กลิ่นในที่แคบ
2
ตอน
658
เข้าชม
17
ถูกใจ
1
ความคิดเห็น
0
เพิ่มลงคลัง

ในนี้มันช่างมืดเสียจริงๆ และยังร้อน ร้อนและร้อนมากๆ  

อีกด้วย ที่แคบๆ อากาศที่ใช้หายใจมันช่างบางเบาเหลือเกิน มันมืดขนานไหนนะหรอ มืดจนมองอะไรไม่เห็น แม้แต่มือของตัวเอง มือที่มันกำลังระบมปวดแสบไปหมดทุกปลายนิ้ว เล็บทุกเล็บบนนิ้วมือ 

มันคงเปิดฉีกออกหมดไปแล้วทั้งสิบนิ้ว นิ้วมือที่เป็นเช่นนี่ก็เป็นเพราะ มาจากการที่พยายามจะตะเกียกตะกายเพื่อที่จะเอาตัวรอดออกไปจากที่ตรงนี้ให้ได้  

ลำคอที่แห้งผากจนไม่สามารถที่จะเปล่งเสียงร้องขอความช่วยเหลืออะไรได้อีก ในความมืดมิดที่เป็นอยู่ มันก็ยังมีบางสิ่งที่ทำให้รู้สึกกลัว  

กลัวในสิ่งที่มองไม่เห็น กลัวในสิ่งที่ไม่รู้ว่าจะเป็นอะไร กลัวในสิ่งที่ไม่รู้ว่าใครอยู่กับเรามีเพียงประสาทสัมผัสด้านการดมกลิ่นเท่านั้น ที่ทำให้รับรู้ได้ว่า ผมไม่ได้อยู่คนเดียว กลิ่นที่เหม็นเน่า ดังซากศพ อีกทั้งกลิ่นอับและกลิ่นคาวน้ำเลือดน้ำหนอง คละคลุ้งไปทั่ว 

ทำให้รู้ได้ว่า น่าจะมีอะไรไม่รู้อยู่ร่วมกัน ภายในความมืดมิด ผมได้แต่ใช้มือคลำไปจนได้พบกับร่างทั้งสอง โดยไม่รู้เลยว่าร่างสองร่างเป็นใครกัน แต่ที่รู้ได้แน่ๆ คือเป็นร่างที่ไร้ชีวิตและลมหายใจ มันเป็น ศพ!!  

ซึ่งศพทั้งสองมี ความแตกต่างกัน ศพหนึ่งเมื่อลองจับสัมผัสดู มันเหมือนจะเป็นศพที่ตายมานานแล้ว ผิวหนังมัน 

แห้งเหี่ยวแห้งจนผิวติดที่กระดูก ส่วนอีกศพหนึ่ง ดูเหมือนมันกำลังจะเน่าและขึ้นอืด เพราะเมื่อมือที่จับสัมผัสไปที่ผิวหนังของศพ มันเน่าเปื่อยหลุดลุ่ยจนแทบจะติดมือขึ้นมา ทั้งยังส่งกลิ่นเหม็นเน่าลอย  

ออกมาอย่างรุนแรง แรงจนทำให้ ผมอ้วกออกมาหลายต่อหลายครั้ง มันช่างแสนที่จะ ทรมานกับการที่จะต้องตกมาอยู่ในสภาพแบบนี้ การที่จะหาทาง ออกจากไอ้ที่แคบๆ หรือจะหวังให้ใครมาช่วยมันช่างแสน 

ที่จะสิ้นหวัง การทรมานกับความแคบความมืด ความกลัว และกลิ่นที่เหม็นเน่า มานานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ แต่สำหรับ 

ความทุกข์ทรมานในตอนนี้มันช่างยาวนานเสียเหลือเกิน ร่างกายที่กำลังอ่อนแรงและบอบช้ำมันไม่มีเรี่ยวแรง 

พอที่จะต่อสู้และดิ้นรนที่จะออกไปจากความมืดมิดนี้ได้เลย ลมหายใจที่แผ่วเบามันกำลังจะหมดลงในไม่ช้าเป็นแน่ 

การตายไปเสียก็คงจะทำให้ได้หลุดพ้นไปจากความทุกข์เวทนาอันแสนสาหัสได้เสียที ในขณะที่ลมหายใจกำลังจะหมดลง ผมก็ได้แต่นึกย้อนกลับไปถึงเรื่องราวต่างๆ ว่าเป็นเพราะเวรกรรมอันใดเล่า มันถึงได้มาส่งผลให้ต้อง มาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ 

อากาศในตอนเช้าของเมืองหลวง วันนี้สดชื่นและสดใส แสงแดดอ่อนๆ และสายลมที่พัดมาแผ่วเบามา กระทบที่ 

ใบหน้ามันช่างเป็นช่วงเวลาที่ดี สำหรับ มนุษย์เงินเดือนอย่างผมผมมักจะขึ้นมายืนมองวิวพลางจิบกาแฟและสูบบุหรี่ในมุมโปรดบนดาดฟ้าของตัวตึกที่ทำงานอยู่ เป็นประจำ เพื่อมองลงมาจากมุมสูง ก็จะได้เห็น ความสวยงามของเมืองหลวง และสายลมที่พัดมาเบาๆ ตลอดเวลามันทำให้รู้สึกผ่อนคลาย สบายใจดีก่อนที่จะเริ่มเข้าไปทำงานอันแสนจะน่าเบื่อ 

ผมทำงานอยู่ ชั้นที่สามสิบของตึก ซึ่งเป็นชั้นบนสุด ชั้นที่สามสิบก็จะถูกกั้นแบ่งให้เช่าเป็นพื้นที่ สำหรับบริษัทต่างๆ  

มาเช่าเพื่อทำเป็นออฟฟิศ ถัดขึ้นไปจากชั้นสามสิบจะเป็น ในส่วนของบริเวณดาดฟ้าตึก ที่นั่นก็มักจะเป็นที่ของสิงห์ 

อมควัน อันที่จริงในตัวตึกก็มีพื้นที่ให้สำหรับสูบบุหรี่ได้เป็นห้องของสิงห์อมควันที่ทำงานร่วมกันบนชั้นสามสิบ  

แต่ผมกลับชอบมุมส่วนตัวบนดาดฟ้านี้เสียมากกว่า มันทำให้ได้รู้สึกผ่อนคลายได้ดีกว่าห้องสูบบุหรี่ในตัวตึกที่แออัด 

บริเวณโดยรอบของดาดฟ้า เป็นพื้นที่โล่งๆ จะมีคอมเพรสเซอร์แอร์วางอยู่บ้าง จุดที่สูงที่สุดของดาดฟ้า 

ที่ขึ้นมาได้จริงๆ จะเป็นบริเวณที่วางแท็งก์น้ำ ซึ่งก็มีวางอยู่ด้วยกันหลายต่อหลายแท็งก์แท็งก์ที่ผมจะชอบปีนขึ้นมานั่งชมวิวที่สุด นั้นจะเป็นแท็งก์น้ำเก่าๆ ที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว มันเป็นแท็งก์เหล็กชุบสังกะสี รูปทรงสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่สูงขึ้นไปมาณสามเมตรกว่าๆ เห็นจะได้ มันใหญ่พอที่จะให้คนเข้าไปอยู่ข้างในได้  

ผมเองชอบที่จะปีนบันไดขึ้นมา ด้านบนของแท็งก์ เพื่อมาหาความสุขสำราญเล็กๆ น้อยๆ บนนี้อยู่นี้เสมอๆ  

ที่ดีๆ วิวมุมสูงแบบนี้ ไม่ใช่มีแค่ผมเพียงคนเดียวที่จะขึ้นมาชื่นชมวิวอันสวยงาม พี่ยุทธกับพี่ชัย พี่สองคนที่ 

ทำงานในออฟฟิศชั้นที่สามสิบของตึก ก็มักจะขึ้นมาเหมือนกัน กับผม พวกเราต่างคนก็ต่างทำงานกันคนละ 

บริษัทแต่เราทั้งสามคนก็มักจะขึ้นมาสูบบุหรี่ และพูดคุยกันถึงเรื่องราวต่างๆ ตามประสาชายโสด ด้วยความที่มี 

อะไรหลายๆ อย่างคล้ายๆ กันมันจึงทำให้พวกเรา สนิทสนมกันในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้สนิทชิดเชื้อจนถึงกับต้อง 

เป็นเพื่อนกันในสังคมโซเชียลมีเดีย หรือต้องมีการพบปะสังสรรค์กันหลังเลิกงาน ไม่เลยพวกเราเป็นเพื่อนที่สนิท 

กันแค่บนแท็งก์น้ำเก่าๆ ของดาดฟ้าตึกเท่านั้น แต่หลังจากที่ต่างคน ลงจากตรงนี้ไปแล้วพวกเราไม่ได้สานสัมพันธ์ 

อะไรกันมากมายก็มีแต่ทักทายพูดคุยกันบ้างเมื่อเจอกันตามที่ต่างๆ ในตัวตึก  

เวลาของการรวมตัวกันแบบไม่ต้องนัดหมายของพวกเราทั้งสามคน บนดาดฟ้า ก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับบ้าน ก็ 

มักจะเป็นช่วงเย็นหลังจากเลิกงาน ด้วยความที่ในใจกลางเมืองหลังเวลาเลิกงาน มันเป็นเหมือนกับผึ้งแตกรังพนักงานในหลายๆ บริษัทต่างก็จะเลิกงานพร้อมๆ กัน จึงทำให้เป็นช่วงเวลาโกลาหล ต่างคนก็จะต้องแก่งแย่งกันใช้ 

บริการระบบขนส่งสาธารณะกันน่าดู แค่ออกไปต่อคิวรอใช้บริการก็นานรวมๆ เป็นชั่วโมง ไหนจะต้องออกมาแล้ว 

ต้องเจอกับปัญหาการจราจรที่ติดขัดอีกด้วยเมื่อสถานการณ์มันบังคับให้เป็นเช่นนี้ การออกจาก 

ออฟฟิศหลังเลิกงานช้ากว่าปกติสักชั่วโมงสองชั่วโมง มันก็ทำให้พวกเราหลีกเลี่ยงการจราจรที่แออัดไปได้  

“พี่ยุทธ พี่ชัย วันหยุดยาวช่วงสงกรานต์นี้พวกพี่ไปเที่ยวไหนกัน” ผมโปรยประโยคคำถามที่แสนจะยอดฮิตในช่วงเวลานี้ 

“คงไม่ได้ไปไหนหรอก คงเก็บตัวอยู่ที่ห้องพักนี้แหละขี้เกียจไปไหนช่วงเทศกาลไม่อยากไปไหน คนมันเยอะแย่ง 

กันกินแย่งกันเที่ยว พี่ไม่ค่อยชอบ อยู่ในเมืองดีกว่าช่วงเทศกาล เที่ยวอยู่ในเมืองมันก็ดีนะเหมือนได้อยู่ในเมืองร้าง 

เลย เงียบสงบดีรถก็ไม่ติดด้วยไม่วุ่นวายดี”  

พี่ยุทธตอบกับผมด้วยท่าทีสบายๆ  

“กลับบ้าน นะสิ โคตรเบื่อเลยรถติดแน่ๆ งานพี่ก็เยอะซะด้วยเลิกงานเกือบสองทุ่มทุกวัน รีบเร่งปั่นทำงานให้เสร็จ  

จะได้รีบกลับบ้านก่อนช่วงก่อนสงกรานต์เพื่อหนีรถติด”  

พี่ชัยตอบผมด้วยท่าที ที่ดูเซ็งๆ เมื่อพูดถึงการที่จะต้องกลับบ้านในช่วงสงกรานต์  

“แล้วเราล่ะจะไปเที่ยวไหน นพ “ 

พี่ยุทธถามผม  

“ก็คงไม่ไปไหนหรอกพี่ อยากนอนพักอยู่ที่บ้านดีกว่า ผมก็เหมือนพี่ยุทธนั่นแหละไม่อยากไปไหนในช่วงเทศกาล 

แถมวันหยุดยาวก็ไม่รู้จะได้พักรึเปล่า อาจจะต้องเอางานกลับไปทำที่บ้านอีกด้วยน่ะสิ” ผมตอบพี่ยุทไป ก่อนที่ผม 

จะถอนหายใจยาวออกไป เมื่อต้องคิดถึงวันหยุดแล้วยังคงต้องเอางานกลับไปทำที่บ้าน  

ในเย็นวันสุดท้ายของการทำงาน พวกเราทั้งสามคนยังคงพูดคุยกันต่อไปอีกพักใหญ่ ก่อนที่ต่างคนจะแยกย้าย 

กันไปใช้เวลาในช่วงวันหยุดยาวในแบบของแต่ละคน  

“ผมขอตัวกลับก่อนนะพี่ ยังไงพี่ชัยขับรถกลับบ้านก็ขอให้เดินทางกลับอย่างปลอดภัยนะพี่ พี่ยุทธวันหยุดยาว ได้นอน 

พักผ่อนสบายน่าอิจฉาจริงๆ”  

ผมพูดออกไปโดยไม่รู้เลยว่านี่จะเป็นประโยคสุดท้ายที่ จะได้คุยเล่นพร้อมๆ กันทั้งสามคน  

ผมเดินออกมาจากวงสนทนาเพื่อที่จะกลับบ้าน ก่อนที่จะเดินลงจากดาดฟ้าผมหันกลับไปมองและโบกมือเพื่อเป็น 

การส่งลา ให้กับพี่ๆ ทั้งสองคน ที่ยังคงยืนคุยกันอยู่บนแท็งก์น้ำ  

หลังจากวันหยุดยาวได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว วงจรชีวิตก็กลับเข้ามาวนอยู่ในโหมดแห่งการทำงานอีกเหมือนเดิม 

แต่ที่น่าแปลก วันสองวันที่ผ่านมากลับไม่พบพี่ๆ ทั้งสองคนเลย ได้แต่ว่าสงสัยพี่ยุทธกับพี่ชัยก็คงหยุดต่อเนื่อง เป็น 

แน่ หรือไม่งานก็อาจจะยุ่ง ไม่มีเวลาขึ้นมาก็เป็นได้จนในปลายสัปดาห์ของการทำงาน ช่วงหัวค่ำ ของวันนั้น  

ผมก็ได้พบกลับพี่ชัย บนดาดฟ้าในที่ประจำของพวกเรา  

“อ้าวพี่ชัยหายหน้าไปไหนมาหลังสงกรานต์ไม่เจอกันเลยนะ”  

ผมกล่าวคำทักทายไปตามประสาของคนที่ไม่ได้เจอกัน แต่พี่ชัยกลับไม่ได้ตอบอะไร เขาได้แต่ยืนนิ่งๆ และก้มหน้า  

มองลงที่พื้นมันทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ กับท่าทีของพี่ชัย  

“ร้อน............อึดอัดจังเลยนพ”  

เสียงที่เย็นชา ของพี่ชัยตอบออกมาเบาๆ  

“อะไรนะพี่? บนดาดฟ้า แบบนี้ลมพัดเย็นดีออกจะร้อนได้ยังไงกัน”  

ผมพูดออกไป และเริ่มสงสัยในคำพูดแปลกๆ ของพี่ชัย หรือว่าพี่เขาจะไม่สบาย  

“ร้อน............อึดอัดจังเลย...... นพ” น้ำเสียงอันแหบแห้ง 

และเย็นชาของพี่ชัย ที่พูดซ้ำในประโยคเดิม มันทำให้รู้สึกขนลุกไปทั้งตัว แต่ที่ทำให้ต้องรู้สึกตกใจกลัว มากยิ่งไป 

กว่าเมื่อพี่ชัยเงยหน้าขึ้นมา และจ้องมองมาที่ตาผม ใบหน้า ซีดเซียวและแห้งกร้าน ริมฝีปากที่แห้งแตกออกมาเป็นแผ่น 

เหมือนกับคนที่ไม่ได้ดื่มน้ำมาหลายวัน ใบหน้าของพี่ชัยที่ผมไม่คุ้นเคย กำลังยืนมองและจ้องมาที่ตาของผม อย่างไม่ 

กระพริบ มันทำให้ความผู้รู้สึกกระอักกระอ่วนและอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก โลกในตอนนี้มันเหมือนดับ 

สนิทไป มันไม่มีอะไรอยู่รอบๆ ตัวเลยนอกจากใบหน้าและดวงตาของพี่ชัยที่กำลังจ้องมองผมอยู่  

“พี่....ชัยไม่สบายรึเปล่า หน้าพี่ดูแปลกๆ ไปนะ”  

ผมถามออกไปเมื่อหลุดออกจากภวังค์แห่งความอึดอัดนั้นออกมาได้ 

“นพ........พี่....ไปก่อนนะ”  

พี่ชัยตอบและหันหลังเดินกลับลงไปจากบนแท็งก์น้ำปล่อยให้ผมยืนงุนงงสงสัยในท่าทีและคำพูดแปลกๆ  

พี่ชัยเดินลงจากแท็งก์น้ำไปอย่างช้าๆ เพื่อที่จะไปที่ประตูทางลงของดาดฟ้า แต่มันก็ยิ่งทำให้ผมแปลกใจ เมื่อเห็นที่ 

หลังของพี่ชัย ชุดที่พี่ชัยใส่ มันทำไมดูเหมือนจะเปียกชุ่มไปด้วยน้ำเหงื่อท่วมไปทั้งตัว สงสัยที่แกบ่นว่าร้อนและอึด 

อัดแกคงจะไม่สบาย  

“พี่ชัยถ้าพี่ไม่สบายก็พักผ่อนให้เยอะๆ นะพรุ่งนี้ก็เป็นวันหยุดแล้ว”  

เสียงคำบอกลาของผมตะโกนบอกพี่ชัย ก่อนที่พี่ชัยจะเดินไปถึงประตูทางลงดาดฟ้าพี่ชัยหันกลับมา 

มองผมด้วยแววตาที่ดูสุดแสนจะเศร้าหมอง ประตูทางขึ้นลงดาดฟ้าถูกเปิดออก น่าจะมีใครสักคนกำลังเดินขึ้นมา  

พี่ยุทธ เดินออกมาจากประตู พร้อมทั้งกับพี่ชัยก็กำลังเดินสวนลงไป แต่ก็แปลก ที่พี่ยุทธและพี่ชัย ต่างเดินสวนทาง 

กันแต่กลับไม่ได้ทักทายกันแต่อย่างใด  

“พี่ยุทธ พี่ชัยดูแปลกๆ ไปนะตั้งแต่กลับมาจากช่วงวันหยุดยาว”  

บทสนทนาของผมเริ่มต้นขึ้นเมื่อพี่ชัย ปีนบันไดขึ้นมาบนแท็งก์น้ำเสร็จ 

“แปลกยังไงวะ????”  

พี่ยุทธตอบกลับมาด้วยความสงสัย 

ผมจึงได้เล่าเรื่องทั้งหมด ที่ได้เจอให้กับพี่ยุทธฟังพี่ยุทธฟังเรื่องที่ผมเล่า ด้วยท่าที ที่รู้สึกงุนงง สงสัย ในตัวพี่ 

ชัยอยู่เหมือนกัน แต่ดูเหมือนพี่ยุทธ ก็นิ่งๆ ไปเมื่อฟังเรื่องที่ 

ผมเล่าจบ เราสองคนลงความเห็นกันว่าพี่ชัยน่าจะไม่สบายแน่ๆ  

กลิ่นควันบุหรี่ที่กำลังล่องลอยไปในอากาศ ควันจางๆ กำลังลอยหายไป แต่กลับมีกลิ่นที่เหม็นเน่า ลอยกลับเข้ามาแทนที่  

“เหม็นนะพี่ ตรงนี้มันเหม็นเน่าอะไรไม่รู้ เหม็นแบบนี้มาหลายวันแล้ว ตั้งแต่หลังวันหยุดที่ผมขึ้นมาบนนี้ มันเหม็น 

มากขึ้นทุกวันเลยพี่”  

“ใช่เหม็นจริงๆ ด้วย เหม็นอย่างกับตัวอะไรมันตายอยู่แถวนี้”  

เราทั้งสองคนก็เริ่มจะทนกลิ่นที่เหม็นและรุนแรงขึ้นต่อไปชักไม่ไหว ส่วนตัวผมเองก็ได้เวลาที่จะกลับบ้านแล้ว  

ผมกำลังเตรียมตัวที่จะขอแยกย้ายจากพี่ยุทธเพื่อกลับบ้าน แต่พี่ยุทธกลับชวนหาที่มาของกลิ่นเน่าเหม็นก่อน  

“มันมืดมากแล้วนะพี่ เอาไว้วันหลังเราค่อยมาหากันดีกว่า”  

“เฮ้ย นพ เราชอบขึ้นมาสูดอากาศ ชมวิวกันบนนี้นะ จะปล่อยให้มันเหม็นอยู่อย่าง งี้ได้ยังไง พี่ว่าไอ้ตัวที่ส่งกลิ่น 

เหม็นเน่ามันน่าจะอยู่แถวๆ นี้แหละนะ”  

มันก็จริงของพี่ยุท ที่ถ้าเราปล่อยให้มันมีกลิ่นเหม็นเน่ายังอยู่ เราก็คงจะไม่อยากขึ้นมาบนนี้อีกแน่ๆ  

“พี่ว่านะ มันต้องมีตัวอะไรตกลงไปตายในแท็งก์น้ำแน่ๆ  

เลยถึงได้เหม็นซะขนาดนี้”  

“จะมีได้ไงละพี่ฝามันก็ปิด ไว้ซะขนาดนี้”  

“บางทีมันอาจจะเป็น หมา แมว หนู หรือนก ก็ได้ พวกมันอาจจะมุดๆ เข้าไปในใต้แท็งก์ตรงไหนก็ได้นะ เพราะ 

แท็งก์มันก็เก่ามากแล้วซะด้วย”  

“หมา แมว ที่ไหนมันจะขึ้นมาที่ดาดฟ้าตึกชั้นที่สามสิบกันละพี่”  

“ฮา ฮา ฮา จริงของเอ็งนพ มันจะเป็นตัวอะไรไม่รู้ แต่พี่ว่ามันน่าจะอยู่ในแท็งก์แหละว่ะ เดี๋ยวพี่จะลองเปิดฝามัน 

ออกมาดู”  

ฝาทรงกลมขนาดที่ตัวคนพอจะลอดตัวเข้าไปได้ พี่ยุทธออกแรงขยับ กลอนที่ล็อกของฝาออก ซึ่งปกติแท็งก์น้ำใน 

รูปทรงแบบนี้มันไม่น่าที่จะมี กลอนล๊อกฝา แต่ผมเพิ่งมาสังเกตเห็นก็ในตอนนี้เอง กลอนที่ล็อกอยู่ออกจะเก่าและ 

ฝืดมากๆ แต่ก็ไม่เกินแรงของพี่ยุทที่จะเปิดมันออกมาได้ฝาของแท็งก์ค่อยๆ กำลังเปิดออก กลิ่นเหม็นก็ค่อยๆ  

ออกมาตามฝาที่ถูกเปิดกว้างออกขึ้นไปเรื่อยๆ กลิ่นมันเหม็นอย่างรุนแรงจนทำให้ผมคลื่นไส้จนอยากจะอาเจียน  

ผมกับพี่ยุทธต้องใช้มือป้องปากปิดเอาไว้เพื่อป้องกันกลิ่นที่เหม็นเน่า 

“อะ อ๊วก...... เหม็นนะพี่จะอ้วกแล้ว ตัวอะไรกันมันถึงได้ส่งกลิ่นเหม็นซะขนาดนี้”  

ผมพูดพลาง พร้อมกับเบือนหน้าหนี  

“ไม่รู้ว่ะ แต่ว่า เฮ้ย เฮ้ย!!!!!!!!!!!!! นพ”  

ผมรีบหันหน้ากลับมาทางพี่ยุท หลังจากที่สิ้นเสียงอุทาน พี่ยุทธกำลังนั่งมองลงไปที่ฝาของแท็งก์น้ำ ที่ถูกเปิดออก  

ตอนนี้กลิ่นเหม็นเน่าได้ลอยออกมาจากฝาแท็งก์อย่างชัดเจน  

“มีอะไรพี่ ร้องตกใจซะเสียงหลงเลย”  

“เฮ้ย เฮ้ย!!!!! นพ นพ!!!!!! มองจากฝาแท็งก์ลงไปภายในมันมืดมากเลยว่ะ พี่แค่อยากจะบอกเอ็ง แค่นั้นละ ฮา ฮา ฮา”  

“โอ โห่.........พี่ไม่ ตลกเลย สรุปเห็นอะไรไหม?”  

“ไม่เห็นอะไรเลยในนี้มันมืดมากๆ เดี๋ยวพี่จะลองก้มมุดลงไปที่ฝาแล้วเอาแสงจากไฟในมือถือส่องดูก่อนนะ”  

“ผมว่าเราไปกันเถอะพี่ ตัวอะไรก็ไม่รู้เหม็นก็เหม็น ไปแจ้ง ร.ป.ภ หรือเราไปตามช่างที่มีหน้าที่ดูแลตึกเข้ามาดูดีกว่านะ 

พี่ มันไม่ใช่หน้าที่ของเราสักหน่อย”  

“ก็พี่เองนี่แหละ........ช่างที่ดูแลตึกนี้”  

น้ำเสียงเคร่งขรึม ในคำตอบของพี่ยุทธ มันทำให้ผมเพิ่งรู้ว่าพี่ยุทธทำงานเป็นช่างที่ดูแลในตัวตึก เพราะตลอดเวลาที่ 

ผ่านมาคิดว่าพี่ยุทธเป็นพนักงานออฟฟิศเหมือนกับตัวผมและพี่ชัย ตอนนี้เองผมเริ่มรู้สึกใจคอไม่ค่อยดีกับ 

สถานการณ์ที่เกิดขึ้น พี่ยุทธกำลังพยายามก้มตัวลงไปเอามือถือส่องแสงไฟค่อยๆ มุดเข้าที่ฝา เพื่อที่จะส่องดูภายใน 

แท๊งก์ ผมยืนมองพี่ยุทธ ส่องไฟอยู่ได้สักพัก พี่ยุทธก็ ค่อยๆ เอาตัวออกมา สีหน้าของพี่ยุทธไม่ค่อยดีนัก ผมค่อยๆ ย่อ 

ตัวลงนั่งยองๆ ข้างแกพี่ยุทธแล้วถามแกว่า 

“เป็นไงพี่เห็นอะไรไหม?”  

“มองอะไรไม่ค่อยจะเห็นเลย ดูเหมือนก้นแท็งก์มันจะลึกมากด้วย แสงไฟจากมือถือพี่อาจจะส่องลงไปไม่ถึง แล้วอีก 

อย่างพี่ก็ไม่ได้ใส่แว่นตามาด้วยมันยิ่งทำให้พี่มองเห็นอะไรได้ไม่ค่อยชัดเจนเลยถ้าเป็นไปได้พี่อยากให้นพ ลองก้มลงไปส่องไฟดูให้พี่หน่อยว่ามันมีอะไรข้างใน พี่อยากรู้วันมันเป็นตัวอะไร 

เพราะบางทีพรุ่งนี้พี่อาจจะได้เตรียมเครื่องมือและอุปกรณ์ขนย้ายซากของมันออกมา แล้วนพเอามือถือขึ้นมาด้วยรึ 

เปล่า ถ้าใช้แสงไฟจากมือถือของนพ อาจจะส่องได้สว่างกว่าของพี่”  

ผมรู้สึกกระอักกระอ่วน กับคำไหว้วาน ที่พี่ยุทธอยากจะใช้ให้ทำ แต่ในใจของผมมันก็อยากจะออกไปจากสถานการณ์  

ในตอนนี้เสียให้ได้ ผมคิดว่าจะลองกลั้นใจ ช่วยส่องดูภายในก้นแท็งก์ให้พี่ยุทธ เพื่อที่จะได้รีบ ๆ ออกไปเสียที 

“เอา.....เอา....ได้......ได้ พี่ ผมจะลองก้มมุดลงไปดูให้นะพี่แต่ผมไม่ได้เอามือถือ มาซะด้วยสิ”  

“งั้นใช้ของพี่ไปก่อน แต่นพ ตาดีอาจจะมองเห็นได้ชัดกว่าพี่ก็ได้ ขอบใจมากนะนพ ไว้วันจันทร์ นพ มาทำงานพี่เลี้ยง 

กาแฟสดให้แก้วหนึ่งเลย”  

กลิ่นเหม็นเน่าที่ตลบอบอวล มันเริ่มจางหายไปแล้ว หรือว่าจมูกมันเริ่มที่จะชินกับกลิ่นเหม็นเน่าไปแล้วก็ได้ ผมรับ 

โทรศัพท์มือถือของพี่ยุทธที่เปิดแสงไฟฉายเอามาไว้กับตัวแล้วค่อยๆ ยื่นแขนข้างขวาที่ถือโทรศัพท์เข้าไปที่ฝา 

แท็งก์ และพยายามก้มมองดูภายในแท็งก์ก็ไม่เห็นอะไร ผมจึงต้องค่อยโน้มตัวและเอาหัวมุดเข้าไปภายในของฝา 

แท็งก์ กลิ่นที่เหม็นเน่าก็ลอยตีกลับ ขึ้นมาที่ใบหน้าจนทำให้อยากจะอ้วกออกมา ผมต้องกลั้นลมหายใจแล้วหลับตา 

ปัง!!!!!!!!!!!  

เสียงอะไรบางอย่างกระแทกเข้ากับพื้นของแท็งก์น้ำ มันทำให้ผมรู้สึกกลัวและตกใจ จึงรีบหันกลับไปมองที่ข้างหลัง 

ตัวเองโดยที่ไม่ได้ระวัง ว่าในตอนนี้หัวของผมได้มุดเข้ามาอยู่ใต้ฝาของแท็งก์ไปแล้ว หัวของผมชนเข้ากับขอบปาก 

ฝาของแท็งก์ อย่างแรง มันทำให้รู้สึกเจ็บที่บริเวณข้างขมับ ผมพยายามที่จะปล่อยเอามือข้างซ้าย ที่เกาะอยู่ขอบบนฝา 

แท็งก์มาจับที่หัว แต่มันก็ทำไม่ได้เพราะครึ่งตัวซีกขวามือ ของผมมันมุดอยู่ที่ภายในแท๊งก์ไปแล้ว มือข้างซ้ายที่ปล่อย 

ออกจากขอบของฝาแท็งก์ มันทำให้เสียหลักในการยึดเกาะ ตัวผมเริ่มถลำเข้ามาในแท็งก์มากขึ้น ผมพยายามหัน 

หน้ากลับมามองที่ภายในอีกครั้ง จู่ๆ แสงไฟในโทรศัพท์มือถือพี่ยุทก็ดับลง ผมพยายามใช้ นิ้วมือกดๆ ที่ 

หน้าจอเพื่อที่จะได้มี แสงสว่างนั้นกลับมา แต่มันกลับทำให้โทรศัพท์นั้นหลุดออกไปจากมือ ผมจึงรีบพยายามเอื้อม 

มือคว้าโทรศัพท์ที่กำลังจะหล่นลงไป แต่ตอนนี้เองที่มันยิ่งทำให้เกือบทั้งตัวถลำเข้าไปภายในของแท็งก์ ผมพยายาม 

ใช้มือเปล่าๆ ควานหาจับอะไรสักอย่างเพื่อที่ยึดหลักอะไรก็ได้ที่จะไม่ทำให้ร่วงตกลงไป แต่มันก็ว่างเปล่า  

ตุ้บ!!!!!!  

ความเจ็บปวด แล่นผ่านไปที่หัวไหล่และขึ้นมาที่ใบหน้าบริเวณขมับซีกขวาในทันที มันคงเป็นผลมาจากเพราะแรง 

กระแทก ที่ร่วงลงมาอยู่ภายในก้นแท็งก์ ผมพยายามมองขึ้นไปที่ ฝาของแท็งก์ ซึ่งมันเป็นช่องทางที่ทำให้ร่วงลงมา  

ผมเห็นพี่ยุทธยืน มองลงมาอยู่ ด้วยท่าที่ ที่ร้อนรน  

“พี่ยุทธ พี่ พี่ยุทธ ช่วยผมด้วย (พี่ยุทธ พี่ พี่ยุทธ ช่วยผมด้วย  

เสียงสะท้อนก้องออกมาภายในแท็งก์น้ำ)  

“นพ เป็นยังไงบ้าง เจ็บตรงไหนรึเปล่า”  

“พี่ผมเจ็บที่แขนขวา มากๆ เลยพี่”  

“อ่อ อ่อ เดี๋ยวพี่จะลงไปช่วย!!! พี่จะกลับไปเอาบันไดที่แผนกก่อน นพ จะได้ใช้ปีนขึ้นมานะ”  

ผมได้ยินเสียงฝีเท้าที่ร้อนรนย่ำลงกับพื้น เดาได้ว่าพี่ยุทธคงกำลังเร่งรีบกลับไปเอาบันไดเพื่อมาช่วย  

ความรู้สึกเจ็บปวดและระบมไปทั้งซีกขวา ความเจ็บปวดมันก็ดีอย่าง มันทำให้ไม่ได้กลิ่นที่เน่าเหม็นภายในนี้ ผม 

ค่อยๆ นั่งลงกับพื้นของแท็งก์แล้วเงยหน้ามองไปที่ฝาของแท็งก์ ซึ่งมันจะเป็นทางออกเดียวที่จะออกไปได้ แต่มันก็ 

สูงเกินกว่าที่จะหาทางปีนออกไป ผมพยายามเอามือควานหาโทรศัพท์ของพี่ยุทธ เพื่อที่จะโทรหาให้ใครก็ได้มาช่วย 

ออกไปจากที่นี่ แต่อนิจจา มือถือพี่ยุทธ ก็ดันล็อกที่หน้าจอ และผมเองก็ไม่รู้รหัสผ่านเอาเสียด้วย ผมพยายาม  

จะปลดล็อกโทรศัพท์ของพี่ยุทธแต่มันก็ไม่เป็นผล ซ้ำร้าย ยิ่งพยายามจะปลดล็อก มันยิ่งกลับทำให้โทรศัพท์ ปิดการ 

ทำงานตัวเองจนไม่สามารถทำอะไรกับมันได้ แสงไฟอันน้อยนิดที่สาดส่องผ่านมาจากฝาของแท็งก์น้ำ  

ผมได้แต่นั่งมองดูแสงแห่งความหวัง เพื่อรอว่าพี่ยุทธจะกลับมาช่วย นั่งรอสักพักก็ได้ยินกับเสียง 

ปัง!! ตึง ตึง เสียงเหมือนกับมีคนกำลังเดินย่ำอยู่บน แท็งก์ ผมรีบเพ่งมองออกไปที่ฝาแท็งก์ ด้วยความหวังว่าจะเป็นพี่ 

ยุทธที่กำลังมาช่วย แต่แล้วโลกทั้งโลกมันก็ดับมืดสนิทลงไป ด้วยว่า เสียงปัง!! ก้องกังวานในหูของผม ฝาของแท็งก์มันได้ถูกใครสักคนปิดลงมา อีกทั้งยังได้ยินเสียงเลื่อนกลอนปิดที่ฝาอย่างชัดเจน  

รอบๆ ตัวมันดำมืดมิดไปหมดมืดสนิทจนไม่รู้เลยว่ากำลังลืมตาอยู่รึเปล่า ความกลัวและความสงสัยก็เริ่มเข้ามา 

ในจิตใจของผมอย่างช้าๆ ใครกันที่มาปิดฝา แล้วพี่ยุทธไปไหน แล้วใครจะมาช่วย จะออกจากแท็งก์น้ำได้อย่างไร  

ความคิดและความกลัวมันเข้ามาก่อกวนในหัว จนตอนนี้สติของผมแยกไม่ออกแล้วว่า กำลังกลัวในสถานการณ์ที่ 

เป็นอยู่หรือกลัวในความคิดของตัวเอง จนสติก็เริ่มจะแตกออกมาผมพยายามใช้ฝ่ามือทั้งสองทุบผนังเพื่อหวังว่าจะมีใครมาได้ยิน แล้วปากก็ร้องตะโกนขอความช่วยเหลืออย่าง 

สุดเสียง สองมือก็พยายามตะเกียกตะกายปีนป่ายเพื่อที่จะออกไป พยายามหาทางดิ้นรนทุกวิถีทางเท่าที่สมองมันจะ 

คิดได้ ทำซ้ำไปซ้ำมาอยู่นานแค่ไหนก็มิอาจรู้ยิ่งความพยายามดิ้นรนมากขึ้นเท่าไหร่ มันยิ่งทำให้ผม กลัว 

อีกทั้งมันยังทวีความร้อนภายในร่างกายและจิตใจให้มากยิ่งขึ้นอีก ร่างกาย อันบอบช้ำ มันเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ  

น้ำตาไหลอาบหน้ามาตอนไหนก็ไม่รู้ มันเป็นน้ำตาแห่งความเจ็บปวดหรือมันเป็นน้ำตาจากความกลัว ก็ไม่อาจ 

ทราบได้ หัวใจที่เคยเต้นเร็วๆ รัวๆ เพราะความหวาดกลัว มันก็ค่อยเต้นช้า ลง ช้าลงความร้อน และความรู้อึดอัด 

ภายใน มันกำลังจะฆ่าผมอย่างช้าๆ ความพยายามที่จะออกไปจากที่นี่ มันช่างเริ่มเลือนราง สภาพจิตใจที่เหนื่อย 

ล้า ท้อแท้ และความรู้สึกของการสิ้นหวัง ผมได้แต่นอนลงหน้าแนบพื้นด้วยสภาพร่างกายที่อ่อนระโหยโรยแรง 

โดยที่ไม่รู้เลยว่า ติดอยู่ในแท็งก์มานานแค่ไหนแล้ว สำหรับผมมันช่างเป็นเวลาที่แสนยาวนาน มารู้ตัวอีกทีก็ 

ตอนที่มือมันระบมและแสบที่ปลายนิ้วไปหมด กลิ่นที่เหม็นเน่ามันเริ่มกลับมาอีกแล้ว ลมหายใจของผมก็ 

คงจะหมดลงแล้วในอีกไม่ช้า  

ผมได้แต่หวังถึงสิ่งสุดท้าย หวังว่าจะมีใครสักคน ใครสักคน ที่ขึ้นมาบนดาดฟ้า ขึ้นมาเจอกับแท็งก์น้ำ 

เก่าๆ ที่ตั้งอยู่ แล้วอยากให้เขาได้ลองเปิดฝาแท๊งก์ดู  

เพื่อว่าบางทีมันอาจจะทำให้ คุณได้เจอกับผมอยู่ในนั้นก็ได้ 

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว