นางสิงห์ป่ามนต์ดำ
4
ตอน
1.2K
เข้าชม
20
ถูกใจ
0
ความคิดเห็น
5
เพิ่มลงคลัง

นางสิงห์ป่ามนต์ดำ 

บทนำ: ตอนปฐมบทมนต์ดำ 

     

    ดวงตะวันกลมโตสีหมากสุก สาดแสงสุดท้ายกำลังลับเหลี่ยมเขาด้านทิศตะวันตกของเขตอุทยานแห่งชาติที่มีผืนป่าไม้และสัตว์ป่ายังอุดมสมบูรณ์อย่างยิ่งครอบคลุมจังหวัดแถบอีสานเหนือทั้งหมด 

    ชายวัยสี่สิบ ใบหน้าคมเข้ม ดวงตาที่ฉายแววให้เห็นความมุ่งมั่น เขาขับรถยนต์กระบะโฟร์วีลสีดำเร่งเครื่องยนต์ทำความเร็วเต็มอัตรากำลังมุ่งหน้าแล่นอยู่บนถนนสายหนึ่งภายในเขตอุทยานอันเป็นสถานที่เขาทำงานอยู่ที่นี้ในฐานะหัวหน้าเขตรักษาผืนป่าไม้และสัตว์ป่า เขาก็คือ พันธุ์ นรสิงหา 

    ในวันนี้เช่นทุกวันปลายสุดสัปดาห์ เขาพร้อมภรรยาและลูกสาวคนเดียววัยเจ็ดขวบ กำลังเดินกลับบ้านที่กรุงเทพมหานคร เป็นประจำทุกเย็นของวันศุกร์ หากว่าไม่มีงานราชการเร่งด่วน เขาและครอบครัวจะเดินทางโดยขับรถยนต์กลับบ้านพักที่อยู่ในเมืองหลวง 

    พันธุ์ นรสิงหา เขามีภูมิลำเนาอยู่ที่ภาคกลาง ได้มีคำสั่งให้เขาย้ายมาประจำที่อุทยานแห่งชาติในฐานะหัวหน้าเขตรักษาผืนป่าไม้และสัตว์ป่าได้ตั้งแต่ปี ๒๕๔๐ เขาจึงได้พาครอบครัวมาพักอาศัยอยู่ด้วยกันสามคนพ่อแม่ลูก ขณะนั้นลูกสาวคนเดียวของเขามีอายุแค่ ๔ ขวบ แม้ว่าบิดาและมารดาของพันธุ์ นรสิงหาจะคัดค้านห้ามเขาไม่ให้นำลูกสาวมาอยู่ที่แห่งนี้ด้วย ในเวลานั้นการคมนาคมถนนหนทาง สาธารณูปโภค ไฟฟ้าน้ำประปาก็ยังขยายไม่ครอบคลุมทั่วถึงเท่าไรนัก ยิ่งโรงเรียนแล้วสถานที่จะให้หลานสาวเข้าเรียนก็อยู่ห่างไกลความเจริญ นั้นคือความคิดของบิดาของพันธุ์ นรสิงหา 

   บัดนี้ความมืดเริ่มแผ่ปกคลุมทั่วในเขตป่าอุทยานแห่งชาติ บรรยากาศถนนเส้นนี้ก็ยังเหมือนเดิมต้นไม้เขียวครึ้มปกคลุมหนาตาทั้งสองข้างทางมาตลอดสาย พื้นถนนเป็นลูกรังอัดแน่นยังไม่ลาดด้วยยางแอสฟัลต์แต่ทว่าผิวถนนอัดแน่นราบเรียบรถยนต์สามารถแล่นด้วยความเร็วปกติ เขาได้เปิดไฟหน้ารถส่องสว่างเป็นลำแสงยาวสาดไล่ความมืดบนเส้นทางถนนลูกรัง ทำให้มองเห็นว่าถนนสายนี้คดเคี้ยวเลื้อยหักมุมในบางช่วงของระยะทาง 

   ในช่วงจังหวะหนึ่งขณะที่เขาบังคับพวงมาลัยรถให้แล่นไปตามเส้นทางอย่างระมัดระวัง พันธุ์ นรสิงหา หันมาเหลือบมองด้วยหางตา ขณะที่เด็กหญิงนั่งอยู่ข้างเบาะหลัง เด็กน้อยยังไม่ง่วงหรือนอนหลับไปยังนั่งมองไปเบื้องหน้าขณะที่รถยนต์แล่นไปบางช่วงก็ชะลอความเร็วบางที่ก็เร่งความเร็วได้เต็มแรง เด็กหญิงรู้สึกว่าเธอเคยชินไปเสียแล้ว พันธุ์ นรสิงหาได้พูดกับลูกสาวว่า 

   “เมื่อลูกสาวของพ่อโตขึ้น พ่ออยากให้หนูเรียนด้านวนศาสตร์นะ โอเคไหมคะเด็กดี” เขาเย้าหยอกพลางยิ้มให้ลูกสาว 

    “คุณก็พูดหยอกย้ำอยู่เรื่อยนะคะ”ภรรยาของเขาที่นั่งด้านเบาะหน้าคู่ขับ หันมาพูดเชิงตำหนิสามี 

    “พ่อพูดแบบนี้ครั้งที่หนึ่งพันแล้วนะคะแม่”ลูกสาวก็พูดแบบยิ้มๆ 

    เมื่อเด็กหญิงพูดจบทั้งพ่อและแม่ก็พากันหัวเราะร่วนภายในรถยนต์ที่กำลังแล่นไป โดยผู้พ่อยังทำหน้าที่โชเฟอร์ได้อย่างชำนาญเส้นทาง  

    พันธุ์ นรสิงหา เขามั่นใจในการขับรถยนต์ผ่านถนนสายนี้มาตลอดในระยะ๓-๔ปีที่เขามาทำงานอยู่ในเขตนี้ ไม่เคยมีเหตุการณ์ใดๆแม้แต่น้อยที่จะเกิดเป็นอันตรายต่อเขาและครอบครัว 

    อีกประมาณสองร้อยเมตร ด้านขวามือมีศาลเจ้าปู่เจ้าย่าที่ตั้งอยู่ ณ ที่นั้นมานมนานแล้ว พันธุ์ นรสิงหา   จะบีบแตรรถยนต์สามครั้งเป็นสัญญานบอกให้เจ้าปู่เจ้าย่าได้รับรู้ต่อการเคารพบูชาทุกครั้งที่เขาขับรถกลับบ้านผ่านไป 

    “หนูไหว้ท่านปู่ท่านย่าด้วยนะ อธิษฐานช่วยบอกพวกท่านให้คุ้มครองเรา” เขาจะบอกลูกสาวทุกครั้งที่ขับรถยนต์ผ่านมาถึงบริเวณนี้ และเด็กหญิงก็ปฏิบัติตามทุกทีตั้งแต่ยังเธอไร้เดียงสาจนถึงปัจจุบันนี้ 

     รถยนต์โฟร์วีลของเขาแล่นมาถึงทางแยกแล้ว โดยทั่วไปถนนสายนี้มีรถยนต์แล่นผ่านสัญจรไปมาไม่มากเท่าไรนัก  พันธุ์ นรสิงหากำลังบังคับพวงมาลัยรถจะตัดเลี้ยวขาวมุ่งสู่ถนนสายหลักเข้าสู่กรุงเทพมหานคร 

     ในช่วงจังหวะนั้นสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เขาสังเกตเห็นรถบรรทุกสิบล้อคันหนึ่งแล่นมาด้วยความเร็วไม่มีการเหยียบเบรคแม้แต่น้อย เจ้าคนขับซ้ำยังเปิดไฟสูงหน้ารถส่องแหยงตาของพันธุ์ นรสิงหา รถบรรทุกสิบล้อคันแล่นเข้าชนอย่างจังกับรถยนต์โฟร์วีลของเขาเสียงดังสนั่นหวั่นไหวสะท้านสะเทือนไปทั่วบริเวณนั้น 

     โครม...!!! ตูม รถยนต์โฟร์วีลคันนั้นกระเด็นพลิกคว่ำพลิกหงายท้องไปหลายตลบ จนกระทั่งมาหยุดนิ่งไถลไหลครูดลงมาข้างทางทันที แล้วรถบรรทุกสิบล้อคันนั้นก็แล่นหายวับไปในความมืดอย่างไร้ร่องรอย 

     สภาพรถยนต์โฟร์วีลพังยับย่อย มองจากภายนอกแล้วผู้โดยสารภายในคาดว่าจะไม่มีใครรอดสักคนเดียว พันธุ์ นรสิงหา ภรรยาและลูกสาวของเขา นอนแน่นิ่งไม่ไหวติงร่างกายมีเลือดอาบทั่วตัว  

    สักครู่ไม่นานนักภายหลังเหตุการณ์เงียบไป ก็มีรถยนต์เก๋งยี่ห้อดังไม่ติดป้ายทะเบียนแล่นเข้ามาตรงจุดที่เกิดเหตุ แม้ว่าจะอยู่ในความมืดแต่หากมองเห็นร่างเงาดำสามคนก้าวลงมาจากรถ เมื่อรถจอดสนิทตรงข้างริมทางเทียบขนานกับรถโฟร์วีลที่หงายท้องอยู่ต่ำกว่าไหล่ทางลงไปประมาณห้าเมตร รถเก๋งคันนั้นเปิดไฟหรี่ไว้ 

    “สภาพแบบนี้รอดยากครับลูกพี่” หนึ่งในสามของร่างเงาดำนั้นมันปรารภขึ้น 

    “หากจะต้องชัวร์ เอ็งลงไปจัดการให้เรียบร้อย”ร่างเงาดำคนยืนตรงกลางบอกกับคนเดิมที่มันปรารภขึ้น 

    เจ้าคนนั้นมันวิ่งเหยาะๆลงไปที่รถยนต์โฟร์วีลของพันธุ์ นรสิงหา ที่พลิกหงายท้องไร้สภาพมองไม่เห็นว่าเป็นรถคันเดิมที่มีผู้โดยสารนั่งร่วมกันมาสามคนพ่อแม่ลูก 

    “เฮ้ย รีบลงมือเร็วสิ มัวชักช้าเดี๋ยวมีใครมาพบเข้า ลงมือเร็ว”ร่างเงาดำคนยืนกลางตะโกนสั่ง ยังสำทับท้ายประโยคอีกด้วย 

    เจ้านั้นกระชากปืนพกออกมาจากซองเอวของมัน ปืนนั้นได้ติดสวมกระบอกเก็บเสียงที่ปลายกระบอกปืน มันพยายามมองผ่านความมืดจึงพบร่างสามคนนอนแน่นิ่งอย่างไร้สติ  มิคาดคะเนว่ายังมีลมหายใจอยู่หรือไม่ มันก็ยกมือขึ้นเล็งเป้าสามร่างนั้นในระยะเผาขนตอกย้ำความตายให้ทันที มันลั่นไกปืนอย่างมืออาชีพแบบว่าไม่พลาดพันเปอร์เซ็นต์ 

    ปุ่ด.. ปุ่ด... มันลั่นไกพ่นกระสุนนัดแรกใส่ร่างของพันธุ์ นรสิงหา นัดที่สองใส่ร่างภรรยาของเขา ทั้งสองร่างกระตุกตามแรงของกระสุน  

    พลันทีจะลั่นไกพ่นกระสุนนัดที่สามใส่เด็กหญิง  สายตาของมันมองแวบเหลือบไปเห็นร่างตะคุ่มๆสองคนอยู่ที่ข้างรถยนต์ด้านติดกับแนวป่า เจ้านั้นมันลั่นไกพ่นกระสุนไม่ออก มันต้องเบิกตากว้างด้วยอาการตกใจกับสิ่งที่มันมองเห็นภาพขณะนั้น 

    “ผีหลอก ผีหลอก ช่วยด้วยลูกพี่”มันแหกปากตะโกนลั่น ขนหัวลุกพองสยองเกล้า แล้วมันวิ่งกลับขึ้นมาหาพวกของมันที่ยืนรออยู่ริมข้างทาง โดยมันไม่ยอมหันกลับเหลียวไปมองอีกเลย 

    “เกิดอะไรวะ ไอ้ชิต มึงเป็นอะไร”ลูกพี่ของมันร่างเงาดำคนยืนตรงกลางถามเสียงละล่ำละลักปนอาการตกใจเมื่อเห็นสภาพลูกน้องตัวเองแสดงอาการหวาดกลัว 

    “หนีเถอะพี่ พวกมันเห็นเราแล้ว หนีเร็ว”ไอ้ชิตพูดเสียงสั่นหวาดกลัวสุดขีด 

    ลูกพี่มองเห็นสภาพของไอ้ชิตแล้ว มันประเมินสถานการณ์สงสัยท่าจะไม่ดีแล้ว ไอ้ชิตมันมีอาการหวาดกลัวแบบสุดๆ ลูกพี่ร้องสั่งให้รีบกลับทันที 

    “ไอ้นนท์ มึงประคองไอ้ชิตไปที่รถเร็ว”ลูกพี่หันมาบอกลูกน้องอีกคนที่ยืนข้างมัน 

    ลูกพี่ของพวกมันยังสงสัยว่าบริเวณนั้น ไอ้ชิตมันมองเห็นอะไรของมัน แต่แล้วมันกวาดสายตามองไปรอบๆถึงแม้ว่าจะมืดอย่างไร มันก็ปรับสายตาหยีตาเข้ากับสภาพของความมืดจนเป็นแกติ แต่แล้วมันก็มองไม่เห็นอะไรแม้แต่น้อย ใบไม้สักใบก็ไม่ไหวพลิ้วสักนิดเดียว จากนั้นมันก็สั่งให้ลูกน้องขับรถยนต์ออกไปจากบริเวณตรงนั้นโดยไม่สนใจผลงานของมันแม้แต่อย่างใด  

    บัดนี้คงเหลือแต่สภาพของร่างที่ไร้ลมหายใจแล้วทั้งพันธุ์ นรสิงหาและภรรยา ส่วนลูกสาวของเขายังมีลมหายใจอยู่ แต่ทว่าร่างของเด็กหญิงถูกช้อนยกอุ้มขึ้นมาจากซากรถยนต์โฟร์วีลคันนั้น โดยร่างของคนสองคนมีลักษณะคล้ายคนชราชายหญิงสองคนแต่ทว่าท่าทางมีความแคล่วคล่องว่องไวปานคนหนุ่ม 

    ที่แท้จริงแล้วสิ่งที่มือปืนลั่นไกสังหารนามว่าไอ้ชิตมันมองเห็นภาพก็คือ ร่างของเจ้าปู่เจ้าย่าแห่งศาลเจ้าปู่เจ้าย่า ที่ตั้งอยู่ ณ บริเวณแยกทางเข้าของถนนสายนั้นเอง 

    เจ้าปู่เจ้าย่าในร่างของคนชราชายและหญิงก็ตามเถอะ แต่ทว่าใบหน้าเส้นผมไม่ส่อแววของความโรยราตามวัยชราแม้แต่น้อย ใบหน้าฉายแวววัยหนุ่มและวัยสาว เส้นผมมีสีดำขวับไม่ขาวโพลน เจ้าย่ามีทรงผมเกล้าผมมวยสูง ส่วนเจ้าปู่ไว้ทรงผมสั้นแบบโบราณหรือทรงมหาดไทยนั้นเอง แววตาฉายให้ความเมตตายิ่งในดวงตาคู่นั้นของชายหญิงในร่างเจ้าปู่เจ้าย่า ทั้งสองอยู่ในชุดแต่งกายนุ่งโจงกระเบนและเสื้อแขนยาวสีขาวทั้งชุด 

    พวกเขาได้นำร่างของเด็กหญิงวัยเจ็ดขวบ ลูกสาวของพันธุ์ นรสิงหา มาวางไว้ในบริเวณที่ปลอดภัย สังเกตเห็นสภาพร่างกายของเด็กสาวเป็นปกติทุกอย่าง แทบจะไม่เชื่อสายตาเกิดการเปลี่ยนแปลงจากร่างกายที่อาบด้วยเลือดทั่วตัวก็หายวับไปอย่างสิ้นเชิง  

    เพียงแต่ว่ายังนอนแน่นิ่งไม่รู้สึกตัวเท่านั้น ขณะที่เจ้าปู่เจ้าย่ายังนั่งเฝ้าร่างของเด็กหญิงอยู่ตลอดเวลา จนกว่าจะมีใครมาพบเห็นเธอ 

    เหตุการณ์เกิดขึ้นในปีพ.ศ. ๒๕๔๓... 

  

  

    

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว