ปฐมฤกษ์
บารวี อายุสิบห้า นักเรียนหญิงผอมแห้งมีแต่กระดูก เรียนอยู่ชั้นมัธยมสาม ยืนตากแดดกลางแจ้งหน้าเสาธงมาสักระยะแล้ว วันนี้เป็นวันก่อตั้งโรงเรียน จึงมีงานพิธีใหญ่โตแต่เช้าที่ระดมนักเรียนทุกคนมาร่วมพิธี บนปรัมพิธี อาจารย์ใหญ่กำลังกล่าวสุนทรพจน์ใส่ไมค์ออกลำโพงดังสนั่นหวั่นไหว เพื่อสดุดีผู้ก่อตั้งโรงเรียนเช่นที่ทำมาในทุกปี
"โรงเรียนมวลสาระวิทยา ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๘๘ ผู้ก่อตั้งคือนายเวชกร มูลนาวี เจ้าของโรงเลื่อยใหญ่ที่สุดประจำจังหวัด โดยเปิดการเรียนการสอนให้ลูกหลานคนในจังหวัดของเราทุกคนที่ต้องการเรียนและไม่มีที่เรียน โดยไม่จำกัดว่าจะเป็นลูกใครหลานใคร ไม่ว่าพ่อแม่จะเป็นใคร มีทุนทรัพย์ก็ได้ ขอให้เป็นคนจังหวัดนี้ก็สามารถเข้าเรียนหนังสือที่นี่ได้..."
"หึ แม้แต่ลูกโจร ลูกกะหรี่ก็เข้าได้" เสียงหัวเราะเยาะเย้ยของนักเรียนหญิงที่ยืนอยู่ข้างหลังบารวีดังขึ้น บารวีที่ตัวเตี้ยกว่าคนที่ถากถาง ได้แต่ห่อไหล่ พยายามทำตัวให้เล็กลง เธอรู้ว่า เพื่อนร่วมห้องต้องการเล่นงานเธอ เพราะใครๆ ก็รู้ว่า เธอไม่มีพ่อ มีแต่แม่ และแม่ไปทำงานนวดที่เมืองนอก ส่วนนวดอะไร เธอไม่อยากฟังก็มีคนบอกลอยลมมาอยู่ดี บารวีโตมาโดยแทบไม่เห็นหน้าแม่ เพราะแม่ไม่กลับมาเยี่ยม จดหมายก็ไม่เขียน อย่างมากก็โทรศัพท์มาหาตอนปีใหม่ เด็กหญิงจึงโตมาอย่างเดียวดายและเงียบเหงากับยายแก่ๆ เพียงสองคน บารวีจึงเจียมตัวเสมอและหากหลีกเลี่ยงไม่สู้กับใครได้ เธอก็จะทำ ไม่ว่าจะโดนกลั่นแกล้งถากถางอย่างไร
เด็กสาวก้มหน้า หยิบผ้าเช็ดหน้าสีตุ่นๆ มาแอบซับน้ำตา ปนเหงื่อที่เริ่มไหลเพราะร้อน ท่าทางของเธอไม่มีใครเห็น เพราะในสายตาของเพื่อนในห้อง เธอไม่มีตัวตน..ซึ่งเธอก็เคยชินอย่างนั้น..
"..โรงเรียนจึงรู้สึกเป็นเกียรติอย่างที่สุดที่วันนี้ ทายาทของคุณเวชกรจะมากล่าวแสดงความยินดีกับเราในวันนี้ เชิญครับ คุณบวงสรวง"
ขาดคำของอาจารย์ใหญ่ ผู้ชายใส่เสื้อเชิ้ตผูกเนคไท แต่งตัวเรียบร้อย หน้าตาหล่อเหลาก็ปรากฎตัวขึ้น เขายิ้มให้ทุกคน รวมทั้งนักเรียนที่มองเขาอย่างตื่นตะลึง และเริ่มซุบซิบว่าเขาหน้าตาดี แต่เขาไม่ได้ใส่ใจ เขายิ้มให้ทุกคนและพูดออกไมโครโฟนตามประสบการณ์ทำธุรกิจของเขา "สวัสดีครับ ผม ไม่เคยมาที่โรงเรียนมาก่อน ผมต้องขอโทษด้วย ที่ผ่านมา ผมจะทำงานต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ ผมเพิ่งย้ายกลับมาทำงานกับบริษัทครอบครัวในไทยเมื่อไม่กี่เดือนนี้"
เขายิ้มเป็นมิตร "ผมดีใจนะครับที่โรงเรียนที่คุณปู่ผม สร้างไว้ยังอยู่ดี และยังให้ความรู้กับเยาวชนรุ่นใหม่ๆ ต่อไปเรื่อยๆ อย่างไรก็ดี ผมคิดว่า โรงเรียนจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาในหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะอาคารเรียน และเครื่องไม้เครื่องมือที่ใช้ทำการเรียนการสอน โดยเฉพาะ ตึกส้ม.."
... เงียบ... ทันที ที่บวงสรวงหลุดคำว่า ตึกส้ม เขาก็รู้สึกได้ว่าบรรยากาศรอบข้างเปลี่ยนไป อาจารย์ใหญ่และอาจารย์คนอื่นๆ หน้าซีดเผือด นักเรียนที่ยืนเข้าแถวยืนตัวแข็ง สีหน้าตกใจ..
ชายหนุ่มทายาทผู้ก่อตั้งโรงเรียนนิ่งไป "อ่า.. ตึกส้ม... " เขาพยายามเรียบเรียงความคิดอีกที แต่ปฏิกิริยาของคนฟังต่างนิ่งจนเขาแปลกใจ..
เขากระแอมอีกที "คือ ตึกส้ม.. ผมได้ยินมาว่าเป็นตึกเก่าปิดทิ้งไว้เฉยๆ ผมก็ตั้งใจจะบูรณะให้ได้ใช้งานกัน..."
หวูดดดดดดดดดดดดด ! สิ้นคำของเขา... ไมโครโฟนก็หอนขึ้นมาทันที บวงสรวงแปลกใจรีบพยายามปรับไมค์แต่ก็ไม่เป็นผล เสียงไมโครโฟนยังคงหอนหนวกหู..
และโดยไม่มีใครคาดคิดก็มีเสียงอื่นแทรกมาด้วย...
แกรก แกรก แกรก แกรก..
ครูใหญ่จึงรีบปิดไมค์ แล้วเอ่ยตะโกน "อ่า ขอบคุณครับ ทางโรงเรียนดีใจมากครับ เอาเป็นว่า เดี๋ยวขอเชิญคุณบวงสรวงไปเดินชมโรงเรียนนะครับ" แล้วก็หันไปบอกเด็กๆ ด้วยโทรโข่งที่คนเอามายื่นให้ "กลับไปเรียนได้แล้ว พิธีจบแล้วครับ"
พอขาดคำ ความโกลาหลก็แทรกเข้ามาทันที อาจารย์ใหญ่พยายามพาบวงสรวง ทายาทเจ้าของโรงเรียนออกไปจากปรัมพิธี แต่คนถูกพาดูไม่อยากไปเท่าไร ส่วนเด็กนักเรียนคนอื่นก็เริ่มคุยกันเซ็งแซ่แตกแถวกลับไปห้องเรียน
บารวียืนมองทุกอย่างด้วยแววตาตกใจ ตึกส้ม ? ตึกผีสิงนั่นนะเหรอ ? จะบูรณะทำไม ?
ปึก.. ไหล่ผอมแห้งของเธอถูกชนจนเซ โดยเพื่อนนักเรียนหญิงที่ทำหน้าเย้ยหยันรังเกียจ
บารวีรีบหลบสายตาที่มองมา ก้มหน้าก้มตาเดินกลับห้องไป.. เธอยิ่งเร่งฝีเท้ากว่าเดิมตอนที่ได้ยินเสียงลอยลมจากเพื่อนกลุ่มเดิมว่า
"เฮ้ย กูนึกอะไรหนุก ๆ ออกแล้วว่ะ เอาลูกกะหรี่ไปทิ้งไว้ตึกส้มเล่นๆ ดีไหมวะ ?"
-----------
สวัสดีค่ะ ไรต์อยากลองมือเขียนนิยายสั้นไม่เกินสามสิบตอน (หรืออาจน้อยกว่า) เรื่องผีๆ สำหรับฮาโลวีนปีนี้ดูนะคะ พล็อตเป็นเรื่องของนักเรียนหญิงที่ไม่มีใครสนใจชื่อบารวี กับตึกผีสิงข้างโรงเรียนของเธอ เรื่องนี้ เนื้อหามีผี และมีเรื่องการรังแก/บุลลี่ในโรงเรียนนะคะ เนื้อหาจะแรงสักหน่อย ไม่เหมือนนิยายปกติของไรต์ ดังนั้น ใครไม่ไหวก็ผ่านไปได้ค่ะ ส่วนใครที่ชอบก็กดติดตามได้เลยค่ะ อ้อ เรื่องนี้ไม่ฟรีตลอดนะคะ ไรต์ตั้งใจจะใส่เหรียญนิดหน่อยค่ะ ว่าจะทดลองดู
เพียงรำเพย