัดแขนของผมก่อนจะสะบัดขาลง ส่งผลให้ผมล้มคะมำหน้าคว่ำดิน เมื่อลุกขึ้นมานายพัฒน์กับจ่าพุทธก็หายไป
หลังจากค่ำคืนอันดุเดือดและเลวร้ายผ่านไป ผมก็พบว่าจ่าพุทธลาออกจากหน้าที่กะทันหัน ยิ่งไปกว่านั้นไม่มีใครได้เห็นใบหน้าของเขาอีกเลย จากความผิดปกติทั้งหมดท่านณรงค์จึงมอบหมายให้ผมออกหมายจับจ่าพุทธทันที
เมื่อเหตุการณ์เริ่มคลี่คลายลงเหลือเพียงการจับกุมคนร้าย ผมก็ได้รับสัญญาณจีพีเอสที่แอบติดปกเสื้อของนายพัฒน์เอาไว้เมื่อวันก่อน นี่อาจทำให้ผมพบกับจ่าพุทธผู้เป็นเบื้องหลังการค้ายาเสพติดได้ผมขี่มอเตอร์ไซค์สีบลอนด์คันเดิมแล่นไปตามเส้นทางในจีพีเอส เป้าหมายชี้ไปยังชุมชนแออัดซึ่งห่างจากโรงพักนับสิบกิโล
เวลาประมาณเที่ยงคืนกว่าสัญญาณดับลงเมื่อผมมาจอดรถหน้าร้านเหล้าแห่งหนึ่ง สภาพร้านภายนอกดูหรูหรา มีแสงไฟระยับตลอดเวลา เสียงดนตรีแนวแดนซ์ดังกระหึ่มจากด้านใน ที่แห่งนี้มีหน้าต่างน้อยมาก บริเวณโดยรอบมิดชิดและไม่สามารถมองทะลุไปด้านในได้ ผมจึงจำเป็นต้องขู่บริกรที่เดินออกมานอกร้านให้สลับชุดกับผม
ต่อมาผมก็เดินเข้าไปในร้านทางประตูด้านหลัง ภายในมีโต๊ะเก้าอี้จำนวนมากวางอยู่กระจัดกระจาย ขวดเหล้าเกลื่อนไปทั่วพื้น ตามทางเดินมีบริกรสาวโยกย้ายเอวไปมาท่ามกลางแสงสีสลัวๆ ใช่! ชายที่นั่งอยู่โต๊ะริมขวาคือนายพัฒน์ เขากำลังพูดคุยกับชายคนหนึ่งซึ่งหันหลังให้ผม
“ลุงเอาเงินให้ผมทุกอย่างก็จบ”
“ไม่”
“ลุงยักยอกเงินงบประมาณได้ตั้งครึ่งหนึ่งมาซื้อยาแล้วหาเหยื่อขายให้ จากนั้นก็ทำทีไปจับเหยื่อมาลงโทษ ได้ทั้งเงินได้ทั้งยศ ให้ผมแค่นี้ไม่ได้เหรอ”
“กูไม่ใช้มึงเป็นเหยื่อก็ดีแค่ไหนแล้ว”
“ไอ้พุทธเกือบฆ่าผมตาย เพราะมันกลัวว่าลุงจะฆ่าปิดปากมันนี่แหละ”
“หึ ใครใช้ให้มันมารู้ความลับกูเองหละ”
ผมทนไม่ไหวที่เห็นจอมโจรนั่งคุยกันอย่างสบายอกสบายใจ ผมจึงเตรียมปืนเซมิออโต้ไว้ที่มือขวาก่อนจะเดินเข้าไปอย่างช้าๆ
“หยุดนะ! นี่คือเจ้าหน้าที่” ผมใช้ปืนเซมิออโต้เล็งไปที่ศีรษะของชายฝั่งตรงข้ามของนายพัฒน์
“ไอ้หมวดธำรง” นายพัฒน์ตะโกนด้วยความตกใจ
แต่ผมก็ต้องตกใจยิ่งกว่าเมื่อชายคนนั้นหันหน้ามา เขาคือ “ท่านณรงค์” ท่านดูอึ้งไปครู่หนึ่ง
“ธำรง เราคนกันเอง วางปืนลงก่อนสิ”
“ไม่! ท่านเป็นคนรับเงินส่วนรวมมาจากทางการแต่กลับขโมยไปเป็นของตน ทำทีเป็นคนจัดการใบยื่นคำร้องให้ แถมพอจ่าพุทธรู้ความจริงท่านก็พยายามโยงความผิดทั้งหมดไปให้จ่าพุทธอีกด้วย” ผมพูดในขณะที่มือสั่น น้ำตาไหลพราก
“เธอต้องการค่าปิดปากเท่าไหร่” ท่านยื่นข้อเสนอ
“ไม่! ผมส่งวิดีโอที่ท่านคุยกับนายพัฒน์ไปสำนักงานใหญ่แล้ว ที่ผ่านมาทุกคนมองว่าท่านมีคุณธรรม ไม่เคยมีใครคิดจะตรวจสอบเงินที่ท่านรับมา เพราะท่านแสดงให้พวกเราเห็นว่าท่านเป็นคนซื่อสัตย์และสมควรเอาเยี่ยงอย่าง”
“ลุงฆ่ามันทิ้งเลย!” นายพัฒน์เสริมด้วยน้ำเสียงสะใจ
“ต่อจากนี้ผมจะปลุกระดมให้ประชาชนทุกคน ตำรวจทุกนายมาตรวจสอบการทำงานของท่านและผู้มีอำนาจทุกหน่วยงาน”
“วิดีโอที่แกส่งไปให้ทางการฉันเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว แต่สำคัญที่ว่าวันนี้แกจะมีชีวิตรอดหรือเปล่า” ท่านณรงค์ไม่พูดอะไรต่อถือปืนลูกโม่สีน้ำตาลเข้มลั่นไกลงกลางหน้าผากของผมโดยทันที
ผมล้มลงกองกับพื้นด้วยสายตาที่เลือนรางไปทุกที เสียงเพลงที่ร้อนแรงของที่แห่งนี้กลับช้าลงๆ สายตาของท่านณรงค์ในตอนนี้ยังคงแข็งกร้าว แต่หัวใจของผมเต้นเบาลงทุกขณะๆ ภาพความดีของท่านที่ผมจดจำมาชั่วชีวิตเริ่มหมุนเวียนมาในความทรงจำ ผมรู้ว่าทั้งหมดที่ผมเคยเห็นมานั้นมันไม่จริง ทุกอย่างดูสิ้นหวัง อุดมการณ์ที่ท่านสั่งสอนผมมากลับเป็นแค่เรื่องอุปโลกน์
ลมหายใจสุดท้ายผมถอดสร้อยคอรูปตาชั่งที่ผมเคยเคารพและศรัทธาขว้างทิ้งไปให้ไกลที่สุดเท่าที่แรงผมจะมี แล้วภาพทุกอย่างก็ดับไป
สุดท้ายแล้วถ้าหากคุณยังเชื่อว่า “ศรัทธาไม่มีวันตาย” คุณจะต้องตายด้วยคำว่าศรัทธา เพราะซาตานในคราบนักบุญยังแฝงตัวอยู่ทุกหย่อมหญ้า หากคุณยังรักในแผ่นดินที่ยืนหยัดอยู่ “จงถอดหน้ากากของพวกเขาด้วยมือของคุณเอง”
คลิกที่นี่ https://facebook.com/namtatian