จบ ปาฏิหาริย์รัก สุดผืนทราย
0
ตอน
6.26K
เข้าชม
31
ถูกใจ
1
ความคิดเห็น
27
เพิ่มลงคลัง

                                                  บทที่ 1

 

 

ท่ามกลางรถราที่ขวักไขว่ใจกลางกรุงเทพ ผู้คนมากมายต่างพากันเดินไปมากันอย่างเร่งรีบพอๆ กับรถ ทุกวันนี้ต่อให้การจราจรจะสะดวกสบายแค่ไหนแต่ก็ไม่สามารถทำให้ปัญหารถติดได้รับการแก้ไขอย่างที่คิด ดังนั้นรัฐบาลจึงนำเอาเทคโนโลยีมากมายมาใช้แต่ก็แทบไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก

ในเมืองหลวง ทุกคนเร่งรีบ วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชีวิตของคนเมืองหลวงส่วนใหญ่เต็มไปด้วยพวกมนุษย์เงินเดือน

มนุษย์เงินเดือนทั้งหลายจะต้องผ่านวันเวลาสามช่วงในทุกๆ เดือน ต้นเดือนคือช่วงเวลาแห่งความสุขและความเศร้า ความสุขก็คือช่วงต้นเดือนจะเป็นเวลาของการใช้เงินเดือนที่ได้มาอย่างสนุกสนานแต่ก็ต้องจ่ายบรรดาค่าบัตรเครดิตค่าชีวิตประจำวันต่างๆ ช่วงเวลานี้จะเป็นช่วงเวลาเดียวที่รู้สึกว่าการทำงานที่ผ่านมานั้นช่างแสนทรมานเหลือเกินแต่ก็นับว่าคุ้มค่า

ช่วงเวลาถัดมานั้นเป็นช่วงเวลาของการสำนึกผิด ช่วงนี้จะเป็นช่วงกลางเดือนที่การเงินเริ่มจะพอดิบพอดีกับค่าใช้จ่ายจริงๆ ที่เกิดขึ้น ไม่มีการฟุ้งเฟ้อเหมือนตอนต้นเดือน

และช่วงสุดท้าย ช่วงนี้แหละที่เป็นช่วงที่ทรมานที่สุดในชีวิต เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างต้องกระเหม็ดกระแหม่ ทุกบาททุกสตางค์จะต้องใช้อย่างคุ้มค่า บางครั้งถึงกับต้องรัดเข็มขัดเพื่อให้พอกินพอใช้ไปถึงสิ้นเดือนซึ่งก็เหลือเวลาอีกพักใหญ่ จะว่าไปแล้วเวลานี้เป็นช่วงที่คิดถึงตอนต้นเดือนมากที่สุด เพราะอย่างน้อยตอนนั้นก็สามารถกินอิ่มนอนหลับอย่างสนุกสนาน

แน่นอนเมื่อสิ้นเดือนมาถึง วัฏจักรชีวิตก็เริ่มต้นขึ้นใหม่ เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงจุดที่ไม่สามารถทำงานได้อีก

พวกเราเป็นทาสของเวลาและความต้องการของตนจนลืมไปว่าแค่หยุดยืนและมองไปรอบๆ เราก็สามารถมีความสุขได้โดยที่ไม่ต้องเร่งรีบ ไม่ต้องไขว่คว้า ไม่ต้องทะเยอทะยาน

ซึ่งบางครั้งความสุขก็สามารถหาได้จากสิ่งที่อยู่รอบตัว โดยไม่จำเป็นต้องดิ้นรนจนสุดแรงเพื่อไขว่คว้ามัน

ลองหยุด....แล้วลองถามตัวเองดูเถิดว่า เราใช้ชีวิตคุ้มค่าแล้วหรือยัง

 

เสียงตะโกนโหวกเหวก เสียงต่อรองราคาสินค้า และเสียงพูดคุยดังไปทั่ว มันเป็นภาพที่แสนจะปรกติธรรมดาของตลาดแห่งนี้ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางกรุง

ทุกคนที่นี่พยายามใช้ชีวิต บางคนเป็นพ่อค้าแม่ค้า บางคนเป็นเด็กส่งของ บางคนทำงานเป็นมอเตอร์ไซด์รับจ้าง ชีวิตในตลาดที่แสนจะมีสีสัน ยังมีอาชีพอีกมากมายในตลาดแห่งนี้ซึ่งทุกคนต่างทำหน้าที่ของตนเองเป็นอย่างดีเพื่อลูกค้าที่จะมาจับจ่ายสินค้า

ขอเพียงตลาดแห่งนี้ยังคงอยู่ พวกเขาก็มีที่ๆ จะทำให้ปากท้องของพวกเขาอิ่มอยู่เสมอ

ตลาดแห่งนี้ตั้งมานานนับสิบๆ ปี แม่ค้าและพ่อค้าส่วนใหญ่รวมไปถึงทุกคนที่ทำงานที่นี่ล้วนแล้วแต่เป็นคนในพื้นที่ทั้งสิ้น แน่นอนว่าวินมอเตอร์ไซด์รับจ้างที่ตั้งอยู่หน้าตลาดก็เช่นเดียวกัน

“เฮ้ยพร! ถึงคิวแล้ว”

“จ้าๆ ไปเดี๋ยวนี้แหละลุง”

เพิงพักของมอเตอร์ไซด์รับจ้างที่มีคนอยู่เกือบสี่สิบชีวิต ส่วนใหญ่เป็นผู้ชายเกือบทั้งหมดและครึ่งหนึ่งก็ค่อนข้างมีอายุ ทุกคนที่อยู่ในวินนี้เป็นคนพื้นที่ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ทุกคนดูจะสนิทสนมกันราวกับเป็นครอบครัว พวกมีอายุหน่อยก็เหมือนกับเป็นพ่อหรือลุงให้กับคนอายุน้อยกว่า ชลัมพรก็เป็นหนึ่งในพวกรุ่นใหม่ที่พวกลุงๆ ให้การดูแลเป็นอย่างดีคนหนึ่ง

หญิงสาวเกิดที่นี่โตที่นี่ เธอขาดแม่ตั้งแต่เด็กๆ บิดาก็ติดเหล้าอย่างหนักตั้งแต่จำความได้ชลัมพรต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตรอด พอโตขึ้นมาหน่อยเธอก็ต้องรับหน้าที่หาเลี้ยงบิดาบังเกิดเกล้าไปด้วย

เมื่อหลายปีก่อนครอบครัวของชลัมพรก็ได้เพิ่มสมาชิกขึ้นมาอีกคนหนึ่ง บิดาที่ไม่เคยสนใจจะดูเธอกลับแต่งงานใหม่นั่นทำให้ชลัมพรที่ตอนนั้นเพิ่งจะอายุ 16 ต้องลำบากมากขึ้นกว่าเดิม

มารดาเลี้ยงของเธอชื่อน้าแพรว เป็นคนปากจัดอย่างไม่น่าเชื่อและยังติดการพนันพอๆ กับที่พ่อติดเหล้า เมื่อน้าแพรวก้าวเข้ามาในครอบครัว ชลัมพรก็ต้องเหนื่อยเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวเพื่อหาเลี้ยงเพิ่มขึ้นอีกปากท้องหนึ่ง ไม่เพียงเท่านั้น ปีต่อมาน้าแพรวก็คลอดลูกผู้ชายออกมาคนหนึ่ง ทำให้ชลัมพรต้องรับหน้าที่เป็นคนดูแลปากท้องคนสี่คนรวมถึงตัวเธอด้วย มันเป็นภาระหนักที่เธอต้องแบกรับเอาไว้คนเดียวมาตลอด โชคดีที่ชลัมพรเป็นเด็กฉลาดที่เรียนดีมาตลอด เธอจึงได้รับทุนให้เรียนฟรีอยู่ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา แม้กระทั่งตอนนี้ที่เธอกำลังจะเรียนจบปริญญาตรีด้วยคะแนนเกียรตินิยมอันดับสองของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งของประเทศ

หากเป็นครอบครัวอื่นๆ คงต้องภูมิใจมากที่มีลูกสาวที่เก่งขนาดนี้ แต่สำหรับครอบครัวเธอกระดาษที่เรียกว่าปริญญาบัตรคงเทียบไม่ได้กับเงินที่จะนำมาซื้อเหล้าหรือให้น้าแพรวไปเล่นไพ่ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเห็นชลัมพรรับทำงานแทบจะทุกประเภทที่สามารถหาได้เพื่อเลี้ยงดูปากท้องของทุกคนในครอบครัว และงานขับมอเตอร์ไซด์วินก็เป็นหนึ่งในงานพิเศษของเธอเช่นกัน

หมวกกันน็อกถูกดึงออกจากใบหน้าเรียวสวยพร้อมกับร่างบางที่ขยับตัวลุกขึ้นจากเปลเชือกถักที่เจ้าตัวขนมาผูกเอาไว้เพื่อแอบงีบ

ชลัมพรเป็นเพียงผู้หญิงคนเดียวในวินนี้และยังเป็นหลานๆ หรือน้องสาวที่ทุกคนในวินให้ความรักและเอ็นดู

พวกผู้ใหญ่ในวินมอเตอร์ไซด์แห่งนี้เห็นชลัมพรมาตั้งแต่เด็กๆ ทุกคนต่างรู้ความจำเป็นของชลัมพรดี จึงพากันให้ความช่วยเหลือเท่าที่จะทำได้

เรียกได้ว่าชลัมพรโตมาได้ด้วยความช่วยเหลือของบรรดาเพื่อนบ้านที่ทำงานอยู่ในตลาดสดแห่งนี้ก็ว่าได้

“เป็นไง ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ?”

หลังจากที่กลับจากไปส่งแม่ค้าคนหนึ่งชลัมพรก็ขี่รถกลับเข้ามาด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก

“ไม่มีอะไรหรอกลุง”

หญิงสาวเข็นรถเข้าไปประจำที่อีกครั้งเพื่อรอการเรียกครั้งต่อไป แต่ท่าทางของเธอทำเอาบรรดาลุงๆ ที่เห็นหญิงสาวมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยรู้สึกไม่สบายใจเสียเลย

“พรเอ๊ย พวกลุงเห็นเอ็งมาตั้งแต่เด็กๆ มีหรือจะมองไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้น คราวนี้เป็นใครก่อเรื่องอีกล่ะ พ่อเอ็งหรือว่าแม่เลี้ยงเอ็ง”

บรรดาลุงๆ ในวินมอเตอร์ไซด์พากันล้อมวงเข้ามาฟังคำตอบ ชลัมพรไม่อยากจะทำให้ทุกคนต้องร้อนใจไปกับเธอด้วย แต่ตอนนี้เธอไม่รู้ว่าจะหันหน้าไปพึ่งใครแล้วจริงๆ

“หนู...เอ่อ...หนู”

“มาหนงมาหนูอยู่ได้รีบพูดมาเร็วๆ เข้าตอนนี้ยังไม่มีลูกค้าเดี๋ยวถ้ามีลูกค้ามาลุงก็อดฟังกันพอดี”

ลุงคนที่ถึงคิวที่จะออกเป็นคนต่อไปรีบพูดอย่างร้อนรน ดวงตาก็มองไปรอบๆ ในใจภาวนาว่าอย่าเพิ่งมีลูกค้าตอนนี้เลยเพราะเขาอยากจะรู้เหลือเกินว่าอะไรทำให้สาวห้าวอย่างชลัมพรต้องมานั่งหงอยเหงาอยู่แบบนี้

“หนูได้โควตาไปทำงานที่ต่างประเทศน่ะลุง”

พูดออกไปแล้ว!

ชลัมพรหลับตาปี๋ เพราะไม่อยากเห็นสีหน้าของพวกลุงๆ ที่เธออาจจะรับไม่ได้ เธอกลัวเหลือเกินว่าพวกลุงๆ จะห้ามเธอไม่ให้เธอไป แต่อีกใจเธอเองกลับอยากจะไปใจจะขาด

แต่ถ้าเธอไปแล้วใครจะเลี้ยงพ่อ เลี้ยงน้าแพรวแล้วก็น้องล่ะ?

ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวล้วนเงียบสนิทจนกระทั่งเสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้น

“พี่...ไปซอย 12 หน่อย”

...............

ขวับ!!!

“รอไปก่อน!!!!”

ทุกคนในวินมอเตอร์ไซด์หันไปพูดใส่ลูกค้าผู้ชายที่บังเอิญเดินเข้ามาขัดจังหวะอย่างพร้อมเพรียง ทำเอาลูกค้าคนนั้นตกใจกระโดดออกห่างไปหลายก้าวด้วยความกลัว

“เอาล่ะนังพร ตกลงว่าเอ็งจะได้ไปเมืองนอกจริงๆ หรือวะ?”

ลุงแหวงหัวหน้าวินมอเตอร์ไซด์ถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง เพราะในชีวิตแกไม่เคยมีใครที่จะได้ไปเมืองนอกมาก่อน พอเห็นใบหน้าเรียวพยักหน้าน้อยๆ ลุงแหวงถึงกับตบเข่าฉาด

“บ๊ะ! ให้มันได้อย่างนี้สินังพร เอ็งนี่มันเก่งจริงๆ”

ทุกคนในวินต่างพากันพยักหน้าเห็นด้วย พวกเขาล้วนแล้วแต่ภูมิใจในตัวของชลัมพรยิ่งกว่าพ่อแท้ๆ ของเธอเสียอีก

“แล้วเอ็งจะกลุ้มใจทำไมวะนังพร? แบบนี้ก็เท่ากับว่าเป็นโอกาสดีแล้วไม่ใช่หรือ?”

ทุกคนล้อมวงกันเข้ามาอีก ต่างพากันอยากรู้อยากเห็นกระตือรือร้นเหมือนกำลังปรึกษาเรื่องของครอบครัวตนเองไม่มีผิด

“มันก็ดีอยู่หรอก แต่ถ้าหนูไปแล้ว ใครจะเลี้ยงพ่อ น้าแพรวแล้วก็น้องล่ะ?”

ท่าทางห้าวๆ เหมือนกับสาวทอมบอยของชลัมพรดูอ่อนลงไปมาก หญิงสาวยกขาขึ้นวางบนเก้าอี้พร้อมกับกอดเข่าเอาไว้ท่าทางคิดหนักจนทุกคนเป็นห่วง

“โถ่เอ๊ยนังพร ใจคอเอ็งจะเลี้ยงพ่อขี้เหล้ากับแม่เลี้ยงเอ็งไปจนวันตายเลยหรือไง ข้าบอกตามตรงนะพวกมันไม่ใช่ไม่มีมือไม่มีตีนทำมาหากินสักหน่อย แต่เพราะพวกมันขี้เกียจก็เลยไม่ยอมทำงานต่างหาก แล้วนี่เอ็งจะทำงานเป็นคนขับวินมอเตอร์ไซด์ไปตลอดชีวิตหรือยังไง” ลุงแหวงถอนใจเฮือกใหญ่ในชะตากรรมของหญิงสาวตรงหน้าที่ต้องรับภาระปากท้องของคนที่บ้านอย่างไม่เป็นธรรม

“นังพร อนาคตเอ็งจะมาจบแค่นี้ไม่ได้นะ เอ็งยังต้องไปอีกไกล ตัดใจไปจากที่นี่ซะเถอะ ข้าว่าเอ็งไปตายเอาดาบหน้าดีกว่า อย่างน้อยก็ยังดีกว่าต้องมาเป็นขี้ข้าหาเงินลงขวดให้พ่อเอ็งแบบนี้”

ทุกคนพากันพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของลุงแหวง พวกเขาเห็นชลัมพรมาตั้งแต่เด็กๆ เรียกได้ว่าหลังจากที่ชลัมพรพอจะพูดรู้เรื่อง เด็กหญิงก็ต้องทำงานตัวเป็นเกลียวอยู่ตลอดเวลา แทบไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง ภาระนั้นนับวันก็ยิ่งหนักขึ้นหากไม่รีบไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ต่อไปคงไม่มีโอกาสอีก

ชลัมพรคงต้องกลายเป็นทาสของครอบครัวนี้ไปจนวันตายแน่ๆ

“น้าแหวงก็พูดเกินไป ถึงจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่ถ้าหนูไม่ทำพ่อก็คงต้องไปขโมยของ หนูก็แค่ไม่อยากให้แกติดคุกก็เท่านั้น”

ทุกคนพากันส่ายหน้า วีรกรรมของพ่อชลัมพรล้วนแล้วแต่ทำให้ทุกคนพากันเอือมระอา เมื่อก่อนนี้ตอนที่แม่ของชลัมพรยังอยู่ พ่อของชลัมพรยังพอจะทำงานหาเงินอยู่บ้างแต่ก็แค่ทำพอกินพอใช้ไปวันๆ พอแม่ของชลัมพรจากไป คราวนี้พ่อของชลัมพรก็ไม่ยอมทำงานทำการอีกเลย ที่ชลัมพรรอดมาได้นั้นเป็นเพราะพวกเพื่อนบ้านให้ความสงสารจึงผลัดกันนำชลัมพรไปดูแล จนกระทั่งเด็กน้อยโตจนเข้าโรงเรียนได้

“เรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องของอนาคตนา อีกอย่างถ้าเอ็งรวยกลับมาจะมาช่วยพ่อเอ็งเมื่อไหร่ก็ได้ จริงไหมล่ะ อย่างน้อยก็ดีกว่าตอนนี้นั่นแหละ”

ที่ลุงแหวงพูดนั้นถูกทุกอย่างเพราะตอนนี้ชลัมพรได้แต่ทำงานรับจ้างเล็กๆ น้อยๆ ไม่ว่าจะเป็นขับมอเตอร์ไซด์รับจ้าง ร้อยพวงมาลัย หรือแม้แต่รับจ้างซักผ้า เรียกได้ว่าทำทุกอย่างที่สามารถทำได้ในเวลาว่างจากการเรียนจริงๆ

มีเพียงสิ่งเดียวที่ลุงแหวงไม่ได้บอกกับชลัมพรก็คือ ตัวแกกลับไม่อยากให้ชลัมพรกลับมาที่นี่อีก หรือถ้ากลับมาก็อยากจะให้กลับมาหลังจากที่พ่อของชลัมพรตายแล้วเสียมากกว่า เพราะตามความรู้สึกแก พ่อของชลัมพรเป็นพ่อที่ไม่มีค่าพอที่จะกตัญญูด้วย

เพราะไม่ว่าเมื่อไหร่ ไอ้บ้านั่นก็ไม่เคยหันมามองความเหนื่อยยากของลูกสาวคนนี้เลย คนอย่างมันรักแค่ตัวเองเท่านั้นล่ะ

ชลัมพรเก็บเรื่องนี้ไปคิดเธอยังไม่ได้บอกกับที่บ้านเพราะเธอยังมีเวลาอีกเกือบหนึ่งอาทิตย์ที่จะให้คำตอบกับเขาหลังจากนั้นเธอจะมีเวลาเตรียมตัวเพื่อเดินทางอีกหนึ่งอาทิตย์

กำหนดการเหล่านั้นกระชั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มันทำให้เธอยิ่งเครียดมากขึ้น

“มัวเหม่ออะไรยะ แม่พร เดี๋ยววันนี้ก็ซักผ้าพวกนี้ไม่เสร็จกันพอดี เอ้านี่ ของฉันกับพ่อแก”

แม่เลี้ยงของชลัมพรโยนเสื้อผ้ากองใหญ่มาวางไว้ที่พื้นก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านโดยไม่คิดจะช่วยชลัมพรที่ตั้งหน้าตั้งตาซักผ้ากองโตจนแทบจะท่วมตัวเลยแม้แต่นิดเดียว

เฮ้อ...เธอจะทนให้เป็นแบบนี้ไปได้อีกนานสักแค่ไหนกันนะ?

 

ไกลออกไปอีกมิติหนึ่งที่เชื่อมโยงกัน...

ฟ้าววว....ฉึก!

เสียงหน้าไม้ที่ดังแหวกอากาศมากระทบเข้ากับอะไรบางอย่างดังขึ้น จากนั้นร่างที่ถูกลูกดอกขนาดใหญ่ก็เริ่มส่ายโงนเงนไปมาก่อนจะล้มลงไปบนผืนทราย

“จัดการทหารของโอลาคหมดแล้ว ไปรายงานฝ่าบาทแทนข้าทีว่าอีกสักครู่หนึ่งข้าจะเข้าไปทูลรายงานผลการรบ”

“ขอรับท่านแม่ทัพ”

คนพูดคือแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพอันเกรียงไกรของแคว้นอันยิ่งใหญ่เซฟิน แคว้นแห่งนี้ถูกปกครองด้วยชีคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดซึ่งมีพระนามว่าชีคเซเรฟ

พระองค์ทรงเป็นชีคที่ยิ่งใหญ่เหนือแคว้นต่างๆ ตั้งแต่เหนือจรดใต้ ยิ่งตอนนี้ทั่วดินแดนต่างพากันเกิดสงครามทั้งใหญ่น้อยด้วยฝีมือของชีคแห่งแคว้นโมรัค แคว้นเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถเรียกได้ว่ามีแสงยานุภาพไม่แพ้แคว้นเซฟินเลยแม้แต่น้อย

แต่ทว่าชีคแห่งโมรัคไม่ได้พอใจกับการเป็นหนึ่งในแคว้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่านั้น พระองค์ทรงนำพาทหารเข้ายึดครองแคว้นเล็กๆ มากมาย จากนั้นก็เริ่มส่งแคว้นเล็กๆ ที่ยึดครองได้มาหยั่งกำลังของแคว้นเซฟินอยู่ตลอดเวลา สงครามทั้งเล็กและใหญ่เกิดขึ้นแทบจะตลอดเวลาตลอดแนวชายแดน ทำให้ชีคเซเรฟจำต้องส่งแม่ทัพที่ฝีมือดีที่สุดอย่างวาฮิตมาที่นี่

แม่ทัพหนุ่มวางหน้าไม้ลงบนท่อนขาแข็งแรง ที่เบื้องหลังของเขากองทัพนับแสนสวมชุดเกราะวาววับ ท่าทางคึกคักไม่เหมือนกับเพิ่งผ่านศึกมาเมื่อครู่แม้แต่น้อย

ไม่เพียงแต่ผู้คนเท่านั้น แม้แต่ม้าศึกแต่ละตัวยังสะบัดหัวไปมา ราวกับว่าการรบเมื่อครู่นี้ยังไม่สามารถทำให้เรี่ยวแรงของพวกมันลดทอนลงไป พวกมันทุกตัวล้วนแล้วแต่กำเนิดในแคว้นเซฟินพวกมันแข็งแรง อดทน รูปร่างสูงใหญ่กว่าม้าของแคว้นอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด เรียกได้ว่าสิ่งที่ทำให้ทุกแคว้นต่างเกรงขามนั้นไม่ได้มีเพียงชีคผู้ยิ่งใหญ่ หรือแม่ทัพที่เก่งกาจเท่านั้น แม้แต่ทรัพย์ยากรธรรมชาติของแคว้นเซฟินยังเป็นหนึ่งอีกด้วย

ทางด้านแคว้นโมรัค ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีทรัพย์ยากรพร้อมพรั่งดั่งแคว้นเซฟิน ทว่าแคว้นแห่งนี้กลับเต็มไปด้วยผู้คนกำยำล่ำสันที่นิยมชมชอบการรบยิ่งนัก โดยเฉพาะเมื่อแคว้นโมรัคเป็นแคว้นที่มีเหล็กมากที่สุดเนื่องจากโมรัคเป็นแคว้นที่เต็มไปด้วยแร่เหล็ก ดังนั้นจะเรียกได้ว่าแคว้นโมรัคเป็นแคว้นที่มีเพื่อการรบก็ไม่ผิดเช่นกัน

สงครามที่เพิ่งผ่านไปนั้น เป็นสงครามเล็กๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างแคว้นโอลาคซึ่งเพิ่งถูกแม่ทัพวาฮิตแห่งแคว้นเซฟินทำลายไปด้วยความรวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ เรียกได้ว่าแทบไม่มีความสูญเสียเกิดขึ้นทางฝ่ายเซฟินเลยแม้แต่นิดเดียว ทว่าทางด้านแคว้นโอลาคกลับถูกทำลายจนย่อยยับไม่มีทหารคนใดรอด

นี่ก็เป็นอีกแคว้นที่ถูกแคว้นโมรัคกลืนกินและเพื่อความอยู่รอดพวกเขาจึงต้องนำชีวิตมาเสี่ยงที่นี่ เนื่องจากทุกครั้งที่แคว้นโมรัคยึดดินแดนใดได้ ชีคแห่งโมรัคมักจะประกาศทันทีที่ยึดแคว้นนั้นได้ว่า หากแคว้นใดก็ตามสามารถนำหัวของแม่ทัพวาฮิตแห่งเซฟินมาได้ แคว้นนั้นก็จะได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระและจะไม่มีการบุกจากแคว้นโมรัคอีกเลยตลอดอายุขัยของชีคแห่งโมรัคพระองค์นี้

เท่านี้ก็เป็นการประกันชั้นดีจากแคว้นที่ได้ชื่อว่าเก่งกาจทางด้านการรบมากที่สุดอย่างแคว้นโมรัคแล้ว

ทว่า...ศีรษะของแม่ทัพวาฮิตนั้นใช่ว่าจะได้มาง่ายๆ อย่างที่คิด

หากแคว้นโมรัคเต็มไปด้วยนักรบที่กระหายในสงคราม แม่ทัพแห่งเซฟินผู้นี้ก็คือเทพเจ้าแห่งสงคราม ที่สำคัญชีคเซเรฟผู้นำแห่งแคว้นเซฟีน ทรงเป็นทั้งเจ้านายและเพื่อนวัยเด็กของแม่ทัพหนุ่มผู้นี้ เรียกได้ว่าทั้งสองโตมาพร้อมๆ กันก็ว่าได้ มีหรือพระองค์จะยอมให้เพื่อนในวัยเยาว์ของพระองค์ถูกลอบสังหารได้ง่ายๆ

ท่านชีคเซเรฟแม่ว่าจะไม่ยอมปรากฏองค์บ่อยนัก ทว่าข่าวลือเรื่องความเก่งกาจของพระองค์นั้นทำให้ชีคแห่งโมรัคต้องหวั่นเกรงอยู่ไม่น้อย เพราะข่าวลือที่ว่านั่นก็คือ ท่านชีคแห่งเซฟินเป็นมารร้ายกลับชาติมาเกิด

สาเหตุที่มีข่าวลือเช่นนี้ออกมาก็เพราะหลายปีก่อนช่วงที่พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ได้ไม่นานนักก็มีนักฆ่ากลุ่มหนึ่งบุกเข้าไปในพระราชวังหมายจะสังหารท่านชีค เหตุเพราะพระองค์ยังมิได้แต่งตั้งชายาหรือสนมนางใดเป็นพิเศษทำให้พระองค์ไม่มีรัชทายาทสืบต่อราชวงศ์ หากสามารถสังหารพระองค์ได้ในตอนนั้น แคว้นเซฟินคงจะระส่ำระสายและถึงกาลอวสานอย่างแน่นอน

ทั้งที่เหตุการณ์ควรเป็นเช่นนั้นแต่กลับไม่ใช่

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว