15ราชการลับหญิงจากอีสฟาฮาน
0
ตอน
402
เข้าชม
8
ถูกใจ
0
ความคิดเห็น
0
เพิ่มลงคลัง

 

15 

ห้องประชุมประเมินสถานการณ์ 

กรมตำรวจ 

พลตำรวจเอกเปาว์ สรสินธุ์กล่าวต้อนรับทีมงานโคซิโอโดยกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงของบ้านเมืองในปี 2536 ตั้งแต่เรื่องการปั่นหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ และการจับนักปั่นหุ้น ผู้มีชื่อเสียงได้หลายคน ข่าวโรงงานทำตุ๊กตาเคเดอร์ไฟไหม้คนงานเสียชีวิตเกือบ 200 คน และโรงแรมที่จังหวัดนครราชสีมาถล่มคนตายร้อยกว่าคน การจับกุมสถาปนิกมีชื่อเสียงจ้างวานฆ่านายประมาณ ซันซื่อประธานศาลฎีกา ข่าวท่านพุทธทาสอริยสงฆ์ดับขันธ์ที่สวนโมกข์พลาราม ผู้ก่อการร้ายเผาโรงเรียน 36 แห่งในภาคใต้ทั้งหมดเป็นการสูญเสียที่คาดไม่ถึง แม้ไม่เกี่ยวกับงานของโคซิโอ แต่เป็นข้อคิดถึงปัญหามีผลต่อความรู้สึกสูญเสียในสังคม 

อธิบดีจึงต้องการทราบถึงความขัดแย้งที่ผ่านมาที่สำคัญ 

ศิริเดชเห็นว่าปัญหาใหญ่คือกลุ่มธุรกิจกับทหารขัดแย้งกันเกือบ 5 ปีส่วนใหญ่อยู่ในสมัยนายกฯ  พลเอกชาติ "มีการขัดแย้งกันระหว่างความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับทหารในรอบหลายปีระหว่างปี 2531 ถึง 2534 จนสิ้นสุดสมัยนายกชาต" 

ศิริเดชกล่าวว่าหลังจากอเมริกาหยุดช่วยเหลือด้านการทหารกับประเทศไทยแล้ว ทางกองทัพไทยก็มาใช้เงินงบประมาณทำให้สัดส่วนงบประมาณทหารเพิ่มขึ้นในรอบ 10 ปีจากปี 2518 ถึง 2528 จาก 17 เปอร์เซ็นต์และขยายขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี พวกส.ส. จึงมักโจมตีงบประมาณกองทัพว่าไม่โปร่งใส 

"สูงเกินไป มีความลับมาก และมีการเสนอบทเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญซึ่งรัฐสภาไม่เห็นด้วยที่จะให้ทหารมีอภิสิทธิ์ในทางการเมือง" ศิริเดชอิงข้อมูลจากตำราวิชาการ 

"สำคัญที่สุดคือรัฐบาลนายกฯชาติ ให้ตำแหน่งกระทรวงกลาโหมถูกจัดสรรให้ส.ส. ที่ไม่ใช่นายพลเข้าดูแลทหาร เป็นยุคที่รัฐมนตรี มีอำนาจเหนือข้าราชการประจำ แม้จะถูกต้องที่ข้าราชการประจำต้องสนองนโยบายนักการเมืองและรัฐบาลอยู่แล้ว" 

"ทีมบ้านพิษณุโลกมีเครือข่ายนักวิชาการมาก สิ่งที่พวกเขาเสนอคือให้รัฐบาลดำเนินนโยบายเป็นอิสระจากเทคโนแครตในกระทรวงต่างๆ" ศิริเดชอธิบายถึงบทบาทของที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีบ้านพิษณุโลก 

การกำหนดนโยบายเหนือข้าราชการประจำสะท้อนภาพการถ่ายโอนอำนาจออกจากพวกบูโรแครตหรือข้าราชการประจำและทหารมาสู่คณะรัฐมนตรีและฝ่ายธุรกิจ 

เมื่อจปร.5 มีบทบาทมากทั้ง 3 เหล่าทัพก็ชูภาพลักษณ์จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และแสดงออกชัดเจนว่ารังเกียจนักการเมือง และเชื่อว่าพวกตนก็เก่งเรื่องธุรกิจเพราะรุ่งเรืองร่ำรวยจากธุรกิจรับเหมาและอื่นๆ เช่น คุมกิจการเถื่อนต่างๆ ที่ผิดกฎหมายบ้าง ค้าขายโดยใช้อิทธิพลทหารบ้างและคุ้มครองธุรกิจให้กับเจ้าของกิจการบ้าง นายทหารรุ่นนี้ไม่รังเกียจทุนนิยม จุดนี้แตกต่างไปจากทหารหนุ่มพวก "ยังเติร์ก" และทหารประชาธิปไตย 

จปร. 5 เริ่มบ่อนทำลายรัฐบาลรัฐบาลพลเอกชาติด้วยการเรียกและเลือกข้อมูลจากนักวิชาการบางคนและได้ช่วยกันจงใจสร้างแรงกระพือประโคมข่าวคอรัปชั่นในรัฐบาล ทำให้จปร.รุ่น5 ได้รับแรงหนุนจากประชาชน 

ยุคนั้นเศรษฐกิจไทยเติบโตในอัตราสูงตัวเลข 2 หลัก งบประมาณประจำปีขยายตัวสูงตามเศรษฐกิจที่เติบโตด้วย โครงการสาธารณูปโภคใหญ่ๆ ที่จำเป็นเพื่อการพัฒนามีมากขึ้น 

ส.ส. แต่ละคนเร่งรีบในการผันเงินไปลงในโครงการของตนเพื่อรองรับงบประมาณเป็นที่มาของคำว่า "ธนกิจการเมือง" สำหรับนักการเมืองที่แสวงหาเงินเพื่อเพิ่มอำนาจทางการเมือง 

"ยุคนี้เป็นยุคที่ส.ส. ต่างจังหวัดร่ำรวยขึ้นมาก คำว่าส.ส.คนจนหมดไปสารบบในยุคนายกฯชาติครับ"  

ศิริเดชพยายามพูดให้เห็นภาพและชี้ให้เห็นว่ามันเป็นที่มาของการเลือกตั้งที่มีการซื้อขายเสียงมากที่สุด แต่ส.ส.ไม่หวาดเกรงเพราะ พวกเขาหวังมาถอนทุนคืนเมื่อได้รับเลือกตั้งกลับมา 

"มีหลายวิธีครับไอ้น้องชาย" ส.ส.จากจังหวัดในภาคกลางคนหนึ่งบอกกับศิริเดช 

"แค่พี่ผันงบประมาณไปลงในโครงการสาธารณูปโภคตามงบประมาณของรัฐอย่างเดียวนะ ยังไม่ต้องใช้งบส.ส.พี่ก็ได้ทุนคืนแล้ว" ส.ส.คนนั้นตบบ่าตบหลังศิริเดช 

อธิบดีเปาว์ สรสินธุ์กล่าวว่า การประเมินความขัดแย้งที่ผ่านมาแสดงว่าที่ผ่านมาสังคมไทยยังแยกส่วน ไม่มีสถาบันไหนคิดถึงส่วนรวม และบ่อนทำลายกันเองรวมทั้งทำเพื่อรุ่นและพวกพ้องทั้งนั้น 

โคซิโอควรศึกษาจุดอ่อนในสังคมไทยให้ดี 

"สังคมทำลายตัวเองจากภายในอยู่ไม่ไช่หรือ ไม่ก็เจริญช้ากว่าสังคมที่สมานฉันท์" อธิบดีเปาว์กล่าวก่อนปิดการประเมินสถานการณ์ 

         

…………………………………. 

 

 

..............บ้านเกษตร 

พ่อแม่ตุลย์ซักถามความเป็นมาเรื่องความคิดเห็นลูกชายกับการมีครอบครัว 

ตุลย์บอก เขาอายุไม่มาก อยากใช้ชีวิตโสดต่อไป ยอมรับมีความรักกับผู้หญิง 2 คนแต่เขาแยกได้ระหว่างคิมเบอร์ลี่กับพิมรา 

แม่ลาวัลย์ว่าถ้าเป็นเช่นนั้นระหว่างคิมเบอร์ลี่กับพิมรา คิดไว้หรือเปล่า เลือกใครที่จะอยู่ด้วยและสร้างครอบครัวไปตลอดชีวิต 

"แม่ต้องถามใหม่ว่าผมรักใครมากกว่ากัน" 

"ได้และแม่คิดว่าตุลย์จะตอบแม่ว่าใคร" แม่ลาวัลย์อมยิ้ม 

"แม่ครับ...ผมรักทั้ง 2 คน คนละแบบ และไม่เท่ากัน" 

"จริงนะ" คุณลาวัลย์ไม่นึกว่าลูกจะตอบเช่นนี้ 

"ผมรักคิมเบอร์ลี่ ตั้งแต่เด็กเป็นปั๊บปี้เลิฟ โตขึ้นมาหน่อยมันรักแบบเพื่อนต่อจากนั้นมันกลายเป็นความรักแบบหนุ่มสาว เพียงมองตากันก็รู้ว่าคิดอะไรกันแล้ว" 

"กับหนูพิม ตุลย์รักแบบไหน" 

"ไม่รู้ครับ มันเกิดจากเราทำงานร่วมกัน เธอเคยบอกคนมาจีบเธอเลยรับสมอ้างว่าเธอมีแฟนแล้วคือผม ก็ไม่รู้ละผมคิดว่าลองจีบเล่นๆ รู้ทีหลังว่าเธอมีแม่ยุให้จีบ ผมด้วย เลยผูกพันกันมาถึงเดี๋ยวนี้" 

"ตุลย์...แม่จะบอกนะ ตุลย์น่ะไม่ได้รักหนูพิมราหรอก ถ้าแม่เข้าใจตามที่ลูกเล่านะ" 

"ทำไมล่ะแม่" 

"เพราะรักมันเริ่มต้นอยากลองและใกล้ชิดในฐานะคนทำงาน มันใกล้กัน...ไม่ใช่คู่รัก...เป็นแค่คู่ทำงาน ส่วนจะเป็นแค่คู่รักคู่เล่นจะคู่เซ็กส์ด้วยหรือเปล่า แม่ตอบลึกซึ้งลงไปไม่ได้" 

"ถ้าเป็นแม่ แม่จะเลือกใคร" 

"เลือกจะคิมเบอร์ลี่...เป็นเพื่อนที่ตุลย์รัก เพื่อนตาย เลือกพิมราเป็นเพื่อนทำงานเป็นเพื่อนเล่น" 

"แค่นั้นนะแม่" 

"เปล่า...แม่อยากให้ลูกหาคนที่มาเป็นแม่ของลูกตุลย์ และรักลูกแม่จริงๆ ไม่ใช่ตุลย์ไปรักเขาก่อนเช่นหนูคิมเบอร์ลี่ที่เป็นข้อยกเว้น หรือพิมราเพื่อนร่วมงาน"  

 

ตุลาคม 2536 

บัญชา สนธิกลินท์ และพลโทเผด็จ การศึก เกษียณอายุราชการพร้อมกัน พลตำรวจเอกเปาว์ สรสินธุ์และสิทธิเดช บุณฑริกาจัดเลี้ยงในโอกาสเกษียณอายุให้ที่โรงแรมโอเรียนเต็ล 

ตุลย์ขึ้นมากล่าวระลึกถึงความทรงจำตั้งแต่เริ่มทำงาน ชี้ว่าทีมโคซิโอคงเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่มีการริเริ่มและวิสัยทัศน์จากท่านทั้งสอง โคซิโอเกิดขึ้นในขณะที่สังคมไทยแบ่งเป็นสองฝ่ายต่างมีอุดมคติแตกแยกกัน นักศึกษาส่วนหนึ่ง เข้าป่าไปร่วมมือกับพคท. และขณะนั้นยังคงสู้รบอยู่ รัฐบาลไร้เสถียรภาพ แม้โคซิโอจะไม่ได้เป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับในการแก้ไขปัญหา แต่เรื่องข่าวสารที่สับสนในสังคม โคซิโอก็ทำให้งานข่าวกรองมีบทบาทและความสำคัญขึ้น 

"เราเข้ามาทำงานในช่วงเวลาที่หลายหน่วยงานข่าวเริ่มเหนื่อยล้า และละเลยการปฏิบัติหน้าที่อย่างจริงจัง" ตุลย์ชี้ถึงปัญหา 

บัญชาเป็นคนกล่าวต่อไปถึงความมั่นคงของประเทศโดย ชี้ถึงศักยภาพด้านเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองของไทย มีการเปลี่ยนแปลงหลังภูมิภาคนี้มีประเทศเพื่อนบ้านเป็นคอมมิวนิสต์หรือสังคมนิยมแบบเผด็จการเช่นพม่า ประเทศไทยโชคดีมีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งชาติไม่เช่นนั้นสังคมไทยจะไม่เข้มแข็งเหมือนทุกวันนี้ 

พลโทเผด็จ การศึกกล่าวว่าทุกวันนี้ เราปกป้องประเทศไทยจากการแทรกซึมและการจารกรรมทุกรูปแบบที่เข้ามาในประเทศ ทุกชาติทุกภาษารวมทั้งประเทศเพื่อนบ้าน มักเข้ามาหาข่าวเพื่อศึกษายุทธศาสตร์ยุทธวิธีที่จะใช้เพื่อประโยชน์ของเขา เราต้องป้องกันให้ได้ 

ปฏิบัติการของโคซิโอที่เป็นความลับ ช่วยได้ในหลายกรณี บางครั้งเราเห็นโคซิโอดำเนินการในทางลับเข้าไปแทรกแซงในพรรคการเมือง ไปจัดตั้งและชี้นำกรรมการ เคลื่อนไหวในกลุ่มผู้นำนักศึกษาและเอ็นจีโอตลอดจนเข้าไปนำอยู่ในหัวขบวนขับไล่รัฐบาลเช่นกรณีการประท้วงพลเอกจินดา คราประยูร และทุกครั้งโคซิโอมักจะประสบความสำเร็จเพราะการข่าวมีประสิทธิภาพ ขอให้ทำงานประสบความสำเร็จตลอดไป 

มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่เกี่ยวกับอนาคตของทีมงานซึ่งพาดพิงถึงผู้บริหารคนใหม่ที่จะเข้ามาเป็นเลขาธิการสภาความมั่นคง และผู้บัญชาการศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ 

เป็นที่คาดกันว่ารองเลขาธิการสภาความมั่นคงฯ จะขึ้นมาเป็นเลขาธิการ นั่นหมายความว่านายเมธา วิสูตรภิบาลจะมาแทนบัญชา สนธิกลินท์ ส่วนในศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติเป็นที่แน่นอนแล้วว่าพลโทไมตรี เสถียรชอบ จะมาแทนพลโทเผด็จ การศึก  

ทั้งสองท่านผู้มาใหม่รับรู้เรื่องความเป็นมาของโคซิโอและพอใจในผลงานที่ผ่านมา 

...............วันแรกที่เริ่มงานนายเมธา วิสูตรภิบาลเชิญสมาชิกทีมงานโคซิโอมาที่ห้องทำงานในสภาความมั่นคงเพื่อทำความเข้าใจร่วมกัน 

"ผมได้อ่านเอกสารโคซิโอที่ผ่านบัญชาทำไว้ให้ผมเพื่อเรียนรู้ทีมงานแต่ละคน รู้สึกประทับใจทุกคน โดยส่วนตัวผมไม่มีปัญหากับการทำงานของทีมงานโคซิโอเพียงแต่อยากรู้จักพวกเราทุกคนเป็นการส่วนตัวก่อนผมจะเริ่มงานประจำที่นี่ ผมมีแต่เรื่องงานประจำ ทำให้อาจไม่มีเวลาให้กับพวกเรา การประชุมร่วมระหว่างหน่วยบริหารทั้งหมดกับพวกคุณเป็นครั้งคราว" 

ตุลย์ในฐานะผู้แทนทีมโคซิโอได้กล่าวขอบคุณที่ได้มีโอกาสมาพบกับผู้ใหญ่ในฐานะผู้บังคับบัญชาและอยากทราบทั้งนโยบายหรือข้อคิดเห็นเพื่อรับปฏิบัติ 

"ทีมงานรับภารกิจตลอด 24 ชั่วโมงไปปฏิบัติงานใหม่ทุกสถานการณ์ในประเทศหรือต่างประเทศครับ" 

เมธาให้ทีมงานไปคิดสัจธรรมอย่างหนึ่ง 

"คุณรู้ไหมงานของโคซิโอหลายงานต้องใช้กาลเวลากำกับ เวลาผ่านไปการตัดสินใจเพียงเสี้ยววินาที อาจทำให้คนที่เป็นเป้าหมายกลายเป็นศพ หรือทำให้เรากลายเป็นผีปีศาจได้ทั้งๆ ที่เราไปช่วยเหลือพวกเขา  

คุณคิดบ้างหรือเปล่า ตัวเราตัดสินถูกผิดวันนี้ มันอาจเป็นอย่างอื่นวันพรุ่งนี้ได้ สถานการณ์อาจเป็นอย่างอื่นโดยได้ไม่คาดฝัน 

คนที่มองเราในวันนี้เห็นเราเป็นเทวดาแต่ในพรุ่งนี้หรือบางโอกาส แม้แต่ในบางประเทศ 

เราไม่ใช่เทวดา เราไม่ใช่ผู้มาปลดปล่อยแต่มันเป็นปีศาจอสูรกายในอีกกาลเวลาหนึ่ง มันอาจตัดสินให้เรามาหลอกหลอน ความถูกผิดในสังคมได้ทุกเมื่อ 

ฉะนั้นมองภารกิจครั้งใด ต้องมองให้ยาวไกล อย่าตัดสินอะไรเฉพาะหน้า ให้นึกถึงผลที่จะเกิดขึ้นต่อส่วนรวมในกาลเวลาข้างหน้า คนจะมองเรา ตัดสินเราเป็นเทวดามาโปรดเขา หรือเป็นคนเลวในเมื่อ 

ทีมโคซิโอได้ข้อคิดเห็นเพิ่มเติม ในการทำงานจากที่นายเมธาให้สติตักเตือนถึง "เงื่อนไขเวลา" ในการปฏิบัติภารกิจว่ามันผูกพันถึงสาระประโยชน์อย่างไรต่อประเทศชาติและประชาชน 

ไม่ใช่เป้าหมายเฉพาะหน้าหรือแคบๆ เท่าที่เคยปฏิบัติมา 

สำคัญที่สุดประชาชนส่วนใหญ่คือกลุ่มประชาชนที่ยังยากจนในชนบท ไม่ใช่คนร่ำรวยส่วนน้อยที่มั่งคั่งกินดีมีสุขอยู่ในกรุงเทพฯ หรือตัวเมืองในจังหวัดใหญ่ๆ เท่านั้น 

.......ขณะเดียวกันการต้อนรับที่ศูนย์รักษาความปลอดภัยที่ถนนรามอินทรากลับเป็นไปอย่างไม่เป็นทางการพลโทไมตรี เสถียรชอบหยอกล้อตุลย์กับพิมราว่าเมื่อไรจะแต่งงานทำเอาทั้งสองคนเหนียมอาย  

พลโทไมตรีคุยกับศิริเดช ถามว่าเบื่องานข่าวกรองกับทีมงานโคซิโอหรือยัง ท่านจะได้ส่งตัวให้องค์การซีไอเอหรือหน่วยข่าวกรองของกองทัพสหรัฐฯ ฝึกให้สักหนึ่งปีแล้วย้ายกลับมากินตำแหน่งสูงขึ้นในศูนย์รักษาความปลอดภัยฯ "ต้องไปถามพ่อเราก่อนว่าเอาอย่างไร สำหรับอาน่ะยังไงก็ได้" พลโทไมตรีเคารพรักกันดีกับพ่อศิริเดชยกประเด็นขึ้นมาพร้อมทั้งฝากความคิดถึงไปยังพ่อเขาด้วย 

บรรยากาศเป็นกันเองที่ศูนย์รักษาความปอลดภัยทำให้ทีมโคซิโอรู้สึกอบอุ่นและคิดว่าการทำงานกับพลโทไมตรี คงราบรื่นจนกระทั่งท่านเอ่ยขึ้นว่า 

"พูดตรงๆ อย่าโกรธกัน...อาว่าโคซิโอ ว่าไปแล้วรวมทีมกันไม่ได้ประโยชน์เท่าที่ควร ประเมินสถานการณ์ หน่วยข่าวอื่นๆเขาก็ทำกันอยู่แล้ว เรียกมาดูเมื่อไหร่ก็ได้ มีคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อถึงกันมันก็มีศูนย์ข้อมูลอะไรใช้ร่วมกัน ของอาก็มี พวกเราว่างๆ ก็มาดูได้ 

“โคซิโอน่าจะทำเฉพาะงานเป็นเรื่องๆ ไป ทำในสิ่งที่หน่วยอื่นเขาไม่ทำกันเป็นหน่วยเสริมอะไรทำนองนั้น" บรรยากาศที่เป็นกันเองตอนนี้เลยอึมครึมขึ้นมา สักพักพิมราก็พูดขึ้นมาเบาๆ 

"คุณอาคะ...ข่าวกรองที่เราทำมี 2 ระบบค่ะ คือระบบแรกจาก "ข่าวเปิด" มาจากการวิเคราะห์เนื้อหาหนังสือพิมพ์ทุกฉบับทั้งรายวันและนิตยสารข่าวทั้งไทยและอังกฤษประเมินทุกสัปดาห์  

ระบบที่สองคือข่าวกรองทั้งจากตำรวจจากสำนักข่าวกรองฯจากสภาความมั่นคงฯจากหน่วยงานของท่านและแหล่งข่าวลับอื่นๆ ถือว่าเป็น "ข่าวปิด"  

เมื่อนำข่าว”เปิด”มาประสานกับข่าว”ปิด” จะได้ภาพข่าวกรองที่สมบูรณ์ที่สุดค่ะ" 

"อ้อ...เป็นอย่างนี้เอง ไม่มีใครรายงานให้ละเอียดอย่างนี้กับผม งั้นอาต้องเข้าประชุมสถานการณ์ข่าวกรอง โคซิโอกับหน่วยบริหารทุกครั้งแล้วละ...ขอบใจหนูมากนะ...ชื่อพิมราใช่ไหม" 

บรรยากาศผ่อนคลายสบายใจขึ้น ทีมงานข่าวกรองโคซิโอกลับที่ตั้งในโรงแรมอิมพีเรียล คุยกันว่าบางทีน่าจะถึงเวลาหาที่ใหม่สำหรับบ้านใหม่ ไม่ใช่โรงแรมแห่งนี้ เพราะมัน "เปิดเผย" ง่ายต่อการถูกแทรกซึม มันอาจมีหน่วยจารกรรมที่ไม่ทราบสัญชาติเข้ามาล้วงความลับ 

งานค้นหาบ้านใหม่ ถูกมอบให้เป็นหน้าที่ของตุลย์และพิมราไปเลือกหาสถานที่เหมาะสม ให้ดูที่อยู่ในทำเล เข้าถึงได้หลายทาง มีที่หลบหนีซับซ้อน น้ำไฟสะดวก ใกล้แหล่งอาหารการกิน มีห้องใช้งานมากพอสำหรับทำห้องประชุมขนาดพอสมควร ห้องวางระบบคอมพิวเตอร์และห้องทำงานรวม ห้องรับแขกและห้องพักผ่อนที่ดัดแปลงเป็นห้องนอนพักได้ 

การหาหาบ้านกึ่งสำนักงานใช้เวลาหนึ่งเดือนเต็ม จึงได้บ้านต้นซอยเอกมัย มีต้นไม้ใหญ่ปกคลุม พื้นที่หน้าบ้านมีสนามกว้าง ตัวบ้านชั้นเดียวขนาดใหญ่ 4 ห้อง ไม่รวมห้องน้ำ ห้องครัวฝรั่งและลานเอนกประสงค์ข้างหลังบ้าน มีสนามเล็กๆเพียงพอเหมาะแก่การออกกำลัง 

เจ้าของบ้านเป็นครอบครัวตระกูลผู้ดีเก่า ให้เช่าในราคาพอเหมาะสม เช่าได้ในระยะ 5 ปี 

ทุกคนพอใจ ไปมาสะดวก มีซอยแยก สามารถทะลุออกถึงวัดธาตุทองด้านหนึ่งและอีกด้านหนึ่งออกไปท้ายซอยมีทางแยกไปถึงซอยทองหล่อได้ 

ทีมงานใช้เวลานานพอสมควร การจัดสถานที่ใหม่ ดัดแปลงเป็นสำนักงานที่ทันสมัยและเป็นเวลาเดียวกันที่ปีเตอร์ ชุงเดินทางมาดูตลาดในภูมิภาคนี้ เขา แวะมาเพื่อสั่งซื้อชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ใช้ประกอบผลิตภัณฑ์เพื่อการค้า เขาทราบจากโทรศัพท์ถึงตุลย์ว่าเรื่องย้ายมาอยู่ที่ใหม่  

ปีเตอร์เดินทางมาดูห้องระบบคอมพิวเตอร์และมาดูห้องทำงานในสำนักงานใหม่ก็พอใจ แต่คอมพิวเตอร์ที่ทำไว้เก็บข้อมูล เครื่องล้าสมัยแล้ว เขาเปลี่ยนเครื่องใหม่หมด เพิ่มความจุหน่วยความจำและเพิ่มขนาดปริมาณความจุของฮาร์ดดิสก์ สำหรับโต๊ะทำงานเขาแนะนำ ให้มีคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะสองตัวและเปลี่ยนเครื่องคอมพิวเตอร์แลบท็อปเป็นรุ่นใหม่ให้ทุกคนเป็นรุ่นใหม่ทั้งหมด เขาคิดเงินในราคามิตรภาพแค่หนึ่งสองแสนห้าหมื่นบาท 

"ผมยังได้กำไรนะ" ปีเตอร์ ชุงบอก รับคำเชิญไปรับเลี้ยงมื้อกลางวันสุกี้ ข้ามถนนจากซอยเอกมัย  ปีเตอร์ ชุง ว่าลูกชายเขาเกือบจะสองขวบเต็ม ชื่อโจนาธานเหมือนลุงของเขา 

เพื่อนๆ ให้ของขวัญรับขวัญไปให้หลาน ปีเตอร์ต้องหอบกระเป๋าพะรุงพะรังขึ้นเครื่องบินกลับเมลเบิร์นไปในเช้าวันถัดมาเมื่อทุกอย่างลงตัวแล้ว ทีมงานก็เริ่มดูว่าภารกิจชิ้นแรกหลังมีบ้านใหม่จะเป็นอย่างไร 

...................................... 

หลังจากมาร์ตินแอนด์เคนเลิกผลิตสินค้าให้กับ จาวิสแอนด์ดีน มาร์ตินฯ..........                    

มาร์ตินแอนด์เคนก็ได้ลูกค้ารายใหม่มาเพิ่มอีก 2-3 รายในประเทศ แต่เป็นสินค้าที่ไม่เป็นที่นิยมในตลาดภายในประเทศ ทำให้ผลผลิตล้นสต๊อคในโกดังเก็บสินค้าของบริษัทนั้นๆ วิธีในแก้ปัญหาคือเปลี่ยนชื่อและสลากยี่ห้อใหม่ ยอมลดราคา และส่งเสริมการขายด้วยวิธีการโฆษณา ระยะแรกก็ขายดีแต่สินค้าด้อยคุณภาพแม้ราคาจะถูกกว่าสินค้าประเภทเดียวกัน แต่ไม่สามารถขายได้มาก ทำให้สินค้าหลายชนิดของบริษัทดังกล่าวล้นสต๊อคและต้องเลิกผลิตไปโดยปริยาย 

ส่งผลกระทบถึงโรงงานมาร์ตินแอนด์เคนที่ขาดงานป้อนให้โรงงานทำให้เสียรายได้ ขณะที่     จาวิสแอนด์ดีนเพิ่มผลิตภัณฑ์ในตลาดอีกหลายชนิด และทำโปรโมชั่นรวมทั้งโฆษณาสินค้าหลายชิ้นอย่างได้ผล อีกทั้งเป็นผู้ครอบงำตลาดผลิตภัณฑ์นมทุกประเภท มีเครือข่ายระบบลูกค้าสัมพันธ์ที่ใหญ่โตและสินค้าที่วางตลาดในซุปเปอร์มาร์เก็ตทุกแห่งทั่วประเทศมีอายุอยู่บนชั้นสั้น ต้องนำมาแทนที่เร็ว ทิ้งห่างคู่แข่งไปมาก 

ผู้จัดการฝ่ายการตลาดประจำประเทศไทยนายสนิท ถนอมส่วนวงศ์ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ตามข้อเสนอในบอร์ดของคิมเบอร์ลี่ ทำให้ตำแหน่งใหม่ของสนิท ทัดเทียมกับนายฉัตรชัย สกุลรัตนชัยแห่งมาร์ตินแอนด์เคน..... สนิท ถนอมส่วนวงศ์บริหารงานจาวิสแอนด์ดีนในประเทศไทยได้อย่างดีเยี่ยมอีกหลายปีต่อมา เป็นบทพิสูจน์ว่าเขาสมควรได้รับการเลื่อนตำแหน่งครั้งนั้น 

หนึ่งปีแล้วที่สนิทไม่ได้ข่าวจากคิมเบอร์ลี่ จากสำนักงานที่โอ๊คแลนด์เพียงได้ยินว่าเธอไม่ค่อยสบายหลังจากที่เธอลาหยุดงานบ่อยมากเพื่อรักษาตัวในโรงพยาบาล เขาไม่กล้าบอกตุลย์เมื่อมากินกาแฟกับเขาตามปรกติทุกสัปดาห์ แต่มาวันนี้เขาโกหก 

"ผมเห็นเธอทุกครั้งที่มาตรวจงานที่นี่ เธอก็ดูแข็งแรงดี ทำงานว่องไวมาก ตัดสินใจฉับไวทุกครั้งที่เรามีปัญหา คุณตุลย์ไม่ได้ข่าวจากเธอเลยหรือครับ" สนิทถาม ตุลย์มาหาสนิท เพื่อมากินกาแฟและถามเรื่องงานของ 

จาวิสแอนด์ดีนเป็นครั้งคราวรวมทั้งข่าวเรื่องคิมจากสนิทด้วย 

"ได้ข่าว เธอโทรฯ มาบ้าง มีโปสการ์ดจากเมืองต่างๆ ที่เธอไปทำงานเป็นครั้งคราว ได้ข่าวเธอไม่สบาย แต่เธอเงียบไปนานแล้ว"ตุลย์เล่าให้สนิทฟัง 

ตุลย์เคยโทรศัพท์ทางไกลถึงพ่อแม่คิมถามข่าวเรื่องเธอไม่สบายได้ยินเพียงเด็กอ่อนร้องเข้าใจว่าเป็นลูกของแอนดรูว์พี่ชายเธอที่เขาได้ข่าวว่าแต่งงานแล้ว พ่อแม่คิมให้ข่าวสั้นๆ ว่าคิมออกจากโรงพยาบาลแล้วทุกอย่างลงตัวเรียบร้อยดี คิมพักฟื้นกลับไปทำงานที่โอ๊คแลนด์แล้ว 

พลตรีสมเดชพาเพื่อนพร้อมภรรยาและลูกสาวหน้าตาสะสวยคนหนึ่งเข้ามาบ้านขณะที่ผกามาสแม่ของศิริเดชกำลังช่วยลูกชายทำอาหารอยู่ในครัว เห็นสามีมีแขกพาเข้าบ้านก็ออกมาต้อนรับ 

"คุณโยธิน, คุณต้อยกับหนูอภิรดีมากับพี่เดชได้ยังไงคะ" คุณผกามาสทัก 

พลตรีสมเดชบอกภรรยาว่า เขาไปที่โปโลคลับมาไปกินข้าวกับนายทหารรุ่นเดียวกับเมื่อเสร็จแล้วกำลังจะกลับก็เจอกับโยธินและครอบครัวเลยชวนมาด้วยกันเพราะโยธินไม่ได้เอารถมาที่คลับ 

"ตุ้มไหว้พี่เขาซิ เอาแต่ยืนนิ่งอยู่นั่นแหละ" โยธินบอกลูกสาวให้ยกมือไหว้ศิริเดชขณะเดียวกันก็บอกกับพลตรีสมเดชและผกามาสด้วยความภูมิใจ 

"รองประธานเป็นคนจูงมือให้ตุ้มได้ทำงานที่มาร์ตินแอนด์เคนเวลานี้เป็นเลขานุการของผอ. ฝ่ายการตลาดและดูเหมือนว่าเจ้านายให้คุมประชาสัมพันธ์ด้วย" 

"มีแฟนหรือยังล่ะลูกคนนี้" ผกามาสถามตรงจุด 

"ยังหรอกครับ เอาแต่ทำงาน มีคนมาจีบ มาชอบแยะทั้งบริษัท" โยธินหัวเราะพร้อมกล่าวว่า 

"เดชอาฝากตุ้มไว้กับหลานด้วยนะ ลูกอาอยากจะไปเรียนต่อเมืองนอกหรือถ้าในนี้ก็ตามใจเขาละ" 

"ครับคุณอา ให้หลานมาหาผมได้ทุกเมื่อเลยครับ" 

ศิริเดชรับคำโดยไม่รู้ว่านั่นเป็นการตัดสินใจ เขาต้องมีชีวิต ผูกพันกับเด็กผู้หญิงคนนี้ไปอีกนาน 

ตุ้มไม่ใช่เด็กผู้หญิงธรรมดา เธอเป็นกุหลาบดอกตูมเพิ่งจะคลี่กลีบในบริษัทการตลาด เป็นเลขานุการที่เจ้านายหวงมาก และพ่อแม่เป็นห่วงมากเช่นกัน 

ตุ้มรู้ใจตั้งแต่ครั้งแรกที่เธอพบศิริเดช เธอก็เทหัวใจให้พี่คนนี้หมดแล้ว วันนี้พ่อรู้ใจเปิดไฟเขียวให้เธอได้สายใยอยู่ในความดูแลเรื่องเรียนหนังสือกับพี่เดช เธอก็จะพยายามเอาชนะใจพี่ให้ได้ 

ศิริเดชเห็นตุ้มเป็นแค่ลูกสาวเพื่อนพ่อเป็น เด็กเพิ่งเริ่มทำงาน ไม่ประสีประสาได้เรื่องอะไร ไม่เช่นนั้นอาโยธินจะให้เรียนหนังสือและฝากฝังให้เขาดูแลแนะนำเรื่องเรียนต่อได้อย่างไร 

มีอย่างเดียวที่เขาเห็นและสะกิดใจเขา............."เด็กคนนี้สวยจับใจ" 

 

....................................... 

 

ใกล้สิ้นปี 2536 ข่าวสารบ้านเมืองไม่มีอะไรเด่นเป็นพิเศษ แต่มีเค้าความยุ่งยากเกิดขึ้นเมื่อในทางการเมืองพรรคร่วมฝ่ายค้านเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจพลเอกชวลิต ใจยุทธ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและนายอุทัย พิมพ์ชน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ 

การอภิปรายไม่ไว้วางใจเน้นหนักไปที่พลเอกชวลิต โดยเฉพาะเรื่องคนใกล้ชิดเช่นภรรยาและเลขานุการส่วนตัว ส.ส.และรัฐมนตรีของพรรคความหวังประชาเรื่องการฝากเด็กเข้ากรมตำรวจและการทุจริตในการเคหะแห่งชาติ 

"มีเค้าความจริงทั้ง 2 เรื่อง" เอกรินทร์ ยิ่งบุญยืนยันตามที่แหล่งข่าวของเขาบอก 

"ผมได้ฟังเทปที่บันทึกคำพูดของเลขาฯ ส่วนตัวระหว่างท่านพลเอกชวลิตกับนายตำรวจบางคนเรื่องโยกย้ายนายตำรวจ" เอกรินทร์บอกพร้อมนำเอกสารสำเนาที่อ้างว่าถอดจากเทปบันทึกคำสนทนาทางโทรศัพท์ของคนใกล้ชิดมาให้สมาชิกในทีมโคซิโอดู 

"ผมก็เห็นเอกสารนี้นำมาแจกจ่ายให้กับผู้สื่อข่าวด้วย"ตุลย์ยืนยัน 

พิมราให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า 

"คุณพ่อพิมได้ข่าวจากไหนไม่ทราบว่ามีคนแฉว่าพลเอกชวลิตนัดพบกับแกนนำฝ่ายค้านที่โรงแรมดุสิตธานีเพื่อจัดตั้งรัฐบาลใหม่ โดยฝ่ายค้านและบรรดาส.ส.ในพรรคลงมติให้ท่านชวลิตเป็นนายกรัฐมนตรี" 

ไม่ว่าข่าวจะออกมาอย่างไร การอภิปรายไม่ไว้วางใจระหว่างวันที่ 10-11 พฤศจิกายน 2536 พลเอกชวลิตและนายอุทัยผ่านศึกครั้งนี้ไปได้ด้วยคะแนนเสียงไว้วางใจเท่ากันคือ 191 เสียง 

"แต่จะเรียกเสียงศรัทธาคืนมาคงยาก ผมว่าอีกไม่นาน รัฐบาลคงอยู่ไม่ได้ หรืออยู่ได้ก็บริหารต่อไปด้วยความยากลำบาก" 

แต่ปรากฏว่ารัฐบาลยังคงอยู่ต่อไปและข่าวร้ายๆ ก็เงียบหายไปตามกาลเวลา 

........................เมื่อครบหนึ่งเดือนถึงเวลาประชุมสถานการณ์อีกครั้ง และครั้งนี้เห็นว่าควรทำกันที่บ้านใหม่ของทีมงานข่าวกรองโคซิโอ 

"น่าสนใจมาก จัดได้เป็นระบบระเบียบดี" เมธา วิสูตรภิบาล เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ 

"ร่มรื่นมาก บ้านซ่อนตัวได้อยู่ใต้ต้นไม้ดูดีนะ" พลตำรวจเอกเปาว์ สรสินธุ์ให้ความเห็นว่าสภาพแวดล้อมช่วยการทำงานได้มาก 

การประเมินสถานการณ์ครั้งนี้เป็นไปโดยดี มีความเห็นแยกได้เป็น 3 ประเด็น 

"ในขณะนี้รัฐบาล ในสายตาประชาชนรู้สึกเสื่อมศรัทธาเพราะเห็นว่า ไม่สามารถแก้ไขปัญหาคอรัปชั่นได้ รัฐมนตรีหลายกระทรวงเช่นคมนาคม, เกษตรและแม้แต่กระทรวงศึกษายังมีการคอรัปชั่น 

ส่วนที่สอง เศรษฐกิจ รัฐบาลไม่เตรียมการเรื่องแก้ภัยแล้งในภาคอิสานและภาคเหนือตอนล่างบางจังหวัด ทำให้ประชาชนโยกย้ายถิ่นเข้ามายังกรุงเทพฯ หากินแบบหาเช้ากินค่ำเป็นภาระ คนมาเป็นขอทานหลับนอนที่สนามหลวงในเวลาค่ำคืน เศรษฐกิจโดยรวมไม่ฟื้นตัว ดรรชนีค่าครองชีพไม่เป็นที่น่าพอใจ 

ส่วนที่สาม ปัญหาสังคมและวัฒนธรรม ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางโสเภณี นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกรู้จัก ไม่มีแหล่งท่องเที่ยวที่ไหนปลอดจากโสเภณี ที่ร้ายคือมีโสเภณีต่างชาติ เริ่มมามีอาชีพหากินในประเทศไทยบ้างแล้ว 

เยาวชนไทยเป็นจำนวนมาก รับวัฒนธรรมตะวันตก ติดยาเสพติดที่แพร่มาตามตะเข็บชายแดนเป็นปัญหาใหญ่ ยาเสพติดกลายเป็นอุตสาหกรรมข้ามชาติ 

ยิ่งสื่อมวลชนสะท้อนภาพเหล่านี้เท่าไร ดูเหมือนการปราบปราม แม้จะได้ผลบ้าง แต่มันไม่พอ 

ถ้ารัฐบาลไม่มีประสิทธิภาพในการบริหารประเทศ ในอีกสิบปีข้างหน้า ปัญหาเหล่านี้จะยิ่งแก้ได้ยากหรือแก้ไม่ได้เลย" 

คณะบริหารจากสำนักความมั่นคง 4 หน่วยแสดงความเห็นว่าปัญหาที่ทีมงานสะท้อนมา เป็นเรื่องสำคัญระดับชาติ ต้องการการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ขณะที่ภารกิจทางข่าวกรองของทีมโคซิโอต้องเข้มข้นเฝ้าระวังการฝังตัวของจารชนต่างชาติด้วย 

การเสนอให้ทีมงาน เฝ้าระวังทีมจารชนจากต่างชาตินี้ เป็นเรื่องจริงจังขึ้นเมื่อทีมงานได้รับการติดต่อจากนาเดีย โบกุสลาฟจากสถานทูตสหรัฐฯปลายเดือนธันวาคม 

"ฉันมาแทนอัลแลน...เขาย้ายไปไนจีเรียได้ 3 เดือนแล้ว" นาเดียพูดกับสหชาติ 

"ฉันถามอัลแลนก่อนเขาออกจากกรุงเทพฯ ว่าควรจะติดต่อใครที่พอจะรู้เรื่องบ้างเขาให้ชื่อคุณไว้" 

"ผมรู้จักอัลแลนเพียงผิวเผินเท่านั้น" 

"แต่เพียงพอสำหรับฉันที่จะการเริ่มต้นในกรุงเทพฯ" 

"ยินดีเสมอ บางทีคุณควรเช็คพวกรัสเซียดูบ้าง" 

"มิคาอิล ซุสลอฟกลับไปมอสโคว เขาอาจย้ายไปตะวันออกกลาง" นาเดียว่าอย่างนั้น 

"ซุสลอฟ มักจะตื่นเต้นกับข่าวลือใหม่ๆ เสมอ แต่เขาชอบเมืองไทยมากนะครับ" สหชาติหัวเราะ 

นาเดีย โบกุสลาฟเล่าให้สหชาติฟังว่า ตระกูลของเธอเป็นชาวยิวอยู่ในโปแลนด์ในช่วงที่พวกนาซีเยอรมันบุกและยึดครองประเทศ ฮิตเลอร์มีนโยบายกำจัดชาวยิว ปู่ของเธออพยพออกมาอยู่ประเทศฝรั่งเศสต่อมาย้ายมาอยู่อังกฤษและมาอเมริกาได้สัญชาติอเมริกัน เธอเรียนวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ รัฐแมรี่แลนด์ หลังจบแล้วก็เข้าทำงานที่กระทรวงการต่างประเทศ และทำงานอยู่สถานทูตสหรัฐหลายแห่งเช่นตุรกี สวีเดน อียิปต์และมาประจำที่ไทยด้านผู้ช่วยข่าวสาร 

สหชาติถามถึงข่าวสารตะวันออกกลางที่นาเดีย โบกุสลาฟให้ความสนใจเป็นพิเศษ เธอมีความเห็นว่าอย่างไรเสียอิหร่านก็ต้องพยายามผลิตอาวุธนิวเคลียร์ให้ได้ เพราะเห็นจากความพยายามที่จะทดลองขีปนาวุธที่มีอำนาจทำลายล้างสูง 

"เมื่อเร็วๆ นี้อิหร่านล้มเหลวในการทดลองขีปนาวุธพิสัยกลางกลางทะเลทรายเป็นข่าวไปทั่วโลก" สหชาติทบทวนข้อมูลจากข่าวบอกนาเดีย 

"ใช่ สถานทูตเราทราบเหมือนกันระบบขีปนาวุธขัดข้องทางเทคนิค ไม่แน่ใจว่าเกี่ยวกับการควบคุมอะไรสักอย่างคุณรู้ไหมว่าคืออะไร" นาเดียถามหวังว่าสหชาติอาจจะมีข่าวกรองดีๆ 

"ระบบนำร่องเสียหาย" สหชาติอยากรู้ว่าพวกอเมริกันทราบหรือไม่ 

"ซีไอเอก็รายงานว่าเช่นนั้น" นาเดียรีบตอบ 

สหชาตินึกในใจว่าระบบข่าวกรองของเมริกายังทำงานได้ดีตามปกติ 

"กรุงเทพฯ มีหน่วยสืบราชการลับ "วัจจะ" ของอิหร่านฝังตัวอยู่ ฉันไม่มั่นใจว่าเข้ามาเมื่อไหร่และมาทำไม" นายเดียให้ข้อมูล  

"ข้อมูลใหม่..เราสงสัยแต่คุณช่วยตามให้หน่อย ทางเราก็จะตามด้วย" สหชาติเวลานี้รู้สึกแล้วว่าข่าวจากนาเดียทำให้เขาต้องเฝ้าระวังอิหร่านเป็นพิเศษ หรือว่ามันเป็นเกมสงสัยเกี่ยวโยงถึงระบบล้มเหลวของโครงการขีปนาวุธ 

สหชาติขอตัวไปทำงานหลังจากที่นาเดียจากไป เขานึกขึ้นได้ว่าเขาน่าจะได้ข้อมูลและชื่อของหัวหน้าฝ่ายข่าวสถานทูตรัสเซียคนปัจจุบัน เขาคิดว่าน่าจะทำหน้าที่เป็นเคจีบีด้วยคนหนึ่ง 

เขาจะต้องรายงานให้สภาความมั่นคงฯ ทราบไว้ก่อนว่า พื้นที่การข่าวของอเมริกาและรัสเซียมีการเปลี่ยนตัวผู้เล่นแล้ว 

........ค่ำวันนั้นที่บ้านเอกมัยมีการประชุมชุดทำงาน "โคซิโอ" ตามคำขอของสหชาติ เขาได้รายงานโดยวาจาถึงการพบกับนาเดีย หัวหน้าฝ่ายข่าวของสถานทูตสหรัฐฯ คนใหม่ การได้ข้อมูลที่อาจมีสายลับ "วัจจะ(VAJA)" ของอิหร่านปฏิบัติการในกรุงเทพฯ โดยไม่มีภารกิจที่แน่ชัด 

โคซิโอมีสมมติฐานหลายประการเกี่ยวกับ "วัจจะ" 

ประการแรก-เป็นการสร้างฐานถาวรในประเทศไทย อยู่ในสถานทูตโดยอาจใช้ร่วมหรือแฝงเป็นทูตทหาร 

ประการที่สอง-หาข่าวเรื่องระบบนำร่องและข่าวกรองการเมืองเศรษฐกิจเพื่อผลทางการค้า 

ประการที่สาม-เพื่อขยายอิทธิพลข่าวกรองกับกลุ่มก่อการร้ายมุสลิมหัวรุนแรงทางภาคใต้ ซึ่งอาจสนับสนุนโดยฝึกอาวุธให้และช่วยเหลือทางการเงิน 

เพื่อสืบค้นการเคลื่อนไหวของหน่วยสืบราชการลับอิหร่าน”วัจจะ” เอกรินทร์รับอาสาติดต่อกรรมกรสายมุสลิมซึ่งเคยไปทำงานตะวันออกกลางจนได้พบกับวันชัยที่เคยทำงานอยู่ที่โรงงานผลิตอุปกรณ์เครื่องทำความร้อนที่เตหะราน เขาบอกกับเอกรินทร์ว่าเคยไปอยู่ที่เมืองทาบริซในอาเซอร์ไบจันตะวันออก อยู่ทาง ตะวันตกเฉียงเหนือของเคหะราน อากาศหนาวมาก ที่ทาบริซกับแรงงานไทยทำงานในไร่ผลไม้หนึ่งปีแล้วกลับเมืองไทย   

กรรมกรซึ่งเป็นแหล่งข่าวของเอกรินทร์ยังแนะนำให้เขารู้จักกับจาฟาร์เมื่อปีที่แล้ว 

"จำได้ไหมผมเคยบอกว่ามีแหล่งข่าวอยู่ใน "บาโร บาโร" คณะทำงานแนวร่วมขบวนการซูรอของเบอร์ซาตู ผมนัดจาฟาร์เขาอยู่ในบาโร บาโรเขาจะขึ้นมาจากใต้มาพบพวกเรา" 

ทีมงานโคซิโอเห็นว่าถ้าจาฟาร์ไม่สะดวกจะขึ้นมาจากปัตตานี บางทีเอกรินทร์อาจจะต้องลงไปพบกับเขาในภาคใต้ก็ได้ 

เอกรินทร์คิดว่ามันไม่เหมาะ จาฟาร์ฝังตัวอยู่ในขบวนการปลดเอกฯ มานาน เขาถูกเปิดตัวเมื่อไร หมายถึงอันตรายแก่ชีวิต 

เกือบ 2 อาทิตย์ต่อมา จาฟาร์เดินทางถึงกรุงเทพฯ เนื่องจากสำนักงานเป็นสถานที่ปิดลับ  

เอกรินทร์และสหชาตินัดจาฟาร์พบกันที่โรงแรมอิมพีเรียล โดยเลี้ยงอาหารกลางวันตอนหนึ่ง      

จาฟาร์เอ่ยขึ้นว่า 

ผมเข้าใจว่าคนอิหร่าน จากอีสฟาฮานจะมาพบผู้นำเบอร์ซาตู ทางเรามอบรายชื่อคนหนุ่มสาวที่พร้อมทำการรบญิฮาด 20 กว่าคนโดยใช้ไปเรียนศาสตร์อิสลามบังหน้า และคนอิหร่านจากอีสฟาฮานเมื่อได้คนเหล่านี้ไป เชื่อว่าจะฝึกคนพวกนี้จับอาวุธให้ก่อวินาศกรรม ทำระเบิดและใช้อาวุธปืน 10 วันในเตหะราน แล้วจึงส่งไปซีเรียให้ไปฝึกต่ออีกนาน รายชื่อรวบรวมมานี้จะนำกลับไปตรวจสอบ ถ้าเสร็จ จะมีคนอื่นๆ มารับตัว อาจไปที่อื่นเป็นซีเรียหรืออิรัก ผมไม่แน่ใจแต่ไปพักที่อิหร่านก่อนแน่" 

"ทำอย่างไรพวกเราจะรู้ว่าเขาพักที่ไหนใน" สหชาติซัก 

"ผมกลับปัตตานีเย็นนี้จะถามคณะบาโร บาโร มีคนบางคนในนั้นรู้" 

จาฟาร์กลับลงใต้เย็นวันนั้น บอกว่าจะรายงานกลับมา หลังได้เรื่องแน่นอนว่าคนจากอีสฟาฮานจะพักที่ไหน 

โคซิโอทำการหารือคิดกันว่าทำอย่างไหนก่อน ถ้าได้ที่อยู่ จากคนที่มีรายชื่อนักรบญิฮาด 

เรื่องแรกคือต้องเอารายชื่อมาให้ได้อย่างน้อยอัดสำเนาก็ยังดี 

เรื่องที่สองการติดตามตัวคนจากอิสฟาฮาน ใช้วิธีไหนและพวกนั้นมากันกี่คน 

เรื่องที่สามถ้าได้รายชื่อมา จะจัดการอย่างไรกับนักรบญิฮาดเหล่านั้น 

เรื่องที่สี่จะจัดทำอะไรต่อไปกับคนจากอีสฟาฮานเมื่อได้รายชื่อมา 

เรื่องสุดท้าย ต้องหาตัวสายลับวัจจะที่ประสานกับคนจากอีสฟาฮานให้ได้ 

จาฟาร์กลับไปได้ 2 วันได้เรื่องว่า คนรวบรวมรายชื่อนักรบญิฮาดจากอิสฟาฮานชื่อนาสริน พวกนักรบ 

ญิฮาดเรียกคนจากอีสฟาฮานว่า"กุหลาบป่า" จาฟาร์บอกเอกรินทร์ว่าไม่แน่ใจเธอเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย 

"นาสรินใส่เสื้อเชิร์ตแขนยาว กางเกงยีนส์สีดำ เข็มขัดหัวทองแดง สายทำจากหนังกวางขนาดใหญ่สวมรองเท้าบูท พูดภาษาอาหรับ ใบหน้าคมคาย แบบผู้หญิงเปอร์เซีย คนเบอร์ซาตูว่านาสรินแปลว่ากุหลาบป่า จาฟาร์อธิบายและเสริมด้วยว่า 

"เธอหาง่ายครับ นัยน์ตาเธอสีฟ้าเข็ม" 

"ที่อยู่ล่ะ" เอกรินทร์ถาม จาฟาร์ยังไม่บอกชัดเจน 

"บาโร บาโรไม่แน่ใจครับเพียงบอกว่าอยู่แถวสีลมโรงแรมแถวนั้น" 

โคซิโอเดาไม่ยาก คงเป็นโรงแรมดุสิตธานี 

นาสริน กีเบอร์ส อายุ 26 ปี อาศัยอยู่ในเมืองอีสฟาฮาน ใช้ชื่อ "จัดตั้ง" กุหลาบป่า พ่อเป็นศาตราจารย์ด้านนิวเคลียร์ฟิสิกส์ เสียชีวิตจากการทำลายโรงงานนิวเคลียร์ มารดาเสียชีวิตหลังจากนั้น นาสรินเรียนวิชาวรรณคดีและภาษาตะวันตก จากมหาวิทยาลัยมุสลิมอาซาดแห่งทาบริซ เมื่อจบเธอสมัครเป็นทหารในกองทัพบกและถูกฝึกในหน่วยจู่โจม ได้รับการคัดเลือกให้อยู่ในกองกำลังพิเศษปกป้องปิติภูมิ และอยู่ในหน่วยปฏิบัติการร่วมกับหน่วยสืบราชการลับวัจจะเป็นครั้งคราว 

เธอถูกส่งมาประเทศไทย ตามคำสั่งกองกำลังพิเศษปกป้องปิติภูมิให้ประสานงานกับวัจจะในไทยที่ติดต่อกับมูจาฮีดีนอิสลามปัตตานีและขบวนการบีอาร์เอ็น รับเด็กหนุ่มสาวตามรายชื่อและประวัติ ไปเป็นนักรบญิฮาดฝึกอาวุธในประเทศตะวันออกกลาง 

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว