ด้ายแดง
0
ตอน
4.3K
เข้าชม
21
ถูกใจ
1
ความคิดเห็น
11
เพิ่มลงคลัง

ด้ายแดง

หญิงสาวเหม่อมองเส้นทางที่ทอดยาวราวไร้ที่สิ้นสุด แม้ใจจะสั่งให้รีบรุดหน้าต่อไป แต่เท้าอันปวดระบมจากการทำหน้าที่ของมันอย่างหนักมาหลายวันไม่อาจทำตามคำสั่งได้อย่างจงรักภักดีอีกแล้ว

ที่ใต้ร่มไม้ใหญ่ริมทางเท้า จังหวะก้าวช้าลงจนกลายเป็นหยุดนิ่ง มือขวายกขึ้นปาดเหงื่อที่ไหลโทรมทั่วใบหน้า เธอหยีตามองภาพบิดเบี้ยวอันเกิดจากการบิดเบือนของไอความร้อนก่อนจะเหลือบมองสิ่งๆ หนึ่งที่พันผูกอยู่ที่นิ้วก้อยมือซ้ายของตนเอง ความคิดสับสนลังเลผุดขึ้นในหัวสมองอันเหนื่อยล้า

ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มต้นในเช้าวันปีใหม่เมื่อสามวันก่อน

 

............................

 

มันคงจะเป็นเช้าที่ไม่ต่างอะไรไปจากเดิม และก็คงเป็นวันปีใหม่เช่นเดียวกับทุกปี ถ้าเพียงแต่หญิงสาวไม่ลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมกับความผิดปกติอะไรบางอย่างในห้องนอนของเธอ

บนพื้นห้องที่เคยสะอาดสะอ้านกลับมีสิ่งที่มีลักษณะคล้ายเส้นด้ายสีแดงเรืองๆ กองยุ่งเหยิงอยู่ ซึ่งเมื่อไล่สายตาไปเรื่อยๆ ก็พบว่าปลายด้านหนึ่งของกองด้ายนั้นถูกลากออกไปทางประตูห้องและปลายอีกด้านติดอยู่กับนิ้วก้อยที่มือซ้ายของเธอนั่นเอง

ยิ่งสังเกตก็ยิ่งแปลกใจเพราะเธอพบว่าด้ายที่ติดอยู่กับนิ้วนั้นไม่มีรอยผูกหรือเงื่อนปมใดๆ เหมือนกับว่ามันเพียงแค่งอกออกมาจากนิ้วเท่านั้นเอง

หลังขบคิดอยู่พักหนึ่งเธอก็นึกอะไรบางอย่างออก สิ่งที่เห็นตอนนี้มันเหมือนกับบทความที่ได้อ่านบนโลกอินเตอร์เน็ตเมื่อคืนก่อนนอน

“คนเราทุกคนเกิดมาพร้อมกับเส้นด้ายแห่งพรหมลิขิต ด้ายแดงที่ปลายด้านหนึ่งจะพันผูกอยู่ที่นิ้วก้อยของตัวเราเอง และปลายอีกด้านหนึ่งนั้นก็จะถูกผูกติดอยู่กับคนอีกคนหนึ่ง

เส้นสีแดงเรืองๆ นี้จะทำหน้าที่ชักนำให้เจ้าของซึ่งอยู่ที่ปลายทั้งสองข้างมาพบและร้อยเกี่ยวนิ้วก้อยของคนทั้งสองเข้าไว้ด้วยกัน

คนทั้งสองที่เกิดมาเพื่อที่จะเป็นของกันและกัน คนที่พร้อมจะยิ้มและร้องไห้ไปด้วยกัน คนที่ถูกลิขิตไว้แล้วว่าจะอยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันจนวันสุดท้ายของชีวิต”

ด้ายแดงเหรอ เฮ้อ ถ้าทุกอย่างง่ายดายอย่างนี้ได้ก็ดีน่ะสิ ฉันเองก็อยากจะเจอกับคนที่อยู่ปลายอีกด้านของด้ายแดงเสียที คนที่จะเป็นเนื้อคู่และอยู่เคียงข้างกันตลอดไป

เธอจำได้ว่าตนเองนอนเพ่งพิศนิ้วก้อยอยู่นานราวกับต้องการจะเข้าถึงอะไรบางอย่างเช่นเดียวกับที่อ่านมา ความคิดสับสนเตลิดไปไกลจนกระทั่งผล็อยหลับไป

และในเช้าวันปีใหม่วันนี้นี่เองที่เธอตื่นมาพร้อมๆ กับด้ายสีแดงเรืองรองที่ปลายนิ้วก้อยของเธอ

หรือนี่จะเป็นโอกาสที่คนบนสรวงสวรรค์ประทานมาให้เพื่อเป็นของขวัญวันปีใหม่กันนะ ต้องใช่แน่ๆ ท่านคงเห็นใจคนที่โดดเดี่ยวมานานถึงได้ตอบรับความรู้สึกของเรา

และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับวันปีใหม่ของเธอ

หญิงสาวเลือกแต่งตัวด้วยชุดที่คิดว่าสบายที่สุด หลังจากคว้ากระเป๋าสตางค์ใส่กระเป๋ากางเกงแล้วเธอก็เริ่มต้นใช้มือทั้งสองค่อยๆ สาวเส้นด้ายสีแดงที่เกลื่อนตามพื้นห้องเข้าหาตัวในขณะที่เท้าก็ก้าวออกไปเรื่อยๆ หัวใจพองโตกับสิ่งที่เธอจะได้พบเจอ

ในเวลานั้นหญิงสาวคิดว่าเธอเองพร้อมจะยิ้มรับทุกสิ่ง ไม่ว่าเส้นทางนั้นจะเป็นเส้นทางใดก็ตามที่ด้ายแดงได้นำพาไป

ด้ายแดงนำเธอลงจากชั้นสองและพาออกจากบ้านของตัวเอง

โอ้โฮ

เสียงในสมองอุทานดังหลังจากที่เห็นเส้นด้ายแบบเดียวกับที่ติดอยู่ที่นิ้วของเธอระโยงรยางค์กันเต็มไปหมดอยู่บนพื้นถนน

สงสัยจะไม่ง่ายอย่างที่คิดไว้เสียแล้ว

หญิงสาวต้องใช้ความระมัดระวังมากขึ้นในการคลำเส้นทางที่ด้ายแดงจะนำพาไป มันพาดผ่านพื้นถนน ผ่านตรอกซอกซอย วนไปเวียนมาราวกับต้องมาเดินอยู่ในเขาวงกต เธอเองก็เริ่มงวยงงจนรู้สึกว่าการเดินทางนั้นไม่ได้มีความคืบหน้าเท่าไหร่เลย

ไม่ใช่ว่าอาจจะไม่ง่าย แต่ถ้าหากเป็นอย่างนี้ต้องเรียกว่ายากเลยทีเดียว อาจจะต้องเสียเวลาหลายวัน หรือไม่ก็อาจจะตลอดช่วงวันหยุดปีใหม่เลยก็เป็นได้

เมื่อคิดได้ดังนั้นหญิงสาวจึงตัดสินใจกลับบ้านเพื่อเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าและจัดเตรียมสิ่งของจำเป็นสำหรับการออกเดินทางในระยะเวลาสั้นๆ ก่อนจะเริ่มต้นการออกเดินทางเพื่อตามหารักแท้ที่ปลายอีกด้านของเส้นด้ายสีแดงอีกครั้งในเวลาเที่ยงวัน

ถึงแม้จะเป็นช่วงฤดูหนาวที่อากาศในช่วงกลางคืนและเช้ามืดนั้นออกจะเย็นสบาย แต่สำหรับในเวลาเที่ยงวันนั้นมันกลับไม่ได้แตกต่างจากฤดูกาลอื่นเลย

แสงแดดที่แผดลงมายังเบื้องล่างส่งผลให้อุณหภูมิบนท้องถนนที่ปราศจากร่มเงาสูงขึ้นกว่าช่วงเช้าอย่างน่าใจหาย และเพียงแค่เดินออกจากบ้านแล้วต้องมาเจอกองด้ายแดงของใครต่อใครเต็มพื้นถนนไปหมดก็ทำให้เธอเกิดอาการตาลายขึ้นมาได้ง่ายๆ แล้ว

จะพลาดโอกาสแบบนี้ไม่ได้ ฉันต้องสู้สิ คนเบื้องบนอุตส่าห์ประทานโอกาสมาให้แล้วแท้ๆ

หญิงสาวคิดก่อนจะปลุกเร้าตัวเองด้วยการสูดหายใจแรงๆ ก่อนจะเริ่มค่อยๆ คลำเส้นทางจากเส้นด้ายสีแดงตรงพื้นอีกครั้ง

อ๊ะ นั่นใครกำลังเดินมา อุ๊ย เขานั่นเอง พี่ที่อยู่ซอยสี่คนนั้น จะใช่เขารึเปล่านะ คนที่ฉันแอบปลื้มมานานแล้ว

สายตาก้มลงต่ำโดยอัตโนมัติเมื่อเขาเดินเข้ามาใกล้ ทั้งๆ ที่แทบจะไม่เคยได้คุยด้วยแบบเป็นจริงเป็นจังเลยแท้ๆ แต่เธอก็กลับเขินอายและประหม่าได้อย่างที่ตัวเองยังคาดไม่ถึงว่าจะเป็นได้เพียงนี้

ถึงแม้จะหลบตาแต่ก็พยายามมองไปยังนิ้วก้อยของชายหนุ่ม

เขาเดินเข้ามาใกล้แล้ว ใช่รึเปล่านะ จะใช่รึเปล่า ถ้าใช่จะทำหน้ายังไงดี จะเข้าไปทักก่อนเลยดีไหม หรือจะทำเฉยๆ รอให้เขามาทักก่อนดี

ความคิดแบบเข้าข้างตัวเองเตลิดไปไกล หัวใจเต้นแรงขึ้นเป็นลำดับ รู้สึกราวกับไม่สามารถควบคุมใบหน้าตัวเองให้เรียบเฉยได้

“สวัสดีครับ แบกเป้อย่างนี้จะไปไหนหรือครับ”

ชายหนุ่มยิ้มละไม เสียงทุ้มต่ำทักทายแบบไม่ทันตั้งตัว

“อ่ะ เอ้อ สวัสดีค่ะ อ๋อ พอดีจะไปเที่ยวสักสองสามวันน่ะค่ะ”

เธอสะดุ้งลืมตัว ตอบตะกุกตะกัก ยิ้มแหยๆ กลบเกลื่อนความคิด

“ถ้าอย่างนั้นรีบไปเถอะ ผมขอตัวก่อน ตากแดดนานๆ ระวังจะไม่สบายนะครับ”

“ค่ะ ขอบคุณค่ะ” น้ำเสียงลนลาน เขาอมยิ้มก่อนจะเดินแยกทางจากเธอ

โธ่ นี่เขาต้องขำที่เห็นฉันทำท่าทางแปลกๆ แน่ๆ เลย หมดกันภาพลักษณ์ของฉันที่เขามี จะให้ทำยังไงได้ล่ะ ก็ถ้าไม่สาวเจ้าด้ายแดงนี้ไปเรื่อยๆ ก็ไม่มีทางเดินไปตามทางของมันได้แน่ๆ

หญิงสาวคิดโทษตัวเองอยู่ในที ทั้งๆ ที่มีโอกาสคุยด้วยแล้วแต่เธอก็ยังไม่กล้า แถมยังไปทำอะไรแปลกๆ ให้เห็นอีก

เมื้อกี้ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นเลย เส้นด้ายที่ติดอยู่กับนิ้วก้อยของเขาก็ยังทิ้งตัวอยู่ที่พื้นแล้วก็ลากยาวไปตามทางที่เขาเพิ่งเดินผ่านมา ก็แสดงว่าคงจะไม่ใช่เขาสินะ

หญิงสาวเหลียวหลังกลับไปมอง นึกเสียดายอยู่ลึกๆ หลังคลำทางมาอีกสักพัก ด้ายแดงก็พาเธอเลี้ยวหักมุมเข้าไปในซอยซ้ายมือข้างหน้า

เอ๋ ซอยนี้ ตายล่ะ ซอยนี้มัน

เท้าหยุดก้าวในทันทีที่นึกถึงเรื่องน่ากลัวขึ้นมาได้

“โฮ่งๆๆ”

เสียงเห่าหนักๆ ทรงพลังอันแสนจะคุ้นเคยนี้บ่งบอกถึงขนาดและความดุร้ายของเจ้าของเสียงได้เป็นอย่างดี แต่ไหนแต่ไรหญิงสาวเองก็ไม่ค่อยถูกชะตากับสุนัขทุกสายพันธุ์อยู่แล้ว ไม่ว่าจะตัวใหญ่เท่าเสือหรือจะตัวเล็กเท่าหนูก็ตามที

เธอจะรู้สึกขนลุกทุกครั้งที่ได้ยินเสียงของมัน แค่จินตนาการว่าลูกสุนัขตัวน้อยกำลังวิ่งเข้ามาเพื่อที่จะเล่นจะคลอเคลียด้วยเธอก็แทบจะทนไม่ได้แล้ว

โธ่ ยังไม่ทันจะขาดคำเลย จะผ่านไปยังไงดีล่ะเนี่ย จะเอายังไงดี โธ่ๆๆ ยังไม่ทันจะพ้นหมู่บ้านเลยก็ต้องมาเจออุปสรรคชิ้นโตเสียแล้ว

เธอคิดหนักอก รอดูท่าทีของเจ้าร่างใหญ่อย่างหวั่นไหว เตรียมพร้อมวิ่งทุกเมื่อถ้ามันก้าวเท้ามาหา

“เอ้า เห่าอะไรอยู่ได้ มานี่ เข้าบ้านเดี๋ยวนี้”

ราวกับสวรรค์เข้าข้าง เสียงเจ้าของตวาดพร้อมกับจูงสุนัขตัวเขื่องที่กำลังขวางเส้นทางอยู่เข้าบ้าน หญิงสาวยิ้มออก ถอนหายใจโล่งราวกับยกภูเขาออกจากอก ในที่สุดก็จะได้เริ่มเดินทางต่อเสียที

ในที่สุดด้ายแดงก็พาให้เธอพ้นจากตัวหมู่บ้านหลังจากที่มันพาเดินวนไปวนมาอยู่นานนับชั่วโมงจนคนในหมู่บ้านบางคนเริ่มสงสัยว่าเธอทำอะไร แต่ถึงกระนั้นก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรดีขึ้นเลย

ถนนสายหลักหน้าหมู่บ้านที่ผู้คนมากหน้าหลายตาต่างใช้สัญจรไปมาไม่ขาดสาย ด้ายแดงเกลื่อนถนนยิ่งกว่าในหมู่บ้านไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเท่าตัว หญิงสาวยืนมองภาพตรงหน้ารู้สึกราวกับจะเป็นลม และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เธอคิดจะเลิกล้มความตั้งใจ

ไม่ได้นะ ไม่ได้ ตั้งใจแล้วก็ต้องทำให้ได้สิ ก็นี่เป็นโอกาสที่ฉันจะได้พบกับรักแท้แล้วทั้งที การเดินทางครั้งนี้จะต้องเป็นความทรงจำที่แสนประทับใจไปอีกนานแสนนาน การเดินทางเพื่อตามหารักแท้ที่จะต้องถูกจดจำไปจนวันสุดท้ายของเรา

เมื่อใจเรียกร้องขาก็เริ่มก้าวอีกครั้ง บางครั้งที่เธอชำเลืองมองคนที่เดินสวนทางกัน เธอเองก็มีความรู้สึกอายอยู่ไม่น้อยที่ตัวเองต้องมาทำท่าทางราวกับสาวดึงอะไรบางอย่างที่คนอื่นมองไม่เห็น

นี่เขาจะคิดว่าเราบ้ารึเปล่านะ โธ่ ต้องคิดแน่อยู่แล้วล่ะ

แล้ววันแรกของการเดินทางก็จบลงด้วยการที่หญิงสาวหลับเป็นตายจากความเหนื่อยล้าที่ต้องเดินตากแดดทั้งวันในห้องพักราคาถูก

มือของเธอยังคงกำส่วนหนึ่งของด้ายแดงที่ได้เดินสาวดึงมาทั้งวัน ก่อนนอนเธอคิดว่าจะได้ฝันเห็นชายที่ปลายทางแห่งรัก แต่อาจจะเป็นเพราะเหนื่อยเกินไป ความฝันในคืนนั้นจึงสับสนจนเธอไม่สามารถจับต้นชนปลายได้

ตี๊ดๆๆ ตี๊ดๆๆ

มือเอื้อมกดหยุดเสียงปลุกจากโทรศัพท์มือถือแต่ตายังคงหลับอยู่ รู้สึกว่าตัวเองยังไม่อยากตื่น

อย่าเพิ่งลุกเลย นอนต่อเถอะ ฉันไม่เคยเหนื่อยขนาดนี้มานานแล้วนะ

ไม่เอาแล้ว ไม่อยากเดินต่อแล้ว เห็นใจกันบ้างสิ

อวัยวะต่างๆ ของร่างกายกำลังประท้วงอยู่ในหัวสมอง ร่างกายหนักจากการเดินทางเมื่อวาน เธอลุกขึ้นนั่งด้วยอาการงัวเงียครึ่งหลับครึ่งตื่น รับรู้ได้ถึงความปวดเมื่อยตามแขนขา สายตาชำเลืองมองออกนอกหน้าต่างห้องพัก

เฮ้อ ฟ้ายังมืดอยู่เลย อากาศก็กำลังเย็นสบายเชียว นอนต่ออีกหน่อยดีไหมเนี่ย

หญิงสาวหลับตา ความรู้สึกสบายที่ได้จากการคุดคู้ตัวใต้ผ้าอุ่นหนาก่อนจะลุกขึ้นเมื่อสักครู่ยังคงอยู่ เธอถอนหายใจหนักๆ เพื่อรวบรวมกำลังก่อนจะดีดตัวจากที่นอนและจัดแจงกับตัวเองได้ในที่สุด

การเดินทางในวันที่สองเริ่มต้นตั้งแต่เช้ามืด บทเรียนอันร้ายกาจจากเมื่อวานทำให้ต้องคิดวางแผนในการเดินทางมากขึ้น

เธอหวังว่าในวันนี้ช่วงที่อากาศยังไม่ร้อนอบอ้าวจะทำให้เดินทางได้ไกลขึ้นและเหนื่อยน้อยกว่าเดิม ส่วนช่วงเที่ยงวันที่น่าจะร้อนที่สุดก็จะหาที่หลบพักเพื่อคลายร้อนก่อนเริ่มออกเดินทางอีกครั้งเมื่อดวงอาทิตย์เริ่มอ่อนกำลังลง

ในวันนี้เส้นด้ายสีแดงเรืองรองยังคงพาหญิงสาวให้เดินอย่างเปะปะไม่ต่างจากเมื่อวาน จะรู้สึกดีอยู่หน่อยก็ตรงที่ในเวลานี้ยังไม่ค่อยมีผู้คนเดินไปมาและขบขันท่าทางของเธอ

ตะวันเริ่มโผล่พ้นขอบฟ้า หญิงสาวรู้สึกแสบตาเล็กน้อยจากแสงที่เริ่มทอลงมายังเบื้องล่าง ลูกกลมสีส้มสุกปลั่งที่เธอไม่เคยสังเกตเห็นมานานแล้ว

อันที่จริงเธอเองก็ไม่ใช่คนที่ตื่นสายหรือเกียจคร้านอะไร แต่อาจเป็นเพราะลักษณะการใช้ชีวิตอันเร่งรีบของคนเมืองหรือจะอะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้เธอเลิกสนใจสิ่งเหล่านี้ไปในที่สุด

อา สวยจังเลย วันนี้อาจจะมีอะไรดีๆ ก็ได้

หญิงสาวหลับตา สูดหายใจลึก เผยยิ้มออกมาให้กับความรู้สึก

ช่วงที่แสงแรงกล้าเริ่มฉายมาตรงกลางกระหม่อม หญิงสาวสะพายเป้วิ่งตามก่อนจะกระโดดขึ้นบนรถประจำทางหลังจากที่เธอพบว่าเส้นด้ายแดงถูกลากหายเข้าไปที่ประตูหลังของรถคันนั้น เธอจัดแจงนั่งอยู่ตรงเบาะด้านหลังสุดเพื่อไม่ให้เป็นที่สะดุดตาคนอื่นมากนักก่อนที่จะเริ่มสาวดึงเส้นด้ายอีกครั้ง

เธอใช้เวลาไปพอสมควรทีเดียวบนรถประจำทาง เส้นด้ายที่กองอยู่บนพื้นรถน้อยลงเรื่อยๆ ชายหนุ่มคนหนึ่งลุกจากที่นั่ง เขากดกริ่งและยืนรอเพื่อจะลงที่ป้ายข้างหน้า เส้นด้ายบนพื้นสั้นเข้ามา

รถประจำทางจอดป้าย เขาเดินลงบันไดรถไปก่อนที่เธอจะพบว่าเส้นด้ายแดงนั้นพาดผ่านประตูหน้าที่เขาเพิ่งก้าวลงไปนั่นเอง

หรือว่า

ใจเต้นโครมครามราวกับจะหลุดออกจากอก เพียงคิดแค่นั้นเธอก็ลุกพรวดพราดจากที่นั่งพุ่งตัวออกจากรถประจำทางเพียงเสี้ยววินาทีก่อนที่รถจะเคลื่อนตัวออก

เสียงบ่นเสียงด่าที่ดังไล่หลังไม่อาจดึงความสนใจของเธอไปจากชายตรงหน้าได้ แต่กระนั้นก็ทำให้ใครหลายคนบริเวณนั้นเหลียวหน้ามามอง และนั่นก็รวมถึงเขาคนที่เพิ่งลงจากรถด้วย

ชายหนุ่มหยุดฝีก้าวเหลียวกลับมายังเธอ ทั้งสองมองหน้ากัน ราวกับโลกทั้งโลกหยุดเคลื่อนไหว

หรือว่า จะใช่เขาคนนี้จริงๆ

“เอ่อ ขอโทษนะครับ หน้าผมมีอะไรติดอยู่รึเปล่าครับ”

จู่ๆ ชายหนุ่มก็เอ่ยขึ้นทำลายบรรยากาศตรงหน้า หญิงสาวหลบตาเพราะเริ่มรู้สึกเสียมารยาทที่จ้องมองเขาไปขนาดนั้น

เธอลอบสังเกตเส้นด้ายที่นิ้วก้อยของเขาและพบว่ามันยังคงลากตัวห่างออกไปบนพื้นถนน จิตใจพองโตเมื่อสักครู่กลับเหี่ยวลีบลงอีกครั้งอย่างรวดเร็วเกินคาด ความรู้สึกเหมือนกับตอนที่กำลังเข้าสู่ช่วงสำคัญของความฝันที่ดีสุดๆ แล้วถูกปลุกให้ตื่นอย่างไรอย่างนั้น

“คุณครับ คุณ เป็นอะไรรึเปล่าครับ”

หญิงสาวสะดุ้งหลุดออกจากภวังค์จากเสียงเรียกของชายหนุ่มที่ขณะนี้เดินเข้ามาใกล้จนเธอตกใจ

“เอ้อ เปล่าค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ คือว่า จำคนผิดน่ะค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ”

หลังจบประโยคหญิงสาวก้มหน้างุดผละออกจากคู่สนทนา ไม่กล้าแม้แต่จะหันกลับไปมอง เมื่อเดินออกมาห่างพอสมควรเธอก็เงยหน้าและสังเกตบรรยากาศโดยรอบก่อนจะแสดงสีหน้าผิดหวังออกมาอย่างไม่สนใจสายตาใคร

เสียเวลาไปเปล่าๆ จริงๆ เชียว

ในขณะที่เธอกำลังใจจดใจจ่ออยู่กับเส้นด้ายแดงบนรถประจำทาง รถเจ้ากรรมก็วิ่งวนพาเธอมาตามเส้นทางที่เธอเพิ่งเดินผ่านมาเมื่อช่วงเช้าเป็นระยะทางไกลโขอยู่นั่นเอง เธอถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายรู้สึกผิดหวังกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

และการเดินทางในวันที่สองก็จบลงไม่ต่างไปจากวันแรกเท่าใดนัก ในคืนนี้ที่ห้องพัก เมื่อล้มตัวลงนอนก็รู้สึกได้ว่าเท้าและน่องของเธอออกอาการปวดระบมอย่างชัดเจน ร่างกายหนักอึ้งเสียยิ่งกว่าเมื่อวาน

เช่นเดียวกับคืนก่อนที่เธออยากจะให้ภาพในฝันช่วยปลอบประโลม แต่น่าเสียดายที่คืนนี้ในมโนภาพนั้นกลับมีแต่ความว่างเปล่า

วันที่สามของการเดินทางยังคงดำเนินไปในทิศทางเดิมๆ ราวกับภาพที่ถูกฉายซ้ำๆ หากทว่าในวันนี้สิ่งที่ต่างออกไปก็คือความรู้สึกกระตือรือร้นของเธอนั่นเอง

ตอนนี้เธอเหนื่อยล้าเกินกว่าจะมีกระจิตกระใจสนใจกับท่าทางของคนอื่นที่มีต่อเธอ สายตาได้แต่จับจ้องมองไปเบื้องหน้าอย่างเลื่อนลอย ปลายทางไร้ที่สิ้นสุดยังคงอยู่ที่สุดสายตาและมันไม่เคยขยับเข้ามาใกล้เลยแม้แต่น้อย

รอยยิ้มในแววตาได้หายไปแล้ว หญิงสาวมองผู้คนรอบข้างที่เดินผ่านไปมาด้วยความรู้สึกแตกต่างจากสองวันแรก

เธอเห็นชายหญิงบางคู่เดินเกาะกุมมือกัน ใบหน้าแววตาของทั้งคู่แสดงออกว่ารักกันอย่างสุดซึ้ง แต่ทว่าเส้นด้ายที่นิ้วก้อยของคนทั้งสองกลับไม่ได้เกี่ยวพันกันและกันไว้ มันยังคงทิ้งตัวเป็นอิสระต่อกันอย่างไม่ไยดีบุคคลทั้งสอง

ที่ตรงนั้น เด็กนักเรียนกลุ่มใหญ่ที่กำลังหัวเราะเฮฮากันอยู่ตามประสาเด็กที่เริ่มจะเป็นวัยรุ่น ถึงดูเหมือนไม่มีอะไรแต่เด็กชายหญิงคู่หนึ่งในกลุ่มนั้นกลับมีด้ายแดงที่เชื่อมต่อถึงกัน

ดีจังเลยนะ

แม้ในเวลานี้ที่เด็กทั้งสองอาจจะยังไม่รู้ตัว หรืออาจจะยังไม่เข้าใจสิ่งที่เรียกว่าความรัก แต่การได้สนุกสนาน ได้เฮฮา ได้เล่นหัว ก็ทำให้ทั้งคู่ได้มีโอกาสเรียนรู้ ได้มีโอกาสศึกษาและได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันนานกว่าคู่อื่นๆ อีกหลายต่อหลายคู่ และก็คงจะทำให้เด็กทั้งสองกลายเป็นคู่รักที่สมบูรณ์ได้ในอนาคต

หญิงชายที่กำลังจูงมือกันเดินข้ามถนน เส้นด้ายเกี่ยวพันนิ้วก้อยของคนทั้งสองโยงเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน เขาทั้งสองก็คงจะมีความรักที่แนบแน่นเช่นเดียวกัน แม้แต่ชายกับชายหรือหญิงกับหญิงบางคู่ก็ยังมีด้ายแดงเชื่อมโยงเข้าไว้ด้วยกัน

หญิงสาวที่ตอนนี้ทำได้เพียงมอง เธอถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ความรักช่างเป็นสิ่งที่สวยงาม ไร้พรหมแดน เกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย และยากจะคาดเดาจริงๆ  ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปพร้อมๆ กับดวงใจอันหงอยเหงาหนึ่งดวง

วันที่สี่ของการเดินทาง หญิงสาวเริ่มคิดถึงความสำเร็จที่น่าจะเหลือเพียงน้อยนิดเท่านั้น เส้นสีแดงเรืองรองที่เฝ้าไล่ตามหาปลายทางยังคงทับพันกันยุ่งเหยิงและยังคงทอดตัวไปข้างหน้าไร้ที่สิ้นสุด

แสงสีส้มยามเย็นส่งผลให้เงาจากตึกอาคารทอดตัวยาวทาบทับไปตามถนน ตามตรอกซอกซอย

แสงยามเช้าอันสดใส ผ่อนคลาย และแสงยามเย็นที่หงอยเหงา โดดเดี่ยว ทั้งที่ดวงอาทิตย์ในตอนเช้าและตอนเย็นทอแสงคล้ายกันแท้ๆ แต่มันกลับให้ความรู้สึกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

มันคงไม่ต่างอะไรกับความรู้สึกเมื่อเริ่มเดินทางและความรู้สึกในขณะนี้ เมื่อเริ่มออกเดินทางเธอคิดฝันถึงแต่เรื่องสวยงามที่ทุกอย่างจะเป็นไปอย่างฝัน แต่ในขณะนี้เธอกำลังจะต้องเผชิญกับความเป็นจริงตรงหน้า

หญิงสาวหยุดก้าวเดิน ทรุดตัวลงบนม้านั่งข้างทาง ไม้ใหญ่ที่ปลูกไว้ใกล้ๆ ช่วยบดบังและช่วยให้คลายร้อนได้บ้าง อาการปวดเมื่อยระบมจากการเดินมาทั้งวันเริ่มผ่อนคลายทุเลาลงบ้างแล้ว

พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วของวันหยุดช่วงปีใหม่

นี่ฉันมาทำอะไรที่นี่กันแน่ ตอนนี้ฉันกำลังทำอะไรอยู่

หญิงสาวเฝ้าถามตัวเองซ้ำๆ หลังจากที่หยุดเดิน เธอรู้สึกผิดหวัง รับรู้ได้ถึงความบอบช้ำทั้งกายและใจจากการเดินทางอันไร้ที่สิ้นสุดในครั้งนี้

การเดินทางที่ยิ่งเดินไปข้างหน้าก็ยิ่งเหนื่อยล้า การเดินทางที่ยิ่งค้นหาก็ยิ่งผิดหวัง

นี่ฉันต้องการอะไรกันแน่ ฉันเดินทางทำไม ตามหารักแท้อย่างนั้นหรือ ตามหาคู่แท้อย่างนั้นหรือ จะสร้างตำนานรักอย่างนั้นหรือ

สายตามองตามเงาของตัวเองที่ทอดยาวไปตามทางเท้า มือขวาเลื่อนไปจับเส้นด้ายที่นิ้วก้อยข้างซ้าย ลองกระตุกดู ไม่รู้สึกเจ็บและก็ไม่มีวี่แววว่าจะขาดหลุด

คนเราทุกคนเกิดมาพร้อมกับด้ายแดงซึ่งจะพันผูกเรากับคนอีกคนหนึ่งเข้าไว้ด้วยกัน คนที่จะเกิดมาเพื่อกันและกัน ไม่วันใดก็วันหนึ่ง บางที นี่อาจจะไม่ใช่วันของฉันและเขา บางทีมันอาจจะเพียงแค่ยังไม่ถึงเวลาของเราเท่านั้นเอง บางทีบุคคลที่อยู่บนสรวงสวรรค์อาจจะต้องการบอกอะไรบางอย่างกับฉันก็เป็นได้

หญิงสาวแหงนหน้ามองฟ้าราวกับต้องการจะหาคำตอบจากคนที่อยู่เบื้องบน

ความรักอาจจะไม่ใช่เรื่องของการพยายามตามหา อาจจะไม่ใช่เรื่องของการขวนขวายไขว่คว้า เมื่อเรายิ่งตามหาและยิ่งพยายามไขว่คว้ามันมากเท่าไหร่ จิตใจก็จะยิ่งอ่อนล้า ร้อนลนและเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น

หากแต่สิ่งๆ นั้นจะมาเองเมื่อถึงเวลาอันสมควรในช่วงขณะที่มันควรจะเป็น

ด้ายแดงจะนำพาเจ้าของปลายทั้งสองด้านมาพบกันในเวลาที่เหมาะสม เมื่อคนทั้งสองได้สบตา ได้พูดคุย ได้เปิดใจ ได้หัวเราะ ได้ร้องไห้ ได้สื่อสาร ได้ถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ ถึงกัน และนั่นก็รวมถึงสิ่งที่เรียกว่าความรักความเข้าใจ

หญิงสาวยิ้มน้อยๆ สายตามองแสงสุดท้ายของวันที่ทอลงมาอย่างเงียบเหงา หากแต่แสงนั้นกลับเย็นตาและดูสงบอย่างประหลาด

ลมเย็นแผ่วพลิ้วไล้ผิวหน้า รอบกายดูผ่อนคลายลง เธอตัดสินใจเดินทางกลับบ้านและปล่อยให้เรื่องที่ผ่านมาทั้งสามวันเป็นเพียงบทเรียนบทหนึ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิต

ในเช้าวันสุดท้ายของวันหยุดช่วงปีใหม่ หญิงสาวลืมตาตื่นขึ้นมาท่ามกลางเสียงนกร้องและแดดอุ่น อากาศข้างนอกยังคงเย็นสบาย บัดนี้เธอนอนอย่างผ่อนคลายอยู่บนเตียงจนเริ่มไม่แน่ใจว่าเวลาที่ผ่านมาอาจเป็นเพียงฝันไป

เธอชูนิ้วก้อยขึ้นตรงหน้า ด้ายแดงที่เฝ้าตามหาปลายทางมาตลอดระยะเวลาสี่วันได้หายไปจากปลายนิ้วแล้ว

เธอจ้องมองด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้รับรู้ ได้รู้สึกและได้ซึมซับตลอดช่วงระยะเวลาการเดินทางสั้นๆ แต่ดูเหมือนยาวนาน

สุข เศร้า สนุก เบื่อหน่าย ผ่อนคลาย กังวล สงบ สับสน

ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้ผสมปนเปอยู่ข้างใน ถึงแม้การเดินทางจะจบลงไปแล้ว ถึงแม้จะผิดหวังอยู่บ้าง แต่สุดท้ายแล้วทุกสิ่งก็จะกลับไปเป็นอย่างเดิม ทุกอย่างยังคงต้องดำเนินต่อไป

 

............................

 

หญิงสาวยืนรอรถประจำทางที่ป้ายประจำเพื่อจะไปทำงานในวันแรกของปี สายตาจ้องมองไร้จุดสนใจ เรื่องที่เพิ่งผ่านมายังคงติดค้างอยู่ในใจ

“เอ่อ ขอโทษนะครับ”

“คะ”

เธอสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว หันกลับมามองยังต้นเสียงพร้อมตอบรับเจ้าของเสียงโดยอัตโนมัติ

“ขอโทษนะครับที่ทำให้คุณตกใจ คือว่า คุณพอจะรู้จักที่นี่มั้ยครับ”

ชายหนุ่มพูดก่อนจะยื่นแผนที่ซึ่งถูกเขียนอย่างลวกๆ บนกระดาษยับๆ มาให้ เธอยื่นมือรับแผนที่จากมือชายหนุ่มท่าทางขี้อาย

“คือว่า สำนักงานใหญ่ส่งผมมาทำงานที่นี่ แล้ววันนี้ก็เป็นวันแรกที่ผมมา แล้วตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าผมจะไปไม่ถูกเสียแล้วล่ะครับ”

ชายหนุ่มยืนเกาหัว ปั้นหน้าไม่ถูก รู้สึกว่าตัวเขาเองพยายามจับต้นชนปลายและอธิบายเรื่องราวอย่างเกินความจำเป็นไปมากโขอยู่

เธอพยายามอ่านสิ่งที่เรียกว่าแผนที่ที่เพิ่งรับมา อมยิ้มน้อยๆ กับท่าทางของเขา

“ฉันทำงานอยู่ที่ๆ คุณกำลังจะไปนั่นล่ะค่ะ ถ้าไม่รังเกียจเดี๋ยวไปด้วยกันเลยดีกว่าค่ะ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาอธิบายแล้วก็ไม่ต้องกลัวหลงอีก”

เธอพูดพลางยื่นแผนที่คืนให้ชายหนุ่มตรงหน้า

“จริงหรือครับ โชคดีจริงๆ ขอบคุณมากนะครับ”

เขาค้อมตัวพูดจาท่าทางเรียบร้อยเกินเหตุอีกเช่นเคย เธอนึกขำในใจ คนทั้งสองมองหน้ากัน มองลึกเข้าไปในดวงตา เพียงแค่พบกันครั้งแรกแต่กลับรู้สึกคุ้นเคยกับคู่สนทนาอย่างประหลาด

จังหวะเต้นของหัวใจผิดไปจากเดิมหากแต่นั่นกลับเป็นความรู้สึกดีๆ ที่ทั้งคู่เองก็อธิบายไม่ถูก รอยยิ้มขัดเขินเนื่องจากความไม่คุ้นเคยกลับเป็นรอยยิ้มที่ดูสดใสจริงใจที่สุดในความคิดของทั้งคู่

หากเพียงในเวลานี้ถ้าหญิงสาวจะยังคงมองเห็นเส้นสีแดงเรืองรองเส้นบางๆ ที่ทำหน้าที่ชักนำให้บุคคลทั้งสองมาพบกันแล้วล่ะก็ เธอก็จะพบว่าความยาวราวไร้ที่สิ้นสุดของเส้นด้ายที่เธอเคยเดินตามหานั้น บัดนี้ เหลือเพียงระยะห่างระหว่างนิ้วก้อยของเธอและเขาเท่านั้น

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว