ราชการลับตอนที่ 17 มรณะกรรม
0
ตอน
214
เข้าชม
11
ถูกใจ
0
ความคิดเห็น
0
เพิ่มลงคลัง

 

“โธ่คิม”ทั้งสองท่านรีบเข้ามากอดลูกบอกกับคิมว่าไม่ต้องห่วงมีคนดูแลที่บ้าน ทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว”

“สวดมนต์ขอพรจากพระผู้เป็นเจ้า ปาฎิหารย์มีจริงนะลูก”โรเบิร์ตพูดให้กำลังใจลูก

ชุงกลับมาพร้อมชุดน้ำชาสำหรับสามคน เขาบอกกับครอบครัวแอนเดอร์สันว่า เขาจะหาโอกาสมาโอ๊คแลนด์บ่อยขึ้นและเพื่อจะมาดูแลคิม

บริษัทจาวิสแอนด์ดีนดีกับคิมมากให้คิมเป็นพนักงานมีสิทธิพิเศษมีวันลาและรักษาตัวไม่มีกำหนดยังจ่ายเงินเดือนให้ตามปรกติ ขณะที่พอล อิลลิงเวิลธ์ดูแลรักษาการแทนคิมเบอร์ลี่ไปพลางก่อน

“ผมคิดว่าน่าจะให้ตุลย์บินมาโอ๊คแลนด์ พาคิมไปรักษาตัวที่อินเวอร์คากิล ถ้าตุลย์ไปอยู่กับคิมสักพักน่าจะช่วยคิมในด้านจิตใจได้บ้างนะครับ”ชุงให้ความเห็น

มาร์การ์เร็ตหน้าเสียอย่างเห็นได้ชัด

“ไม่ได้หรอกชุง...ตุลย์ไปอินเวอร์คากิลไม่ได้ตอนนี้ คิมมีหมอช่วยดูแลอย่างดีแล้วที่โอ๊คแลนด์ เธอไม่ต้องเป็นห่วงและอย่าบอกให้ตุลย์มานิวซีแลนด์เลย  แค่บอกว่าเธอมาเยี่ยมและรู้ว่าคิมมาพักฟื้นไม่เป็นอะไรมาก”

“มิสซิสมาร์การ์เร็ตจะให้ผมโกหกเพื่อนไม่ได้นะครับ”ปีเตอร์โวย

“คราวนี้ขอร้องเถอะ ไม่นึกถึงฉันก็นึกถึงคิมเบอร์ลี่บ้าง..ฉันอยากให้ลูกสบายใจ”มาร์การ์เร็ตวิงวอน

“ครับ”ปีเตอร์ ชุงรับคำแม้เขาจะไม่คอยเต็มใจนัก

ปีเตอร์ ชุงบินกลับบ้านที่เมลเบิร์นด้วยคำถามที่ไม่ได้รับคำตอบมากมาย ทำไมพ่อแม่คิมจึงรู้สึกเป็นห่วงบ้านแทนคิมเบอร์ลี่มากเหลือเกิน เหมือนกลัวของมีค่ามีอันตรายทั้งที่มีพี่ชายคิมมาดูแลบ้านสม่ำเสมอ ประการต่อมา คิมเคยลางานมาก่อนจะป่วยครั้งนี้มาเกือบปี เขามาโอ๊คแลนด์ต้องการเยี่ยมคิมแต่ทำไมไม่ให้คิมไปอยู่ที่อินเวอร์คากิล แต่ทั้งคิมและพ่อแม่กลับไม่ยอมให้เขาไปที่นั่นโดยไม่ให้เหตุผล

ประการที่สามตุลย์ไม่เคยเดินทางมานิวซีแลนด์เป็นปีแล้วซึ่งเขาเองคิดว่าเป็นเพราะว่างานของตุลย์ยุ่งทั้งปี

ประการที่สี่เขาเสนอว่าให้ตุลย์และคิมไปพักและรักษาตัวพร้อมกันที่อินเวอร์คากิลมาร์การ์เรตตกใจมากและคัดค้าน ปีเตอร์สงสัยว่ามีอะไรในอินเวอร์คากิลหรือที่ทำไมหรือที่ต้องปิดเป็นความลับ?

แต่เขาเป็นคนนอก เขาทิ้งคำถามไว้ที่นิวซีแลนด์ทั้งหมด

เขาจะไม่สงสัยอะไรอีก เพียงแต่แค่คิดว่า “ความลับไม่มีในโลก”

               ...................................................

ปัตตานี

.............นายตำรวจ2นายที่รักษาตัวที่รักษาตัวในโรงพยาบาลชุมชนปะนาเระสภาพยังไม่ดีขึ้นดังนั้นแพทย์ที่ดูอาการจึงส่งทั้งสองคนให้มารักษาตัวในโรงพยาบาลประจำจังหวัดปัตตานีจนมีอาการดีขึ้นและพูดได้บ้างแล้ว

       ตุลย์และศิริเดชพร้อมทีมงานโคซิโอเดินทางมาเยี่ยมร้อยตำรวจตรีสหัส พันธุ์ม่วงและร้อยตำรวจโทสมนึก ดวงแข

       “ผมเสียใจที่รีบร้อนพาผู้ต้องหาคนหนึ่งหนีไปก่อนขอโทษด้วย”ศิริเดชแสดงความเสียใจและขอโทษด้วยที่เขาไม่ได้อยู่ช่วยเหลือ

       “ครับผมเข้าใจดี ท่านมีภารกิจที่ต้องช่วยน้องผู้หญิง ผมนึกไม่ถึงว่ามันมีกองกำลังปิดล้อมเราอยู่ข้างนอก มันมืดมาก”สหัสบอกศิริเดช

       “พวกพูโลทั้งหมดใช่ไหม”

            “มีบางคนพูดภาษาต่างประเทศผมไม่รู้ภาษาอะไรครับ”สหัสตอบว่าเขาไม่แน่ใจ

       ตุลย์และศิริเดชเชื่อว่าวัจจะอาจสวมรอยเข้ามากับพวกมูจาฮีดีนจับอาวุธเข้ากราดยิงคนของทางการไทยและเด็กที่เหลือ

       “พวกมันใส่ไหมพรมถัก คลุมศรีษะมองไม่เห็นหน้าและใส่ชุดพรางเหมือนทหารฝ่ายเราพวกมันบางคนก็แต่งดำทั้งตัว รูปร่างพวกมันเท่ากันกับพวกผม มันใช้ปืนกลยิงกราดใส่ทุกคนผมหมอบทันแต่ก็โดนเข้าหลายแห่ง”สมนึกเล่าเหตุการณ์เท่าที่เขาเห็นก่อนหมดสติในเวลานั้น

........................สองวันต่อมาโคซิโอนำกำลังทหารตำรวจทะลายรังผู้ก่อการร้ายยึดคลังอาวุธพวกกองโจรมาลายูและมูจาฮีดีนอิสลามปัตตานีได้ที่หมู่บ้านอำเภอยะรังและอำเภอยะหริ่งได้อาวุธจำนวนมากปฏิบัติการครั้งนี้นำโดยสหชาติและเอกรินทร์ พวกโจรเสียชีวิต18รายบาดเจ็บ20รายและจับได้6ราย

           มีการประเมินหลังยุทธการที่ยะรังและยะหริ่งว่าหากเจ้าหน้าที่ที่มีสายสืบดีก็จะเสียหายน้อยและสามารถจับเป็นพวกโจรก่อการร้ายได้มากกว่านี้

       แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะปล่อยข่าวในตลาดว่าพวกตนประสบชัยชนะเหนือฝ่ายรัฐบาลและขอให้ประชาชนอย่าร่วมมือร่วมมือกับทางราชการ แต่ทีมงานโคซิโอตอบโต้โดยส่งหน่วยประชาสัมพันธ์เข้าพื้นที่ชี้แจงว่าทางการไม่ปรารถนาที่จะใช้กำลังและแสดงภาพโปสเต้อร์ที่มีกองโจรยิงกราดเด็กๆเกือบ20คนเสียชีวิตที่ปะนาเระ

       แต่ทางกระนั้นราชการก็ยังไม่ได้ใจชาวบ้านเต็มร้อยอยู่ดี

       โคซิโอจึงเห็นว่าจะงัดยุทธวิธีล้อมปราบขนานใหญ่อีกสักครั้ง

       แต่มันไม่ง่ายเลย

       ไปจนถึงปี2538ยังไม่มีการล้อมปราบ ทางการที่สัญญาจะส่งกองหนุนเข้ามาสมทบช่วยเหลือในพื้นที่ยังไม่มาถึงจนแล้วจนรอด

       แต่ต้นปี2538เมื่อมีปัญหาเรื่องกำลังพล ยุทธวิธีการรบแบบกองโจรใช้กำลังน้อยปฏิบัติการโจมตีเฉพาะจุด เคลื่อนที่เร็วจึงถูกนำมาใช้

       สายสืบได้ข่าวกรองมาว่าพูโลส่งกำลังรบมาช่วยมูจาฮีดีนอิสลามปัตตานีโดยจะมาถึงประมาณก่อนวันที่5มกราคม

       แต่วันที่2มกราคม สหชาติพร้อมกำลังทหารตำรวจไม่ถึง12คนไปที่แม่ลาน ซุ่มโจมตีค่าย  มูจาฮีดีนในตอนค่ำโดยจริงจรวดทำลายคลังอาวุธและใช้ปินกลถล่มสังหารพวกผู้ก่อการร้ายมูจาฮีดีนตายกว่า30คนที่เหลือหนีหัวซุกหัวซุนเข้าไปทางสันปันน้ำ

       นักรบพูโลเมื่อทราบข่าวก็ถอนความช่วยเหลือไว้ก่อนและคอยดูสถานการณ์

       กลางเดือนมกราคมตำรวจในอำเภอโคกโพธิ์ได้ทราบจากชาวบ้านคุยกันที่ร้านอาหารในตลาดสดว่ามีพวกพูโลกำลังจะรวมพลกับมูจาฮีดีนที่หนีตายมาจากอำเภอแม่ลานหลายคน

       ตำรวจพร้อมโคซีโอปรึกษากัน ตกลงจะใช้วิธี “ปิดประตูตีแมว”โดยหลอกให้พวกพูโลกับมูจาฮีดีนไปรวมตัวในจุดใดจุดหนึ่งแล้วซุ่มโจมตีให้สิ้นซาก

       

วันที่27มีนาคม กลางป่า ตำรวจใช้นางนกต่อ จัดหาอาหารในการตระเตรียมเลี้ยงน้ำชาและข้าว

หมกแพะพร้อมอาหารอื่นๆในวันเกิดสมาชิกพูโลคนหนึ่งที่บ้านหลังหนึ่งในป่ายาง

       โคซิโอเข้าพื้นที่ก่อนเวลาและวางกับดักไว้ล่วงหน้า

       ทหารจากหน่วยสรรพาวุธเบิกระเบิดTNTร้ายแรงจำนวนมากซุกไว้อย่างมิดชิดภายในและรอบๆตัวบ้านพร้อมกันนั้นก็ติดตั้งเครื่องดักฟังไว้ในบ้าน

       ตกเย็นเมื่ออาหารพร้อม สมาชิกกองกำลังสมาชิกขบวนการพูโล18คนและมูจาฮีดีนที่หนีรอดมาได้จากแม่ลานอีก12คนก็รวมตัวกัน ที่นั่งในบ้านไม่พอจึงตั้งโต๊ะไว้อีก2โต๊ะนอกบ้าน

       ประมาณ2ทุ่มเศษๆ พวกมูจาฮีดีนและพูโลก็มาที่บ้าน ก่อนที่พวกมันจะเริ่มกินอาหารโคซิโอแทบไม่เชื่อสายตาเมื่อเห็นพวกมันซึ่งเป็นมุสลิมจำนวนหนึ่งแอบดื่มสุราและเริ่มเมาครองสติไม่อยู่ออกมายืนปัสสาวะนอกบ้าน  บางคนเดินออกมานอกบ้านยกปืนขึ้นฟ้ารัวยิงเป็นตับเสียงดังสนั่นหวั่นไหวก้องป่า

       โคซิโอซุ่มเงียบ ไม่มีใครขยับร่างกาย ปืนยิงเครื่องหัวจรวดเตรียมพร้อม

       “พี่แน่ใจนะระเบิดที่ติดตั้งไว้ไม่ด้าน” เอกรินทร์นักแม่นปืนมือหนึ่งของประเทศถามย้ำ

       “ของใหม่ทั้งหมดไม่พลาดครับ”ทหารตอบ

       3ทุ่ม15นาที

       ปืนกลหลายสิบกระบอกเตรียมพร้อม เมื่อถึงเวลา เอกรินทร์ก็ให้สัญญานเปิดฉากยิง ทหารและตำรวจใช้ปืนกลบนขาหยั่ง ยิงมันรัวๆอย่างไม่ยั้งมือเข้าไปในบ้าน ท่ามกลางความมืด ลูกไฟจากปากกระบอกปืนวิ่งเป็นสายๆไปยังเป้าหมาย

       มีเสียงปืนยิงตอบโต้จากภายในบ้านออกมาอย่างบ้าคลั่งแต่มันสายไปแล้ว

       หัวจรวดวิ่งเข้าเป้าและเกิดระเบิดที่TNTที่ฝังไว้ทั้งในและนอกบ้านทำงานเต็มที่

       สองตูมและตูมใหญ่ อีกหลายตูมติดต่อกัน ในบ้านกลายเป็นลูกเพลิงไฟขนาดใหญ่ลุกโชนขึ้น

       30ชีวิตเกรียมตายในกองเพลิง นับศพไม่รู้ใครเป็นใคร ตัวบ้านวายวอดเป็นกองขี้เถ้า

       โคซิโอ4คนพร้อมทหารอีกจำนวนหนึ่งเดินจากมาที่เกิดเหตุเงียบๆ

       เสร็จสิ้นภารกิจ “ปิดประตูตีแมว”

 

       มีหรือนายใหญ่ของขบวนการเบอร์ซาตูจากต่างประเทศขณะที่อยู่ในโรงแรมที่ฮัมบรูกซ์ในเยอรมัน เมื่อได้รับรายงานเหตุการณ์ย่างสด “ปิดประตูตีแมว” จะไม่แค้นใจเพราะมันเป็นการหยามศักดิ์ศรีครั้งใหญ่

       “กำจัดไอ้พวกนี้ให้สิ้นซากเฉพาะไอ้หัวหน้าที่มาจากกรุงเทพฯ4ตัว”เป็นคำสังจากนายใหญ่เบอร์ซาตู

                               ............................................

 

..................วันที่10เมษายน2538เวลา10.00น.ตุลย์และศิริเดช นั่งรถกระบะออกจากอำเภอปะนาเระเพื่อเยี่ยมจาฟาร์และคะดียะห์โดยจาฟาร์ขอนั่งรถออกมาตลาดด้วย หลังจากจารฟาร์ลงที่ตลาดและรถวิ่งออกมาขึ้นสู่ถนนหลวงเพียง25กิโลเมตร รถก็โดนระเบิดพลิกคว่ำ มีเสียงปืนระดมยิงจากข้างทางตามมาอีกหลายนัด โชคดีที่ไม่ไกลนัก มีด่านตำรวจตั้งอยู่ เมื่อได้ยินเสียงระเบิดและเสียงปืน ตำรวจจากด่าน3-4คนก็รุดมาช่วยในที่เกิดเหตุและวิทยุเรียกรถพยาบาลทันที

       12.15นาที สหชาติ, เอกรินทร์และพิมราเดินทางมาถึงโรงพยาบาลชุมชนเปะนาเระเห็นสภาพตุลย์และศิริเดชก็รู้ว่าอาการสาหัสมากคงไม่รอดถึงมือหมอแน่

       ตำรวจในพื้นที่ประสานเรียกเฮลิคอปเต้อร์มารับคนป่วยทั้งสองคนไปโรงพยาบาลปัตตานี

       หลังจากนั้นเครื่องบินทหารนำตุลย์และศิริเดชจากโรงพยาบาลปัตตานีกลับถึงกรุงเทพฯเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าเวลานั้นค่ำแล้ว  พิมรา สหชาติและเอกรินทร์มากับผู้บาดเจ็บโดยเครื่องบินทหารเฝ้ารออยู่หน้าห้องฉุกเฉิน

       ระหว่างรออยู่นั้นมีแพทย์คนหนึ่งและบุรุษพยาบาลรีบเดินออกมา พิมราวิ่งเข้าไปถาม

       “คุณหมอขา คนใข้เป็นอะไรมากไหมคะ”

       แพทย์ไม่ตอบ มีสีหน้าสลด ส่ายหน้าแสดงความเสียใจและเดินออกไป

       พิมราสลบทรุดตัวลงไปกองอยู่กับพื้น

                              .........................................                      

 

           ข้างในห้องฉุกเฉินหมอพยายามอย่างยิ่งที่จะยื้อชีวิตตุลย์ เขามีอาการสาหัสกว่าศิริเดชตุลย์ขาข้างซ้ายหักกระดูกแตก ถูกยิงที่ศีรษะและลำตัว แขนข้างหนึ่งบิดเบี้ยว หัวใจเต้นผิดจังหวะและอ่อนลงจนหยุดลง หมอใจเครื่องปั๊มหัวใจช่วยหลายครั้ง ชีพจรยังไม่ทำงาน

       “คนไข้ชื่อตุลย์เสียชีวิตเมื่อเวลา02.35นาที” หมอประกาศด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ขณะที่บนเตียงศิริเดชยังมีลมหายใจเป็นปรกติ หมอผ่าลูกกระสุนออกจากหน้าท้องและทำแผลจากรอยถลอกจากลำตัวที่เขากระเด็นครูดไปกับถนน แต่ศิริเดชยังไม่ฟื้น

       หมอออกมานอกห้องมีพ่อแม่ตุลย์ พ่อแม่ศิริเดช สหชาติและเอกรินทร์รวมทั้งพิมราซึ่งเพิ่งฟื้นจากสลบทุกคนรอฟังอาการของตุลย์และศิริเดช

       “หมอเสียใจมากนะครับ ผู้ป่วยที่ชื่อคุณตุลย์เสียชีวิตเมื่อเวลาตี2.35นาทีคุณศิริเดชยังมีชีวิตอยู่รอดูอาการครับ ผมขอตัวครับ”

       พิมราร้องให้โฮ สลบไปอีกครั้ง คุณลาวัลย์ร้องให้อย่างหนักด้วยความเสียใจพลโทกิติหน้าเสียไม่ร้องให้ แต่พยามยามทำใจต่อการสูญเสียของบุตรชาย

       สหชาติและเอกรินทร์เดินไปแสดงความเสียใจ พูดคุยกับพ่อแม่ตุลย์คุณกิติและคุณลาวัลย์สักครู่หนึ่ง สหชาติขอตัวโทรศัพท์ไปถึงหน่วยเหนือผู้บังคับบัญชาคุณสิทธิเดชเพื่อเรียนว่าตุลย์เสียชีวิตแล้วเอกรินทร์โทรศัพท์ไปบอกทางบ้านว่าเขาสบายดี

_____________

นิวซีแลนด์

...............นางมาร์การ์เร็ตรับทราบข่าวตุลย์เสียชีวิตทางโทรศัพท์จากสหชาติด้วยความสงบและขอร้องไม่ให้สหชาติอย่าบอกคิมเบอร์ลี่ว่าตุลย์เสียชีวิตแล้วมันจะทำให้ลูกสาวที่ป่วยอยู่แล้วอาการทรุดลงไปอีก หลังจากนั้นมาร์การ์เรตร้องให้ด้วยความเสียใจ 

แต่สหชาติปิดข่าวไม่ได้เพราะหลังจากเขาแจ้งข่าวนี้กับปีเต้อร์ ชุง ปีเต้อร์ตกใจมากจะมาเมืองไทยทันทีแต่สหชาติให้รอก่อนจนกว่าทางนี้จะจัดพิธีศพให้เรียบร้อย เมื่อวางหูโทรศัพท์

ปีเตอร์ก็โทรฯทางไกลไปโอ๊คแลนด์ทันที

“คิม....เธอฟังดีๆนะ อย่าตกใจ...ตุลย์จากพวกเราไปแล้ว”

“เธอบอกฉันอีกทีซิเธอว่าอะไรนะปีเตอร์” “ตุลย์ตายแล้วเมื่อเช้านี้....เขาไปแล้วคิม”

แผ่นที่290

มีเสียงวางหูโทรศัพท์ที่ปลายทาง

ปีเตอร์ ชุงร้องให้เป็นครั้งแรกในหลายสิบปีที่ผ่านมา

                       ____________________________

ตุลย์รู้สึกว่าเขาตัวเบา..เขาอยู่ที่ไหนกันแน่ ทำไมเขาถึงไม่พบใครเลยในที่นี้ ใช่สิเขาไม่ได้เดินอยู่บนพื้นดิน แต่ที่นี่มองไปไหน มีแต่หมอกคลุมไปทั่ว

 หรือว่าเขากำลังเดินอยู่บนก้อนเมฆ อยู่ๆทำไมเขาถึงเห็นมีคนแต่งชุดขาวเดินไปเดินมาเยอะแยะเต็มไปหมด...นี่หรือเรียกสถานที่นี่เรียกว่าสวรรค์......เขาอยู่บนสวรรค์จริงๆ

นั่นไง.........เด็กสาวตัวน้อยคนหนึ่งวิ่งมาหาเขา เธอยื่นดอกกุหลาบสีแดงให้ เขามองดูเธอ นี่เธอเองหรือ..... ใช่แล้ว..เธอจริงๆคุ้นตาเหลือเกิน นั่นแหละฉันนึกแล้วว่าต้องเป็นเธอ คิมเบอร์ลี่ตัวน้อยๆที่เขารู้จัก เธอยิ้มปากกว้าง เอียงอาย จูงมือเขาให้เดินไปไปดูสวนดอกไม้....โน่นยังไงตุลย์ เธอเห็นไหม.ดอกทิวลิปนับหมื่นนับแสนดอก ตุลย์เห็นไหม ดอกไม้สวยงามสำหรับเธอ สุดลูกหูลูกตาเต็มทุ่งไปหมด

 เมฆสีขาวหายไปแล้ว คิมเบอร์ลี่เธอหายไปด้วย เธอไปไหนนะ  ฟ้าสีน้ำเงินเต็มขอบฟ้ามาแทนที่เมฆขาว  เบื้องหน้ามีท้องทุ่งสีหญ้าสีเขียวขจีกว้างใหญ่ลานตาไปหมด ข้างทางมีหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้า

ลำธารน้ำใสสีฟ้าคราม เด็กน้อยจูงมือพาเขาไปเด็ดดอกกุหลาบ คิมเบอร์ลี่หายไปไหนแล้ว......นั่นใครมาหาเขา แม่ครับ พ่อครับทำไมทิ้งผมไว้ที่นี่........ผมอยู่ทางนี้ อย่าเพิ่งจากผมไปไหนนะครับ

ตุลย์ได้ยินเสียงใครเรียกชื่อเขาดังอยู่แต่ไกลแว่วๆ

“ลองอีกที...เอ้า หนึ่ง สอง สาม ปั๊ม ...หนึ่ง สอง สาม ปั๊ม..ชีพจรมาแล้วค่ะ มาแล้วค่ะ อ่อนๆ มาแล้วค่ะไม่น่าเชื่อนะค่ะ มหัศจรรย์วิเศษจริงๆปาฎิหารย์เหลือเชื่อ”

คณะแพทย์จำนวนหนึ่งรีบมาข้างเตียง ในห้องฉุกเฉินดูร่างตุลย์ที่เริ่มมีชีพจนเต้นตามจังหวะอีกครั้งหนึ่งด้วยความฉงน

“เราไม่ได้ทำอะไรเลยอยู่ดีๆพยาบาลสังเกตว่าร่างเขามีอาการนิ้วขยับ จึงมากระตุ้นหัวใจด้วยการใช้เครื่องช่วย.....และก็แบบที่เห็น”

แต่นั่นก็หลังจากพ่อแม่และเพื่อนๆของตุลย์ออกจากโรงพยาบาลไปหมดแล้ว พวกเขาไม่ทราบเลยว่าคนตายกลับมามีชีวิตอีกครั้ง

                       ......................................

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว