๑
หอแห่งหนึ่ง
ฉันตื่นขึ้นมาพร้อมกับร่างที่เปลือยเปล่ามีแค่หมอนกับผ้าห่มที่ปิดเรืองร่างเปลือยเปล่านั้นอาการของคนตื่นเช้าทุกวัน 6 โมง ฉันตื่นเวลานี้ทุกวันพลางหยิบโทรศัพท์แล้วมองหน้าคนที่นอนข้าง ๆ ผู้ชายที่นอนด้วยกันเมื่อคืน แต่ฉันก็ไม่ได้ปลุกอะไรแล้วหันกลับไปใสเสื้อผ้าแล้วรีบไลน์หาเพื่อนให้มารับกลับมอ
ใช่ค่ะฉันเป็นศึกษาปี 4 เรียนบริหาร สาขาการกีฬาเป็นเด็กเรียบร้อย แบบถูกกาลเทศะนะไม่ใช่เรียบร้อยแบบนั้น เป็นผู้หญิงที่จัดว่าหวงเนื้อหวงตัวในหมู่ผู้ชาย ด่าไปเรื่อย ไม่ยอมใครโดยเฉพาะผู้ชาย พูดง่าย ก็คือ ห้าวนั้นเอง
“ปล่อยให้กูอยู่กับใคร”
ฉันถามมองหน้ามันพร้อมถือหมวกกันน็อคที่ยื่นมาให้ใส่
“สาส กูบอกให้มึงมากับพวกกูมันก็ดึงมึง แล้วอีกอย่างนะมันบอกว่าไม่ทำอะไรมึงมันเพื่อนกู กูก็เลย”
เสียงนั้นยังพูดไม่จบฉันก็พูดตัดบทมัน แบบไม่พอใจแล้วก็หน้านิ่งไม่ได้อะไรมาก
“ปล่อยกูอยู่กับมัน แต่ก็ช่างแม้ง”
เสียงมันก็แทรกเข้ามากก่อนที่จะขับรถออกไป
“มึงปลอดภัยกูรู้”
“ปลอดภัยอะไร”
“ก็มันเป็นเกย์มั้งเห็นเขาพูด ๆ กัน”
คำพูดของมันทำให้ฉันตกใจนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้สงสัยอะไรมากพลางเอามือจับวางไว้ท้ายรถด้วยความที่กลัวตกรถ กว่าจะถึงมอรถก็ดันมาติดที่แยกรัชดาอีกเลยเสียเวลาแต่ก็พอให้พักสายตากับแดดในช่วง 7 โมงพวกเราติดอยู่นาน เหตุผลเพราะอะไรที่มีความเงียบเข้ามาจนทำให้เพื่อนต้องเริ่มสนทนาในการรอไฟแดงที่เขาว่ากันว่า ไฟเขียว 7 นาที ไฟแดงนี้รอถึงชาติหน้า ไม่รู้ว่าคิดถูกไหมกับวลีเด็ดที่นักศึกษาแถว ๆ ลาดพร้าวพูดกัน
“มันไม่ได้ทำอะไรมึงนะ”
“ทำไร”
“เปล่า”
“ถามห่าอะไรของมึง”
ฉันอารมณ์เริ่มเสียเพราะมันเริ่มพูดไม่รู้เรื่องมันกลับทำให้คิดถึงเรื่องเมื่อคืน ทั้งเจ็บ ทั้งปวดทรมาร คิดไปคิดมาก็ทวนความจำว่าไปทำอะไร ทำไปเพื่ออะไร แล้วได้อะไร นอกจากนั้นคือกูทำอะไรของกู เมื่อความคิดที่กำลังคิดอยู่นั้น ก็มีคนตะโกนขึ้นอย่างดัง ทำให้สะดุ้งแล้วมองมันด้วยความงง ๆ
“ไอ้ ปุ๊ก ปุ๊ก ปุ๊ก”
“หะ…อะไร”
“ถึงหอมึงแหละ”
ฉันตกใจเมื่อถึงหอไว้มาก พอ ๆ กับความคิดเมื่อครู่แต่ก็ยังทำหน้างง แล้วลงจากรถเดินเข้าหอฉันสแกนนิ้วมือ ฟังไม่ผิดหรอกเพราะว่าอยู่หอในไม่อยากเปลืองเงินพ่อแม่เลยเลือกที่จะอยู่หอในอีกอย่างก็ไม่ได้ขัดอะไรกับการอยู่ 4 คนในห้องเดียวกับเพื่อนสาขาเดียวกัน ถึงแม้ว่าจะอยากออกไปนอนคนเดียวก็นะ สาเหตุหลักก็คือบ้านไม่มีเงินมากมายขนาดนั้น เงินที่มาเรียนก็พ่อแม่หามาให้รวมกับเงินที่กู้ กยศ.มาพอได้ใช้กับนิสัยที่ฉันเป็นคนประหยัดไม่ค่อยอยากได้อะไรนัก
หลังจากที่เดินมาเรื่อยกับคิดอะไรไปพลาง ๆ เปิดประตูเข้าห้องเสียงที่ดังกลึกก้องนั้นกับคำพูดที่ดูอยากยุ่งเรื่องของฉันมากเป็นพิเศษดังขึ้น
“ไปไหนมาครับเพื่อน”
ฟังไม่ผิดหรอกมันเป็น ทอม ก็ไม่แปลกที่จะทักทายเพื่อนอย่างนั้นด้วยน้ำเสียงแบบนั้นเพราะในห้องหรือที่เขาเรียกกันว่ารูมเมททั้ง 3 คนเป็นทอมทั้งหมด ก่อนที่ฉันจะตอบ ไอ้หม่อนเพื่อนที่เม้งหาแต่การบ้านมาให้ปรึกษาตลอดก็แซว
“เดียวนี้ไม่กลับหอวะ กูว่านะคงไปไหนสักที่หรือติดอยู่กับใครสักคนแน่เลยวะอา ลาย”
มันพูดพร้อมมองหน้าอายที่เป็นเพื่อนอีกคน รอยยิ้มมันเหมือนอยากยั่วโมโหให้พูดความจริงออกมา แต่ก็ไม่เป็นผลเมื่อฉันมองหน้าแล้วพูดว่า
“ไปนอนห้องเพื่อนมา มีปัญหา”
“เปล่า ก็แค่สงสัยคนดีอย่างมึงไม่เคยกับหอดึกหรือข้ามวันอย่างนั้น แปลกใจเลยถามดู”
“แล้ว บิ๊กเบลไปไหน”
ฉันมองหน้าพร้อมเปลี่ยนจากผู้ฟังเป็นคนถามหาเพื่อนอีกคนแบบไม่สนใจว่ามันจะโอเคกับการเปลี่ยนเรื่อง
“เขาก็อยู่กับแฟนเขา”
“ออ ถึงว่าทำไมไม่เห็น นั้นกูอาบน้ำแหละขี้เกียจตอบคำถาม”
“เออ เปลี่ยนเรื่องเก่ง”
คำพูดจบลงพร้อมกับการเดินเข้าห้องน้ำอาบน้ำทำธุระส่วนตัว เปิดฝักบัว ความเย็นของน้ำที่รดลงที่หัวอาบชโลมลงจรดเท้าไม่เท่าแอร์เย็น ๆ ของเมื่อคืนห้องที่เม้งไม่คุ้นตาหมอนนุ่ม ๆ ผ้าห่มอุ่น ๆ ที่ทำให้รู้สึกว่าอุ่นจริงแต่ก็เย็นไม่แพ้กัน ในหัวมันบอกแบบนี้กับความรู้สึกที่ลึก ๆ แล้วหาคำตอบไม่ได้ว่ามันคืออะไร หลังจากความคิดนั้นจบลงฉันก็ได้เวลาพักผ่อนอยากจะนอนโง่ ๆ แบบหัวลงหมอนแล้วหลับเลยแต่เม้งพอเท้าที่ก้าวออกมาจากห้องน้ำคือเสียงโทรศัพท์สั้นแรงมากจนต้องรีบเดินมารับ
“ว่า”
[เมื่อวานมึงไปไหนมา] เสียงที่คุ้นหูแล้วถามด้วยความอยากรู้
“ไปเที่ยว”
[เที่ยวบ้านมึงเหรอกลับเช้า มีอะไรบอกกูมา] คำถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใยของเพื่อนที่รู้ใจคนหนึ่ง
“ไม่มีไรหรอกเฟิร์น เอาไว้เดียวพรุ่งนี้เจอมึงก่อนแล้วค่อยเล่า หรือไม่ก็วันไปเรียนแล้วกัน รอได้ก็รอ แต่ถ้ากูลืมก็ปล่อย ๆ ไป”
[เอ้า ห่ามึงกูถามมึงเปลี่ยนเรื่องเก่ง เออ ค่อยเจอกัน] น้ำเสียงที่บ่งบอกความเผือกของเพื่อน ปนกับความเป็นห่วงเป็นใยก็คละกันไปแต่เอาเป็นว่าวันนี้ขอนอนเอาแรงก่อนจะมีอะไรมาให้ปวดหัวอีก พลางเอาตัวกับหัวโน้มตัวลงบนเตียง แต่คิดขึ้นได้ว่าต้องสวดมนต์ก่อนจะนอนทุกครั้งก่อนจะหลับ ด้วยความเหนื่อยล้าสวดเสร็จหลับไปตอนไหนรู้อีกทีก็ 6 โมงเช้าของอีกวัน