MONSTER'N TABOO
1
ตอน
10.9K
เข้าชม
153
ถูกใจ
11
ความคิดเห็น
39
เพิ่มลงคลัง

CHAPTER 1

 

@ASOON CONDO

 

‘เตโช’ เจ้าของนัยน์ตาสีมรกตมากด้วยความดุร้ายจ้องรูปในมือพร้อมรอยยิ้มชวนขนลุก เลื่อนไล้มองรูปร่างน่าหลงใหลของหญิงสาวหน้าตาน่ารักทว่ามีเสน่ห์แบบผู้ใหญ่ในชุดนัดเรียนมอ.ปลายด้วยความรู้สึกตื่นเต้นจนอุณหภูมิในกายร้อนระอุไม่ต่างจากเปลวเพลิง...

ทุกองค์ประกอบไม่ว่าจะเป็นนัยน์ตาสีทองอำพัน เรือนผมหยักศกเล็กน้อยรวบเป็นหางม้าเปิดใบหน้ารูปไข่สวยโชว์ความขาวใส...รวมถึงริมฝีปากอวบสีส้มอ่อนซึ่งเผยอขึ้นแบบไม่ได้ตั้งใจ มันทำให้เขาอดไม่ได้ที่ต้องกลืนน้ำลายลงคอด้วยความกระหาย...

อา ให้ตาย...เสน่ห์ของเด็กคนนี้ทำให้เขารู้สึกปั่นป่วนไปหมดทั้งร่างกายแล้ว

เด็กสมัยนี้โตเร็วเหลือเกิน...

เขาคิดพร้อมรอยยิ้มบางๆ บริเวณมุมปากซึ่งถ้าใครเห็นอาจคิดว่ารอยยิ้มนี้เป็นรอยยิ้มที่ดูจิตตกและน่ากลัวจนไม่น่าเข้าใกล้นั่นเพราะมันแฝงเร้นด้วยความคิดที่ลึกล้ำอย่างเลือดเย็น ขณะเดียวกันก็ชั่วร้ายไม่ต่างซาตานตัวร้าย

จะไหวไหมนะ...ความต้องการอันร้อนรนที่กำลังไหลพล่านไปทั่วทั้งร่างเช่นนี้ เขาจะเก็บกลั้นมันไว้ได้นานสักเท่าไหร่กัน ไม่คิดเลยว่าเด็กเพียงคนเดียวที่เห็นเพียงรูปภาพจะ ‘ปลุกปั่น’ ความต้องการของเขาให้ตื่นขึ้นเร็วขนาดนี้

“มึงจะรังแกเด็กน้อยหน้าตาน่ารักแบบนี้ได้ลงคอเหรอวะ” เตโชถาม...ก่อนเลื่อนนัยน์ตาสีมรกตเข้มจ้องมองผู้เป็นเพื่อนซึ่งนั่งอยู่บนขอบหน้าต่างขณะริมฝีปากบางติดคล้ำกำลังคาบมวนบุหรี่เอาไว้ด้วยอารมณ์ที่บ่งบอกถึงความขุ่นมัวดั่งเช่นสีของควันบุหรี่ที่ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ

และเขาคนนั้นคือ‘อสูร...’

“เด็กน้อยเหรอ? พูดผิดพูดใหม่ได้นะไอ้เต นังนั่นน่ะร่านกว่าที่คิด หึ...‘สันดานเหมือนแม่มันไม่มีผิด!’” รอยยิ้มเหยียดหยันของอสูรส่อแววสมเพชและรังเกียจเสียจนอยากใช้เท้าเปล่าๆ ของตนบดขยี้ลงบนหน้าสวยๆ แต่น่าสะอิดสะเอียนนั่นให้ยับยู่ยี่เยินเสียจริงๆ

นัยน์ตาสีไพลินของอสูรเต็มไปด้วยความเกลียดชังและขยะแขยงยิ่งกว่าเธอเป็นหนอนขยะ...

หากในความขยะแขยงนั่นยังเคลือบแฝงไปด้วยความเคียดแค้นชนิดที่เขาไม่อาจถอดถอนมันออกมันไปจากหัวใจดวงนี้ได้เลยสักเสี้ยววินาที ทุกภาพ ทุกความรู้สึก และทุกความเจ็บปวดยังตราตึงผูกมัดอย่างแน่นหนาประหนึ่งรอยสัก...ที่ลบล้างอย่างไรก็ไม่มีทางจางหาย จะมีก็แต่ต้องใช้คมมีดตัดเนื้อส่วนนั้นออกไป!

เขาไม่มีวันลืมเลือนทุกอย่างในวันนั้นได้...แววตาของ‘นังเด็กจิตใจอสรพิษ’ คราบเลือดที่เปรอะเลอะบนใบหน้าและฝ่ามือทั้งสอง รวมถึงเสียงลมหายใจอันแผ่วเบานั่น ทุกอย่างยังคงกรอซ้ำแล้วซ้ำเล่าดังภาพยนตร์ที่ฉายย้ำในทุกค่ำคืนยามเขาหลับฝัน แม้กระทั่งลืมตาตื่น เรื่องเลวร้ายที่สุดก็ยังไม่เลือนหายไป! ไม่เจือจางเลยสักฤดูกาล!

“เออแหม กูรู้แล้ว...แต่สวยดีอ่ะ” เตโชรู้อยู่ก่อนแล้วว่าประวัติของเธอเต็มไปด้วยจุดด่างพร้อย หากจะเฉียดกรายเข้าใกล้เธอคงต้องกล้ำกลืนฝืนทน

หากก็น่าโกรธตัวเองเช่นกันที่ต่อให้รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ไม่มีค่าพอที่จะสัมผัส แต่เพราะความสวยเกินเด็กของเธอกำลังสั่นคลอนความต้องการของเขาให้สั่นสะท้าน แน่นอนว่าความรู้สึกของเขาไม่ใช่พวกรักแรกพบหรืออะไรปัญญาอ่อนแบบนั้น เขาเพียงแค่อยากจะลองกับเธอสักครั้ง...มันก็เท่านั้นเอง

และมันช่างบังเอิญจนน่าขันเพราะเมื่อบ่ายที่ผ่านมา ‘ลุงอลัน’ ผู้ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทพ่อไหว้วานให้เขาติวหนังสือให้เธอที่กำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยในเร็วๆ นี้ เตโช...ในฐานะนักศึกษาระดับปริญญาโท ซึ่งเป็นที่ไว้วางใจของบรรดาผู้ใหญ่จึงไม่ได้ทัดทานอะไร แม้ว่า‘ว่าที่ลูกศิษย์ผู้น่ารัก’ คนนี้จะเป็นเหยื่อของอสูรที่กำลังดำดิ่งลงเหวแท้ๆ

“เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะกูก็อยากให้มึงช่วย” อสูรกระตุกยิ้มปีศาจพลางพ่นควันบุหรี่สีขุ่นออกมาแรงๆ จนกลุ่มควันกลิ่นฉุนพุ่งออกมาเป็นเกลียวอากาศที่เห็นเพียงแวบเดียวก็จางไป

สองตาสีสวยสบมองผู้เป็นเพื่อนด้วยความรู้สึกที่ลุกโชนด้วยไฟแค้นเต็มอัตรา เตโชคือน้ำมัน...และอสูรคือดวงเพลิงลูกโต ถ้าหากเตโชกล้าที่จะกดเธอลงไปในถังน้ำมัน อสูรเองก็ไม่ลังเลที่จะจุดไฟเผาร่างเธอให้มอดม้วย ไม่หลงเหลือแม้เพียงเศษกระดูก

“แหม...กูรู้แล้วแหละน่า! ไอ้เรื่องปู้ยี้ปู้ยำ ‘เด็กผู้หญิง’ จนน้ำตาเล็ดของถนัดกูมึงก็รู้ อิอิ” รอยยิ้มโรคจิตของเตโชฉายขึ้นมาอีกครั้งบนใบหน้าหล่อเหลาที่ขัดกับสันดานดิบราวท้องฟ้ากับหุบเหว แผ่รังสีอันตรายที่ความมืดมิดในจิตใจก็ไม่อาจหยั่งถึงได้ จากนั้นก็พับรูปใบเล็กใส่กระเป๋ากางเกงยีนสีเข้ม

“มึงจะทรมานยัยนั่นแบบไหนก็ได้ ทำให้เจ็บปวดจนน้ำตาไหลออกมาเป็นสายเลือดกูก็ไม่ว่า...แต่ขออย่าง” อสูรเว้นไว้ในขณะภาพที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดยังคงลอยล่องอยู่ในหัวจนน่าโมโห “...แต่มึงห้ามฆ่าเด็ดขาด” สิ้นคำพูดของอสูรทำให้ริมฝีปากบางสีแดงสดประหนึ่งโลหิตสัตว์ร้ายของเตโชยกขึ้นอย่างมีเลศนัย

“ทำไม? อย่าบอกนะว่ามึงเห็นใจคนสวยของกูน่ะ...ช่างไม่เข้ากับสันดานเหี้ยๆ ของมึงเลยนะครับ” เตโชหัวเราะในลำคอ  ก็จริงนี่...เพื่อนเลวๆ ของเขาไม่เคยมีนิสัยเห็นอกเห็นใจคนอื่นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่เคยชายตาแลเด็กหรือคนแก่ที่กำลังทุรนทุราย มีแต่จะยิ่งกระทืบและบิดขยี้ให้เจ็บปวดจนตายไป...นั่นแหละก้นบึ้งที่แท้จริงของอสูร นามของ‘ปีศาจ’อย่างแท้จริงเช่นเขา

“ใครบอกว่ากูเห็นใจยัยผู้หญิงหลายผัวแบบนั้น...” อสูรตวัดดวงตาคู่คมประหนึ่งเหยี่ยวร้ายมองผู้เป็นเพื่อนอย่างไม่สบอารมณ์  “กูแค่อยากฆ่ายัยผู้หญิงโสมมนั่นด้วยมือของกูเองต่างหาก!”

“หึ...แบบนี้สิสมเป็นมึงหน่อย”

เตโชยิ้มอีกครั้ง...รอยยิ้มเลือดเย็นเป็นสัญญาณบอกถึงความอันตรายที่กำลังกร่ำกรายเข้าไปในชีวิตของเด็กสาวผู้โชคร้าย

เขารู้ดีว่าถ้าหากเขาทำเรื่องอะไรไม่ดีต่อเธอ เรื่องนี้ถึงหูของพ่อและลุงอลันแน่ๆ แต่จะทำเช่นไรได้ในเมื่อผู้หญิงคนนี้พังทลายชีวิตเพื่อนเขาจนแหลกละเอียดไม่มีชิ้นดี ทำให้อสูร...ต้องจมอยู่กับความทุกข์ทรมานและฝันร้ายมานานหลายปี เตโชรู้ดี...รู้ดีว่าเพื่อนตัวเองต้องเดินอยู่ในวังวนบ้าๆ นั่นมานานและลืมเลือนว่ารอยยิ้มคืออะไรและสามารถแสดงมันออกมาเช่นไร แน่นอนว่าเขาเองก็เจ็บปวด...แต่จะดีกว่านี้ถ้าเจ้าของเรื่องทั้งหมดอย่าง ‘บุรินทร์’ นังเด็กกากีได้รับการลงทัณฑ์อย่างสาสม!

 

“เทียน...น่ากลัว”

ฉันเอ่ยอย่างไม่ไว้วางใจเมื่อสองเท้าก้าวเข้ามาในสถานที่อโคจรห่างไกลจากแหล่งอาศัยของผู้คน หนำซ้ำยังมีกลิ่นสาบไม่พึงประสงค์ลอยฟุ้งกระจัดกระจายไปทั่ว กอปรกับเส้นทางส่วนนี้เป็นตรอกแคบที่ทอดยาวไปเบื้องหน้า โดยสิ้นสุดที่สามารถมองเห็นคือประตูเหล็กเก่าคร่ำครึสนิมเขรอะบ่งบอกถึงสภาพการใช้งาน และไม่เคยถูกชำละล้างทำความสะอาดเลยสักหน

ผนวกกับบรรยากาศหนาวเย็นกับเสียงท้องฟ้าสีเทาอึมครึมเป็นการส่งสัญญาณว่าในอีกไม่กี่ชั่วอึดใจฝนต้องตกแน่ๆ ฉันเกาะแขนบางของ‘เทียนไข’ เพื่อนสาวคนสนิทเพียงคนเดียวในชีวิตด้วยความหวาดระแวง แม้สีหน้าไม่บ่งบอกว่าฉันกำลังพะวักพะวนมากเท่าไหร่ แต่เชื่อเถอะว่าหัวใจของฉันกำลังกระหน่ำแรงจนแทบระเบิดอยู่แล้ว

“แกจะกลัวอะไรวะ! นี่มัน‘รัง’ ของพ่อฉันนะ” เทียนไขทำเสียงดุเมื่อเห็นว่าฉันหวาดระแวงเกินเหตุไปหน่อย ก็แล้วจะให้ฉันฉีกยิ้มได้อย่างนั้นเหรอ...ดูสภาพรังของพ่อยัยนั่นสิ เหมือนโรงฆ่าหั่นศพที่เคยดูในทีวีเลย...

ผนังทั้งสองฝั่งแฉะชื้นและเต็มไปด้วยรอยกระดำกระด่างราวคราบเลือดแห้งกรัง หนำซ้ำตามผนังยังมีการพ่นสเปรย์เป็นภาษาอังกฤษซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นประโยคหยาบคาย และคำเชิญชวนอันน่าขนลุก เพียงกวาดสายตามองแค่เสี้ยววินาทีฉันก็รู้สึกว่าพื้นที่ตรงนี้มีกลิ่นอายความน่ากลัวและอันตรายยากที่จะปฏิเสธได้แล้วจริงๆ

“ฉันรู้ แต่แกพาฉันมาที่นี่ทำไมเหรอ...” ฉันถาม เป็นเวลาเดียวกันที่เราสองคนเดินมาหยุดตรงประตูที่ทำด้วยเหล็กคล้ายกรงขังสัตว์ซึ่งเดาแล้วน่าจะเป็นประตูกั้นทางเข้าไปด้านใน ใช่...ฉันรู้ว่าเทียนไขคลุกคลีวงจรสีดำนี่มาตั้งแต่ไหนแต่ไร และรู้ดีว่าเธอเป็นใคร ครอบครัวเธอทำงานอะไร รวมถึงพื้นที่ตรงนี้เป็นอีกหนึ่งแหล่งกบดานของบรรดาลูกน้องและพ่อของเธอ...แต่เพราะฉันไม่เคยมาเหยียบที่นี่เลยสักครั้ง ครั้งแรกแบบนี้จึงรู้สึกหวั่นกลัวเล็กๆ

“ก็แกน่ะโดนรังแกบ่อยจนน่ารำคาญ ฉันเลยพาแกมาแนะนำให้พ่อและลูกน้องของฉันรู้จักไง!”

“แล้วมันยังไงเหรอ” ฉันถามอย่างฉงนใจ

ก็จริงที่ฉันถูกคนในโรงเรียนรังแกบ่อยครั้งจนทุกอย่างเริ่มกลายเป็นความชินชา ทั้งถ้อยคำปรามาส บาดแผลตามร่างกายจากการถูกทำร้าย...ทุกสิ่งล้วนเกิดจากน้ำมือเพื่อนร่วมสถาบันที่เกลียดชังฉันทั้งนั้น

พวกเขาครหาฉันว่าเป็นผู้หญิงที่ถูกสาป...เป็นแม่มด เป็นผู้หญิงที่น่ารังเกียจ

ฉันไม่เคยเข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงคิดเช่นนั้น... เพียงแค่ฉันมีนัยน์ตาสี ‘ทองอำพัน’ สว่างกับเรือนผมสีเดียวกับดวงตาและผิวขาวซีดกว่าคนปกติ

...เพราะความแตกต่างของฉันเหมือนจะเป็นจุดดึงดูด จึงมีชายมากหน้าหลายตาตามติดและคิดจะครอบครองฉัน ทั้งคนที่มีเจ้าของแล้ว คนในวัยทำงาน เด็กกว่านั้นหรือแก่กว่านั้น...พวกเขาเหมือนโดนมอมเมาและพุ่งเข้าใส่อย่างรุนแรงจนเป็นเหตุให้ฉันต้องคอยแบกรับคำครหาที่ว่าฉันเป็นเด็กกร้านโลก...และผู้ชายพวกนั้นเป็นเหยื่อเพื่อลองรับอารมณ์ปรารถนาของฉันที่ทุกคนเรียกกันว่า ‘ความอยาก’

ทั้งที่ความจริง...ฉันก็อยู่ของฉันดีๆ อยู่อย่างเงียบสงบด้วยซ้ำไป

ใช่...แต่ความสงบของฉันมันสั้นนัก

ทุกครั้งที่โดนกระทำ... ไม่มีใครช่วยฉันได้ ไม่สิ! ยัยเทียนน่ะช่วยฉันได้ แต่บางครั้งมันก็ไม่ใช่เวลาที่เธอจะมาคอยปกป้องฉันเพราะเธอก็มีภารกิจที่ต้องทำเช่นกันน่ะสิ

ยัยเทียนเข้ามหาวิทยาลัยแล้วน่ะ...เราอายุเท่ากันก็จริงแต่ยัยนั่นเข้าเรียนก่อน

“เอ้า!  ก็ฉันจะฝากให้คนของฉันดูแลแกไง เวลาไหนที่ฉันไม่อยู่จะได้ไม่ต้องถูกพวกเหี้ยๆ นั่นรุมรังแกอีก บอกตรงๆ นะ ไอ้บาดแผลตามตัวแกเนี่ย...เห็นแล้วของขึ้นจริงๆ!” ยัยเทียนสบถหยาบคายอย่างคุกรุ่นขณะนัยน์ตาสีดำสนิททว่าแฝงเร้นไปด้วยเสน่ห์เลื่อนมองบาดแผลตามแขนฉันที่ยังปรากฏร่องรอยอย่างชัดเจน เชื่อไหมว่าคำพูดกับท่าทีหยาบกระด้างเหมือนผู้ชายของเธอขัดกับใบหน้าหวานๆ นั่นเหลือเกิน...

“ฉันว่าไม่ต้องก็ได้มั้ง เอ๊ะ!”

“หุบปากไปเลยค่ะคนสวย” คนเป็นเพื่อนไม่รอให้ฉันพูดจบก็จัดการดึงแขนเข้าไปในพื้นที่อันตรายโดยไม่ไถ่ถามความคิดเห็นของฉันแม้สักคำ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ยัยนั่นถูลู่ถูกังเข้ามาในห้องรกๆ อันเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นสาบและกลิ่นสนิมที่โชยคลุ้งเพราะอาจจะถูกความชื้นจากด้านนอกซึมผ่านผนังห้องเข้ามา แสงไฟอ่อนๆ จากหลอดตะเกียบที่ห้อยอยู่เหนือศีรษะเพียงเอื้อมมือเอนไหวไปมาคล้ายจะหล่นร่วงลงมาอยู่รอมร่อ

“คุณหนูพาใครมาครับเนี่ย...” เพียงไม่กี่วินาทีที่ฉันหยุดเท้าลงตรงนี้ เสียงทุ้มจากทิศทางหนึ่งเรียกให้หันไปยังต้นตอซึ่งพบกับหนุ่มชุดดำผู้ซึ่งมีใบหน้าอ่อนหวานและดูอบอุ่นจนไม่คิดว่าเขาจะมาอยู่ในสถานที่เช่นนี้ได้

หากเมื่อฟังจากจากสรรพนามที่เขาเอ่ยเรียกยัยเทียนแล้ว...เขาน่าจะเป็นคนของที่นี่ล่ะมั้ง

“เพื่อนฉัน บุรินทร์น่ะ” เทียนไขตอบแล้วโอบไหล่ของฉันไว้อย่างหวงแหน “อ้อ! ส่วนไอ้หมอนี่ชื่อ‘ฟ้าลั่น’นะ เป็นลูกน้องคนสนิทของฉันเอง” ไม่นานเทียนไขก็แนะนำเขาให้ฉันรู้จัก ฉันก้มหัวให้ฟ้าลั่นอย่างมีมารยาทเพราะดูๆ แล้วเขาน่าจะอายุมากกว่าฉันสักสองถึงสามปี

ฟ้าลั่นเองก็ค้อมศีรษะตอบกลับมาอย่างมีมารยาท ท่าทีของเขาเหมือนคนที่ถูกฝึกปรือมาอย่างดิบดี และฉันมั่นใจว่าเขาน่าจะเป็นคนที่น่ากลัวไม่น้อยทีเดียว แม้นัยน์ตาสีเทาคู่นั้นจะดูอบอุ่นไร้ซึ่งพิษภัย แต่สิ่งที่ทำให้ฉันกล้าการันตีนั่นเพราะครอบครัวเทียนไขมีกฎเหล็กน่ากลัว และการจะมาเป็นคนของวงจรนี้ต้องเลือดเย็นและมีฝีมือเก่งกาจ

ก็คงเหมือนเทียนไข...ที่หน้าตาน่ารักแต่กลับซ่อนเร้นความแข็งแรงและดุดันเอาไว้

“ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณบุรินทร์” น้ำเสียงกังวานเอ่ยด้วยท่าทางกราดเกรงอย่างอ่อนน้อมราวฉันมีระดับสูงศักดิ์ และในตอนนั้นเอง...

...นัยน์ตาสีเทาเหมือนขนแมวเปอร์เซียสบมองมายังฉันอย่างมีความหมาย เหมือนถูกหยุดเวลาเอาไว้ชั่วครู่หนึ่งกับแววตาอันตรายที่ต้องการจะสะกดตรึงฉันไว้อย่างนี้คล้ายคนถูกสาปให้กลายเป็นหินแข็ง

ความลึกล้ำจากแววตาอันอ่อนโยนมีอะไรมากมายที่หยั่งถึงไม่ได้ รอยยิ้มเบาบางนั่นก็เช่นกัน... พลันหยาดเหงื่อผุดซึมขึ้นมา...พร่างพราวตามขมับทั้งที่บรรยากาศหยาวยะเยือก จนมันระเหยไปกับผิวหนัง ทุกอย่างก็กลับมาสู่สภาพปกติ และเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งที่ก่อนหน้านี้...

เฮ้...บางทีฉันอาจมโนไปเองก็เป็นได้ ความน่ากลัวของสถานที่แห่งนี้กับสิ่งที่เผชิญอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้นในทุกๆ วันอาจกลั่นกลายฉันจนเกิดความวิตกจริต...เช่นนั้นก็ได้ (มั้งนะ)

“แล้วพ่ออยู่ไหน?” ยัยเทียนถามฟ้าลั่น

“นายท่านอยู่ในห้องมืดครับ แต่ท่านสั่งห้ามไม่ให้ใครเข้าไป”

“ทำไมล่ะ กำลังจะฆ่าใครหรือไง?” เพื่อนตัวดีถามพลางขมวดคิ้ว แต่ท้ายที่สุดก็พูดต่อประโยคอีกครั้ง “ก็ไม่อะไรหรอกนะ แต่ฉันแค่อยากขอคนของพ่อมาดูแลยัยรินทร์สักคนสองคนน่ะ วานให้ไปถามหน่อยได้ไหมว่าพอจะมีคนฝีมือดีๆ บ้างหรือเปล่า”

“ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้มั้ง ฉันบอกแล้วไงว่า...”

“อะไรของแกวะเนี่ย! ฉันกำลังช่วยแกอยู่นะ ยืนเงียบๆ ต่อไปเถอะน่า” คนใจร้อนดุฉันอีกครั้งด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด เราต่างก็กำลังทำในสิ่งที่ขัดใจซึ่งกันและกัน แต่ฉันกลับต้องเป็นฝ่ายเงียบเพราะรู้ดีว่าต่อให้พูดอย่างไร ยัยเทียนคนนี้ก็ไม่มีทางสนใจอยู่แล้ว ฉันเข้าใจว่ายัยนั่นเป็นห่วงสวัสดิภาพของฉันมาก แต่การที่เธอลงทุนอะไรมากขนาดนี้มันก็ทำให้ฉันรู้สึกเกรงใจ...จนบางครั้งฉันก็คิดว่าตัวเองอาจจะต้องใช้ชีวิตโดยมีเธอเคียงข้างตลอด พึ่งพา และเกาะรั้งเธอไปอย่างนี้...

นั่นทำให้ตัวฉันดูน่าสมเพชกว่าเดิม แต่ฉันพูดออกไปไม่ได้ ไม่เช่นนั้นอาจจะเป็นการทำลายความห่วงใยของเพื่อน และยัยนั่นก็อาจจะทำหน้าถมึงทึงและโกรธฉันเอาได้

ปึง!

ทว่าในระหว่างนั้นกลับมีเสียงไม่ทราบเหตุดังขึ้นมาจากมุมหนึ่ง พอหันไปยังต้นตอของเสียงก็พบกับร่างสูงโปร่งในชุดยูนิฟอร์มนักเรียนไม่ถูกระเบียบถีบบานประตูไม้เก่าๆ ออกมาอย่างรุนแรงจนประตูแทบพังคาเท้าเลยก็ว่าได้ ตอนแรกฉันไม่ได้ใส่ใจเลยด้วยซ้ำว่าเขาจะเป็นใคร ทว่าเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมา...ดวงตาของฉันก็เบิกโพลงขึ้นมาในทันใด

นัยน์ตาสีน้ำเงินคู่นั้น...

นั่นมัน...

“เฮ้ย! นี่มันอักขระไม่ใช่เหรอ นี่นายมาทำอะไรที่นี่ เฮ้ๆ ตอบคำถามกันก่อนสิ!” ยัยเทียนเองก็คงตกใจไม่ต่างจากฉันเท่าไหร่นักเพาะสิ่งที่เธอเห็นคือ‘อักขระ’...น้องชายของฉันเอง

ใช่! เด็กผู้ชายตัวสูงในชุดนักเรียนหลุดลุ่ยไม่ถูกระเบียบนั่นคือน้องชายของฉัน เขามักแต่งตัวผิดระเบียบและทำตัวเกเรเสมอ นอกจากจะชอบโดดเรียนแล้วยังมีเรื่องต่อยตีทุกวี่ทุกวันจนพ่อต้องเข้าออกห้องกิจการเป็นว่าเล่น แต่นั่นอาจจะเป็นแค่ความธรรมดาที่ฉันเจอะเจอจนชาชิน ทว่า...ทำไมอักขระถึงมาอยู่ที่รังของลุงเทียนไขได้ นั่นคือความข้องใจที่ปรากฏชัดในวินาทีนี้

หนำซ้ำใบหน้าที่เดิมมีบาดแผลอยู่แล้วยังเต็มไปด้วยเลือด... รอยฟกช้ำต่างๆ นานาที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าอ่อนเยาว์ยังมากกว่าที่เคยเป็นเหมือนเพิ่งถูกใครทำร้ายมาอย่างหนักหน่วงรุนแรง

และเขายังไม่อยู่ตอบคำถามอันค้างคาใจของเทียนไขทั้งที่ปกติสองคนนี้สนิทกันยิ่งกว่าอะไร นั่นยิ่งทำให้ฉันเป็นห่วงว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้องชายตัวแสบคนนี้กันแน่

“เทียน...ฉันขอตัวกลับก่อนนะ” เพราะความร้อนรนในหัวใจ ฉันจึงหันไปขอร้องเพื่อนสาวเช่นนั้นซึ่งยัยเทียนเองก็ดูจะเข้าใจความรู้สึกของฉันจึงพยักหน้ารับ ฉันยิ้มให้เธออย่างที่เคยยิ้มก่อนจะรีบก้าวเท้าตามอักขระที่เดินพรวดพราดไปอย่างห่วงใย แต่วิ่งมาได้ไม่นานเท่าไหร่ ซึ่งยังไม่พ้นรัศมีจากบริเวณที่เทียนไขและฟ้าลั่นยืนอยู่ เสียงใสของยัยเทียนก็ตวาดขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น! ใครทำอะไรอักขระ!”

 

“อักข! หยุด!” ฉันเรียกชื่อผู้เป็นน้องชายที่เดินลิ่วๆ ไปด้านหน้าอย่างเหนื่อยหอบเพราะกว่าจะวิ่งออกมาจากพื้นที่ตรงนั้นได้ค่อนข้างยากลำบาก นอกจากจะมืดแล้ว ณ ตอนนี้ฝนยังตกลงมาอย่างหนักอีกด้วย...การที่วิ่งด้วยความเร็วเพื่อไล่ตามคนขายาวให้ทันจึงต้องระแวดระวังว่าจะลื่นล้มบนพื้นที่เฉอะแฉะด้วยน้ำฝน

หมับ!

ในที่สุดฉันก็คว้าหมับที่ข้อมือหนาของอักขระได้สำเร็จ ร่างสูงที่เดินฝ่าฝนอย่างไม่กลัวหวัดชะงักเท้า ก่อนจะหันหน้ากลับมาด้วยความหงุดหงิด นัยน์ตาสีน้ำเข้มของเขากำลังวาวโรจน์และอัดแน่นด้วยเพลิงโทสะชนิดที่สามารถเผาไหม้ทุกอย่างให้มอดมลายได้

“ปล่อยฉัน!” คนตัวสูงตวาดใส่หน้าอย่างเกรี้ยวกราดพร้อมสะบัดข้อมือของฉันออกอย่างรุนแรงประหนึ่งฉันเป็นพี่สาวที่ไม่เคยอยู่ในสายตาเลยสักเสี้ยววินาที

“มันเกิดอะไรขึ้น บอกพี่ได้ไหมอักข” ฉันถาม และพยายามควบคุมน้ำเสียงของตัวเองให้ดูอ่อนโยนเผื่อความร้อนในใจของเด็กคนนี้จะเย็นลงบ้างสักนิด อ้อ...ปกติแล้วฉันมักจะเรียกเขาว่า ‘อักข (อัก-ขะ)’ น่ะ เป็นชื่อที่เรียกเขามาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว อีกทั้งยังเป็นชื่อเล่นที่เห็นจะมีฉันเพียงคนเดียวเรียก ในขณะที่พ่อเรียกเขาว่าอักขระ ซึ่งเป็นชื่อเล่นเต็มๆ ของเขา

ฉันมองหน้าอักขระที่บัดนี้เต็มไปด้วยบาดแผลจากการถูกทำร้ายและรุนแรงกว่าครั้งไหน บริเวณหางคิ้วของเขาแตกจนเลือดไหลซิบ เฉกเช่นริมฝีปากสีสดติดคล้ำเพราะนิสัยสูบบุหรี่จัดซึ่งปริแตกอย่างน่ากลัว ยิ่งตอนนี้ถูกหยาดน้ำเย็นสาดเทลงมากระทบแผลสดๆ ยิ่งคงทำให้ความเจ็บทวีขึ้นอีกเป็นแน่ เพียงแต่เก็บเสียงเอาไว้เพื่อปิดกั้นด้านอ่อนแอของตัวเองตามลักษณะนิสัยของเขา

“อย่ามายุ่ง! ไปตายไหนก็ไปเลยไป!” ทว่าเด็กนิสัยไม่ดีกลับแสดงท่าทีก้าวร้าวกับฉันด้วยความแรงที่เสมอต้นเสมอปลาย แล้วก็เดินจากฉันไปเหมือนกำลังกรุ่นโกรธกันจนไม่อยากมองหน้า แน่นอนว่าฉันข้องใจเหลือเกินว่าเขากำลังโกรธอะไร และอะไรทำให้เขาเข้าไปในสถานที่อันตรายของพ่อเทียนไขได้

มันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ เลย

 

“อะ...แรงอีก แรงขึ้นอีกค่ะ...”

ช่องว่างของบานประตูปรากฏภาพอันเร่าร้อนของชายหญิงคู่หนึ่ง...เตียงนอนสีขาวสะอาดขยับเขยื้อนไปตามแรงเคลื่อนไหวของฝ่ายชายซึ่งกำลังละเลงความต้องการอย่างไม่คิดยั้ง ร่างกายอันเปลือยเปล่าพร่างพราวไปด้วยหยาดเหงื่อนับร้อย เสียงครางกระเส่าดังถี่กระชั้นพร้อมแรงขยับที่รุนแรงขึ้น... ป่าเถื่อนขึ้นจนฝ่ายหญิงต้องกรีดร้องออกมาสุดเสียงกับความเจ็บปวดที่เธอได้รับ

ทว่าในความเจ็บปวดอันแทบทนไม่ไหวนี้กลับแฝงเร้นไปด้วยเพลิงปรารถนาที่รุนแรงไม่ต่างจากพายุโหมกระหน่ำ ยิ่งตัวตนอันร้อนผ่าวฝังลึกและแนบแน่นมากเท่าไหร่ เส้นประสาทตามร่างกายก็แทบระเบิดไปพร้อมกับห้วงของความสุขชนิดที่ไม่อาจสลัดออกไปได้เลย

“กอดผมให้แน่นๆ...ร้องให้ดังๆ” ชายผู้อยู่เหนืออาณัติเอ่ยเสียงแผ่วขณะที่ร่างกายยังคงเคลื่อนไหวอย่างไม่คิดหยุดหย่อน ไม่สามารถผ่อนปรนลงได้เลยแม้สักเสี้ยววินาที ยิ่งก้มมองใบหน้าสวยหวานกับนัยน์ตาอันทรงเสน่ห์ที่กำลังฉ่ำเยิ้มไปด้วยความรู้สึกอันทรมานและสุขสมใต้ร่าง เขาก็ยิ่งต้องการ...ต้องการที่จะครอบครองเธอไปอย่างนี้ ทำให้เธอเป็นของเขาไปแบบนี้...ตลอดชั่วกัลปาวสาน

“อะ!...” เสียงร้องที่ไม่อาจกักเก็บดังออกมาจากริมฝีปากสีสวย ทว่า...เสียงร้องนั้นไม่ได้มีเพียงเขาหรือเธอที่ได้ยินกันเพียงสองคน หากแต่เด็กผู้หญิงคนนี้...เจ้าของดวงตากลมโตสดใสกลับมองเห็นทุกท่วงท่าอิริยาบถตรงช่องว่างของบานประตูที่แง้มไว้ เธอรับรู้ทุกอย่าง ทั้งเสียงร้อง แรงเคลื่อนไหวที่รุนแรงและดังสะท้านไปทั้งห้องจนเล็ดลอดมาถึงตรงนี้

เด็กคนนี้เห็นมัน...จดจำและตราตรึงไม่เลือนหาย

หัวใจของเธอเต้นแรงและเจ็บปวด...เจ็บปวดทั้งที่ยังไม่สามารถเข้าใจได้ว่าสิ่งที่เธอเห็นคืออะไร

จนกระทั่งหญิงคนนั้นเลื่อนสายตามาทางเธอ...จ้องหน้าเธอขณะร่างกายอันน่ายวนใจกำลังสั่นสะท้านไปมาอยู่บนเตียงนอนสีขาว เธอยิ้มให้เด็กคนนี้...ยิ้มอย่างอ่อนโยน...

“ปิดประตูให้หน่อยได้ไหม...”

และนั่นคือคำพูดสุดท้ายของเธอ...ก่อนที่ทุกอย่างจะดำมืดและวนกลับมายังความเป็นจริงที่ว่า....เธอแค่ฝันไปเท่านั้นเอง

 

ฉันฝันแบบนี้อีกแล้ว...ฝันถึงภาพอันน่าสะอิดสะเอียนนี่อีกแล้ว

มันเป็นฝันเดิมๆ ที่ฉันเห็นบ่อยยามหลับตา ทุกภาพยังตราตรึงอยู่ในหัวฉันไม่จางหาย

พวกเขาเป็นเพียงแค่ภาพในความฝัน...

อันที่จริงไม่ใช่ว่าฉันจิตลามกจนฝันเห็นฉากแบบนี้หรอกนะ แต่มันไหลเข้ามาในสมองของฉันเอง...เด่นชัดและฉายซ้ำๆ ราวกับต้องการบอกอะไร ทุกอย่างที่ดวงตาคู่นี้สะท้อนเห็นราวกับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงทั้งที่พอได้สติ...มันก็เป็นเพียงแค่มโนภาพอันจับต้องไม่ได้เท่านั้น

“ให้ตายสิ! ฝันแบบนี้อีกแล้ว” ฉันบ่นและมุ่นหน้า เพราะรู้สึกไม่ชอบใจกับฝันน่าเกลียดๆ นั่นสักเท่าไหร่ แน่นอนว่าฉันสงสัยกับเรื่องนี้มาก แต่จะให้ไปปรึกษาใครได้...ก็มีแต่จะยิ่งทำให้คนอื่นเขาหัวเราะ ฉันจึงได้แต่เก็บงำความข้องใจนี้ไว้คนเดียว

ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

ฉันสะดุ้งเมื่อประตูห้องดังขึ้น ทำเอาภวังค์หลุดลอยหายไปทันใด และใช่...ตอนนี้ทุกอย่างกลับมาสู่ความเป็นจริง

“รินทร์ตื่นยังลูก...เปิดประตูให้พ่อหน่อยเร็ว” เสียงพ่อนี่นา...

เมื่อรู้ว่าเจ้าของเสียงคือพ่อ ฉันจึงรีบวิ่งไปเปิดประตูให้ท่านทันที

“มีอะไรหรือเปล่าคะ มาปลุกหนูแต่เช้าเลย” เมื่อเปิดประตูต้อนรับ ฉันก็เอ่ยถามเมื่อเห็นเหมือนว่าพ่อมีอะไรอยากจะพูดกับฉัน วันนี้เป็นวันเสาร์ด้วย...ปกติพ่อจะปล่อยให้ฉันนอนหลับสบายๆ ในวันหยุด ไม่ขึ้นมาปลุกฉันแต่เช้าแบบนี้

“เอ้า! นี่เราลืมไปแล้วหรือไงว่าวันนี้นัดอาจารย์สอนพิเศษไว้น่ะ” พ่อขมวดคิ้วมองพร้อมกับผลักศีรษะฉันเพื่อเป็นการลงโทษ และในตอนนั้นเองที่ทุกอย่างย้อนทวนกลับมาในสมอง จนเริ่มจำทุกอย่างได้ อาใช่สิ...วันนี้พ่อนัดอาจารย์สอนพิเศษมาที่นี่ เพราะฉันกำลังจะเข้ามหาวิทยาลัยอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า และเราเพิ่งคุยเรื่องนี้กันได้ไม่นานเท่าไหร่นัก แน่นอนว่าฉันก็ตอบปากรับคำท่านเพราะไม่อยากทัดทานอะไร อีกอย่างความหวังดีของพ่อก็เป็นผลดีต่อตัวฉันอยู่แล้ว

จะมีก็แต่ตัวฉัน...ที่ไม่ค่อยถูกกับคนแปลกหน้าเท่าไหร่ ไม่สิ! ไม่ใช่ว่าฉันไม่ถูกหรือมีทิฐิอะไร...แต่เพราะฉันเจอะเจอปัญหาในการพบปะคนมามากมาย เจอคนหลายประเภทและหลากความคิด จริงอยู่ที่คนดีๆ ก็มี แต่เพราะคนที่ฉันเจอกลับมีแต่คนใจร้ายจ้องจะกินเลือดกินเนื้อกันทั้งนั้น และนั่นทำให้ฉันเกิดความหวาดระแวงและหวั่นกลัว

“อา...หนูก็เพิ่งนึกออกเมื่อกี้นี่แหละค่ะ” ฉันยิ้มเจื่อนๆ

“นึกออกแล้วก็ดี ไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้ว อาจารย์ของแกมาแล้วนะ” พ่อทำหน้าดุเมื่อฉันยังทำหน้าเหมือนยังงัวเงียจากการตื่นนอนก่อนเคาะศีรษะฉันหนึ่งทีแล้วลงไปด้านล่างของบ้าน ฉันเม้มริมฝีปากเล็กน้อยก่อนจะหมุนตัวเข้าห้องเพื่อรีบอาบน้ำแต่งตัว ทว่า...

ชั่ววินาทีหนึ่งก่อนที่ฉันจะปิดประตู ความรู้สึกหนึ่งได้ก่อตัวขึ้นมาเมื่อสายตาจ้องมองไปยังบานประตูตรงข้ามห้องตัวเองซึ่งเป็นห้องของอักขระ...ไม่รู้ว่าน้องชายฉันจะเป็นยังไงบ้าง เมื่อคืนฉันกลับมาไม่เห็นเขา ถามพ่อ พ่อก็ดูไม่สนใจเขาเลยด้วยซ้ำ อยากเคาะประตูเรียกแต่ก็กลัวว่าคนอารมณ์ร้อนจะตวาดใส่กันเหมือนเมื่อคืน ให้ตายสิ! ไม่รู้ว่าเขาเจออะไรมากันแน่ ยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัย

ฉันยืนมองบานประตูนั่นสักพัก ก่อนจะรีบเข้าห้องจัดการกับตัวเองให้เร็วที่สุด กระทั่งผ่านไปประมาณสิบนาที...ฉันก็ลงไปชั้นล่างซึ่งมีคนนั่งอยู่บนโซฟาห้องรับแขกขณะที่พ่อกำลังคุยกับเขาอย่างสนุกปาก ดูเหมือนเข้าขากันได้ดีมากๆ ด้วย จนฉันเดินมาหยุดตรงที่พ่อและเขา (ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นอาจารย์สอนพิเศษ) ซึ่งกำลังนั่งอยู่...เจ้าของร่างสูงในชุดไปรเวทโทนสีเข้มจึงเลื่อนสายตามายังฉัน

ในตอนนั้น...ราวโลกทั้งใบหยุดหมุนเพียงเพราะใบหน้าขาวสว่างของเขาปรากฏชัดตรงหน้า นัยน์ตาสีมรกตคู่นั้นดูลุ่มลึกและมีเสน่ห์อย่างน่าค้นหา แต่ขณะเดียวกันเรียวปากบางสีแดงสดที่ยกขึ้นน้อยๆ ยังดูร้ายกาจเหมือนปีศาจในคราบเทพบุตร

เรือนผมทรงรากไทรของเขาเป็นสีทองขุ่น...ซึ่งดูเข้ากันได้ดีกับผิวสีน้ำผึ้งเนียนละเอียดนั่นมากๆ

ยากจะปฏิเสธกับภายนอกที่ปรากฏอยู่ตรงนี้ และปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผู้ชายคนนี้...หล่อจนแทบกลืนกินทุกความรู้สึกของฉันให้ดับหายไปพร้อมกับเสน่ห์เหลือล้นราวถูกต้องมนตร์

“น้องบุรินทร์ครับ...หน้าผมมีอะไรติดอยู่งั้นเหรอ”

“เอ่อ เปล่าค่ะ...” ฉันตอบรับอย่างทันท่วงทีก่อนจะหลบสายตาเขาเพราะถ้าขืนจ้องไปนานๆ ฉันอาจจะขาดอากาศหายใจตายตรงนี้ก็เป็นได้ เห็นแบบนั้นเขาจึงหัวเราะเบาๆ เหมือนขบขันกับท่าทีของฉันเสียเหลือเกิน

“มานั่งตรงนี้ยัยรินทร์” พ่อดึงแขนฉันให้ไปนั่งข้างๆ ท่าน “นี่! ต่อไปเตโชจะมาเป็นอาจารย์สอนพิเศษให้ลูกนะ สนิทกับพี่เขาให้มากๆ และทำตัวน่ารักกับพี่เขาให้เยอะๆ นะรู้ไหม?” พ่อพูดเหมือนว่าฉันอาจจะทำความเดือดร้อนให้ท่านไม่สบายใจ ซึ่งใช่...นอกเหนือจากอักขระที่จะมีเรื่องต่อยตีกับคนอื่นบ่อยๆ แล้ว การที่ฉันถูกรังแกก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เกิดเรื่องต่างๆ ตามมา

“ค่ะพ่อ” ฉันจึงตอบรับท่านแบบนั้นเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่น

ช่วงที่นั่งอยู่ตรงนี้...อาจารย์สอนพิเศษก็แนะนำตัวเองว่าเขาเป็นนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยชื่อดังและเป็นหนึ่งในนักศึกษาที่เรียนดีที่สุด และเพิ่งจบมาหมาดๆ แน่นอนว่าฉันเองก็แนะนำเขา...แต่บอกเพียงแค่ชื่อกับอายุเท่านั้น

พ่อบอกฉันดูเย็นชาเกินไป แต่จะให้ทำยังไงล่ะ ก็เตโชเขาไม่ใช่คนที่ฉันสนิทหรือรู้จักมาก่อนเลย บอกแค่ชื่อกับอายุมันก็มากพอแล้วล่ะ อีกอย่าง เขามาเป็นอาจารย์สอนพิเศษให้ฉันแค่ช่วงสองเดือนนี้เท่านั้น ระยะเวลาเพียงเท่านี้ถือว่าสั้นมากนะ

พ่อฝากฝังฉันไว้กับเขาราวกับว่าฉันจะทำเรื่องไม่ดีหรือนอกกรอบ และบอกให้เขาสอนฉันทุกอย่างที่สามารถจะสอนได้ แล้วรู้อะไรไหม...พ่อน่ะเชื่อใจเขามากยิ่งกว่าอักขระที่เป็นลูกแท้ๆ อีกนะ น่าน้อยใจแทนน้องจริงๆ เลย!

 

เวลา 9:50 น.

ฉันว่าฉันเจอปัญหาใหญ่แล้วล่ะ...

บางทีพ่ออาจจะไว้ใจผู้ชายคนนี้มาก...มากจนกล้าอนุญาตให้เขาเข้ามาในห้องของฉันและใช้ห้องนี้เป็นห้องเรียน...ไม่คิดว่ามันแปลกเหรอ... นี่มันน่ากลัวมากเลยนะ

ก็จริงที่ฉันอาจจะหวาดระแวงเกินไป แต่อย่าลืมว่าเขาก็เป็นผู้ชาย หนำซ้ำยังเป็นผู้ชายที่รู้จักกันเพียงไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำ ยิ่งเมื่อเราเข้ามาอยู่ในห้องเพียงสองคน ความรู้สึกที่เรียกได้ว่าอึดอัดกำลังบีบรัดฉัน และฉันก็ไม่มีสมาธิที่จะขยับปลายปากกาเลยสักนิด...

“ยากไปเหรอ...ไหน? ตรงไหนทำไม่ได้ หื้ม...”

“เปล่าค่ะ...เอ่อ...อาจารย์ช่วยขยับออกไปห่างๆ หน่อยได้ไหมคะ ฉันเขียนไม่ถนัด” ฉันสะดุ้งเฮือกเมื่อรับรู้ได้ถึงลมหายใจกรุ่นร้อนอันเจือด้วยกลิ่นหวานๆ ของลูกอมรสองุ่นซึ่งกำลังเป่าไล้ช่วงใบหูและเส้นผมของฉันเป็นจังหวะเนิบนาบอย่างน่าขนลุก เพราะเขานั่งเก้าอี้ข้างๆ...ระยะห่างของเราจึงไม่ไกลกันมาก ยิ่งเมื่อเขาขยับหน้าเข้ามาเพื่อดูโจทย์คณิตศาสตร์ตรงหน้าฉัน ใบหน้าของเราก็ใกล้กันมากขึ้นจนฉันหายใจไม่ออกเพราะเกร็ง

“ขยับไปไหนล่ะ...”

“อะ อาจารย์!” ฉันเรียกเขาเสียงดังเมื่อหันหน้ากลับไปมองแล้วพบว่าใบหน้าหล่อเหลาอยู่ใกล้กันจนน่าใจหาย ยิ่งกว่านั้นสายตาของเขากำลังฉายความรู้สึกแปลกๆ ออกมา ริมฝีปากสีแดงสดกำลังยกขึ้นเล็กๆ เหมือนเจอบางสิ่งที่ปลุกเร้าความตื่นเต้นในหัวใจ

และฉันก็รู้แปลกอย่างห้ามไม่ได้เมื่ออยู่ๆ นัยน์ตาสีมรกตเข้มของเขาเลื่อนไล้พิจารณาฉันไปทั่วตั้งแต่ใบหน้ายันเรือนร่างที่ถึงแม้จะมีผ้าผิดบังกายก็ร้อนเหมือนถูกมองทะลุเข้ามาด้านใน อยู่ๆ ฉันก็รู้สึกเย็นยะเยือกราวถูกน้ำแข็งกดทับอย่างรุนแรง และใช่ ดวงตาของเขากำลังลากไล้มองมันอย่างหยาบคายโดยที่ความเงียบยังครอบงำเราสองคน จะมีก็แต่เสียงลมหายใจที่กำลังสอดประสานกันอย่างน่าหวาดหวั่น

ฉันกลืนน้ำลายอย่างหวาดกลัว และรู้ดีว่าเหตุการณ์มันเริ่มไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว...ลางสังหรณ์ของฉันไม่เคยพลาดเลย เตโช...ชายหนุ่มคนนี้กำลังใช้ดวงตาของเขาเลื่อนมองฉันอย่างมีความหมาย กระทั่งเขาเลื่อนสายตาขึ้นมาสบกับฉันตรงๆ

“...นี่มันเด็กสิบแปดปีจริงเหรอ” เขาถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ก่อนจะตวัดปลายลิ้นเลียรอบริมฝีปากสีแดงสดของตัวเองจนแฉะชื้นราวกับสัตว์ร้ายกระหายเหยื่อ

น้ำลายกลืนเอื้อกลงคอหนา...ขณะที่ดวงตาของเขากำลังจับจ้องมาที่ฉันอย่างอดกลั้นแต่ก็ทนแทบไม่ไหว!

“ทำไมมองฉันแบบนั้นคะ...” ฉันถามแม้น้ำเสียงจะสั่นเพราะความกลัวมากแค่ไหนก็ตาม นั่นยิ่งทำให้เตโชยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง และสาบานเลยว่ารอยยิ้มของเขาแตกต่างจากครั้งแรกที่เจอกันมากโข  ซึ่งรอยยิ้มตอนนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกเลือดเย็น น่ากลัว และโรคจิต

รอยยิ้มลอยๆ แต่กลับแฝงเร้นความหมาย...เขากำลังทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองค่อยๆ ดำดิ่งลงเหว แม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่เราเจอกัน และเป็นแค่เพียงไม่กี่นาทีด้วยซ้ำ

“ทำไมจะมองไม่ได้ล่ะครับ...ก็แหม น่ารักน่ากินซะขนาดนี้นี่นา” เขายิ้มอีกครั้งก่อนจะขยับใบหน้าเข้ามาใกล้จนปลายจมูกของเราชิดกัน ฉันเบิกตาโพลงด้วยความตกใจก่อนจะเอนหลังหนีเพราะถ้าขืนเขาขยับเข้ามาใกล้กว่านี้ล่ะก็...ริมฝีปากของเราต้องสัมผัสกันแน่ๆ!

“อย่าพูดแบบนี้นะ ฉันเป็นนักเรียนของคุณ...และคุณก็เป็นคนที่พ่อฉันไว้วางใจ...”

“ใช่ไง...ก็ไอ้แก่นั่นมันโง่นี่นา”

“...!” ฉันเบิกตาโพลงอย่างตกใจเมื่อถ้อยคำที่ไม่ควรเอ่ยดังออกมาจากริมฝีปากสีแดงสด และเขาดูไม่ได้ยี่หระอะไรด้วยซ้ำ ซ้ำร้ายยังเหยียดยิ้มเผยธาตุแท้อันแสนชั่วร้ายออกมาทั้งที่ตอนอยู่ต่อหน้าพ่อเขาดูมีมารยาทและสำรวมมากแท้ๆ ทว่าเมื่อลับหลังกลับแสดงความหยาบคายออกมาต่อหน้าฉัน!

ให้ตาย...ทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้

“ช่วยไม่ได้นะ ฉันพยายามทำตัวเป็นอาจารย์ที่ดีแล้วแท้ๆ...แต่พอเห็นเธอแล้วไม่มันไม่ไหวอ่ะ”

“ไปไกลๆ!” ฉันตวาดไล่เมื่อเตโชขยับใบหน้าเข้ามาใกล้อีกนิดจนริมฝีปากเฉียดกัน แต่ดีที่ฉันผลักเขาออกห่างเสียก่อน ไม่อย่างนั้นสัมผัสเมื่อครู่อาจกลายเป็นจูบที่ฉันไม่ต้องการแน่ๆ หากคนตัวสูงกลับดึงข้อมือของฉันไว้ด้วยความแรงที่ไม่คิดปรานีและกระชากเข้าหาตัวอย่างแรงจนฉันร้าวระบมไปหมดทั้งกาย

“อย่าไล่กันแบบนี้สิครับคนสวย...อาจารย์เสียใจมากเลยนะ” คนเสแสร้งยิ้มเลือดเย็นทั้งที่คำพูดของเขาเต็มไปด้วยความดัดจริต นั่นยิ่งทำให้ฉันหวาดกลัวจนแทบอยากร้องไห้ และฉันโมโหตัวเองมากที่ไม่อาจต่อกรอะไรกับเขาได้เลย...

ฉันเกิดมาอ่อนแอ...เปราะบาง ไม่ชอบเลย!

“ฉันจะบอกพ่อว่านาย...”

“โอ๊ย! กลัวจังเลย...กลัวจนไอ้นั่นสั่นไปหมดแล้ว”

“โรคจิต! ปล่อยฉันนะ ปล่อย...”

อึก!

คำพูดของฉันหายไปเมื่ออยู่ๆ ก็เหมือนมีผ้ามากดปิดไว้ที่ริมฝีปากและจมูกจนหายไม่ออก พยายามตะเกียกตะกายและทำทุกวิถีทางไม่ให้ตัวเองดูน่าสมเพชไปกว่านี้...กรีดร้องและดีดดิ้นด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี หากว่าไม่นานทุกอย่างกลับอื้ออึงและบิดเบี้ยวไปหมด ภาพที่ฉันเห็นเริ่มเลื้อยไหลเป็นงูดูไม่ออกว่าสิ่งที่สองตาซึ่งกำลังจะปิดลงสะท้อนอยู่เป็นอะไร

และในตอนนั้น...

“อ่อนแอกว่าที่คิดนะเนี่ย แบบนี้จะคณามือไหมน้า...” เตโชกระซิบข้างหูแล้วโอบร่างฉันที่กำลังทรุดไว้ในอ้อมอก เพียงไม่กี่วินาทีที่รู้สึกว่าตัวเองหล่นไปอยู่ในอ้อมแขนหนาอันน่ากลัว...สติของฉันก็หายไป ทุกอย่างคือนิทรารมย์ที่ฉันไม่ต้องการ

 

หลังจากที่สาวน้อยหน้าตาน่ารักตรงหน้าหมดสติคาอ้อมกอดของเตโช...เขาก็หัวเราะออกมาอย่างชอบใจ

ลากไล้ปลายจมูกไปตามลำคอ พรมริมฝีปากไปตามผิวเนียนด้วยความรู้สึกตื่นเต้นจนไม่อยากอดทนอีกต่อไป แม้ผิวขาวของเธอจะเต็มไปรอยช้ำจากการะถูกกระทำรุนแรงอะไรสักอย่างที่เขาไม่รู้ แต่เขาก็ไม่สนใจ...จะใส่ใจทำไมในเมื่อนี่มันก็ผู้หญิงเหมือนกัน มีทุกอย่าง...และอะไรๆ เหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ นั่นแหละ

เตโชยกยิ้มอีกหน...ก่อนจะล้วงโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเพื่อโทรหาคนบางคน

รอไม่นานเท่าไหร่ปลายสายก็กดรับ น้ำเสียงเยือกเย็นเหมือนปีศาจดังขึ้น...

“ว่าไง”

“ยัยผู้หญิงสกปรกของมึงสิ้นฤทธิ์เร็วกว่าที่กูคาดอีกนะ แล้วเอาไง...อยากเห็นหน้าหน่อยไหม?” เตโตถามอสูรขณะที่แขนข้างหนึ่งโอบร่างบุรินทร์ไว้อย่างแนบแน่น แต่เขาก็ยังไม่ลืมที่จะสูดกลิ่นกายอันอ่อนนุ่มของเธอไปด้วย แหม...กระชุ่มกระชวยปอดเสียจริงๆ เด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะแบบนี้ท่าทางคงอร่อยใช่เล่นเลยล่ะมั้งเนี่ย

ไม่อยากจะเชื่อว่าเนื้อนวลขาวผ่องกับท่าทางไม่สีประสาเช่นนี้จะผ่านมือผู้ชายมาแล้ว...

เตโชคิดในใจก่อนจะหันเหความสนใจไปที่ปลายสายของตนเอง

“ถามกูทำไม จะทำห่าอะไรก็ทำ ไหนมึงบอกกูว่าถนัดรังแกเด็กไม่ใช่เหรอ?” อสูรถามพร้อมยกยิ้มอย่างเหยียดหยัน ปากของเขายังคงคาบมวนบุหรี่เอาไว้ ซึ่งเป็นบุหรี่มวนที่ห้าของวันแล้ว

“ก็กูคิดว่ามึงอยากจะเห็นหนังหน้ายัยนี่หน่อยไง...ตกลงมึงจะให้กูจัดการใช่ไหม?”

“ใช่...” อสูรยิ้มร้ายก่อนจะเดินไปหยิบกล้องตัวหนึ่งที่ตั้งบนโต๊ะในห้องนอนของตัวเองขึ้นมา (มึงพายัยนั่นมาที่คอนโดกูหน่อย แล้วเดี๋ยวกูมีอะไรจะให้มึงทำ)

 

10:35 น @ ASOON CONDO

[บทบรรยาย อสูร]

พึ่บ!

ไอ้เตโชวางร่างบางลงบนเตียงนอนของผม...

บุรินทร์ที่ยังคงหมดสติไม่รู้เรื่องตรงนั้น ผิวขาวเนียนของเธอเต็มไปด้วยรอยช้ำจากการถูกกระทำ...และผมรู้ดีว่าบาดแผลและร่องรอยพวกนั้นมาจากไหน

หึ!ช่างน่าสงสาร...

...แต่แม่งน่าสมเพชมากกว่า

“ตกลงมึงจะให้กูทำอะไร” ไอ้เตโชหันมาถามผมที่ยืนพิงขอบหน้าต่างด้วยความเงียบเชียบ นัยน์ตาสีมรกตพยายามจะอ่านความคิดของผมอย่างเต็มที่ และผมรู้ดีว่ามันสามารถล่วงรู้ได้ง่ายๆ ว่าสมองของผมกำลังคิดเรื่องชั่วแค่ไหนอยู่ ไม่นานผมก็ปริปากบอกมันไป

“มึงน่าจะรู้...อย่ามากระแดะใสซื่อ แววตามึงมันฟ้องว่าต้องการยัยนั่นมากแค่ไหน” ผมพูดอย่างรู้ทัน ใช่...ไอ้เตโชมันเป็นพวกแพ้เด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารัก และถ้าใครคนไหนเข้าตามัน...ไม่รีรอมันก็ตะครุบแล้วจัดการรวบรัดหมดทุกราย ซึ่งส่วนใหญ่จะยินยอมพร้อมใจเพราะมันเคยเป็นถึงหนุ่มฮอตของมหาวิทยาลัย แม้จะดูโรคจิตไปนิดๆ...แต่ความซาดิสม์ของมันกลับทำให้ผู้หญิงหน้าโง่ทั้งหมดยอมสยบแทบเท้า พ่ายแพ้ให้แก่มนุษย์ที่หลงใหลความเจ็บปวดอย่างมัน

“อิอิ แสนรู้อีกแล้วนะมึง” ไอ้เตโชยิ้มก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังร่างบางบนเตียงนอน ผมเห็นมันแอบเลียริมฝีปากอยู่หลายต่อหลายครั้ง “จะให้กูทำอะไรก็รีบๆ บอกมา ตื่นเต้นจนจะบ้าอยู่แล้วเนี่ย!”

“ถอดเสื้อผ้ายัยนั่นให้หมด...” กระทั่งผมบอกมันออกไปแบบนั้น ไอ้เตโชเองก็ดูไม่ได้ตกใจอะไรเลยด้วยซ้ำ ยิ่งกว่านั้นยังทำตามเหมือนหมาเชื่องๆ ตัวหนึ่ง แต่ไม่ต้องตกใจหรอกนะครับว่าทำไมมันถึงยอมผมหมดเช่นนี้ นั่นเพราะเมื่อก่อนผมเคยช่วยเหลือมันไว้หลายอย่าง...นี่ก็คงไม่สาหัสอะไรถ้ามันจะช่วยผมบ้าง

เพราะผมรู้ดีว่าสันดานของเราสองคนไปด้วยกันได้... ผมจึงมั่นใจว่ามันเลือดเย็นพอที่จะทำในสิ่งที่ผมต้องการโดยไม่มีความเห็นใจอันน้อยนิดมาปะปน

“ไม่ให้เหลือแม้แต่กางเกงในเลยใช่ไหม? คิกๆ” มันหัวเราะชอบใจก่อนจะค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อของบุรินทร์อย่างชำนาญจนในที่สุดบราเซียร์สีอ่อนของยัยนั่นก็ประจักษ์แก่สายตาเสือร้ายอย่างมัน และผม...ที่กำลังขยะแขยงยิ่งกว่าอะไร

ยิ่งรู้ว่าเนื้อตัวยัยนั่นเคยสกปรกโสโครกมามากเท่าไหร่...ก็สะอิดสะเอียนจนไม่กล้าแม้แต่จะเฉียดกรายเข้าไปใกล้

ไอ้เตโชทำงานได้รวดเร็วมาก...ไม่นานร่างกายบุรินทร์ก็เหลือเพียงแค่ชุดชั้นในเท่านั้น ผมยกยิ้มอย่างพึงพอใจซึ่งในตอนนั้นเองที่มือหนาของไอ้เตโชค่อยๆ เกาะเกี่ยวไปตามเสื้อชั้นในของเธอก่อนจะ...

กระชากมันออกมาจนหลุดติดคามือ!!

ผมยกกล้องขึ้นมาเตรียมกดถ่ายโดยหันไปทางร่างบางของบุรินทร์ที่เบื้องบนเปลือยเปล่าไร้อาภรณ์ปกปิด ผมเชื่อว่าตอนนี้ไอ้เตโชกำลังคลั่งจนแทบทนไม่ไหว...แต่มันก็มีสติพอที่จะไม่ทำอะไรจนผมปริปากพูด

“เหลือชิ้นเดียว...มึงอยากกระชากมันออกมาหรือไม่กูให้มึงเลือก”

“นี่มึงกำลังคิดอะไรอยู่วะ จับเด็กเปลื้องผ้า...แค่นั้นเหรอ?” ไอ้เตโชหันมาถามผม

“หรือมึงอยากทำอย่างอื่นด้วยล่ะ...จะทำก็ได้ เดี๋ยวกูเซนเซอร์ให้เวลาเอาภาพยัยนี่ไปเผยแพร่” ผมเหยียดยิ้มพลางมองใบหน้าผู้เป็นเพื่อน มันที่รู้จุดประสงค์ของผมขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ไม่นานก็ยักไหล่เหมือนไม่ใส่ใจอะไรนัก... เห็นไหม มันเลือดเย็นและชั่วพอๆ กับผม การจะข่มเหงผู้หญิงเพียงคนเดียวไม่ใช่เรื่องยากสำหรับมันเลย มันไม่ใช่คนขี้อายอะไรด้วย...ข่าวที่ฟันผู้หญิงแล้วเขี่ยทิ้งก็เกลื่อนกลาด ทำผู้หญิงท้องแล้วไม่รับผิดชอบก็เยอะแยะ...มันไม่เห็นจะสนใจอะไร

พ่อมันรู้ว่าสันดานของมันเป็นแบบไหน...แต่เพราะมันเป็นที่พึ่งเดียวในบ้านและยังมีการศึกษาที่ดีกว่าคนในครอบครัว ถึงแม้จะทำผิดก็ไม่เคยดุด่าว่ากล่าวอะไร ซ้ำร้ายยังปกป้อง

หึ...ไงล่ะ นี่แหละสังคมของมัน ไม่เหมือนผมหรอก

ผมน่ะไม่มีใครคอยปกป้องหรือเคียงข้าง... แต่ดีหน่อยที่เวลาจะทำชั่วอะไรก็ไม่มีหมาที่ไหนมาคอยขัดคอ

“ชั่วเสมอต้นเสมอปลายเลยนะมึง” ไอ้เตโชเอ่ย

“...เลิกพูดได้แล้ว ตกลงมึงจะทำหรือไม่ทำ”

“ทำอะไรล่ะ กระชากกางเกงในตัวน้อยๆ ให้ขาดคามือ...หรือปู้ยี้ปู้ยำยัยนี่บนเตียงนุ่มๆ ของมึงดี”

“อันไหนที่มึงคิดว่าสะใจกูที่สุดล่ะ...” ผมกระตุกยิ้มเลือดเย็นเหมือนสัตว์ร้ายพร้อมจ้องหน้ามัน แน่นอนว่าผมให้มันเลือก เพราะตอนแรกผมไม่ได้หวังให้มันทำอะไรมากกว่าการเปลื้องเสื้อผ้ายัยนี่ออกมาเพื่อจะเอาภาพอันน่าทุเรศไปเผยแพร่ แต่ถ้ามันอยากจะขยี้ยัยนี่ให้สมความต้องการของมันก็แล้วแต่

เพราะสุดท้าย...คนที่เสียหายที่สุดก็คือบุรินทร์ เสียหายและเจ็บปวดเหมือนอย่างที่ผมเคยเป็น!

“ตั้งแต่เกิดมาเพิ่งจะเคยขย้ำเด็กไม่มีสติ...แหม...แบบนี้จะมันส์หรือเปล่านะ กูคิดไม่ออกเลยแฮะ” ไอ้เตโชทำสีหน้าคิดหนักได้เสแสร้งที่สุด “แบบนี้เขาเรียกว่าอะไรนะ...ข่มขืนใช่ไหมวะ”

“...”

“แต่มันคงไม่ค่อยแตกต่างกันเท่าไหร่หรอกมั้ง เพราะไม่ว่าจะใช้คำไหน...สุดท้ายก็ขึ้นสวรรค์เหมือนกันหมดนั่นแหละเนอะ อิอิ”

 

[จบบทบรรยาย อสูร]

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว