ราชการลับ16-สายลับ๔ชาติในกทม.
0
ตอน
350
เข้าชม
20
ถูกใจ
0
ความคิดเห็น
0
เพิ่มลงคลัง

 

นาสรินสูง ใบหน้าเข้มขาว สวยเหมือนสาวเปอร์เซีย นัยน์ตาสีฟ้าคราม ร่างกายบ่งบอกความแข็งแรง หน้าท้องมีกล้ามเนื้อ แขนขามีกล้ามเนื้อเช่นเดียวกับผู้ชาย เธอฝึกศิลปะการต่อสู้ทั้งคาราเต้ ยูโดและมวยไทย เธอเคยมาประเทศไทยครั้งเดียวในฐานะนักท่องเที่ยวและฝึกมวยไทยอยู่ 2 สัปดาห์

เธอพักที่ดุสิตธานีและไปรับประทานอาหารในร้านคนคุ้นเคยกันที่ถนนสีลมซอย 22

เธอยังไม่รู้ว่ามีคนไทยที่เธอไม่เคยเห็นสองสามคนติดตามเธอ

คนไทยเหล่านั้นก็ไม่รู้ว่าเธอมีคนของบีอาร์เอ็น2 คนและทีมงานวัจจะอีก 2 คนอยู่กับเธอตลอดเวลา

                                   ...................................

.......นิโคไล บาซานอฟไม่ใช่มือใหม่สำหรับเคจีบีในประเทศไทย พ่อเขาเคยเป็นนักการทูตเคยมาประจำในประเทศไทยอยู่หลายปี นิโคไลตามพ่อมาอยู่เมืองไทยเรียนหนังสือในโรงเรียนนานาชาติ รู้จักภาษาไทย พี่เลี้ยงเป็นคนไทยชื่อมาลัย สอนพูดไทยและเขาหลงไหลอาหารไทย เมื่อกลับไปรับการศึกษาต่อ เขาเรียนหนังสือให้ได้คะแนนชั้นเยี่ยม เรียนวิชาภาษาต่างประเทศ 5 ภาษาทั้งอังกฤษและฝรั่งเศส เยอรมัน สวีเดนและญี่ปุ่น ไม่รวม ภาษาไทยที่เขาพูดเขียนได้คล่อง นิโคไลสอบทำคะแนนระดับดีเยี่ยม ไม่แปลกนักที่นิโคไล ผู้มีศีรษะเริ่มเถิกหัวล้านวัยแค่ 24 ดูแปลกตาไปจากเพื่อนร่วมงานเขาถูกคัดเลือกอยู่ในทีมฝึก เข้าเป็นเคจีบี 

นิโคไลถูกส่งไปเริ่มต้นทำงานในตำแหน่งระดับล่างที่ตุรกี ซึ่งเขาได้รับประสบการณ์มาก หลังจากนั้นนิโคไลมาเติบโตทางการงานที่ไคโร มีผลงานโดดเด่น เป็นที่ชมเชยและถูกย้ายมาประจำที่โตเกียว เขาไม่ชอบและไม่ค่อยเคยชินวิธีทำงานเงียบเหงา 

"กรุงเทพเหรอครับ..."  เขาแทบไม่เชื่อ เมื่อเห็นคำสั่งย้าย หลังจากอยู่โตเกียวไม่ครบเทอม

"คนที่อยู่กรุงเทพฯ ต้องย้ายกลับ มีปัญหานิดหน่อย" เจ้านายไม่ได้บอกปัญหาคืออะไร

นิโคไล แทบจะกระโดดตัวลอย เขาจัดกระเป๋าเตรียมตัว บอก ภรรยาจะสบายไป 4 ปี หรือมากกว่านั้นถ้าทำงานมีผลงานดี

"ผมจำกรุงเทพฯได้ดี ทุกซอกซอยมุมเมือง ผมโตมากับกรุงเทพฯ ผมอาจได้พบพี่มาลัย เธอเลี้ยงผมมานานทำอาหารไทยรสดีวิเศษมาก"

ต้นปี 2537 วงการจารชนสายลับต่างชาติต้อนรับนิโคไล บาซานอฟและครอบครัวด้วยข่าวใหญ่ของซีไอเอ หน่วยสืบราชการลับซีไอเอ ดัดหลังสส.ไทยด้วยการเผยบัญชีดำนักการเมืองพรรคชาติไทยนายทนุ ปรีชาพงษ์พัวพันการค้ากัญชา 30 ล้าน ศาลสหรัฐอเมริกาสั่งยึดทรัพย์

ทางสหรัฐฯ ขอตัวนายทนุไปดำเนินคดีในสหรัฐฯ นายทนุต้องลาออกจากการเป็นส.ส. และถูกส่งตัวไปรับโทษตามที่สหรัฐขอมา

มีข่าวว่ามีนักการเมืองระดับชาติถึง 17 คนพัวพันการค้ายาเสพติดและซีไอเอได้ข้อมูลส่วนหนึ่งจากข่าวกรองของโคซิโอ  สหรัฐฯ จึงขึ้นบัญชีดำตามคำแนะนำของโคซิโอห้ามเข้าประเทศ

น.ต. ประสงค์ สนศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ"ได้นำเอกสารของสถานทูตสหรัฐฯ (และไม่ได้บอกว่ามาจากโคซิโอ)ออกมาเผยแพร่ในสภา พาดพิงถึงนายวัฒน์ อั่วเหม นายวัฒน์โกรธมากออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาและตอบโต้น.ต.ประสงค์ และรัฐบาลสหรัฐฯ อย่างรุนแรงถึงขั้นฟ้องร้องต่อศาล แต่ศาลยกฟ้อง

                                   ....................................

นิโคไล บาซานอฟไม่เคยนึกชอบกินอาหารแปลกๆยกเว้นอาหารไทยทุกชนิด เจ้าหน้าที่สถานทูตรัสเซียแนะนำว่าควรลองอาหารอิหร่านบ้าง เขาเลยนั่งรับประทานที่ร้านถนนสีลมซอย 22 สะดุดตาผู้ชาย 2 คนนั่งอยู่มุมห้องดูเหมือนรอใครอยู่สักคน

"บอริส นายว่า 2 คนนั่งมุมห้องด้านโน้นเป็นพวกอาหรับหรือเปล่า"

"พวกอิหร่านว่ะ ร้านนี้ขึ้นชื่อ ขายอาหารอิหร่านรสดี" บอริสเลขานุการสถานทูตรัสเซียให้ความเห็นกับนิโคไล

ทั้ง 2 คนไม่ได้สนใจพวกอิหร่านอีก

อาวานกับอาซาเดห์2วัจจะ นัดนาสรินไว้ที่ร้านโมห์เซน เที่ยงครึ่ง พวกเขามาก่อนเวลาเพื่อดูลาดเลาล่วงหน้า นาสรินยังไม่มาตามนัด พวกเขาไม่สบายใจ

เป็นไปได้ เธออาจเปลี่ยนใจ มีธุระ แต่น่าจะติดต่อกันก่อน ไม่ใช่ให้มารอเช่นนี้

อาวานให้อาซาเดห์รอที่โต๊ะ เขาลุกขึ้นไปติดต่อแคชเชียร์ ขอใช้โทรศัพท์

  โรงแรมต่อสายเข้าห้องพักของนาสริน ไม่มีคนรับ อาวานวางหูโทรศัพท์กลับมาที่โต๊ะอาหาร

อาซาเดห์พูดกับอาวาน หาอะไรกินกันก่อน ถ้านาสรินไม่ปรากฎตัวใน10นาที ก็จะไปพบเธอที่โรงแรมในช่วงบ่าย

ขณะนั้นมีสุภาพสตรีต่างชาติ เดินมาพร้อม ผู้ชายไทย นั่งโต๊ะห่างจากอาวานและอาซาเดห์

"สังเกตคนรัสเซีย 2 คนนั่งโต๊ะข้างในซ้ายมือไหม?"นาเดียถามสหชาติ

 นั่นคือเคจีบีคนใหม่ นิโคไลพูดเขียนภาษาไทยเหมือนคนไทยเลยนะ คบเขาไว้ไม่เป็นพิษเป็นภัยมาเขามากับเลขานุการทูตรัสเซีย"

"นาเดีย ผมว่ายังมีพวกอิหร่านอีก 2 คน คงเป็นพวกสายลับเหมือนกัน"

"สหชาติตาคุณแม่นมาก นั่นละวัจจะ ดูง่ายมาก แค่การแต่งตัวก็บอกยี่ห้อแล้ว ดูซี่ เหมือนแต่งเครื่องแบบมากินข้าวข้างนอกเลย" นาเดียพูดกระทบ

สหชาติไม่ได้บอกนาเดียว่าคนของโคซิโออีกส่วนหนึ่งเฝ้าดูผู้หญิงจากอิสฟาฮานอยู่ดุสิตธานีและที่สืบทราบ รู้ว่าถนนสีลมมีร้านอาหารอิหร่านเพียงแห่งเดียว อาจเป็นที่นัดพบระหว่างพวกวัจจะกับนาสรินเขาจึงชวนนาเดียมาที่นี่ นึกไม่ถึงว่าจะพบพวกรัสเซีย

มันเป็นการรวมตัวของสายลับ 4 ชาติในร้านอาหารเดียวกันและเวลากลางวันด้วยกันโดยบังเอิญ 

นาเดีย โบกุสลาฟหยิบลิปสติกและตลับแป้งทาหน้ามาถือในมือบอกกับสหชาติว่า

"ฉันต้องถ่ายรูปพวกวัจจะ 2 คนนี่ไว้ก่อนเรายังไม่รู้จักคนพวกนี้"

"พวกเขาถูกฝึกกันมาแค่ไหน"

"ฝึกหนักในทะเลทราย อดอาหารหรือน้ำได้เป็นวัน ยิงปืนได้ทุกชนิด แต่จะแม่นหรือเปล่าไม่แน่นะ ถ้าเป็นพวกทหารในกองกำลังปกป้องปิติภูมิจะมีพิษสงรอบตัว" นาเดียขยายข้อมูลให้สหชาติได้รับรู้ แล้วถามขึ้นมาเงียบๆ

"คุณเคยได้พบนิโคไล รัสเซียเคจีบีคนล่าสุดหรือยัง"

"ผมได้ข่าว ยังไม่เคยพบ เห็นว่าเขานิสัยดี ตอนเด็กอยู่เมืองไทย"

"ใช่เลยละ ฉันเคยพบครั้งเดียวในงานเลี้ยงที่สถานทูตฝรั่งเศส แต่ไม่ได้คุยกัน หัวล้านบุคลิกดีนะ"

ขณะที่นาเดียกำลังคุยกับสหชาติ อาวานและอาซาเดห์ก็จ่ายเงินและลุกจากโต๊ะเดินออกไปที่ถนนแล้วตัดสินใจใหม่ อาวานกลับมาโทรศัพท์ไปหานาสรินที่ดุสิตธานีและรอสายไม่นานนาสรินก็

อยู่ในสาย

"ขอโทษด้วย มีบางอย่างผิดพลาด มีปัญหา คนจากบีอาร์เอ็นรู้ว่ามีคนติดตามพวกเขาอยู่ อาจเป็นตำรวจสันติบาลจากจังหวัดในภาคใต้สะกดรอยตามมา ฉันไม่ยอมลงไป เลยลงไปอยู่ในห้องออกกำลังกาย"

"แล้วผมจะพบคุณได้ที่ไหน"

"คุณยังอยู่ที่ร้านอาหารโมห์เซนหรือเปล่าล่ะ" นาสรินพูดด้วยความห่วงใย

"พวกเราออกมาก่อน พวกอเมริกันกับคนรัสเซียก็อยู่ในร้าน เราไม่ไว้ใจ" อาวานตอบอย่างร้อนรน เห็นหลายคนมองอยู่

เขาวางโทรศัพท์หลังจากบอกนาสรินเขากับอาซาเดห์ค จะไปรอนาสรินที่ห้องล็อบบี้ภายใน20นาที

เขารีบออกจากร้านแต่ไม่พบอาซาเดห์  มาพบอีกทีหน้าปากซอบ อาซาเดห์อ้างว่าคนอเมริกันในร้านมองเห็นเขายืนรอคนอยู่ ดูมีพิรุธ เขาจึงเดินมารอปากซอย

อาวานบอกว่าให้ไปพบนาสรินที่โรงแรมดุสิตธานี

ที่นั่นตุลย์และพิมรานั่งอยู่ ข้างล่างแล้ว  พวกเขาดื่มกาแฟ ตุลย์อ่านหนังสือพิมพ์ พิมราสอดส่ายสายตาดูคนเดินไปมา

อาวานมากับอาซาเดห์เดินสำรวจสถานที่พักใหญ่ แล้วเดินลงจากล็อบบี้ ตัดสินใจนั่งห่างจากตุลย์และพิมราประมาณสามเก้าอี้ อาซาเดห์เดินไปสั่งกาแฟพอดีกับนาสรินเดินลงมาพบเขาพอดี                  ศิริเดชอยู่ข้างบนเห็น "ผู้หญิงจากอีสฟาฮาน" เดินผ่านล็อบบี้ เขาแอบถ่ายรูปได้ภาพหนึ่ง และเมื่อเห็นเธอทักทายกับชายสองคนที่นั่งอยู่ข้างล่าง ศิริเดชก็ถ่ายไว้อีก 2-3 รูป

ศิริเดชแยกกับเอกรินทร์ซึ่งตัดสินใจกันว่า เอกรินทร์ตามไปพบสหชาติที่ร้านโมห์เซน สีลมซอย 22 เพื่อไปรอสรุปสถานการณ์ประจำวันที่บ้านซอยเอกมัย นักรบญิฮาดนาสรินเธอคงเก็บไว้ที่ไหนสักแห่งไม่ได้ติดตัวมาตลอดเวลา

นาสรินนั่งคุยและดื่มน้ำชากับอาวานและอาซาเดห์เงียบๆ พอได้ยินเข้าหูตุลย์และพิมราจับสำเนียงภาษาบาลูจิได้ ตุลย์ไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย หลังดื่มน้ำชาเสร็จ นาสรินพร้อมวัจจะ อาวานและอาซาเดห์ก็จ่ายค่าน้ำชา ลุกขึ้นเดินขึ้นบันได นาสรินฝากกุญแจห้องพักที่เคาน์เตอร์เช็คอินโรงแรม

นาสรินและวัจจะเรียกรถแท็กซี่ไปสถานทูตอิหร่านตอนบ่ายเพื่อหารือเรื่องปัญหานำคน 25 คนออกไปอิหร่าน

ศิริเดช, ตุลย์, พิมรา, เอกรินทร์และสหชาติมาพบกันที่บ้านเอกมัยเย็นวันนั้น พิมราเป็นห่วงอาหารเย็นว่าจะออกไปกินข้างนอกหรือทำกันเองกินในบ้าน

"ผมเดินไปซื้อกับข้าวมา 3-4 อย่าง ไม่ไกลจากบ้าน หุงข้าวรอไว้ก็แล้วกัน" ตุลย์อาสา

หลังอาหารเย็นเรียบร้อย ไม่ได้ดังใจ นอกจากกับข้าวไม่อร่อย ข้าวยังไม่อร่อยด้วย ใครซื้อไม่ได้ดูว่าไม่ใช่ข้าวหอมมะลิที่กินเป็นประจำ

"ฉันซื้อมาเอง ยอมรับผิด" พิมราออกรับ

"ขืนออกเรือนไป ไอ้ตุลย์ผอมตายห่า" ศิริเดชกระเซ้า

"เล่นกันแรงน่า" ตุลย์ไม่ขำ พิมราหน้างอ

                                   .............................................

..........ในการประเมินกิจกรรมประจำวัน สหชาติรายงานว่านาเดียพบนิโคไล เคจีบี.ประจำสถานทูตรัสเซีย แต่ไม่ได้คุยกันในสถานทูตฝรั่งเศสระหว่างมีงานเลี้ยง และโดยบังเอิญพบวัจจะ สายลับอิหร่านในร้านอาหารอิหร่านถนนสีลมซอย 22 เวลาเที่ยงครึ่ง วัจจะมีนัดแต่ไม่มีใครมา

พิมราบอกว่าเธอกับตุลย์อยู่ในที่พัก ดื่มกาแฟพบวัจจะสองคน เข้าใจว่าเป็นพวกสองคนที่สหชาติพบในร้านอาหาร และที่ดุสิตธานี พวกวัจจะพบกับหญิงจากอีสฟาฮานพูดคุยพักหนึ่งแล้วออกไป

ศิริเดชบอกว่าได้ถ่ายรูปเธอไว้ ทั้งขณะเดินบนล็อบบี้ และกำลังคุยกับวัจจะสองคนโดยเห็นชัด

การสนทนามีข้อสรุปว่า ได้เห็นคนเกี่ยวข้องเกือบหมดแล้ว ยกเว้นพวกบีอาร์เอ็น เข้าใจว่ามี 2 คนเข้ามากรุงเทพฯ แล้วแต่ยังไม่แสดงตัว

อับดุลลอฮและมุสตาฟาเป็นสมาชิกขบวนการบีอาร์เอ็น ทำหน้าที่ประสานการสู้กับกับกองโจรพูโล ทั้งสองคน เป็นมือวางระเบิดขั้นเทพในขบวนการบีอาร์เอ็น อับดุลลอฮตัวเล็กผิวดำ ศึกษาในระบบการศึกษาไทยไม่มาก แต่อยู่โรงเรียนสอนศาสนาเขากระตือรือร้น ยึดถือการเป็นมุสลิมเคร่งครัด ส่วนมุสตาฟาไม่อยู่ในสารบบการศึกษาไทย เขาเข้าโรงเรียนสอนศาสนาอิสลาม ได้รับการฝึกอาวุธโดยขบวนการบีอาร์เอ็นอย่างดีมีประสบการณ์โชกโชน

เมื่อได้รับการดูแลเรื่องที่จะต้องพาเด็กผู้ชาย 20 คน หญิง 5 คนเดินทางไปพักที่อิหร่านเพื่อต่อไปยังซีเรียที่มีศูนย์ฝึกการเรียนรู้ศาสตร์อิสลามตามข้อตกลงเรื่องการให้ทุน ทั้งสองคนรับงานด้วยความเต็มใจแต่อับดุลลอฮสงสัยว่าที่ซีเรียมีอิทธิพลของพวกหัวรุนแรงและอาจมีพวกมุฟตีซึ่งใช้ฟัตวาไปในแนวทางที่ผิดไปจากตำราที่แท้จริงแล้วหันไปหาความรุนแรงรวมทั้งฝึกเด็กทำญิฮาด

อับดุลลอฮและมุสตาฟาก็ไม่อยากตั้งข้อสังเกตอะไรมากนัก เพราะรู้ดีว่าขบวนการมูจาฮีดีนอิสลามปัตตานีให้ความสำคัญกับพวกเขามาก

เมื่อ 2 วันก่อนมีคน 2 คนเดินทาง มาจากกรุงเทพฯ บอกว่าต้องการได้รายชื่อและขอรูปถ่ายของเด็กชายหญิงทั้ง 25 คนและถามถึงอายุของเด็ก มุสตาฟา ว่าผู้ชายมีอายุตั้งแต่ 17 ถึง 20 ปี ผู้หญิง 18 ถึง 20 ปี คนจากกรุงเทพฯ 2 คนบอกจะเก็บรายชื่อและรูปภาพไป

คน 2 คนนี้มีโอกาสสัมภาษณ์เด็กหญิงและชาย 4-5 รายรู้สึกประทับใจทุกคน และบอกว่าให้เด็กเหล่านี้เตรียมตัวให้ดี ไปจัดการเรื่องเอกสารการเดินทางและเรื่องอื่นๆ

"ต้องรอให้คนจากอีสฟาฮานอนุมัติก่อน"

อับดุลลอฮและมุสตาฟาได้รับคำแนะนำให้มากรุงเทพฯ เพื่อทำหน้าที่ดูแลและคุ้มกันนายจากอิสฟาฮานด้วย

พวกเขาแต่งตัวอย่างดี ดูภูมิฐานและไปพบนาสรินที่สถานทูตอิหร่านเพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องคนที่จะไปฝึกเป็นนักรบเพื่อพระเจ้าที่ซีเรีย

"คุณสองคนอาจต้องไปอยู่ที่เตหะรานด้วย จนกว่าเด็กจะส่งไปที่อื่น" อาซาเดห์บอกกับอับดุลลอฮและมุสตาฟา

"ผมอยากไปฝึกกับเด็กด้วยนะ" อับดุลลอฮขอร้อง

"แล้วแต่นาสรินว่าเธอเต็มใจหรือเปล่า" อาซาเดห์ตอบแบบขอไปที

นาสรินออกมาจากห้องรับรองภายในสถานทูต คุยกับอาซาเดห์สักพักจึงหันมาถามมุสตาฟาว่าเด็ก 25 คนมีพื้นฐานการสู้รบบ้างไหม

"ส่วนมากไม่มีครับ มีบ้าง เป็นแค่คนชี้เป้าหมาย ไม่ก็ช่วยประกอบระเบิด และดูการฝึกอาวุธ ซ้อมยิงปืน ส่วนมากไม่มีการฝึกจริงจัง" มุสตาฟาตอบไปตามจริง

นาสรินว่าในไทยไม่มีการพลีชีพ ไม่เป็นไรเรียนเอาความรู้ทางศาสนาก่อน ทำตามสถานการณ์ก็ไม่เป็นไรเรียนรู้ศาสนาเคร่งครัดศรัทธาในพระเจ้าแล้ว  ฝึกอะไรก็ง่าย ฝึกทุกอย่างก็เพื่อพระเจ้า ใช้วินัยและความกล้าหาญ เชื่อมันในพระเจ้าเท่านั้น

นาสรินกลับไปโรงแรมคนเดียว ส่วนบีอาร์เอ็น2คนและวัจจะอีก2คนออกจากสถานทูตไปพร้อมกันหาที่เงียบๆ คุยกัน แต่ก็ไม่พ้นสายตาตำรวจสันติบาลนอกเครื่องแบบที่ร.ต.อ.เอกรินทร์ขอตัวมาช่วยให้ติดตามความเคลื่อนไหวให้รายงานด้วยว่าพวกนี้ไปที่ไหนบ้าง

"คอฟฟี่ช็อปโรงแรมมณเฑียรครับ" สายสืบสันติบาลรายงาน

"แล้วผู้หญิงล่ะ" เอกรินทร์ถาม

"เธอกลับโรงแรมครับ" เอกรินทร์รับทราบและรายงานไปที่บ้านเอกมัย

บ้านเอกมัยกำลังหาทางที่จะจารกรรมเอารายชื่อเด็กที่จะไปฝึกอาวุธในตะวันออกกลางจากนาสรินให้ได้ มีหลายวิธีรตั้งแต่หาทางขโมยกระเป๋าไปจนถึงหาทางล่อให้เธอออกจากห้องพักโดยทิ้งกระเป๋าไว้จนถึงวิ่งราว

ในที่สุดสหชาติก็คิดสูตรสำเร็จได้.......โรงแรมดุสิตธานีเป็นที่เหมาะสมสำหรับแผนที่สหชาติวางไว้

นาสรินชอบความเป็นส่วนตัว ไม่ชอบการแสดงตัวในที่สาธารณะ เธอจะอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษส่งถึงห้องพักที่ทางโรงแรมจัดให้ เปิดโทรทัศน์ฟังข่าวภาษาอังกฤษจากช่องภาษาอังกฤษ

ไม่ชอบออกจากห้องไปเลือกห้องอาหารที่เลือกได้ในโรงแรม นาสรินไม่แน่ใจว่า มีใครติดตาม หรือเป็นสายลับทั้งในประเทศไทย และพวกชาติไม่เป็นมิตรกับรัฐบาลอิหร่าน ตามเธอหรือเปล่า

เธอไม่ได้เป็นพวกหวาดกลัวจนขึ้นสมอง สถานทูตเตือนเธอว่ากรุงเทพฯ เต็มไปด้วยจารชนเกือบทั่วโลกไม่น่าไว้ใจ

เธอเป็นพวกไม่รับประทานเนื้อสัตว์ทุกชนิด

อาหารสำหรับเธอ สั่งจากบริการครัวโรงแรม โดยสั่งชัดเจนว่าเธอเป็นพวกกินผักปรุงด้วยน้ำมันพืชและขอน้ำแร่ให้ส่งขึ้นบนห้อง

เวลาทุ่มครึ่ง อาหารที่เธอสั่งถูกนำมาส่งถึงห้อง

เธอรับประทานอาหารเสร็จในเวลาสองทุ่ม

อาบน้ำและคิดว่าจะอ่านหนังสือพิมพ์ ง่วงนอนและล้มตัวลงนอนพัก เปิดโทรทัศน์ทิ้งไว้

           .................................21.15 น. ประตูห้องเปิด..................................

           ผู้หญิงไม่พรางใบหน้าเดินเข้ามาในห้อง

หลังพบกระเป๋าเอกสาร ค้นดูอยู่นานและคอยดูว่านาสรินจะตื่นขึ้นมาหรือไม่

ผู้หญิงคนนั้นปิดกระเป๋าเอกสาร ไม่หยิบเอกสารอะไรไป

...............................................21.30 น. ผู้หญิงเปิดประตูออกไปอย่างเงียบๆ.....................

           นาสรินตื่นนอนตั้งแต่เช้าเรียกพนักงานมาเก็บถาดอาหาร เธอลืมนำไปไว้นอกห้อง

เข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัวและอาบน้ำเรียกความสดชื่นตอนเช้า หยิบหนังสือพิมพ์อ่านข่าว

เตรียมตัวรอ นัดกับอับดุลลอฮอและมุสตาฟา เธอต้องการให้เขาพาไปค่ายฝึกมวยไทยที่เคยมา

เมื่อสองสามปีก่อนเพื่อเยี่ยมครูฝึก

                                   ...........................................................

."พิม...ผมเตรียมการอย่างดีที่สุดทำไมมันล้มเหลวล่ะ" สหชาติแค้นใจ

"ไม่ใช่ล้มเหลวชาติ พิมเข้าไปในห้องค้นเอกสารทุกชิ้น ตรวจแล้วตรวจอีก ดูในห้องนอนว่าเขาหยิบไว้ที่ไหนก็ไม่เจออยู่ในนั้นเกือบครึ่งชั่วโมง...ไม่เจอ"

"มีคนเห็นเธอเก็บไว้ในกระเป๋าใบนั้นแน่นอน" สหชาติยืนยันอีกครั้ง

"ไม่มีแน่นอนค่ะ พิมค้นทั่วแล้ว"

สหชาติเดินกลับไปกลับมา คนอื่นช่วยกันคิด นึกไม่ออกว่าทำไมเอกสารถึงล่องหนได้

สหชาติโทรศัพท์ถึงตำรวจสันติบาลที่เอกรินทร์ให้เบอร์โทรศัพท์ไว้เพื่อถามว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างนาสรินออกจากสถานทูตอิหร่านถึงโรงแรมดุสิตธานี

"เธอเรียกแท็กซี่ครับ" สายสืบตำรวจว่าอย่างนั้น "เธอเอากระเป๋าเอกสารมาด้วยหรือเปล่า" สหชาติสงสัย "ออกจากสถานทูตถึงโรงแรมมีกระเป๋าเอกสารตามปรกติครับ"

"แปลกมาก" สหชาติงง

ตุลย์เดินเข้ามาจับสหชาติที่บ่า โยกหัวเขาเบาๆ   "คิดไม่ออกเหรอว่าเอกสาร มันไม่มีขา" ตุลย์หัวเราะ

"นายหมายความว่าอะไร?" สหชาติยังนึกไม่ออก

"ถ้านาสรินไม่เอาเอกสาร ติดมือกับตัวมาที่โรงแรม มันจะอยู่ที่ไหนนายคิดไม่ออกหรือ" ตุลย์ถาม

"อยู่ที่สถานทูต" ทั้งคู่พูดพร้อมกัน

                                   .........................................

  

ยธิน ปรางอ่อนเป็นเพื่อนรุ่นน้องพลตรีสมเดช พิชิตชัยสงครามที่โรงเรียนนายร้อยจปร. หนึ่งรุ่น แต่โยธินมีปัญหาสุขภาพต้องลาออก โยธินจึงออกมาค้าขายโดยใช้ความสัมพันธ์กับราชการทหารขาย อาวุธสงครามและเครื่องอุปโภคเล็กๆ น้อยๆ แบบผูกขาดได้กำไรมากจนมีฐานะขึ้น ภรรยาโยธินเดิมชื่อเพ็ญหน้าตาสวย ต่อมาไปประกวดนางสงกรานต์ที่จังหวัดแพร่ ชนะได้ตำแหน่งเทพีสงกรานต์ จึงเปลี่ยนชื่อตามที่ตั้งก่อนการประกวดเป็นอภิวัลย์ มีลูกชายชื่ออภิรัตน์และลูกสาวชื่ออภิรดี

เมื่อแม่สวยอภิรดีก็ยิ่งสวยตามแม่ซึ่งเป็นคนเหนือ อภิรดีเรียนหนังสือไม่เก่งแต่มีความถนัดในหลายเรื่องเช่นการเย็บผ้าถักทอ ทำอาหาร ชอบงานพิมพ์ดีดที่พ่อมีไว้ที่บ้านพ่อเลยให้ไปเรียนเป็นเรื่องเป็นราว

อภิรดีมีเพื่อนเป็นเพื่อนของพี่ชาย จึงมีนิสัยเหมือนผู้ชาย ทันคน ป้องกันตัวเองได้ตั้งแต่เด็กไม่มีใครแกล้งเธอ อภิรดีเรียนโรงเรียนราชินีบนใกล้บ้านจนจบชั้นมัธยมปลาย แต่ไม่เข้ามหาวิทยาลัยของรัฐบาล เธอเลือกเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนโดยสนใจด้านการประชาสัมพันธ์และสื่อสารมวลชนจนจบปริญญาตรี

เธอเตรียมตัวมาสมัครงานที่มาร์ตินแอนด์เคน ยังไม่ทันได้กรอกใบสมัคร มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเรียกให้เธอไปช่วยไปรับแขกชาวญี่ปุ่นที่ลงมาจากรถตู้ เพื่อเดินมาถูกทางไปห้องประชุมบริษัทตามป้ายบอกทาง เธอเป็นคนนำทางพร้อมชวนคุยเป็นภาษาอังกฤษกระท่อนกระแท่นเอาตัวรอดไปได้

ผู้ใหญ่ท่านนั้นพอใจมาก รู้ว่ามาสมัครงานเป็นประชาสัมพันธ์ ก็จูงมือมาหาพนักงานอีกคนบอกว่า

"ปิดรับสมัคร ผมได้ประชาสัมพันธ์แล้ว รับไว้ ให้เขียนประวัติทำเอกสารให้เสร็จ เริ่มงานวันนี้"

อภิรดีไม่รู้ตัวว่าท่านผู้นั้นคือใคร รู้แต่ว่าเธอได้งานแล้ว

"ท่านรองประธานบริษัทรับเธอเองเลยนะ ยิ่งกว่ามีเส้นอีก รู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า" ผู้จัดการฝ่ายบุคคลยื่นเอกสารสมัครงานให้อภิรดีกรอกข้อมูลให้เสร็จ ก่อนจะเริ่มทำงานตามคำสั่ง

อภิรดีเป็นตำนานคนแรกที่ได้งาน ก่อนกรอกใบสมัครอย่างเป็นทางการ ไม่มีใครอิจฉาหรือเกลียดเธอเลย ยิ่งเมื่อได้รู้จักตัวตนแท้จริงของเธอ อภิรดีถ่อมตัว รู้จักเรียกพี่เรียกน้อง รู้ว่าใครเป็นใหญ่ อยู่ที่ไหน เธอช่วยงานทุกคน ไม่ปริปากบ่น ไม่ต้องขอร้อง ยินดีเดินไปซื้อของให้และเอามาส่ง ยินดีออกสตางค์ให้ก่อน ไม่เคยเอาเปรียบลูกน้อง แม้แต่ภารโรงหรือเด็กเดินเอกสารก็รักเธอ

กระทั่งเธอมาเป็นเลขานุการผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด นายฉัตรชัย สกุลรัตนชัย และยังได้เป็นผู้ดูแลฝ่ายประชาสัมพันธ์อีกตำแหน่งด้วย

อภิรดีกับพ่อมาบ้านพลตรีสมเดชอีก 2-3 ครั้งเพื่อเยี่ยมเยียนกันตามปรกติและเธอก็พบกับศิริเดชซึ่งเขาไม่พยายามมองเธอเหมือนหญิงสาวแต่มองเธอเป็นเด็ก

"ไปเรียนต่อนิวซีแลนด์ไหมล่ะ พี่มีเพื่อนผู้หญิงอยู่ที่นั่น" ศิริเดชถามอภิรดี

"ไปค่ะ หลักสูตรอะไรคะ" อภิรดีซักต่อ "เธอน่ะเป็นเลขาฯ เคยทำพีอาร์ก็ลองเรียนภาษากับเลขาฯ เป็นไง" ศิริเดชว่า

"ไม่เอาหรอกค่ะ ไม่ก้าวหน้า" เธอตอบไม่ชอบใจ "อ้าว...เห็นตรงกับสายงาน" ศิริเดชหัวเราะ "นี่แน่ะ" เธอเอื้อมมือทำท่าจะตีเขา

ศิริเดชทำหน้าดุ ไม่เล่นด้วยพร้อมเตือนว่า

"อย่าเล่นนะ ผู้หญิงเขาไม่เล่นแบบนี้ มันไม่ดี"

อภิรดีรู้ว่าศิริเดชไว้ตัว จะคบเขาเป็นได้แค่เด็กกับผู้ใหญ่เท่านั้น เรื่องจะยกฐานะขึ้นมาเป็นแฟนคงยาก แต่มันยิ่งน่าลอง คนที่ดูออกว่าลูกสาวคิดอย่างไรกับศิริเดช คือโยธิน แม้เขาเห็นด้วยที่จะเกี่ยวดองกับคนตระกูลนี้ แต่ก็ไม่เห็นด้วยที่ลูกสาวให้ท่า มีการเปิดทางให้ผู้ชายง่ายๆ แบบนั้น

ศิริเดชเป็นคนมุ่งเรื่องงานและดูคนออก มีหรือจะไม่รู้ว่าลูกสาว เพื่อนพ่อกำลังทำอะไรอยู่ ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่น ป่านนี้เรื่องคงไม่เป็นอย่างที่เห็น  ลูกสาวโยธิน หน้าตาดี มีคนมาชอบมาก เขาไม่เข้าใจ ทำไมลูกไม่สนใจผู้ชายเหล่านั้น จริงอยู่ลูกโตมากับพี่ชาย มีเพื่อนผู้ชายมากมาย และตุ้มรู้จักเพื่อนพี่ชายทุกคน เธอจึงทันผู้ชาย เหตุนี้เองทำให้โยธินคิดว่าลูกสาวรู้ดีว่าผู้ชายที่เธอต้องการควรเป็นแบบไหน และมาจำเพาะเจาะจงว่าเป็นลูกชายเพื่อนเขาคนนี้

"ตุ้ม...พ่อว่าลูกอยู่เฉยๆ  อย่าไปยุ่งกับพี่เดชเขามาก  เราเป็นผู้หญิงไปตื้อผู้ชายมันไม่เหมาะ ลูกพ่อก็สวย รอให้ผู้ชายมาตื้อบ้างไม่ดีหรือ" โยธินดึงลูกสาวมากอดด้วยความเอ็นดูอภิรดีหน้างอ คิดเสมอว่าพ่อพูดเพราะกีดกัน ทั้งๆ ที่พ่อเธอเตือนด้วยความหวังดี

เธอไม่เข้าใจ ทำไมเธอทำให้ผู้ชายทุกคนในบริษัท ศิริโรราบชื่นชมนักเธอกันทั้งนั้น ทำไมผู้ชายคนเดียวถึงไว้ตัวกับเธอนัก

                       ...........................................................

           สถานทูตอิหร่านเมื่อพ.ศ. 2537 มีคนทำงานไม่มาก นอกจากเอกอัครราชทูตและเลขานุการทูตแล้วก็มีเสมียนผู้หญิงและผู้ชายไม่รวมผู้ดูแลอาคาร คนขับรถอีกหนึ่งคน บางครั้งเสมียนก็ไม่ได้มาทุกวันอย่างวันนี้ผู้ชายไม่มา มีแต่ผู้หญิงไม่ได้ทำงานอะไรจริงจังนั่งอ่านนิตยสารที่มาจากอิหร่าน ส่วนเลขานุการทูตเข้ามาตอน 10 โมงเช้า ออกไปก่อนเที่ยง ท่านทูตนั่งดูเอกสารอยู่คนเดียว คนรถเข้ามาถาม

 "ท่านครับ ท่านจะออกไปข้างนอกหรือเปล่าครับตอนกลางวัน".........

 "ฉันมีนัดกับพวกคนจากสถานทูตรัสเซียและพวกอเมริกันคุณเตรียมรถไว้ด้วย"

..........ณ ห้องอาหารเลอ นอร์มังดี โรงแรมแมนดารินโอเรียนเต็ล เที่ยงตรง

นาเดีย โบกุสลาฟ สหชาติ แพตเตอร์สัน ท่านทูตซาห์นาซ ซาเตคมะห์ซุสและนิโคไล บาซานอฟ

สหชาติกล่าวต้อนรับในนามฝ่ายไทย(โดยอ้างว่าเขาอยู่กรมพิธีการทูต) ขอต้อนรับนักการทูตคนใหม่ และมหามิตรใหม่อีกสองคนหวังว่าคงจะช่วยให้กรุงเทพฯ มีสีสันขึ้น กรุงเทพฯ เงียบเหงามานาน

ซาห์นาซกล่าวเป็นคนแรกว่าเขาอยากมาประจำอยู่กรุงเทพฯ นานแล้ว ดีใจได้มาเสียทีกรุงเทพฯ เป็นเมืองสวรรค์จริงๆ มีผู้คนยิ้มแย้มและเป็นมิตร เขาหวังมากว่าอิหร่านและไทยจะพัฒนาความร่วมมือกันในทุกมิติ.....นิโคไลกล่าวว่าไทยกับรัสเซียมีความสัมพันธ์กันในทุกมิติมาตั้งแต่รัชสมัยพระจุลจอมเกล้าเสด็จไปเยือนรัสเซีย และพระเจ้าซาร์ นิโคลัสที่ 2 ก็เสด็จมาไทยสองประเทศใกล้ชิดกันมากช่วยเหลือกันโดยตลอดจนถึงทุกวันนี้ นาเดียกล่าวปิดท้ายว่าคนไทยกับคนอเมริกันเหมือนกันตรงรักเสรีภาพ รักประชาธิปไตยไม่ชอบการกดขี่ในสงครามกลางเมืองไทย เคยคิดจะส่งช้างมาช่วยรบด้วยซ้ำไป......สหชาติกล่าวว่าทุกชาติล้วนแต่ชื่นชมในมิตรภาพและเขาดีใจหวังว่างานเลี้ยงสังสรรค์กันครั้งนี้ทำให้รู้จักกันยิ่งขึ้น ก่อนจากกันท่านทูตซาห์นาซจับมือลากับสหชาติ คิดในใจว่านี่ไม่ใช่งานเลี้ยงธรรมดา ฝ่าย

ไทยคงต้องการอะไรบางอย่างถึงได้เอาซีไอเอกับเคจีบีมาบังหน้า ส่วนนาเดียไม่ต้องสงสัยเขารู้ว่าสหชาติกำลังยืมมือเธอเป็นตัวกลางมาพบเคจีบี แต่สงสัยว่าเชิญทูตอิหร่านมาทำไม น่าแปลกใจ

นิโคไลคิดว่าสหชาติฉลาดมาก กล้ามากในการเชิญทำความรู้จักเขาแบบเปิดเผย ให้เผชิญหน้ากับนาเดียซึ่งต้องมีข้อมูลยาวเหยียดเกี่ยวกับตัวเขา ทุกคนมีข้อสงสัยว่าสหชาติคนเดียวเท่านั้น กำลังเล่นเกมอะไรอยู่

เกมหรือเดิมพันที่สหชาติกับทีมโคซิโอวางแผนไว้คือ การเข้าถ้ำเสือต้องในเวลาเสือไม่เฝ้าถ้ำ มันเริ่มต้น เมื่อสหชาติตั้งโจทย์ว่าวิธีได้รายชื่อนักสู้ญิฮาด ไม่จำเป็นเลย แค่ไปเห็นและถ่ายรูปหรือนำออกมาถ่ายเอกสาร น่าจะเพียงพอแล้ว

เอกรินทร์บอกว่า การนำเอกสารออกมาทำยากกว่า ประเด็นคือทำอย่างไรให้ทูตอิหร่านไม่อยู่ในที่ทำงานและเลขานุการออกไปข้างนอก

ศิริเดช ชำนาญการใช้กล้องถ่ายรูป อาสาไปสถานทูต เป็นคนเดินเอกสาร เอกรินทร์จะคอยดูต้นทาง

สหชาติคิดหาวิธีให้ทูตอิหร่านออกมาข้างนอก

นาเดียจำเป็นต้องรู้ความจริงทั้งหมด  เมื่อโคซิโอปรึกษาหารือกัน ทุกคนยอมรับว่าควรเสี่ยงที่จะบอกตามตรง สหชาติบอกตามจริง เรื่องสายลับวัจจะและนาสรินจากอิสฟาฮาน มาดำเนินการ นำผู้ก่อการร้ายจากปัตตานีไปฝึกในตะวันออกกลางผ่านประเทศอิหร่าน ฝ่ายไทยต้องรู้ชื่อคนไทยที่จะเดินทางออกนอกประเทศรู้ว่าพวกนี้ทำงานให้ขบวนการแบ่งแยกดินแดนมูจาฮีดีนอิสลามปัตตานี บีอาร์เอ็น

นาเดียเมื่อรู้ความเป็นมา ได้ให้ความร่วมมือ เธอยอมติดต่อนิโคไลและยื่นไมตรีทำนองว่าควรแลกเปลี่ยนข่าวสารกัน เธอบอกกับนิโคไลว่ารู้จักกับเจ้าหน้าที่คนไทย เขามีข้อมูลดีมาก เขาอาจเชิญทูตอิหร่านมารับประทานอาหารร่วมกันสักมื้อที่โอเรียนเต็ล นาเดียรู้ว่าสายลับรัสเซียแพ้ร้านอาหารราคาแพงมีรสนิยมอย่างนี้และรับคำเชิญแน่

สหชาติติดต่อถามเลขานุการทูตซานาซ ว่า เขาว่างสำหรับอาหารกลางวัน ตรงวันเวลาที่กำหนดไว้กับนาเดียหรือไม่ เขาจะเข้าไปเชิญด้วยตนเอง

สหชาติไปสถานทูตอิหร่าน แนะนำว่าเขาเป็นคนจากกรมพิธีการทูต ได้ประสานงานกับทูตรัสเซียและอเมริกา ขอเชิญท่านทูตซานาซร่วมรับประทานอาหารกลางวัน ที่ห้องนอร์มังดีกริลโรงแรมโอเรียนเต็ลในฐานะที่ท่านมาใหม่และทุกคนอยากต้อนรับท่าน

ท่านทูตซานาซรีบตอบตกลงทันทีที่รับทราบว่าชาติมหาอำนาจถึงสองประเทศให้ความสำคัญแก่ประเทศอิหร่าน แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกากับอิหร่านจะไม่สู้ดีนักก็ตาม

                       ...............................................

           ขณะที่งานเลี้ยงกำลังดำเนินอยู่ที่ห้องนอร์มังดีกริล โอเรียนเต็ล

.................................ที่สถานทูตอิหร่านศิริเดชพร้อมเอกสารตีตรา "ส่วนบุคคล" และ "ข้อความสำคัญ" เป็นภาษาอังกฤษ เดินทาง มาที่สถานทูต ขอพบเลขานุการท่านเอกอัคราชทูต แต่ไม่พบเลขานุการผู้ชาย มีแต่เลขาผู้หญิง กำลังจะรับประทานอาหารที่เธอนำมาจากบ้าน และไปใช้โต๊ะนั่งในครัว

"ฝากไว้บนโต๊ะหน้าห้องฉันก็ได้" เธอบอกศิริเดชเมื่อเห็นเขาเดินถือเอกสารเข้ามา

"ผมถูกให้นำเอกสารมาส่งถึงมือท่านทูต หรือจะให้วางไว้บนถาดใส่เอกสาร "เฉพาะส่วนบุคคล"  กรณีท่านไม่อยู่ครับ"  ศิริเดชพูดอย่างขึงขัง

"ตามใจคุณ เสร็จธุระแล้ว บอกฉันด้วย"

ศิริเดชเดินเข้าห้องตรวจดูแฟ้มเอกสาร มีแต่ภาษาฟาร์ซี  พลิกดูมีแฟ้มเอกสารก็พบเอกสารที่ต้องการเป็นภาษาอังกฤษ-ไทยพร้อมรูปถ่ายและภาษาฟาร์ซีกำกับอยู่

ศิริเดชค่อยๆ ดึงมันออกมา หยิบกล้องถ่ายรูปมาถ่ายทีละใบ ติดทั้งชื่อและภาพถ่ายจนครบทุกใบรวม 25 คน เขาค่อยๆ เก็บแฟ้มเอกสารเข้าที่เดิม

เมื่อเสร็จตามขั้นตอนแล้ว ศิริเดช วางเอกสารที่นำที่ติดตัวมา วางไว้บนโต๊ะทำงานท่านทูตซานาซค่อยๆ เดินออกมา เดินไปที่ห้องครัว เอี้ยวตัวพูดพอให้ได้ยิน

"ผมวางเอกสารที่ให้ท่านทูต ไว้บนโต๊ะแล้วนะครับ"

มีเสียงบ่นพึมพำว่า

"ไหนจะวางไว้บนถาดใส่เอกสาร...หรือมันโง่วะ" มีเสียงหัวเราะเบาๆตามมา

ศิริเดชออกจากสถานทูตก่อนบ่ายโมงครึ่ง ด้วยความโล่งอกที่ไม่มีใครจับได้และงานเสร็จเรียบร้อย

                                                           ................................

 

..........เวลาเดียวกันในห้องนอร์มังดีกริลท่านทูตซานาซ หั่นเนื้อย่างที-โบนเสต็คสุกดิบปานกลางเข้าปากได้เพียง 2 คำและเตรียมจะดื่มไวน์แดงอันเป็นความสุขของผู้มีเวลาเหลือเฟือในบ่ายวันนั้น

มันเป็นวันที่สถานทูตถูกบุกรุกเพื่อได้ภาพ 20 กว่าภาพ

                 แลกกับงานเลี้ยงหนึ่งมื้อในราคาไม่แพงนัก! 

.........วันรุ่งขึ้นนาเดียก็ได้รับโทรศัพท์สายด่วนจากสถานทูตอิหร่านในประเทศไทยเป็นเสียงตะคอกที่โกรธจัด

"คุณนึกยังไงส่งเมล์ด่วน แต่เอกสารเป็นกระดาษเปล่าๆ ให้ผม เล่นตลกอะไร"

"เมล์อะไร"

"มีครับ เอกสารเลขที่ 02/อีเอ็ม-ยูเอสเอ็มบาสซี่ จ่าหน้าถึงเอกอัครราชทูตซานาซ คุณให้คนส่งเอกสารวางไว้บนโต๊ะทำงานผมตอนบ่ายโมง"

"ท่านทูตเข้าใจผิดค่ะ ไม่เคยมีเอกสารเลขที่ว่านั้น สถานทูตไม่เคยใช้เลขที่แบบนั้น ไม่เคยใช้วิธีการและเขียนเอกสารเช่นนั้นมันไม่มีอยู่ในสาระบบของเรา"

“ไอ้ขี้หมา” ซานาซ สบถ

ไม่เข้าใจว่าโดนใครลองดี แค่เขาไม่อยู่เพียง 2 ชั่วโมงก็มีคนแปลกหน้าจากสถานทูตอเมริกันหรืออ้างเอาเอง นำซองเอกสารขี้หมาเข้ามาวางบนโต๊ะทำงาน

ซานาซลุกขึ้นยืนมองบนโต๊ะสำรวจหาสิ่งผิดปรกติ ไม่พบว่ามีการรื้อค้น เขารีบโทรถึงวัจจะแจ้งว่ามีคนบุกรุกสถานทูตแต่ไม่มีอะไรผิดปรกติ

อาวานกับอาซาเดห์มาถึงสถานทูตไม่กี่นาที สิ่งแรกที่พวกเขาทำคือตรวจระเบิด เมื่อไม่พบก็เข้าไปในห้องและสอบถามหลายอย่าง สุดท้ายถามเขาว่าเขานำภาพถ่ายนักรบญิฮาด 25 คนออกจากสถานทูตคืนนาสรินไปหรือเปล่า

ทูตซานาซหยิบรายชื่อนักรบญิฮาด 25 คน พร้อมรูปถ่ายมาให้พวกวัจจะสองคนดูเพื่อแสดงว่ารายชื่อยังอยู่ที่สถานทูตไม่ได้หายไปไหน

"ท่านต้องส่งคืนนาสริน เธอจะนำคิดตัวไปเตหะรานเพื่อตรวจสอบก่อนเด็กจะเดินทาง" อาซาเดห์บอกท่านทูต

"งั้นผมฝากพวกคุณไปให้เธอที่โรงแรมเลย ผมออกพาสปอร์ตให้พวกเขาเตรียมพร้อม แล้วเอกสารสำคัญอื่นๆ ก็อยู่ที่สถานทูต คุณจะรับไปด้วยไหม"

"พาสปอร์ตกับพวกเอกสารเหล่านั้นเอาไว้ก่อน เมื่อถึงวันเดินทางถึงจะมารับ" อาซาเดห์ย้ำ

"เอาละ" ท่านทูตหยิบเอกสารใส่กระเป๋าหนังส่งไปให้อาซาเดห์

"ส่งให้ถึงมือนาสริน...อย่าลืมคืนกระเป๋าผมนะ มีใบเดียว"

                                   .........................................

เอกรินทร์มองดูรายชื่อจากภาพถ่ายที่ขยายใหญ่ขึ้นด้วยความพิศวง

"ตุลย์ รายชื่อนี้ฟังดูคุ้นๆคาดียะห์" เอกรินทร์ชี้ไปที่รูป

"เฮ้ย นั่นมันน้องสาวแหล่งข่าวเรานี่ น้องสาวมันชื่อดาคียะห์ไปอยู่ในรายชื่อได้อย่างไร?" ตุลย์บอกเขาจะติดต่อจาฟาร์ถามว่าเขารู้เรื่องนี้หรือเปล่า

ไม่ว่าความจริงเป็นอย่างไร คณะผู้บริหารของโคซิโอสั่งให้มีแผนตัดทอนกำลังมูจาฮีดีนอิสลามปัตตานีโดยสั่งให้โคซิโอทั้งทีม ตั้งปฏิบัติการร่วมกับตำรวจ-ทหารชายแดนภาคใต้วางแผนดำเนินการจับกุมตัวการที่คัดกรองนักรบญิฮาด 25 คนให้มีปฏิบัติการเร่งด่วน หากจะต้องใช้กำลังถ้าจำเป็นก็ต้องทำ

จาฟาร์มาพบทีมงานโคซิโอด้วยใบหน้าที่เศร้าหมอง

"คาดียะห์หนีออกจากบ้านไปบอกว่าจะไปค้างบ้านเพื่อนคืนเดียว แต่สองคืนไม่กลับมา เธอหนีไปกับเพื่อนร่วมกับพวกกลุ่ม 25 คน"

ตุลย์และสหชาติซึ่งจะนำทีมปฏิบัติการลงใต้เล่าถึงแผนการของทางราชการให้จาฟาร์ฟัง

"มันอาจมีการปะทะกันบ้าง มีคนตายเป็นปฏิบัติการทางทหารจาฟาร์ต้องเข้าใจ"

"ผมจะไปด้วย ต้องเอาคาตียะห์ออกมาให้ได้"

"คุณไปได้ยังไง อย่าลืมว่าคุณอยู่ในบาโร บาโรขบวนการแยกดินแดน"

จาฟาร์เงียบไป เขาโพล่งตอบมาว่า

"ผมจะมอบตัว และรับใช้ชาติด้วยการไปปฏิบัติการกับโคซิโอ" จาฟาร์ตอบอย่างมีความหวัง

"คุณทำอย่างนั้น พวกนั้นรู้จะฆ่าคุณเสียก่อน"

"ผมยอมตายครับ"

 

เมื่อจาฟาร์ตัดสินใจเช่นนั้น โคซิโอก็ให้รายละเอียดพร้อมส่งเอกสารล่วงหน้าและส่งตัวจาฟาร์ลงไปพบแม่ทัพกองทัพภาคที่ 4 ซึ่งยินดีที่จาฟาร์กลับใจและยอมให้จาฟาร์กลับมาร่วมปฏิบัติการกับทีมโคซิโอ

.....................พฤศจิกายน 2537 โคซิโอนำทีมผสมทหารตำรวจเข้าสู้พื้นที่อันตราย เป็นเขตซ่องสุมกำลังของพูโลและผู้ก่อการร้ายกลุ่มอื่นๆ ในท้องถิ่น

ณะนั้นขบวนการพูโลได้เงินช่วยเหลือจากผู้นำอาหรับ จากลิเบียและซีเรียหลายสิบล้านบาท ทั้งยังมีรายได้จากกิจการโรงแรมที่ฮัมบรูก ประเทศเยอรมนีด้วยทำให้มีฐานการเงินเข้มแข็ง สำคัญที่สุดพูโลมีกองกำลังติดอาวุธตั้งแต่ปี 2519 มีผู้นำเป็นคนมาจากประเทศปากีสถานเช่นหะยียูโซะห์ และที่มีชื่อเสียงคือสะมะแอท่าน้ำและรวมเด็กรวมทั้งญิฮาด 25 คนจะถูกส่งไปฝึกที่ซีเรีย 

......วันที่ 10 พฤศจิกายน ทีมลาดตระเวนทหารตำรวจเข้าไปในบริเวณถนนทางเข้าอำเภอหนองจิกถูกซุ่มยิงหลายทิศทางโดยกองกำลังพูโล ตำรวจเสียชีวิต 2 นายและบาดเจ็บ 5 นาย

วันที่ 12 เดือนเดียวกันทีมโคซิโอพร้อมทีมผสมพลเรือนทหารตำรวจถูกซุ่มยิงในตัวเมืองมายอ โดยสมาชิกพูโล ยิงกลางตลาดพลเรือนเสียชีวิตหนึ่งนาย ตำรวจ 2 นาย ไม่มีทหารเสียชีวิตแต่บาดเจ็บ 2 ราย

13 พฤศจิกายน โคซีโอเรียกประชุมได้ข่าวกรองแน่ชัดว่าเด็ก25คนที่จะเดินทางไปอิหร่านนั้นอ้างไปศึกษาศาสนาบังหน้าแท้จริงไปฝึกอาวุธในซีเรีย ดังนั้นจึงขอร้องให้งดติดตามขบวนการพูโลไปพลางก่อน แต่ให้ติดตามกลุ่มกลุ่มเด็กนักรบญิฮาด 25 ให้เป็นภารกิจหลัก

นายตำรวจสันติบาลในพื้นที่จังหวัดปัตตานี ระบุว่าชาวบ้านไม่ให้ความร่วมมือ ส่วนใหญ่หากไม่ร่วมมือกับบีอาร์เอ็นก็ต่อต้านอำนาจรัฐ

จาฟาร์ติดต่อกับสหายในบาโร บาโร และบางคนที่อยู่ในสภาซูรอ ได้เบาะแสว่าน้องสาวและพวกกบดานอยู่ในอำเภอปะนาเระ ถ้าตุลย์และศิริเดชกับเขาร่วมมือ ก็อาจพาน้องสาวออกมาจากแหล่งเก็บตัวได้

หลังจากสืบสภาพเกือบ 2 อาทิตย์เช้าวันที่ 27 พฤศจิกายนจึงได้ที่อยู่เป็นบ้านหลังเนินเตี้ยๆ ด้านหลังบ้านเป็นป่ายาง ใกล้ค่ำไม่ทันมืด จาฟาร์ใช้กล่องส่องทางไกลพบน้องสาวนั่งอยู่บนม้านั่งข้างบ้านกับเพื่อนผู้หญิงแต่งกายตามสบายไม่คลุมหน้า เด็กส่วนใหญ่อยู่ในบ้าน

ศิริเดชให้ความเห็นว่าถ้าผู้หญิงแยกห้องกันอยู่กับผู้ชาย อยู่ห้องไหนและอยู่ที่ไหน จะนำคะดียะห์ออกมาได้ ผ่านเนินดินเข้าป่ายางหรือไปตามถนนลูกรังถ้าออกข้างตัวบ้าน

ตุลย์จัดหารถจักรยานยนต์ 2 คน เขากับศิริเดชใช้คันหนึ่งถ้าช่วยคะดียะห์ได้ จาฟาร์ต้องให้เธอนั่งซ้อนท้ายออกมา

ทุกคนเตรียมการตามแผนนี้โดยรอให้มืดและช่วยเพียงคนเดียว ส่วนคนอื่นๆ จะช่วยทีหลัง

แต่ทีมงานโคซิโอไม่ยอม ต้องนำกำลังล้อมบ้านเอาพวกญิฮาดออกมาทั้ง 25 คน

ตุลย์ ศิริเดช และจาฟาร์ขอจัดการเฉพาะคาดียะห์

คืนวันที่ 27 พฤศจิกายน เวลาตีหนึ่งทหารตำรวจเกือบ 20 คน เข้าล้อมบ้านที่หลบซ่อนเด็กหนุ่มสาวที่จะเดินทางผ่านเตหะรานไปซีเรีย

............ฏิบัติการ "คะดียะห์27" เริ่มเมื่อจาฟาร์เข้าไปพบน้องสาวนอนอยู่กับเพื่อน เขาอุดปากเธอไม่ให้ร้อง ขณะเดียวกันทหารตำรวจที่ล้อมบ้านอยู่เคลื่อนกำลังเปิดประตูและปิดหน้าต่างป้องกันไม่ให้มีใครปีนหนี

มีคนเปิดไฟในห้องขึ้น เด็กในห้องตื่นขึ้นมาพบทหารตำรวจก็ ยกมือจำนน บางคนพยายามหลบหนีตำรวจใช้ปืนจี้ให้ไปรวมตัวกับพวกกลางห้องกับพวกในห้อง

ระหว่างนั้นตุลย์ขึ้นนั่งบนจักรยานยนต์ ศิริเดชนั่งซ้อนท้าย จาฟาร์นั่งหน้าอีกคันหนึ่งบังคับให้น้องนั่งซ้อนท้าย

รถกำลังจะออกวิ่งได้ยินเสียงปืนกลยิงดังหูดับตับไหม้ ทั้งๆที่ไฟในบ้านยังเปิดสว่างอยู่

ตุลย์และศิริเดชชะงักมองเห็นภาพสุดสลดใจภายในในบ้านเด็กผู้ชายและผู้หญิงรวมทั้งตำรวจทหารโดนกระหน่ำยิงจากกระสุนปืนล้มตายเป็นเบือ และยังมีการยิงอย่างต่อเนื่องอีกหลายนาทีไม่มีทีท่าว่าจะหยุด 

"พี่เรารีบไปเถอะ ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว" จาฟาร์ตะโกน

ท่ามกลางความมืดในอำเภอปะนาเระ อากาศมืด หมอกลงบางๆบรรยากาศเศร้าหมอง....................28 พฤศจิกายนเวลาตีสอง...

.จักรยานยนต์สองคันนั่งสี่คนขับออกจากบ้านที่เกิดเหตุทิ้งเหตุการณ์น่าสยดสยองทารุณ มันเป็นฉากสังหารคนไม่มีทางสู้ไว้เบื้องหลังผู้บริสุทธิ์หลายสิบศพนอนจมกองเลือดน่าอนาถ

                                                     

สองวันต่อมามูจาฮีดีนมุสลิมปัตตานีประกาศความรับผิดชอบร่วมกับกองกำลังติดอาวุธพูโลและยืนยันว่าได้สังหารเจ้าหน้าที่ทหารตำรวจทั้งหมด 20 นาย

ต่อมาโรงพยาบาลประจำจังหวัดได้รับตำรวจรอดตายจากการซุ่มยิง 2 นายอาการสาหัส

ตุลย์และศิริเดชไปเยี่ยม 2 นายตำรวจ แต่ยังไม่สามารถพูดอะไรได้

คะดียะห์บอกพี่ชายว่าเพื่อนชวนเธอเข้าร่วมขบวนการจะได้ไปต่างประเทศ เธอรู้ว่าเป็นขบวนการอะไร แต่เธอไม่อยากเรียนหนังสือไทย ไม่อยากอยู่เมืองไทย

จาฟาร์ตบหน้าน้องสาว บอกเธอว่าพ่อแม่จะเสียใจแค่ไหนทำตัวไม่มีคุณค่าเป็นผู้หญิงควรอยู่ช่วยพ่อแม่ ไม่ใช่เอาตัวรอด เนรคุณต่อประเทศไทย

คะดียะห์มองหน้าพี่ชายแล้วพูดเสียงดัง สั้นๆ

"พี่เองนั่นแหละ ถามตัวเองดีกว่าหนูแค่ไหน"

จาฟาร์ตบหน้าน้องสาวอีกครั้ง

"เธอพูดอีกครั้งฉันเอาเธอตายแน่

............................................................... . . . .  

 

นิวซีแลนด์ 

คิมเบอร์ลี่รู้ว่าเธอมีอาการเหนื่อยบ่อยทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำงานหนักหักโหม เธอจึงไปโรงพยาบาลตรวจร่างกายปรึกษาแพทย์ แต่แพทย์บอกว่าเธอไม่เป็นอะไร ควรลดปริมาณงานลงบ้าง อย่าเครียด อย่าอดนอน และพักผ่อนให้มาก

คิมเบอร์ลี่ทำตามที่แพทย์สั่งแต่อาการไม่ได้ดีขึ้น เธอยังเหนื่อยง่าย บางครั้งก็อาเจียน สิ่งที่วิตกที่สุดคือเธอยังมีพันธะบางอย่างที่ต้องดูแลและห่วงใย

คิมคิดถึงตุลย์เธอไม่ได้ไปเมืองไทยเกือบสองปี เนื่องจากสุขภาพไม่ดี แม้ว่าตุลย์พยายามติดต่อมาที่บ้าน แต่ทุกครั้งแม่เธอเป็นคนรับโทรศัพท์ ด้วยเหตุผลบางอย่างแม่บอกตุลย์ทุกครั้งว่าเธอสบายดีตุลย์ไม่ต้องเป็นห่วง

คิมห่างเหินกับก้อยรินนาอีกด้วย รินนาไม่มีเวลาให้กับเรื่องอื่น แต่ทำงานหนักกับบริษัทคอมพิวเตอร์ของปีเตอร์ ชุงที่ยอดขายดีเพราะขายให้นักศึกษามหาวิทยาลัยและนักธุรกิจ

ปีเตอร์ ชุงบินมาจากเมลเบิร์นเพื่อดูแลบริษัทคอมพิวเตอร์ ถือโอกาสพบกับคิม คิมขอร้องว่าอย่าบอกตุลย์ว่าเธอไม่สบายเด็ดขาด

"เรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่นะคิม ตุลย์เป็นหุ้นส่วนในชีวิตเธอ เขาจะน้อยใจแค่ไหน ถ้ารู้ว่าเธอปิดบังเขาแม้แต่เรื่องที่เขาควรรู้อย่างยิ่ง" ปีเตอร์ว่าคิมต้องชนะตัวเองต้องไม่ใช่แบบนี้

"เธอไม่คิดหรือว่าตุลย์จะทุกข์ทรมานมากไปกับฉัน ถ้ารู้ว่าโรคร้ายฉันมันรักษาไม่ได้" คิมตอบ

"คิม..กลับเมลเบิร์นกับฉัน เรามีหมอดีกว่าที่นั่น เขาดูแลรักษาเธอจนหายดีแน่" ชุงตอบอย่างมั่นใจ

"โอ๊คแลนด์ก็มีหมอดี...ป่วยการที่ฉันต้องไปถึงออสเตรเลีย" 

"ฉันจะพาเธอไปหาหมอที่ไหนก็ได้...สวิสเซอร์แลนด์หรือเยอรมนีเราจะอยู่ด้วยกัน ไปเถอะนะ

เรา 3 คนตุลย์ด้วย เงินไม่ใช่ปัญหา"

ชุงรู้ว่าดิมดื้อกับหมอ.....บางทีอาจใจอ่อนกับเขา

"หมอบอกว่ากรณีฉันหมอที่ไหนในโลกก็ช่วยฉันไม่ได้ ชีวิตฉันยื้อไม่ไหว...ฉันมีชีวิตอยู่อย่างมากก็ปลายปีหน้านับจากนี้ก็อีก 18 เดือน อย่างเก่งที่สุด" คิมน้ำตาไหล

"ชุง...ฉันรอตุลย์เสมอ...จะรักเขาจนวันตาย" ...คิมร้องไห้ หัวใจเธอแตกสลาย

/"ผมรู้...ตุลย์รู้...เราจะฝ่าฟันเหตุการณ์นี้ไปด้วยกัน ผมให้สัญญา" ปีเตอร์ ชุงเข้าไปพยุงร่างคิมที่กำลังเซล้มให้นั่งลงบนโซฟา ขณะเดียวกันคุณมาร์การ์เร็ตพร้อมโรเบิร์ตพ่อแม่คิม เปิดประตูเข้ามาโดยไม่ต้องเคาะ

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว