บทนำ
Witcher หรือ Witch คือแม่มด ที่ทุกคนรู้จักกันดี ในร่างยายแก่ผมหงอกที่มีพลังวิเศษเหนือมนุษย์ แต่ความจริงนั้นผิดคาด
ณ มหาวิทยาลัย
“Wit ในภาษาแองโกลแซกซอน แปลว่า หยั่งรู้ หรือต้องการรู้ ทุกคนคงสงสัยว่าภาษาแองโกลแซกซอนคืออะไร แองโกลแซกซอน คือคำที่ใช้เรียกผู้คนที่ตังถื่นฐานอยู่ในแถบใต้และตะวันออกของสหราชอาณาจักรระหว่างต้นคริสต์ศตวรรษที่ 5 ถึงช่วง ค.ศ.1066 ก็คือช่วงที่เกิดการรุกราน...”
อาจารย์ในภาควิชาเสรีที่ฉันเลือกกำลังบรรยายในเรื่องที่ฉัน มีความรู้เป็นอย่างดี ทำให้ฉันรู้สึกเบื่อและง่วงซึมเป็นอย่างมาก ฉันมองออกไปที่นอกหน้าต่างก่อนจะมองนกน้อยสีน้ำตาลที่เกาะอยู่ที่กิ่งไม้แก่ มันจิกกัดตนเองเพื่อบรรเทาอาการคันตามบริเวณตัว ก่อนจะมีนกอีกฝูงหนึ่งซึ่งมีสีแตกต่างกับตัวเดิมมาห้อมล้อมและรุมจิกนกสีน้ำตาลก่อนที่มันจะบินหนีไป ฉันขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
มันเหมือนกับพวก แกะขาวแกะดำ หรือเป็นพวกแตกต่างและไม่เข้าพวก ต่อให้ใครต่อใครมาอธิบายให้ฉันฟังว่าผู้ที่แตกต่างนั้นควรปรับเข้าหาคนกลุ่มใหญ่ แต่ฉันกลับคิดต่าง
คงเป็นเพราะฉันเคยโดนกระทำเช่นนั้นมาเลยรู้สึกดี การปรับเข้าหาใครมันไม่ใช่เรื่องง่าย และการโดนรังแกเพราะความแตกต่างเป็นเรื่องที่แย่
“ไพลิน แกพาฉันมาเรียนวิชาไรเนี่ย” เมื่อเสียงข้างฉันดังขึ้น ทำให้ฉันตื่นจากความคิดและรีบหันไปหาเธอทันที สีหน้าของนาเดียร์บ่งบอกถึงความเฉือยและเนือย สายตาบ่งบอกถึงอาการง่วงที่มีสาเหตุมาจากการนั่งตัดโมเดลร่วมกับฉันทั้งคืนและวิชาเสรีที่ฉันและเธอเลือกเรียนในเทอม
“นั่นดิ ฉันก็ไม่คิดว่ามันจะง่วงขนาดนี้ ขอโทษนะแก” ฉันขำในลำคอเบาๆ ก่อนจะกล่าวขอโทษขอโพยกับเพื่อนสนิทข้างๆ ทำให้เธอเผยรอยยิ้มจางๆออกมาก่อนจะโบกมือเบาๆเชิงว่าไม่เป็นไร
“ซึ่งวันนี้ ในวิชาประวัติศาสตร์ เราจะมาเรียนเรื่อง ชาววิชหรือเหล่าพ่อมดแม่มดในตำนานกันนะครับ ชาววิชนั้นสามารถสะกดจิตได้ อ่านใจคนได้ และยังสามารถอ่านเรื่องราวเก่าๆได้ ถือว่าเป็นเรื่องน่ามหัศจรรย์ เพราะว่าความสามารถของชาววิชนั้นเป็นประโยชน์กับมนุษย์มาก”
เห็นแก่ตัว
“แต่ก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น ในตำนานก็ได้กล่าวไว้ว่า เมื่อถึงคราวที่พวกมันต้องล่าพวกเรา มันก็จะล่าแบบไม่คิดชีวิตใครทั้งนั้น ชาววิชเกิดการล่ามนุษย์ขึ้น ทำให้เหล่ามนุษย์ต้องออกมาล่าชาววิชกลับและรุมประณามชาววิช ทำให้ประชากรค่อยชาววิชจำนวนลดน้อยลง”
“แล้วตอนนี้ยังมีอยู่มั้ยคะอาจารย์?” ทันทีที่อาจารย์เว้นจังหวะในการบรรยาย นักศึกษาสาวคนหนึ่งก็ยกมือขึ้นและเอ่ยถามอาจารย์ทันที
“จากข่าวความคืบหน้าต่างๆก็ไม่มีนะครับ ไม่มั่นใจว่าเป็นเพราะสูญพันธ์ไปแล้วหรือเป็นเพราะพวกเขาพรางตัว ระวังตัวดีๆนะครับ”
“น่ากลัวจังค่ะ ถ้าสมมติมันสะกดจิตเรา และเอาเราไปอะไรที่ไม่ดี กินเราแบบนี้ น่ากลัวมากเลยเนอะแก” นักศึกษาข้างๆกล่าวขึ้นก่อนจะทำตัวสั่นทั่วไปทั้งร่างกาย สีหน้าหวาดกลัวนั่นทำให้คนข้างๆและใครก็ตามที่เห็นก็ต้องรู้สึกหวาดกลัวๆตามๆกันไปทั้งเซค
“ฮ่าๆ ไม่ต้องกลัวหรอกครับนักศึกษา เพราะชาววิชไม่กินมนุษย์และปัจจุบันพวกเขาก็ไม่ได้ทำอะไรกับเราแล้ว ก็ถือเป็นเรื่องที่ดี ชาววิชนั้นก็ไม่ต่างกับมนุษย์อย่างเราหรอกครับ มีทั้งคนดีและไม่ดีปะปนกันไป และมนุษย์กับชาววิชก็เคยทำพันธะสัญญาร่วมกันแล้วหลังจากเกิดช่วงไล่ล่า สิ่งนี้แหละครับที่ผมกำลังจะบรรยายต่อ” อาจารย์พูดปนขำเล็กน้อยก่อนจะเดินไปที่หน้าจอโน้ตบุ้คและเลื่อนสไลด์ต่อไป
“ไพลินๆ”
“ฮึ?” นาเดียร์โน้มตัวเข้ามาและสะกิดฉันเล็กน้อยก่อนจะกระซิบเรียก
“แกว่าชาววิชมีจริงมั้ยวะ” นาเดียร์ทำหน้าเคร่งเครียดก่อนจะมองหน้าฉันจริงจัง
“ไม่มีหรอก มันก็เป็นแค่ตำนาน ผ่านมาหลายร้อยปีแล้วด้วย” ฉันพูดก่อนจะละสายตาจากนาเดียร์มามองชีทเรียน
“เออเนอะ พูดละก็น่ากลัว ถ้าตอนนี้ยังมีอยู่ก็คงอันตรายน่าดู”
ประโยคของนาเดียร์นั้นทำให้ฉันหยุดชะงัก ความคิดทุกอย่างนั้นแล่นอยู่ในสมองปะปนกับคำพูดที่ว่าน่าขยะแขยงและน่ากลัวยังดังห้องอยู่ในโสตประสาทของฉัน คำถามและข้อสงสัยมากมายต่างพรั่งพรูเข้ามาหาฉันอย่างไม่หยุดไม่หย่อน
‘พวกเรามันน่ารังเกียจขนาดนั้นเลยหรอ’