“โธ่คิม”ทั้งสองท่านรีบเข้ามากอดลูกบอกกับคิมว่าไม่ต้องห่วงมีคนดูแลที่บ้าน ทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว”
“สวดมนต์ขอพรจากพระผู้เป็นเจ้า ปาฎิหารย์มีจริงนะลูก”โรเบิร์ตพูดให้กำลังใจลูก
ชุงกลับมาพร้อมชุดน้ำชาสำหรับสามคน เขาบอกกับครอบครัวแอนเดอร์สันว่า เขาจะหาโอกาสมาโอ๊คแลนด์บ่อยขึ้นและเพื่อจะมาดูแลคิม
บริษัทจาวิสแอนด์ดีนดีกับคิมมากให้คิมเป็นพนักงานมีสิทธิพิเศษมีวันลาและรักษาตัวไม่มีกำหนดยังจ่ายเงินเดือนให้ตามปรกติ ขณะที่พอล อิลลิงเวิลธ์ดูแลรักษาการแทนคิมเบอร์ลี่ไปพลางก่อน
“ผมคิดว่าน่าจะให้ตุลย์บินมาโอ๊คแลนด์ พาคิมไปรักษาตัวที่อินเวอร์คากิล ถ้าตุลย์ไปอยู่กับคิมสักพักน่าจะช่วยคิมในด้านจิตใจได้บ้างนะครับ”ชุงให้ความเห็น
มาร์การ์เร็ตหน้าเสียอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่ได้หรอกชุง...ตุลย์ไปอินเวอร์คากิลไม่ได้ตอนนี้ คิมมีหมอช่วยดูแลอย่างดีแล้วที่โอ๊คแลนด์ เธอไม่ต้องเป็นห่วงและอย่าบอกให้ตุลย์มานิวซีแลนด์เลย แค่บอกว่าเธอมาเยี่ยมและรู้ว่าคิมมาพักฟื้นไม่เป็นอะไรมาก”
“มิสซิสมาร์การ์เร็ตจะให้ผมโกหกเพื่อนไม่ได้นะครับ”ปีเตอร์โวย
“คราวนี้ขอร้องเถอะ ไม่นึกถึงฉันก็นึกถึงคิมเบอร์ลี่บ้าง..ฉันอยากให้ลูกสบายใจ”มาร์การ์เร็ตวิงวอน
“ครับ”ปีเตอร์ ชุงรับคำแม้เขาจะไม่คอยเต็มใจนัก
ปีเตอร์ ชุงบินกลับบ้านที่เมลเบิร์นด้วยคำถามที่ไม่ได้รับคำตอบมากมาย ทำไมพ่อแม่คิมจึงรู้สึกเป็นห่วงบ้านแทนคิมเบอร์ลี่มากเหลือเกิน เหมือนกลัวของมีค่ามีอันตรายทั้งที่มีพี่ชายคิมมาดูแลบ้านสม่ำเสมอ ประการต่อมา คิมเคยลางานมาก่อนจะป่วยครั้งนี้มาเกือบปี เขามาโอ๊คแลนด์ต้องการเยี่ยมคิมแต่ทำไมไม่ให้คิมไปอยู่ที่อินเวอร์คากิล แต่ทั้งคิมและพ่อแม่กลับไม่ยอมให้เขาไปที่นั่นโดยไม่ให้เหตุผล
ประการที่สามตุลย์ไม่เคยเดินทางมานิวซีแลนด์เป็นปีแล้วซึ่งเขาเองคิดว่าเป็นเพราะว่างานของตุลย์ยุ่งทั้งปี
ประการที่สี่เขาเสนอว่าให้ตุลย์และคิมไปพักและรักษาตัวพร้อมกันที่อินเวอร์คากิลมาร์การ์เรตตกใจมากและคัดค้าน ปีเตอร์สงสัยว่ามีอะไรในอินเวอร์คากิลหรือที่ทำไมหรือที่ต้องปิดเป็นความลับ?
แต่เขาเป็นคนนอก เขาทิ้งคำถามไว้ที่นิวซีแลนด์ทั้งหมด
เขาจะไม่สงสัยอะไรอีก เพียงแต่แค่คิดว่า “ความลับไม่มีในโลก”
...................................................
ปัตตานี
.............นายตำรวจ2นายที่รักษาตัวที่รักษาตัวในโรงพยาบาลชุมชนปะนาเระสภาพยังไม่ดีขึ้นดังนั้นแพทย์ที่ดูอาการจึงส่งทั้งสองคนให้มารักษาตัวในโรงพยาบาลประจำจังหวัดปัตตานีจนมีอาการดีขึ้นและพูดได้บ้างแล้ว
ตุลย์และศิริเดชพร้อมทีมงานโคซิโอเดินทางมาเยี่ยมร้อยตำรวจตรีสหัส พันธุ์ม่วงและร้อยตำรวจโทสมนึก ดวงแข
“ผมเสียใจที่รีบร้อนพาผู้ต้องหาคนหนึ่งหนีไปก่อนขอโทษด้วย”ศิริเดชแสดงความเสียใจและขอโทษด้วยที่เขาไม่ได้อยู่ช่วยเหลือ
“ครับผมเข้าใจดี ท่านมีภารกิจที่ต้องช่วยน้องผู้หญิง ผมนึกไม่ถึงว่ามันมีกองกำลังปิดล้อมเราอยู่ข้างนอก มันมืดมาก”สหัสบอกศิริเดช
“พวกพูโลทั้งหมดใช่ไหม”
“มีบางคนพูดภาษาต่างประเทศผมไม่รู้ภาษาอะไรครับ”สหัสตอบว่าเขาไม่แน่ใจ
ตุลย์และศิริเดชเชื่อว่าวัจจะอาจสวมรอยเข้ามากับพวกมูจาฮีดีนจับอาวุธเข้ากราดยิงคนของทางการไทยและเด็กที่เหลือ
“พวกมันใส่ไหมพรมถัก คลุมศรีษะมองไม่เห็นหน้าและใส่ชุดพรางเหมือนทหารฝ่ายเราพวกมันบางคนก็แต่งดำทั้งตัว รูปร่างพวกมันเท่ากันกับพวกผม มันใช้ปืนกลยิงกราดใส่ทุกคนผมหมอบทันแต่ก็โดนเข้าหลายแห่ง”สมนึกเล่าเหตุการณ์เท่าที่เขาเห็นก่อนหมดสติในเวลานั้น
........................สองวันต่อมาโคซิโอนำกำลังทหารตำรวจทะลายรังผู้ก่อการร้ายยึดคลังอาวุธพวกกองโจรมาลายูและมูจาฮีดีนอิสลามปัตตานีได้ที่หมู่บ้านอำเภอยะรังและอำเภอยะหริ่งได้อาวุธจำนวนมากปฏิบัติการครั้งนี้นำโดยสหชาติและเอกรินทร์ พวกโจรเสียชีวิต18รายบาดเจ็บ20รายและจับได้6ราย
มีการประเมินหลังยุทธการที่ยะรังและยะหริ่งว่าหากเจ้าหน้าที่ที่มีสายสืบดีก็จะเสียหายน้อยและสามารถจับเป็นพวกโจรก่อการร้ายได้มากกว่านี้
แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะปล่อยข่าวในตลาดว่าพวกตนประสบชัยชนะเหนือฝ่ายรัฐบาลและขอให้ประชาชนอย่าร่วมมือร่วมมือกับทางราชการ แต่ทีมงานโคซิโอตอบโต้โดยส่งหน่วยประชาสัมพันธ์เข้าพื้นที่ชี้แจงว่าทางการไม่ปรารถนาที่จะใช้กำลังและแสดงภาพโปสเต้อร์ที่มีกองโจรยิงกราดเด็กๆเกือบ20คนเสียชีวิตที่ปะนาเระ
แต่ทางกระนั้นราชการก็ยังไม่ได้ใจชาวบ้านเต็มร้อยอยู่ดี
โคซิโอจึงเห็นว่าจะงัดยุทธวิธีล้อมปราบขนานใหญ่อีกสักครั้ง
แต่มันไม่ง่ายเลย
ไปจนถึงปี2538ยังไม่มีการล้อมปราบ ทางการที่สัญญาจะส่งกองหนุนเข้ามาสมทบช่วยเหลือในพื้นที่ยังไม่มาถึงจนแล้วจนรอด
แต่ต้นปี2538เมื่อมีปัญหาเรื่องกำลังพล ยุทธวิธีการรบแบบกองโจรใช้กำลังน้อยปฏิบัติการโจมตีเฉพาะจุด เคลื่อนที่เร็วจึงถูกนำมาใช้
สายสืบได้ข่าวกรองมาว่าพูโลส่งกำลังรบมาช่วยมูจาฮีดีนอิสลามปัตตานีโดยจะมาถึงประมาณก่อนวันที่5มกราคม
แต่วันที่2มกราคม สหชาติพร้อมกำลังทหารตำรวจไม่ถึง12คนไปที่แม่ลาน ซุ่มโจมตีค่าย มูจาฮีดีนในตอนค่ำโดยจริงจรวดทำลายคลังอาวุธและใช้ปินกลถล่มสังหารพวกผู้ก่อการร้ายมูจาฮีดีนตายกว่า30คนที่เหลือหนีหัวซุกหัวซุนเข้าไปทางสันปันน้ำ
นักรบพูโลเมื่อทราบข่าวก็ถอนความช่วยเหลือไว้ก่อนและคอยดูสถานการณ์
กลางเดือนมกราคมตำรวจในอำเภอโคกโพธิ์ได้ทราบจากชาวบ้านคุยกันที่ร้านอาหารในตลาดสดว่ามีพวกพูโลกำลังจะรวมพลกับมูจาฮีดีนที่หนีตายมาจากอำเภอแม่ลานหลายคน
ตำรวจพร้อมโคซีโอปรึกษากัน ตกลงจะใช้วิธี “ปิดประตูตีแมว”โดยหลอกให้พวกพูโลกับมูจาฮีดีนไปรวมตัวในจุดใดจุดหนึ่งแล้วซุ่มโจมตีให้สิ้นซาก
วันที่27มีนาคม กลางป่า ตำรวจใช้นางนกต่อ จัดหาอาหารในการตระเตรียมเลี้ยงน้ำชาและข้าว
หมกแพะพร้อมอาหารอื่นๆในวันเกิดสมาชิกพูโลคนหนึ่งที่บ้านหลังหนึ่งในป่ายาง
โคซิโอเข้าพื้นที่ก่อนเวลาและวางกับดักไว้ล่วงหน้า
ทหารจากหน่วยสรรพาวุธเบิกระเบิดTNTร้ายแรงจำนวนมากซุกไว้อย่างมิดชิดภายในและรอบๆตัวบ้านพร้อมกันนั้นก็ติดตั้งเครื่องดักฟังไว้ในบ้าน
ตกเย็นเมื่ออาหารพร้อม สมาชิกกองกำลังสมาชิกขบวนการพูโล18คนและมูจาฮีดีนที่หนีรอดมาได้จากแม่ลานอีก12คนก็รวมตัวกัน ที่นั่งในบ้านไม่พอจึงตั้งโต๊ะไว้อีก2โต๊ะนอกบ้าน
ประมาณ2ทุ่มเศษๆ พวกมูจาฮีดีนและพูโลก็มาที่บ้าน ก่อนที่พวกมันจะเริ่มกินอาหารโคซิโอแทบไม่เชื่อสายตาเมื่อเห็นพวกมันซึ่งเป็นมุสลิมจำนวนหนึ่งแอบดื่มสุราและเริ่มเมาครองสติไม่อยู่ออกมายืนปัสสาวะนอกบ้าน บางคนเดินออกมานอกบ้านยกปืนขึ้นฟ้ารัวยิงเป็นตับเสียงดังสนั่นหวั่นไหวก้องป่า
โคซิโอซุ่มเงียบ ไม่มีใครขยับร่างกาย ปืนยิงเครื่องหัวจรวดเตรียมพร้อม
“พี่แน่ใจนะระเบิดที่ติดตั้งไว้ไม่ด้าน” เอกรินทร์นักแม่นปืนมือหนึ่งของประเทศถามย้ำ
“ของใหม่ทั้งหมดไม่พลาดครับ”ทหารตอบ
3ทุ่ม15นาที
ปืนกลหลายสิบกระบอกเตรียมพร้อม เมื่อถึงเวลา เอกรินทร์ก็ให้สัญญานเปิดฉากยิง ทหารและตำรวจใช้ปืนกลบนขาหยั่ง ยิงมันรัวๆอย่างไม่ยั้งมือเข้าไปในบ้าน ท่ามกลางความมืด ลูกไฟจากปากกระบอกปืนวิ่งเป็นสายๆไปยังเป้าหมาย
มีเสียงปืนยิงตอบโต้จากภายในบ้านออกมาอย่างบ้าคลั่งแต่มันสายไปแล้ว
หัวจรวดวิ่งเข้าเป้าและเกิดระเบิดที่TNTที่ฝังไว้ทั้งในและนอกบ้านทำงานเต็มที่
สองตูมและตูมใหญ่ อีกหลายตูมติดต่อกัน ในบ้านกลายเป็นลูกเพลิงไฟขนาดใหญ่ลุกโชนขึ้น
30ชีวิตเกรียมตายในกองเพลิง นับศพไม่รู้ใครเป็นใคร ตัวบ้านวายวอดเป็นกองขี้เถ้า
โคซิโอ4คนพร้อมทหารอีกจำนวนหนึ่งเดินจากมาที่เกิดเหตุเงียบๆ
เสร็จสิ้นภารกิจ “ปิดประตูตีแมว”
มีหรือนายใหญ่ของขบวนการเบอร์ซาตูจากต่างประเทศขณะที่อยู่ในโรงแรมที่ฮัมบรูกซ์ในเยอรมัน เมื่อได้รับรายงานเหตุการณ์ย่างสด “ปิดประตูตีแมว” จะไม่แค้นใจเพราะมันเป็นการหยามศักดิ์ศรีครั้งใหญ่
“กำจัดไอ้พวกนี้ให้สิ้นซากเฉพาะไอ้หัวหน้าที่มาจากกรุงเทพฯ4ตัว”เป็นคำสังจากนายใหญ่เบอร์ซาตู
............................................
..................วันที่10เมษายน2538เวลา10.00น.ตุลย์และศิริเดช นั่งรถกระบะออกจากอำเภอปะนาเระเพื่อเยี่ยมจาฟาร์และคะดียะห์โดยจาฟาร์ขอนั่งรถออกมาตลาดด้วย หลังจากจารฟาร์ลงที่ตลาดและรถวิ่งออกมาขึ้นสู่ถนนหลวงเพียง25กิโลเมตร รถก็โดนระเบิดพลิกคว่ำ มีเสียงปืนระดมยิงจากข้างทางตามมาอีกหลายนัด โชคดีที่ไม่ไกลนัก มีด่านตำรวจตั้งอยู่ เมื่อได้ยินเสียงระเบิดและเสียงปืน ตำรวจจากด่าน3-4คนก็รุดมาช่วยในที่เกิดเหตุและวิทยุเรียกรถพยาบาลทันที
12.15นาที สหชาติ, เอกรินทร์และพิมราเดินทางมาถึงโรงพยาบาลชุมชนเปะนาเระเห็นสภาพตุลย์และศิริเดชก็รู้ว่าอาการสาหัสมากคงไม่รอดถึงมือหมอแน่
ตำรวจในพื้นที่ประสานเรียกเฮลิคอปเต้อร์มารับคนป่วยทั้งสองคนไปโรงพยาบาลปัตตานี
หลังจากนั้นเครื่องบินทหารนำตุลย์และศิริเดชจากโรงพยาบาลปัตตานีกลับถึงกรุงเทพฯเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าเวลานั้นค่ำแล้ว พิมรา สหชาติและเอกรินทร์มากับผู้บาดเจ็บโดยเครื่องบินทหารเฝ้ารออยู่หน้าห้องฉุกเฉิน
ระหว่างรออยู่นั้นมีแพทย์คนหนึ่งและบุรุษพยาบาลรีบเดินออกมา พิมราวิ่งเข้าไปถาม
“คุณหมอขา คนใข้เป็นอะไรมากไหมคะ”
แพทย์ไม่ตอบ มีสีหน้าสลด ส่ายหน้าแสดงความเสียใจและเดินออกไป
พิมราสลบทรุดตัวลงไปกองอยู่กับพื้น
.........................................
ข้างในห้องฉุกเฉินหมอพยายามอย่างยิ่งที่จะยื้อชีวิตตุลย์ เขามีอาการสาหัสกว่าศิริเดชตุลย์ขาข้างซ้ายหักกระดูกแตก ถูกยิงที่ศีรษะและลำตัว แขนข้างหนึ่งบิดเบี้ยว หัวใจเต้นผิดจังหวะและอ่อนลงจนหยุดลง หมอใจเครื่องปั๊มหัวใจช่วยหลายครั้ง ชีพจรยังไม่ทำงาน
“คนไข้ชื่อตุลย์เสียชีวิตเมื่อเวลา02.35นาที” หมอประกาศด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ขณะที่บนเตียงศิริเดชยังมีลมหายใจเป็นปรกติ หมอผ่าลูกกระสุนออกจากหน้าท้องและทำแผลจากรอยถลอกจากลำตัวที่เขากระเด็นครูดไปกับถนน แต่ศิริเดชยังไม่ฟื้น
หมอออกมานอกห้องมีพ่อแม่ตุลย์ พ่อแม่ศิริเดช สหชาติและเอกรินทร์รวมทั้งพิมราซึ่งเพิ่งฟื้นจากสลบทุกคนรอฟังอาการของตุลย์และศิริเดช
“หมอเสียใจมากนะครับ ผู้ป่วยที่ชื่อคุณตุลย์เสียชีวิตเมื่อเวลาตี2.35นาทีคุณศิริเดชยังมีชีวิตอยู่รอดูอาการครับ ผมขอตัวครับ”
พิมราร้องให้โฮ สลบไปอีกครั้ง คุณลาวัลย์ร้องให้อย่างหนักด้วยความเสียใจพลโทกิติหน้าเสียไม่ร้องให้ แต่พยามยามทำใจต่อการสูญเสียของบุตรชาย
สหชาติและเอกรินทร์เดินไปแสดงความเสียใจ พูดคุยกับพ่อแม่ตุลย์คุณกิติและคุณลาวัลย์สักครู่หนึ่ง สหชาติขอตัวโทรศัพท์ไปถึงหน่วยเหนือผู้บังคับบัญชาคุณสิทธิเดชเพื่อเรียนว่าตุลย์เสียชีวิตแล้วเอกรินทร์โทรศัพท์ไปบอกทางบ้านว่าเขาสบายดี
_____________
นิวซีแลนด์
...............นางมาร์การ์เร็ตรับทราบข่าวตุลย์เสียชีวิตทางโทรศัพท์จากสหชาติด้วยความสงบและขอร้องไม่ให้สหชาติอย่าบอกคิมเบอร์ลี่ว่าตุลย์เสียชีวิตแล้วมันจะทำให้ลูกสาวที่ป่วยอยู่แล้วอาการทรุดลงไปอีก หลังจากนั้นมาร์การ์เรตร้องให้ด้วยความเสียใจ
แต่สหชาติปิดข่าวไม่ได้เพราะหลังจากเขาแจ้งข่าวนี้กับปีเต้อร์ ชุง ปีเต้อร์ตกใจมากจะมาเมืองไทยทันทีแต่สหชาติให้รอก่อนจนกว่าทางนี้จะจัดพิธีศพให้เรียบร้อย เมื่อวางหูโทรศัพท์
ปีเตอร์ก็โทรฯทางไกลไปโอ๊คแลนด์ทันที
“คิม....เธอฟังดีๆนะ อย่าตกใจ...ตุลย์จากพวกเราไปแล้ว”
“เธอบอกฉันอีกทีซิเธอว่าอะไรนะปีเตอร์” “ตุลย์ตายแล้วเมื่อเช้านี้....เขาไปแล้วคิม”
แผ่นที่290
มีเสียงวางหูโทรศัพท์ที่ปลายทาง
ปีเตอร์ ชุงร้องให้เป็นครั้งแรกในหลายสิบปีที่ผ่านมา
____________________________
ตุลย์รู้สึกว่าเขาตัวเบา..เขาอยู่ที่ไหนกันแน่ ทำไมเขาถึงไม่พบใครเลยในที่นี้ ใช่สิเขาไม่ได้เดินอยู่บนพื้นดิน แต่ที่นี่มองไปไหน มีแต่หมอกคลุมไปทั่ว
หรือว่าเขากำลังเดินอยู่บนก้อนเมฆ อยู่ๆทำไมเขาถึงเห็นมีคนแต่งชุดขาวเดินไปเดินมาเยอะแยะเต็มไปหมด...นี่หรือเรียกสถานที่นี่เรียกว่าสวรรค์......เขาอยู่บนสวรรค์จริงๆ
นั่นไง.........เด็กสาวตัวน้อยคนหนึ่งวิ่งมาหาเขา เธอยื่นดอกกุหลาบสีแดงให้ เขามองดูเธอ นี่เธอเองหรือ..... ใช่แล้ว..เธอจริงๆคุ้นตาเหลือเกิน นั่นแหละฉันนึกแล้วว่าต้องเป็นเธอ คิมเบอร์ลี่ตัวน้อยๆที่เขารู้จัก เธอยิ้มปากกว้าง เอียงอาย จูงมือเขาให้เดินไปไปดูสวนดอกไม้....โน่นยังไงตุลย์ เธอเห็นไหม.ดอกทิวลิปนับหมื่นนับแสนดอก ตุลย์เห็นไหม ดอกไม้สวยงามสำหรับเธอ สุดลูกหูลูกตาเต็มทุ่งไปหมด
เมฆสีขาวหายไปแล้ว คิมเบอร์ลี่เธอหายไปด้วย เธอไปไหนนะ ฟ้าสีน้ำเงินเต็มขอบฟ้ามาแทนที่เมฆขาว เบื้องหน้ามีท้องทุ่งสีหญ้าสีเขียวขจีกว้างใหญ่ลานตาไปหมด ข้างทางมีหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้า
ลำธารน้ำใสสีฟ้าคราม เด็กน้อยจูงมือพาเขาไปเด็ดดอกกุหลาบ คิมเบอร์ลี่หายไปไหนแล้ว......นั่นใครมาหาเขา แม่ครับ พ่อครับทำไมทิ้งผมไว้ที่นี่........ผมอยู่ทางนี้ อย่าเพิ่งจากผมไปไหนนะครับ
ตุลย์ได้ยินเสียงใครเรียกชื่อเขาดังอยู่แต่ไกลแว่วๆ
“ลองอีกที...เอ้า หนึ่ง สอง สาม ปั๊ม ...หนึ่ง สอง สาม ปั๊ม..ชีพจรมาแล้วค่ะ มาแล้วค่ะ อ่อนๆ มาแล้วค่ะไม่น่าเชื่อนะค่ะ มหัศจรรย์วิเศษจริงๆปาฎิหารย์เหลือเชื่อ”
คณะแพทย์จำนวนหนึ่งรีบมาข้างเตียง ในห้องฉุกเฉินดูร่างตุลย์ที่เริ่มมีชีพจนเต้นตามจังหวะอีกครั้งหนึ่งด้วยความฉงน
“เราไม่ได้ทำอะไรเลยอยู่ดีๆพยาบาลสังเกตว่าร่างเขามีอาการนิ้วขยับ จึงมากระตุ้นหัวใจด้วยการใช้เครื่องช่วย.....และก็แบบที่เห็น”
แต่นั่นก็หลังจากพ่อแม่และเพื่อนๆของตุลย์ออกจากโรงพยาบาลไปหมดแล้ว พวกเขาไม่ทราบเลยว่าคนตายกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
......................................