ราชการลับตอน 22แต่งงาน-ตาย
0
ตอน
404
เข้าชม
5
ถูกใจ
0
ความคิดเห็น
1
เพิ่มลงคลัง

 

ริชมอนด์ อินเวอร์คากิล นิวซีแลนด์ ปี 2540 

หลังกลับจากประเทศไทยได้ไม่นานคิมเบอร์ลี่แข็งแรงได้พักเดียว แต่เธอก็ทนกับความเจ็บป่วยได้ไม่นาน ทางบ้านเป็นห่วง โรงพยาบาลเซ้าท์แลนด์ที่ดูแลเธออยู่แนะนำครอบครัวแอนเดอร์สันว่าโรงพยาบาลที่มีความพร้อมมากกว่าอยู่ที่ไครสต์เชิร์ช 

หลังจากปรึกษากันอย่างดีแล้วในทางการแพทย์ หมอแนะนำว่า ถ้าหากเธอมีเงินสนับสนุนจากจาวิสแอนด์ดีนเช่นนี้ ควรจะย้ายจากเซ้าท์แลนด์ไปโรงพยาบาลที่ดีที่สุดในไครสต์เชิร์ช 

เดือนมีนาคม คิมเบอร์ลี่ในสภาพร่างกายที่อิดโรยเดินทางมาถึง St.George's Cancer Care Center Hospital ในย่านปาปานุย(Papanui)ในเมืองไครสต์เชิร์ช แม่เธอส่งโทรเลขถึงตุลย์บอกเขาว่าคิมเบอร์ลี่ขึ้นมารักษาตัวที่St.George’s Cancer Care Center แพทย์ตรวจอาการคิมเบอร์ลี่พบว่ามะเร็งลุกลามไปมากค่อนข้างอันตรายมาก แต่เธอมีกำลังใจสู้ชีวิตและคิดว่าคิมเบอร์ลี่ ควรดูอาการที่ศูนย์โรคมะเร็ง สักพักก่อนจะตัดสินใจทำอะไรต่อไปนายแพทย์เจ้าของไข้ขอพูดกับพ่อแม่คนไข้เป็นการส่วนตัว 

“คนไข้คนนี้คงอยู่ได้ไม่นาน อย่างมากแค่เดือนเดียว เราจะรักษาตามอาการ เท่าที่จะทำได้ ขอให้ทำใจ ขอให้พิจารณาว่า ในวาระสุดท้าย จะเอาเธอไว้ที่นี่จนเสียชีวิต หรือให้เธอกลับไปบ้านที่ริชมอนด์เพื่อสละร่างที่เธอเกิดตามที่ปรารถนา” 

มาร์การ์เร็ตตอบได้โดยไม่ต้องคิด 

“ดิฉันจะพาคิมเบอร์ลี่กลับบ้านในขณะที่เธอยังรู้สึกตัว เธอควรกลับริชมอนด์เพื่ออยู่ในวาระสุดท้ายกับเราค่ะ” 

แต่จริงๆ แล้วมาร์การ์เร็ตทราบดีว่าเธอต้องพาคิมเบอร์ลี่เข้าโรงพยาบาลเซ้าท์แลนด์มากกว่าอยู่ในศูนย์พยาบาลที่ไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือในเมืองเล็กอย่างริชมอนด์ 

ตุลย์รอโทรศัพท์ทางไกลจากนิวซีแลนด์ด้วยใจระทึก เขาพร้อมจะบินไปหาคิมเบอร์ลี่ที่ป่วยหนักทันที พร้อมทิ้งงานโคซิโอไว้เบื้องหลัง 

พลตำรวจโทกิติและนางลาวัลย์ต่างก็วิตกกังวลกับการป่วยของคิมเบอร์ลี่ ตั้งแต่ตุลย์มาบอกว่าเธอเป็นมะเร็ง มันหมายถึงความตายที่เลี่ยงไม่ได้ คนเป็นพ่อแม่ทราบดี 

รออยู่หลายวัน ไม่มีข่าวจากคุณมาร์การ์เร็ต ตุลย์เช็คเที่ยวบินไปไครสต์เชิร์ช ตลอดเวลาว่ามีที่นั่งหรือไม่ ในฤดูที่ไม่ใช่การท่องเที่ยว เครื่องบินว่างเสมอ ตุลย์ไม่กังวลใจ 

คุณมาร์การ์เร็ตโทรเลขบอกว่าคิมเบอร์ลี่จะรักษาตัวอยู่ที่ศูนย์มะเร็งในไครสต์เชีร์ชให้แข็งแรงอีกระยะหนึ่ง หลังจากนั้นก็จะบอกตุลย์อีกครั้ง เมื่อไรจะย้ายคิมกลับมาอินเวอร์คากิล เมื่อนั้นค่อยคิดกันว่าตุลย์ควรมานิวซีแลนด์เมื่อไร 

พิมราได้ข่าวการป่วยของคิมเบอร์ลี่ เธอเสียใจไม่แพ้ตุลย์ หากคิมเบอร์ลี่เป็นอะไรไปถึงขั้นเสียชีวิตตุลย์คงเสียใจกับการสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิต 

เธอรู้ดีว่าเธอควรอยู่อย่างสงบเสงี่ยมสงวนตัว ไม่ควรเอ่ยถึงคิมเบอร์ลี่ ไม่ว่าจะแสดงความเห็นว่าเสียใจหรือแม้จะถามถึงอาการเจ็บไข้ได้ป่วย ก็อาจรบกวนจิตใจของตุลย์ 

พิมราคาดหวังว่าตุลย์คงบินไปดูใจคิมเบอร์ลี่ถึงนิวซีแลนด์ นอกจากนั้นเธอเคยได้ยินตุลย์คุยกับเพื่อนในทีมโคซิโอว่าเขามีของขวัญที่คิมเบอร์ลี่เตรียมไว้ให้เขา เป็นของขวัญล้ำค่าที่สุด คิมบอกเขาจะต้องดีใจและต้องดูแลของขวัญนี้หากเธอเป็นอะไรไป 

พิมราอยากรู้เหมือนกันว่าของขวัญนั้นคืออะไรสำคัญขนาดนั้นเชียวหรือ 

มันเกี่ยวอะไรนักหนากับชีวิตตุลย์ 

และมีหรือจะเกี่ยวมาถึงเธอ  

เธอไม่มีวันรู้หรอกว่าของขวัญชิ้นนี้ 

กำหนดชะตากรรมเธอไปตลอดชีวิต! 

คณะโคซิโอนัดหมายคุยกันว่าควรบินไปนิวซีแลนด์พร้อมตุลย์จะดีไหมเพราะทุกคนรู้จักคิมเบอร์ลี่ 

ตุลย์ขอร้องว่ายามเธอป่วยคงไม่อยากให้มีคนรบกวนมากและเล่าให้ฟังว่า ตั้งแต่รู้ว่าคิมเบอร์ลี่ป่วยบริษัทจาวิสแอนด์ดีนประเทศไทย ส่งดอกไม้ไปให้คิมเบอร์ลี่ปักแจกันในห้องทุกอาทิตย์เป็นดอกไม้สดมีราคาแพง ตุลย์ไปพบสนิทผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บอกว่าเขาไม่ได้ใช้งบบริษัทฯ เลย แต่เขาออกเงินเองเพราะนึกถึงบุญคุณที่คิมมีต่อตัวเขา ช่วยให้เขาก้าวหน้า เขาได้เลื่อน ตำแหน่งผู้จัดการมาเป็นผู้อำนวยการก็ได้คิมนี่แหละพูดในบอร์ดกรรมการจาวิสฯ ยกตัวอย่างที่เขาขยายตลาดให้เติบโตเกินความคาดหมายต่อเนื่อง 3 ปีซ้อน 

ตุลย์กล่าวชมว่าสนิทเป็นคนดี ทำงานจริงจัง คิมชมเขาตั้งแต่ตุลย์ยังไม่รู้จักกับสนิท และเป็นคิมนี่แหละที่แนะนำกับเขา ให้แวะมาดื่มกาแฟที่สำนักงานจาวิสฯ บ้าง 

สนิทบอกกับตุลย์ว่าบัดนี้เขาตั้งผู้จัดการเป็นผู้ช่วยที่ไว้ใจได้ หากเป็นไปได้เขาอยากติดตามไปเยี่ยมนายที่นิวซีแลนด์ด้วย ตุลย์บอกว่าอย่าเลย เป็นการรบกวนทั้งคนไข้และคนเยี่ยม แต่คงมีสักวันที่จะได้เยี่ยมคิมที่นิวซีแลนด์ 

ฟ้าเมืองไทยมืดปราศจากเมฆโดยไม่ทราบสาเหตุไม่ทราบเป็นลางสังหรณ์หรือไม่ ตุลย์พยายามโทรศัพท์ทางไกลไปถึงบ้านพ่อแม่ของคิมที่ริชมอนด์ ไม่มีคนรับสาย เขาหัวเสีย นึกว่าต้องมีเหตุร้ายแน่นอน คิดว่าเขาควรจัดกระเป๋าพรุ่งนี้ พยายามหาเที่ยวบินไปไครสต์เชิร์ชเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ 

คุณลาวัลย์เตือนสติ บอกรีบร้อนทำไม ในเมื่อยังไม่ได้ข่าวจากนิวซีแลนด์ หากมีการเปลี่ยนแปลงอะไร อย่างน้อยคุณมาร์การ์เร็ต ต้องส่งข่าวมาแล้ว 

ตุลย์ใจเย็นลง เห็นด้วยตามที่แม่ว่า เขาบอกว่าเก็บกระเป๋าเอาไว้อย่างนั้น หากมีอะไรด่วนจริงๆ จะเดินทางไปได้ทันที 

คุณลาวัลย์ส่ายหน้า เดินยิ้มออกไปจากห้องนึกขำๆ ลูกก็ยังเป็นลูก ต้องคอยเตือนให้มีสติ คิดอะไรวู่วามทุกครั้ง นึกเอาเองโดยไม่ไตร่ตรอง 

ในที่สุดโทรเลขที่ตุลย์รอคอยจากมาร์การ์เรตก็มาถึงกรุงเทพฯ ด้วยข้อความสั้นๆ 

“ลูกฉันต้องการเธอ” นั่นเท่ากับหมื่นแสนคำ พอเพียงแล้วสำหรับตุลย์ ด้วยน้ำตาที่เอ่อล้น เขาจัดกระเป๋าอีกครั้ง ยืนยันการสำรองที่นั่งกับสายการบินหาเที่ยวบินเที่ยวบินล่าสุด สู่เมืองไครสต์เชิร์ชและสำรองที่นั่งสายการบินภายในประเทศสู่เมืองอินเวอร์คากิลไปยังโรงพยาบาลเซ้าท์แลนด์ 

สายการบินที่ตุลย์นั่งบินอยู่หลายชั่วโมงเป็นการบินตรง  

......................................................................................... 

 

ตุลย์ย้อนระลึกถึงวันที่เขาพบคิมเบอร์ลี่ครั้งแรก 

“ลูกฝรั่งผอมสูงเก้งก้างหน้าตาก็สวยอยู่หรอก พูดไทยได้หรือเปล่า” เด็กตุลย์ตะโกน เขาพยายามจะเปิดกระโปรงเธอ 

“ไอ้บ้า” เธอตวาดเป็นภาษาไทยชัดเจน 

“อ้อ พูดไทยเป็นด้วย” ตุลย์หัวเราะพยายามอีกครั้งคราวนี้ไล่จับตัวเธอ 

“อย่าเข้ามานะ” เด็กฝรั่งยกสองมือตั้งการ์ด 

“ชกซี่ ชกซี่” ตุลย์แหย่ 

โครม! ตุลย์หน้าหงายล้มคว่ำลงกองบนพื้น เธอชกเขาจริงๆ 

ครูประจำชั้นเห็นเหตุการณ์วิ่งเข้ามาแยก หัวเราะที่เห็นสภาพเด็กผู้ชายล้มคว่ำเนื้อตัวคลุกฝุ่น 

“คิมเบอร์ลี่ไปชกเพื่อนทำไม” ครูมาลีถามจับตุลย์ให้ลุกขึ้นจากพื้น 

“เค้าไม่ใช่เพื่อนหนู” คิมเบอร์ลี่พูดเสียงดัง ฟ้องครูด้วยคำพูดตามมา 

“เค้ามาเปิดกระโปรงหนู” 

ตุลย์ประท้วง “ผมยังไม่ได้เปิดครับ แค่แหย่เล่นเท่านั้นครับ” 

“แต่ครูเห็นนะ เขาจะเปิดกระโปรงเธอจริงไหม” ครูมาลีหันไปถามฝ่ายหญิง 

“ใช่ค่ะ”  

 “เอาละ นายตุลย์เธอต้องขอโทษเพื่อนต่อหน้าครู เดี๋ยวนี้” 

“ขอโทษก็ได้” เป็นครั้งแรกที่เขาขอโทษผู้หญิง 

.........“ชาหรือกาแฟคะ” พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินถาม 

ตุลย์สะดุดจากความคิดในภวังค์ 

“กาแฟครับผมไม่ต้องการอะไรอีก” 

“ค่ะ” 

แต่ตุลย์รู้ว่าเป็นคำขอโทษที่คุ้มค่าที่สุด 

เขารู้มาทีหลัง.........เด็กผู้หญิงฝรั่งคนนี้ชื่อคิมเบอร์ลี่และรู้ว่าเธอมาจากประเทศนิวซีแลนด์ 

ประเทศเขาไม่รู้จักและไม่เคยได้ยินมาก่อน 

จากที่เคยแกล้งกันตุลย์พยายามอีกหลายครั้งที่จะญาติดีกับเธอ บางวันเขาเห็นแหม่มมารับเธอกลับบ้าน ขำที่เด็กผู้หญิงตัวเล็กผอมเก้งก้างกระโดดโลดเต้นไปมาดีใจ แม่มารับกลับบ้าน 

วันไหนพี่เลี้ยงมารับ เธอหน้างอไม่กระโดดโลดเต้น แต่เดินหงอยเหงาขึ้นรถเก๋งคันใหญ่ คนรถจะเปิดประตูให้อย่างนอบน้อม ดุจเธอเป็นเจ้าหญิงมิปาน 

จากเด็กหญิงแสนงอน ไม่นานก็กลายเป็นเด็กหญิงแสนซนที่กล้าหาญและฉลาดพูดเกินวัย 

ตุลย์ไม่ใช่ศัตรูอีกต่อไป แต่เป็นเพื่อนเล่นแสนดี เป็นเพื่อนที่เธอสามารถแกล้งได้โดยที่เขาไม่โกรธ 

คิมเบอร์ลี่ยังสอนให้เขาเรียนรู้ ภาษาพูดแบบนิวซีแลนด์ เธอว่าแตกต่างกับภาษาพูดของชาวอังกฤษ 

“พวกผู้ดีอังกฤษ บอกเราเป็นพวกบ้านนอก เธอก็จะพูดแบบคนบ้านนอกอย่างฉันนี่แหละ”          คิมเบอร์ลี่หัวเราะ 

“นิวซีแลนด์มีแกะมากกว่าพลเมืองทั้งประเทศ เธอเชื่อไหม มีนกที่บินไม่ได้อยู่ที่มืดๆ เรียกนกกีวี่เป็นสัญลักษณ์ของประเทศ มีทีมรักบี้ออลแบล็คเป็นแชมเปี้ยนโลก 3 ปีซ้อน เมืองที่ฉันอยู่มีนักขี่รถมอเตอร์ไซค์ทำสถิติวิ่งเร็วที่สุดในโลกเชื่อฉันไหม?” ตุลย์ตอบเธอว่า “คนไทยมีสุภาษิตว่าสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น คิมย้อนว่า”ถ้าเป็นอย่างนั้นเธอต้องเริ่มเก็บสตางค์ตั้งแต่วันนี้เมื่อเธอโตขึ้นจะได้มีเงินไปประเทศและ 

อยู่กับฉันที่บ้านจะได้ดูท้องฟ้าเดือนมืด มีดาวล้านดวง ได้กินแกะย่าง ไอศกรีมอร่อยๆ อยู่บ้านฉันนานเท่าไหร่ก็ได้” 

ตุลย์คิดว่าเขาพบรักกับผู้หญิงผอมเก้งก้างคนนี้ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา 

............“อาหารกลางวันรับไก่หรือเนื้อคะ” พนักงานต้อนรับคนเดิมถาม 

“เนื้อครับ” 

ตุลย์และคิมเบอร์ลี่สนิทกันมากยิ่งขึ้น เธอชวนเขาไปบ้าน ตุลย์ขออนุญาตพ่อแม่ก่อนซึ่งได้รับความยินดี สอนให้เขารู้จักธรรมเนียมการรับประทานอาหารแบบฝรั่ง 

แม่หาดอกไม้ช่อหนึ่งให้เขามอบให้คุณมาร์การ์เร็ตแม่ของคิมเบอร์ลี่ทันทีที่ถึงบ้าน 

เมื่อตุลย์ถึงบ้านคุณมาร์การ์เร็ต ตกหลุมรักเด็กผู้ชายไทย เพื่อนลูกสาวเธอทันที พวกแอนเดอร์สันรู้จักคนไทยในกรุงเทพฯ มากมาย แต่ไม่เคยพบเด็กผู้ชายน่ารัก วัยใกล้เคียงกับลูกสาวชื่อตุลย์เลย 

ตุลย์รับประทานแกะย่างแสนอร่อย เป็นจริงอย่างที่คิมเบอร์ลี่คุยไว้ ของหวานรสเลิศเป็นไอศกรีมใส่ลูกพีช เขาไม่เคยรับประทานที่ไหนรสชาติดีเหมือนที่บ้านนี้ 

คุณมาร์การ์เร็ตบอกตุลย์ว่าเขาควรมาหาคิมเบอร์ลี่ที่บ้านบ่อยๆ และถ้าพ่อแม่ไม่ว่า บางทีก็อาจมาค้างกับเธอได้ ถ้าอยู่เล่นกันจนดึก 

ตุลย์ขอบคุณในมิตรภาพและจะลองถามพ่อกับแม่ว่าให้เขามาค้างที่บ้านครอบครัวแอนเดอร์สันได้หรือเปล่า 

ตุลย์กลับบ้านและเล่าให้แม่ลาวัลย์ฟัง แม่คิดว่าเป็นการเชื้อเชิญตามมารยาท แต่เป็นธรรมเนียมไทยไม่นิยมให้ลูกผู้ชายไปค้างบ้าน ที่เจ้าของบ้านมีลูกสาว แม้ว่ายังเด็กทั้งสองคน 

ตุลย์รู้สึกผิดหวัง 

“แม่ว่าเราสองคนพบกันในโรงเรียนก็พอแล้ว จะไปคบกันถึงในบ้านแม่ว่ามันมากเกินไป 

แค่แม่ผู้หญิงเขาเลี้ยงข้าวเราก็พอดีแล้วนะลูก” 

มาตอนนี้ตุลย์เข้าใจที่แม่พูด แม่ถูกทุกอย่าง แม่มองในฐานะคนเป็นแม่และในฐานะเป็นผู้ใหญ่ 

เขาเป็นเด็กควรรู้ขอบเขตของการเป็นเพื่อนและความเป็นเพื่อนที่ต้องมีความพอดีด้วย 

ย้อนคำนึงถึงแค่นี้ ......กัปตันเครื่องบินก็ประกาศว่ากำลังลดระดับการบิน เตรียมลงสู่ท่าอากาศยานนานาชาติไครสต์เชิร์ช สัญญานเตือนให้รัดเข็มขัดเลื่อนพนักเก้าอี้ให้ตรง 

เครื่องบินการบินไทยลงช้ากว่ากำหนด 15 นาที สนามบินนานาชาติไครสต์เชิร์ชเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรทำงานเร็วมาก 

คุณโรเบิร์ต พ่อของคิมเบอร์ลี่ นำรถยนต์เช่ามารับตุลย์ที่สนามบิน บังเอิญเขามีธุระต้องมาทำที่     ไครสต์เชิร์ช เขาบอกว่าอาการป่วยของลูกสาวไม่ค่อยดี แค่ทางร่างกาย ทางจิตใจยังดีเหมือนเดิม และอยากพบตุลย์มาก ธุระของคุณโรเบิร์ตก็เกี่ยวกับคิมเบอร์ลี่ เขามาต้องแจ้งบริษัทจาวิสแอนด์ดีนที่ไครสต์เชิร์ชว่าขอให้ระงับการจ่ายเงินเดือนให้คิมในฐานะผู้อำนวยการอาวุโสได้แล้ว ครอบครัวเกรงใจบริษัทมาก ที่ยังอุตส่าห์จ่ายโบนัสเป็นครั้งสุดท้ายและจ่ายเป็นหุ้นเหมือนทุกครั้ง 

ตุลย์บอกคุณโรเบิร์ตขออนุญาตแต่งงานกับคิมเบอร์ลี่ ถ้าคุณโรเบิร์ตและคุณมาร์การ์เร็ตไม่ขัดข้อง นี่จะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาต้องการมากที่สุด เพื่อทำให้คิมเบอร์ลี่มีความสุขก่อนที่เธอจากไป 

คุณโรเบิร์ตขอบคุณและพูดแทนภรรยาว่า เรายินดีมาก เป็นความปรารถนาดี ครอบครัวได้รับรู้มาตลอดว่าตุลย์รักลูกสาวของเขา และลูกสาวเขาก็รักตุลย์ที่สุด เป็นความรักที่ยาวนานมั่นคงมาก 

คุณโรเบิร์ตอธิบายว่าการจัดงานแต่งงานครั้งนี้คงจะไม่มีงานเลี้ยงเพราะเป็นไปไม่ได้ 

ตุลย์บอกทันทีว่าเขาต้องการพิธีให้พระดำเนินงานเรียบง่ายที่สุด ให้รับรู้เฉพาะพ่อแม่เท่านั้น และไม่แน่ใจว่าพ่อแม่เขาจะมาร่วมพิธีทันหรือไม่ 

ตุลย์ถามว่าร่างกายของคิมเบอร์ลี่รับไหวหรือไม่ที่จะต้องมีพิธีแต่งงาน อาจใช้เวลาประมาณ 15 นาที หรือมากกว่านิดหน่อย 

คุณโรเบิร์ตบอกว่าร่างกายของคิมเบอร์ลี่ ไม่น่ามีปัญหาถ้าไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง และคิมเบอร์ลี่จะดีใจมากกับการแต่งงานครั้งนี้ เธอไม่ได้คิดว่าตุลย์จะขอเธอแต่งงาน 

ชุดแต่งงานใช้ของแม่ ที่เก็บรักษาไว้อย่างดีไม่ล้าสมัย คิมเบอร์ลี่เคยบอกว่าจะใส่ชุดของแม่ถ้าได้แต่งงาน 

ตุลย์และคุณโรเบิร์ตคืนรถเช่าไว้ที่สนามบินหลังคุณโรเบิร์ตเสร็จธุระกับบริษัทจาวิสแอนด์ดีนสาขาไครสต์เชิร์ช ทั้งสองคนบินเครื่องบินเที่ยวสุดท้ายด้วยกันสู่อินเวอร์คากิลและพักโรงแรมแอสคอท ปาร์ค ซึ่งห่างจากใจกลางเมืองไม่มาก 

ตุลย์เก็บเสื้อผ้า อาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่และรอคุณโรเบิร์ตอยู่พักใหญ่จนได้เวลาใกล้ค่ำ ก็เดินทางถึงโรงพยาบาลเซ้าท์แลนด์ 

คิมเบอร์ลี่ตื่นเต้นเมื่อเห็นตุลย์เข้ามาในห้องผู้ป่วยเธอพยายามจะลุกขึ้น ตุลย์เข้าถึงตัวก่อน เขาจูบเธอที่แก้มด้วยความรัก 

คิมเบอร์ลี่ตื้นตัน เธอร้องไห้ ความรักมีมากมาย ท่วมอก พูดกับตุลย์แต่คำว่าที่รักตลอดเวลา ตุลย์ บอกว่าเขาจะอยู่กับเธอตราบที่เธอมีลมหายใจ 

“เราจะแต่งงาน มีความสุขเป็นความปรารถนาของผม คุณโรเบิร์ตและคุณมาร์การ์เร็ตยินยอมแล้วเธอยกคุณให้ผม” 

คิมเบอร์ลี่ร้องไห้ กอดตุลย์แน่น พูดอะไรไม่ออก ชีวิตนี้สั้นเกินไป เธอรอมานานที่จะได้ยินคำนี้จากปากของตุลย์ 

เขามาพร้อมกับความหวัง เธอเคยได้ยินว่าคนที่ตายด้วยความหวัง จะเกิดใหม่ในภพที่ดีกว่า ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า 

ตุลย์จะให้สิ่งที่มีค่ากับเธอ แม้เธอจะมีชีวิตอยู่ไม่กี่วัน แต่วันดีๆ ก็เหมือนกับหนึ่งปี เป็นจะเหมือนกับอนาคต 

เธอตายไปก็ไม่เสียใจและไม่มีห่วง 

ตุลย์จะได้ของขวัญอันล้ำค่าจากเธอในไม่ช้า ตัวแทนของเธอ ใช่สิ ครึ่งหนึ่งเป็นของเขาด้วย 

ตุลย์ปล่อยเธอออกจากอ้อมกอด เขามองเธอด้วยสายตาน้ำตาเอ่อล้นแต่มีความหวัง เหมือนเมื่อครั้งที่เขายังเป็นเด็กผู้ชาย วันที่เธอเป็นเด็กผู้หญิงเรารู้จักนานมาแล้ว 

เธอคงนึกถึงวันนั้น วันที่วัยของเธอ และวัยของตุลย์ยังไร้เดียงสาบริสุทธิ์ 

ความรักครั้งนั้นไม่เคยลืมเลือนและเป็นความรักครั้งแรก 

“หมอให้เวลาคิมไม่มากนะตุลย์เก็บความทรงจำไว้ดีๆ เราต้องจำวันนี้ให้นึกถึงวันนี้ไม่ใช่วันพรุ่งนี้ 

เพราะอาจไม่มีแล้วก็ได้” คิมเบอร์ลี่รู้ตัวเองดี 

“อย่าพูดอย่างนั้นคิม....มันมีพรุ่งนี้และวันต่อๆ ไป 

ผมจะยังอยู่กับคุณทุกวันเวลา” ตุลย์ให้คำสัญญา 

........................................................................ 

-การแต่งงาน- 

“เป็นเพราะความประสงค์ของพวกเธอที่จะแต่งงานให้ประสานมือขวาและประกาศความยินยอมของพวกเธอต่อหน้าพระองค์และศาสนิกชนของพระองค์...” 

“ผมตุลย์ ฤทธิเดชกำจรขอรับคุณคิมเบอร์ลี่ แอนเดอร์สันเป็นภรรยา ขอสัญญาว่าจะซื่อสัตย์ต่อคุณ ทั้งในยามสุขและยามยากในยามเจ็บป่วยและยามสบาย ผมจะรักคุณและให้เกียรติคุณตลอดชั่วชีวิตของผม” 

“ดิฉันคิมเบอร์ลี่ แอนเดอร์สันขอรับคุณตุลย์ ฤทธิเดชกำจรเป็นสามีของฉันขอสัญญาว่าจะซื่อสัตย์ต่อคุณ ทั้งในยามสุขและยามยากในยามเจ็บป่วยและยามสบาย ฉันจะรักคุณและให้เกียรติคุณตลอดชั่วชีวิตของฉัน” 

“ขอประกาศในที่นี่คุณทั้งสองเป็นสามีและภรรยากัน...คุณจูบภรรยาได้” 

คุณโรเบิร์ต แอนเดอร์สัน นางมาร์การ์เร็ต พลตำรวจโทกิติ ฤทธิเดชกำจรและนางลาวัลย์เท่านั้นที่เป็นสองครอบครัวที่เข้าร่วมในพิธีแต่งงานที่สงบและเงียบเหงาแต่ศักดิ์สิทธิ์นี้ 

เพียง 3 อาทิตย์หลังวันแต่งงาน สุขภาพของคิมเบอร์ลี่ก็ทรุดลงจนผิดตา แพทย์ลงความเห็นว่าเธออยู่ไม่เกิน 24 ชั่วโมง 

ครอบครัวทั้งสองอยู่ร่วมกันในห้องผู้ป่วยเฝ้าดูเธอด้วยความทุกข์ วาระสุดท้ายมีความรักให้ท่วมท้น ตุลย์ทนอยู่ในห้องไม่ได้ เขาออกไปอยู่นอกห้อง เหม่อมองท้องฟ้าและหมุนแหวนแต่งงาน ที่คิมเบอร์ลี่มอบให้ด้วยความสำนึกถึงวันเวลากำลังพรากคนที่รักเขาและคนที่เขารักสุดชีวิต พระเจ้าผู้ทรงพระเมตตาทรงให้วันนี้ตัดสินความรักของเขาด้วยการพรากชีวิตคิมเบอร์ลี่ไปจากเขารวดเร็วเช่นนี้เชียวหรือ 

“ตุลย์” คุณลาวัลย์แง้มประตูออกมา พยักหน้าเรียกให้เขาเข้ามาในห้อง 

“คิมเบอร์ลี่เรียกหาลูก” 

ร่างของคิมเบอร์ลี่นอนนิ่ง ลมหายใจเธออ่อนหวิว เธอเห็นตุลย์ก็ยิ้มให้ พยายามจะยกมือ แต่ไม่มีแรงพอ 

ตุลย์เดินเข้าไปใกล้เตียงได้ยินเสียงคิมเบอร์ลี่พูดพึมพำในลำคอ 

เขาคุกเข่าลงข้างเตียงเอียงลำคอ แนบไว้ใกล้ริมฝีปากภรรยา 

“ดูแลคนรักของเรานะที่รัก...ดูแลของขวัญของเราด้วยนะ...ฉันรักคุณเสมอตลอดไป....” 

แขนทั้งสองข้างขณะที่เธอพยายามโอบร่างสามีเป็นครั้งสุดท้าย ร่วงหล่น หลุดตกลงมาจากข้างเตียง 

คิมเบอร์ลี่เสียชีวิตอย่างสงบ ข้างสามีของเธอ 

นาฬิกาบอกเวลา 17.50 น. 

วันที่ 9พฤษภาคม 2541 เธอมีอายุเพียง 43 ปี 3 เดือน 28 วัน 

เหลือไว้เพียงของขวัญที่ได้มอบให้สามีไว้เพียงอย่างเดียว 

เธอหมดห่วง เมื่อจากตุลย์ไปเย็นวันนั้น........ ชั่วนิจนิรันดร์ 

......................................... 

ในห้องผู้ป่วยมีเพียงเสียงสะอื้นเบาๆ ของมาร์การ์เร็ตขณะที่โรเบิร์ตโอบกอดภรรยาด้วยความรักและห่วงใย หัวใจพ่อทำไมจะไม่รู้สึกถึงความสูญเสีย ในการจากไปของลูกสาวสุดที่รักยามนี้ 

ชีวิตที่เหลือยังต้องเดินไปข้างหน้ามีเรื่องราวที่ต้องทำอีกมาก พิธีสวดศพถูกจัดจัดการเตรียมไว้ที่ First Presbyterian Church โบสถ์ที่คิมเบอร์ลี่และครอบครัวแอนเดอร์สันมาทุกวันอาทิตย์ไม่ได้ขาด 

ทีมงานโคซิโอมาครบทุกคนยกเว้นเพียงพิมราที่อาสาดูแลบ้านเอกมัยและเธอเห็นว่าเธอไม่เหมาะที่จะมาร่วมในพิธีศพคนที่ได้ชื่อเป็นภรรยาของตุลย์ 

ศิริเดชเป็นคนชักชวนและอนุเคราะห์ให้คุณครูมาลีผู้อายุมากแล้วได้เดินทางมาด้วย คิมเบอร์ลี่เป็นหนึ่งในนักเรียนคนโปรดที่ได้เรียนกับเธอในโรงเรียนอนุบาลดวงฤดี มาครั้งนี้เธอจะได้มาเยี่ยมก้อยรินนาที่จะมาร่วมในงานศพคิมเบอร์ลี่ด้วย......... 

สนิทรู้ข่าวเขาเสียใจอย่างสุดซึ้ง รีบจองบัตรโดยสารเครื่องบินเที่ยวที่เร็วที่สุดมานิวซีแลนด์พร้อมลูกและภรรยามาร่วมพิธีศพ 

เพื่อนๆ ของตุลย์รวมทั้งผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาตินายสิทธิเดช บุญฑริกาเป็นตัวแทนฝ่ายคนไทยทั้งหมดในพิธีทั้งในโบสถ์และในการทำพิธี ณ หลุมฝังศพที่สุสาน Wallacetown New Cemetary ในอินเวอร์คากิล เป็นการอำลาและรำลึกถึงคิมเบอร์ลี่ครั้งสุดท้าย 

ก่อนเริ่มพิธีในโบสถ์ ภายนอกลมพัดกรรโชกแรง พายุหิมะตกอย่างหนัก ฟ้าเบื้องบนดำมืดครึ้ม ริ้วหิมะโรยตัวตามแรงลม เมื่อสะท้อนกับแสงไฟข้างถนน ดูคล้ายปุยฝ้ายสีทองหล่นลงมาคลุมพื้นถนนขาวโพลนทั่วบริเวณรายรอบวิหาร First Presbyterian Church 

ในโบสถ์สงบเงียบ เครื่องทำความร้อนทำให้ภายในอบอุ่น ศาสนิกชน ญาติและเพื่อนผู้ตาย ทยอยกันเข้ามานั่งเป็นกลุ่มๆ จนเกือบเต็มที่นั่งทั้งหมด 

เมื่อทุกคนนั่งครบแล้วพระคุณเจ้าอนุศาสนาจารย์พอล กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมพิธี 

“เรามารวมตัวกันวันนี้เพื่อระลึกถึง คุณคิมเบอร์ลี่ ออเบรย์ แอนเดอร์สัน บุตรสาวคนเดียวของนางมาร์การ์เร็ตและนายโรเบิร์ต แอนเดอร์สันพ่อและแม่ของผู้วายชนม์ 

คิมเบอร์ลี่เกิดและเติบโตที่ริชมอนด์ อินเวอร์คากิลเป็นเธอเป็นนักการตลาด ระดับผู้อำนวยการอาวุโสบริษัทของจาวิสแอนด์ดีน หลังจบได้รับปริญญาจากมหาวิทยาลัยแคนเทอร์เบอร์ลี่ที่ไครสต์เชิร์ช เธอทำงานอยู่กับบริษัทดังกล่างถึง 25 ปี และได้สมรสกับชาวไทย คู่รักตั้งแต่เยาว์วัย เป็นความรักบริสุทธิ์ที่มั่นคงยาวนาน คุณตุลย์สามีของเธออยู่กับเราที่นี่ พ่อจะพูดเพียงเท่านี้  

ขอให้เราร้องบทสวด Psalm Number 23 : The LORD is my Shepherd...คณะนักร้องนำและทุกคนร้องตาม 

เมื่อจบเพลงสวด พระคุณเจ้าอนุศาสนาจารย์พอลนำตุลย์ให้ยืนบนแท่นสำหรับใช้เทศน์ตุลย์เริ่มพูด 

....... “ท่านทั้งหลายที่เป็นพ่อแม่พี่น้อง, ครูและเพื่อนผู้เป็นที่รักของคิมเบอร์ลี่ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารจากบริษัทจาวิสแอนด์ดีนทุกท่าน รวมถึงเจ้านายผม ครูของคิมเบอร์ลี่จากประเทศไทย เพื่อนๆชาวไทยของเธอที่มาจากกรุงเทพฯ” ... 

“......ผมรู้จักคิมเบอร์ลี่ครั้งแรกเมื่อเราสองคนมีอายุแค่ 4 ขวบ คิมเป็นเด็กผู้หญิง5ขวบคนแรกที่ชกผมจนคว่ำคะมำลงไปกองบนพื้นดิน(มีเสียงหัวเราะ) เมื่อผมลุกขึ้น เธอก็จ้องหน้าผมเขม็ง ดวงตาไม่กระพริบ ผมคิดในตอนนั้นว่า เด็กซนคนนี้เอาเรื่อง...แต่ตอนนั้นผมตกหลุมรักเธอเสียแล้ว(มีเสียงหัวเราะ) ใช่ครับ....ความรักของเด็กเล็กๆคนหนึ่ง เราคบกันสนิทสนมตั้งแต่วันนั้น... 

...ผมเฝ้าดูเด็กผู้หญิงผอมสูงเก้งก้าง กระโดดโลดเต้นดีใจทุกครั้งที่เห็นแม่เธอมารับกลับบ้าน ผมดีใจไปกับเธอด้วยและผมเศร้าใจไปกับเธอยามที่คิมเบอร์ลี่หงอยเหงาเมื่อพี่เลี้ยงรับเธอกลับบ้านแทนแม่ที่ติดธุระ...” 

 (ตุลย์พยายามกลั้นน้ำตา ลำคอติดขัด) “...มีอยู่วันหนึ่ง เธอเล่าว่า คืนเดือนมืด ฟ้าลึกโล่งในนิวซีแลนด์ มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งมองขึ้นไปบนฟ้า เห็นดาวหลายล้านดวง เธอกล่าวว่า สักวันหนึ่งเด็กผู้หญิงคนนั้นจะไปอยู่บนดวงดาวที่สดใสสุกสว่าง เด็กผู้หญิงคนนั้นชื่อคิมเบอร์ลี่จะรอคอยเด็กผู้ชายชื่อตุลย์อยู่...เวลานั้นผมรู้ว่ามันเป็นเพียงจินตนาการของเด็กเพิ่งจะ 5 ขวบ.....แต่ในวันนี้และขณะนี้ ผมมั่นว่าพระเจ้าได้นำเธอไปอยู่บนดาวดวงนั้นดั่งใจเธอแล้ว และอีกไม่ช้า ผมคงไม่ให้เธอรอนาน......ผมจะไปหาเธอบนดวงดาวดวงนั้น ผมจะอยู่เคียงข้างเธอ..จะอยู่กับเธอจนชั่วจิตวิญญานของผม...ไปตลอดกาล...” (มีเสียงคนสะอื้นร้องให้และอีกหลายคนกลั้นน้ำตา) 

“....คิมเบอร์ลี่เกิดมาเพื่อใช้ชีวิตดีๆ ร่วมกันกับผม เธอให้ความทรงจำที่ดีกับผมขณะยังมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าผมหลับหรือตื่น คิมเบอร์ลี่คือลมหายใจของผม เธอคือความหวังในยามที่ผมท้อแท้ เป็นหลักชัยเมื่อผมได้ชัยชนะ และเธอเป็นรางวัลเมื่อผมทำความดี...” 

ตุลย์ค่อยๆลดน้ำเสียงลง คำพูดของเขาเหมือนเสียงกระซิบ... 

“....ผมมีบทกวีของ Helen Lowry Marshall เขียนไว้ ขออนุญาตอ่านไว้ ในที่นี้ 

Of happy times and laughing times bright and sunny days 

I'd like the tears of those who grieve, today before the sun 

Of happy memories that I leave when life is done[1] 

ขอบคุณครับ.....กับทุกท่านที่ช่วยส่งภรรยาผมสู่สวรรค์...” 

ตุลย์ไม่ใช่คนเดียวที่น้ำตาคลอ หลายคนในที่นั้นนั่งซับน้ำตา มาร์การ์เร็ตนั่งร้องไห้เคียงข้างกับสามีของเธอคุณโรเบิร์ตที่นั่งซึม คนอื่นๆ ก้มหน้าเศร้าไม่มีใครลุกจากที่นั่ง ออร์แกนไฟฟ้าในโบสถ์บรรเลงเพลงสวดชื่อ Jerusalem มีคณะนักร้องนำการร้องเพลง หลายคนร้องตามดังกังวานไปทั่วโบสถ์ หลังเพลงสวดจบ ผู้คนเริ่มทยอยออกจากโบสถ์ หิมะยังไม่หยุดตก ฟ้ายังมืด คนสวมโอเวอร์โค้ทกางร่มสีดำมีรถมาช่วยเพื่อนบ้านและคนรู้จักพากันขับออกไป  

พิธีอำลาคิมเบอร์ลี่ครั้งสุดท้ายมีขึ้นที่สุสาน Wallacetown New Cemetry ในอินเวอร์คากิลมีเฉพาะญาติและสองครอบครัวของผู้ตายและผู้แทนคนไทยอยู่ที่นั่น พิธีจัดง่ายๆ  

แม้จะฝ่าลมหนาว หิมะยังตก แต่ทุกคนเตรียมพร้อมอยู่ในอาคาร หารือกันว่าจะฝังคิมเบอร์ลี่วันนี้ หรือจะรอจนถึงวันที่มีอากาศดีกว่านี้ 

เมื่อคิดกันแล้ว ตกลงใจ มาถึงที่นี่แล้วก็ควรทำกันให้เสร็จเสียวันนี้ 

เดินออกจากอาคาร ฟ้ากลับเปิด หิมะหยุดตก แสงแดดให้ความอบอุ่น แม้บนพื้นจะยังมีหิมะปกคลุมอยู่ทั่วไป 

สมาชิกสองครอบครัวค่อยๆเดินช้าๆ ไปยังที่ฝังศพซึ่งเตรียมไว้ล่วงหน้า เจ้าหน้าที่สามคนรอทำพิธีคอยต้อนรับอยู่แล้ว 

ตุลย์เดินมาหยุดอยู่หน้าโลงศพ เขาใช้มือแตะที่ฝาโลง 

“คิมเบอร์ลี่ ผมอยู่กับคุณที่นี่แล้ว ขอให้คุณจากไปอย่างสงบ” 

ครอบครัวแอนเดอร์สันและฤทธิเดชกำจรเดินเข้ามารายล้อมบริเวณทำพิธี 

มาร์การ์เร็ตและโรเบิร์ตรวมทั้งเด็กสาวอายุ12ปีอีกคนเดินก้มหน้า วางมือบนโลงศพกล่าวลาคิมเบอร์ลี่เป็นครั้งสุดท้าย 

“ไปสู่สุขคตินะลูก ไม่ต้องห่วงอะไรอีกแล้ว พักผ่อนให้สงบเถิดลูก” 

เจ้าหน้าที่กดสัญญานอัตโนมัติโลงศพค่อยเคลื่อนลงหลุมช้าๆ คนทั้งหมดโปรยดอกไม้และธุลีดินลงหลุม ยืนรำลึกถึงผู้วายชนม์จนเสร็จพิธี 

“ตุลย์กลับบ้านไปรับประทานอาหารว่างที่บ้าน เชิญคุณกิติ คุณลาวัลย์ด้วยค่ะ” มาร์การ์เร็ตเช็ดน้ำตากล่าวเชื้อเชิญสมาชิกครอบครัวตุลย์ 

รถยนต์ขับตามกันมาออกจากอินเวอร์คากิล เข้าชานเมือง ภายใน 15 นาทีก็ถึงเมืองริชมอนด์ 

บ้านครอบครัวแอนเดอร์สันอยู่ลึกเข้ามาจากริมถนนที่เงียบสงบไม่มีรั้ว หิมะปกคลุมหลังคาบ้านและสองข้างทางเดินเข้าหน้าบ้าน บนขอบประตูมีหิมะติดอยู่ประปราย 

ยังไม่ได้เคาะประตู บุตรชายคุณมาร์การ์เร็ตก็เปิดประตูรอรับอยู่ข้างในบ้านที่อบอุ่น 

ตุลย์เดินจากที่จอดรถยนต์ เขาเคยชินกับบ้านหลังนี้ เคยมาพักหลายครั้ง ตั้งแต่เป็นนักเรียนและเมื่อเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย 

ตุลย์เข้ามาในบ้าน เห็นเด็กผู้หญิงลูกครึ่งใบหน้าสวยงดงามคมคายอายุตามคะเนคงไม่ต่ำกว่า 4 ขวบผิวสองสี ในชุดกระโปรงผูกโบว์สีชมพู เธอจ้องหน้าตุลย์ เดินไปหยิบรูปที่ตั้งอยู่บนโต๊ะตัวเล็กข้างห้องเดินมาจ้องหน้าเขาอีกครั้ง ยื่นส่งรูปที่มีเขาถ่ายกับคิมเบอร์ลี่ พูดค่อยๆว่า 

“แดดดี้”  

ตุลย์น้ำตาไหล เขารู้ทันทีว่า เด็กผู้หญิงคนนี้ คนที่เขากำลังยื่นมือจะอุ้มคือ  “ลูกของเรา” 

ตุลย์โอบกอดลูกขึ้นมากอดจูบเต็มไปด้วยความรักและตื้นตันใจ 

“แดดดี้ แดดดี้” 

เด็กผู้หญิงยังไม่ยอมหยุดพูด 

ถึงตอนนี้คุณลาวัลย์ คุณกิติ คุณมาร์การ์เร็ต คุณโรเบิร์ตอยู่ในห้องและเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด คุณลาวัลย์ถึงกับน้ำตาคลอเมื่อเห็นภาพตรงหน้านี่แหละความรักระหว่างพ่อกับลูก 

มาร์การ์เร็ตพูดช้าๆ แต่ชัดเจน 

“คิมเบอร์ลี่ตั้งชื่อลูกว่า “ตุลยา” เพื่อระลึกถึงตุลย์ ปิดบังไม่ให้ตุลย์รู้ อยากให้ตุลย์มาเห็นด้วยตัวเอง” 

มาร์การ์เร็ตเล่าให้ครอบครัวฤทธิเดชกำจร ฟังว่าคิมเบอร์ลี่ สอนให้ลูกดูรูป ชี้ให้ดูตุลย์ในรูปทุกวัน สอนให้พูดว่า”แดดดี้” มาตั้งแต่ตุลยายังพูดไม่ได้ ไม่น่าแปลกใจที่ตุลยาจะเห็น พ่อแล้วจำได้ทันทีว่าเขาคือแดดดี้ของเธอ 

ตุลย์นั่งเล่นนั่งคุยกับลูกไม่ห่างกัน มีความสุข หัวเราะกันสองคน เป็นภาพที่น่ารักของปู่ย่าตายาย 

ตุลย์บอกกับพ่อแม่ เขายังไม่แน่ใจ จะทำอย่างไรกับลูกดี ลูกต้องการคนดูแล ต้องมีอนาคต ต้องมีการศึกษา มีทุกสิ่งทุกอย่าง คิมทิ้งทั้งเงิน ทั้งหุ้น ให้ตุลยามีเงินมีหุ้นสองสามร้อยล้านไม่มีปัญหาเรื่องนี้ 

มาร์การ์เร็ตบอกตุลย์ให้ค่อยๆ คิดถึงการศึกษาที่ดีจะช่วยให้ตุลยามีหลักประกันที่ดีในอนาคต ชีวิตภายภาคหน้าจะสร้างให้เธอมีความมั่นใจถ้ามีพ่อเอาใจใส่ มีความรักจากพ่อทดแทนที่ขาดความรักจากแม่ 

ตุลย์บอกมาร์การ์เร็ตว่าตุลยาควรเรียนหนังสือต่อไปจนถึงในไฮสกูลที่นิวซีแลนด์นั่นหมายความว่าเธอต้องอยู่ที่ริชมอนด์หรือในอินเวอร์คากิล จะเรียนโรงเรียนไปมาหรืออยู่โรงเรียนประจำได้ทั้งนั้น 

เขาอยากอยู่กับลูกเขาจะทำอย่างไร...เขาต้องไม่กลับบ้านที่เกษตร แต่อยู่กับลูกที่นิวซีแลนด์ 

____________________________________________________________________________________________________ 

[1] (คำแปล)ในห้วงเวลาแห่งความสุขและด้วยเสียงหัวเราะในวันที่เจิดจรัส ฉันจะเป็นดุจหยดน้ำตา แม้ทนระทมทุกข์ และเหือดแห้งกลางแดด ในความทรงจำที่เบิกบาน ฉันจะทิ้งไว้เมื่อชีวิตสิ้นมลาย 

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว