แสบ-ซึม-ป่วน
8
ตอน
2.21K
เข้าชม
39
ถูกใจ
1
ความคิดเห็น
2
เพิ่มลงคลัง

เรื่องราวของทหารเกณฑ์กลุ่มหนึ่งซึ่งไม่ยอมจำนนต่อเกณฑ์ใดๆ

แสบ – ซึม – ป่วน                               โดย  แดนยุทธ  เพิ่มเจริญ

ถ้าชาวนาคือกระดูกสันหลังของชาติ ทหารเกณฑ์ก็คือกระดูกสันหลังของกองทัพเช่นกัน และคนทั้งสองกลุ่มนี้มีชะตากรรมที่เหมือนกัน คือ ได้รับการยกย่องเป็นอย่างสูงว่าพวกเขาคือ องค์ประกอบที่สำคัญมากขององค์กรขนาดใหญ่ สำคัญถึงขนาดขาดไม่ได้เลยทีเดียว กล่าวคือ ถ้าชาติขาดชาวนา คนในชาติก็จะประสบกับความยากลำบากในการหาซื้อข้าวกิน ต้องไปขอซื้อจากชาติอื่นที่มีชาวนา ด้วยราคาแพงและไม่แน่ว่าเขาจะงดขายให้เราเมื่อใด

กองทัพก็เช่นเดียวกัน ถ้าไม่มีทหารเกณฑ์ กำลังพลในกองทัพก็จะมีจำนวนน้อยลงเป็นอย่างมากและไม่มีพลังมากพอที่จะป้องกันประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาจต้องพึ่งพาทหารรับจ้างจากคนชาติอื่นซึ่งแน่นอนว่ามีราคาแพงกว่าทหารเกณฑ์และคงไม่ทำหน้าที่ป้องกันชาติของเรา(ซึ่งไม่ใช่ชาติของเขา) จนตัวตายหรอก เพราะพวกเขาต้องการมีชีวิตรอดมารับค่าจ้าง โอกาสชนะสงครามจึงแทบไม่มีเลย

ดังนั้นทั้งชาวนาและทหารเกณฑ์จึงถูกสังคมปลอบประโลมใจว่า พวกคุณมีความสำคัญต่อชาติมากเหลือเกิน เราจะขาดพวกคุณไม่ได้เป็นอันขาด ทั้งนี้ก็เพื่อให้พวกเขามีกำลังใจในการอดทนรับความยากลำบากแทนคนอาชีพอื่นๆไปเรื่อยๆ “สู้ต่อไป ทาเคชิ!” ฉันขอสบายก่อน ว่างั้นเถอะ

นั่นเป็นเพียงการยกย่องอย่างเป็นนามธรรมอันเลื่อนลอยเท่านั้นเอง แต่ในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมนั้น ทั้งชาวนาและทหารเกณฑ์ได้รับจากสังคมเหมือนกัน คือ ถูกมองว่าเป็นคนชั้นต่ำ โง่เง่า ไร้การศึกษา รายได้น้อย จึงถูกเอารัดเอาเปรียบและไม่อาจมีปากเสียงในสังคมได้มากนัก ทำให้คนไทยอยากเป็นชาวนาน้อยลงทุกที

แต่สำหรับทหารเกณฑ์ไม่ใช่อย่างนั้น ถึงแม้จะไม่มีชายไทยคนใดอยากเป็นทหาร หลวงท่านก็มาเกณฑ์ไปเป็นจนได้ เพราะกองทัพขาดพวกคุณไม่ได้นั่นแหละ คุณไม่มีสิทธิ์เลือกที่จะไม่ไปรับการเกณฑ์ทหารอย่างชาวนาที่สามารถเลือกที่จะไม่เป็นชาวนาต่อไปได้ นี่คือข้อแตกต่างข้อหนึ่งระหว่างชาวนากับทหารเกณฑ์ นอกนั้นก็คล้ายๆกัน ดังกล่าวแล้ว

มีสาเหตุนานัปการที่ทำให้ชายไทยรังเกียจการเป็นทหารเกณฑ์ ประการสำคัญก็คือการรับรู้ข่าวสารจากแหล่งข่าวต่างๆที่เผยแพร่ออกสู่สาธรณชนชาวไทยซึ่ง ก็จะมีข่าวเล็กๆเกี่ยวกับทหารเกณฑ์เป็นยาดำแทรกอยู่เสมอ แต่ส่วนใหญ่มักเป็นด้านลบ เช่นพลทหารบี สังกัดกรมซี กองทัพเอ ร่วมกับพวกอีก2-3คน ทำการปล้นชิงทรัพย์ นาย ก. ที่...ฯลฯ หรือทหารเกณฑ์นายหนึ่งถูกจับกุมฐานข่มขืนนักศึกษาหญิงของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง (พอตกเป็นข่าวก็ดังทุกมหาวิทยาลัยนั่นแหละ) หรือไม่ก็เป็นข่าวการเสียชีวิตของพลทหารที่โดนระเบิดร่างเละแถวภาคใต้ ซึ่งแบบนี้มีเกียรติกว่าข่าวการปล้น ฆ่า ข่มขืนหน่อย เพราะเป็นการเละเพื่อชาติ แต่มันก็ยังเป็นด้านลบอยู่ดี ไม่มีพ่อแม่คนไหนหรอกที่อยากไปงานศพลูกของตัวเอง

พอมาถึงยุคอันเรืองรองของการสื่อสาร โทรศัพท์มือถือสามารถทำอะไรได้สารพัดแบบ เป็นได้ทั้งขี้ข้าและเจ้านายของคุณ แถมยังถ่ายรูปได้และเผยแพร่ทางเน็ตได้ทันที ภาพข่าวทั้งเคลื่อนที่และภาพนิ่งเกี่ยวกับพฤติกรรมภายในค่ายฝึกของทหารเกณฑ์ซึ่งแต่ก่อนเคยเป็นความลึกลับดำมืด ก็เริ่มปรากฏต่อสายตาประชาชนมากขึ้นอย่างง่ายดายพอๆกับการหายใจ

แน่นอน มันเป็นข่าวด้านลบทั้งสิ้น ตั้งแต่การทำทารุณกรรมในระหว่างการฝึก น้องๆคุกกวนตานาโมของสหรัฐฯ ไปจนถึงการสั่งให้พลทหารเปลือยกายทำท่าลามกจกเปรตเพื่อความบันเทิงของพี่จ่าครูฝึก มีให้เห็นกันจะจะบนจอคอมพิวเตอร์ของทุกบ้าน ส่วนในด้านบวกของทหารเกณฑ์ เช่นการช่วยเหลือผู้เคราะห์ร้าย หรือ วีรกรรมในการสู้รบที่ภาคใต้ของพวกเขา ไม่เคยเป็นข่าว เพราะทหารเกณฑ์ไม่ควรเป็นฮีโร่ตามมาตรฐานสังคมไทย และข่าวด้านร้ายก็ขายดีที่สุด ตามมาตรฐานของสื่อทั่วโลก

มันจึงเป็นการตอกย้ำความต่ำต้อยของพลทหารไทยให้ต้อยต่ำใกล้ดอกต้อยติ่งยิ่งขึ้นอีก พ่อแม่พี่น้องที่ได้รับรู้ข่าวสารทำนองนี้ก็ยิ่งไม่อยากให้ลูกหลานของตัวเองต้องเป็นทหารเกณฑ์มากกว่าเดิม จากที่เคยรับรู้กันมาช้านานว่าทหารเกณฑ์มันคือขี้ข้าชัดๆ ก็กลายเป็นว่าทหารเกณฑ์มันคือเชลยศึกนี่หว่า พ่อแม่หลายคนจึงพยายามทุกวิถีทางที่จะช่วยลูกหลานของตัวเองให้รอดพ้นจากการโดนเกณฑ์ไปเป็นทหาร

การ “วิ่งเต้น” จึงเกิดขึ้น ทั้งการฝากฝังพรรคพวกเพื่อนพ้องและผู้หลักผู้ใหญ่ให้ช่วยโกงเลือกตั้ง-เอ๊ย-โกงการตรวจเลือกทหารเกณฑ์ให้ทีเถอะ จะเอาเท่าไรว่ามา ราคาค่าโกงของคุณน่ะ ก็ต้องเสียเงินเสียทองหัวละหลายหมื่น เพื่อที่ลูกชายจะไม่ต้องไปเป็นชายชาติทหารรับใช้ชาติด้วยความภาคภูมิใจ

การหลีกเลี่ยงการเกณฑ์ทหารจึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะพวกลูกๆของผู้มีเงินและอำนาจ ประเทศไทยจึงเลือกได้แต่ทหารเกณฑ์ที่เป็นลูกคนจน ลูกชาวไร่ชาวนา ที่ไม่มีเงินพอจะจ้างใครโกงชาติได้ เป็นส่วนใหญ่

อย่างไรก็ตาม ยังมีหลายคนที่อยากให้ลูกตัวเองเป็นทหาร แต่(ชีวิตต้องมีแต่)ต้องเป็นนายร้อยนะ พลทหารไม่เอา ว่างั้นเถอะ การ “วิ่งเต้น” จึงเกิดขึ้นอีกครั้ง หลังจากหมดเงินไปหลายหมื่นในคราวหนีทหารให้ลูก คราวนี้หมดอีกหลายแสน เพราะอยากเห็นลูกเป็นนายร้อยห้อยกระบี่ แล้วก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะสมใจอยากหรือเปล่า บางคนสมหวัง แต่หลายคนโดนโจรในเครื่องแบบต้มตุ๋นเอาง่ายๆ ก็เพราะไอ้ความอยากหรือไม่อยากนี่แหละ ถ้าคุณอยู่เฉยๆซะปล่อยให้ลูกหลานมันรับผิดชอบตัวเองไป คุณก็ไม่ต้องเสียเงินค่าโง่ให้ใคร เขาอยากเป็นนายร้อยก็ให้เขาไปสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารเอาเอง สอบไม่ได้ก็เรียนอย่างอื่นไป จบมหาวิทยาลัยแล้วยังอยากเป็นนายร้อยอยู่อีก ก็ให้เขาไปสมัครตามหน่วยที่เปิดรับ ถ้าไม่ได้ก็จบ หางานอื่นทำตามที่ร่ำเรียนมา ว่างๆก็เล่นเกมคอมแบทออนไลน์ ยิงกันสนั่นจอคอมพิวเตอร์ สนุกตื่นเต้นไม่แพ้สงครามจริงๆ แต่ที่ดีกว่าคือไม่ตายจริงด้วย ก็น่าจะทุเลาความอยากลงไปได้ระดับหนึ่ง

ถึงตอนนี้ก็พอจะสรุปได้ว่า คนไทยส่วนใหญ่ไม่มีใครอยากให้ลูกหลานเป็นทหารเกณฑ์ รวมถึงตัวผมเองด้วย ผมมีลูกชายสามคนและอยากให้ทุกคนเติบโตมาเป็นนายทหารเหมือนผมและปู่ของพวกเขา แต่คนโตไม่ชอบการเป็นทหาร เขาชอบทางช่างมากกว่า พอถึงคราวต้องเกณฑ์ทหาร ผมก็ปล่อยให้เขาเผชิญชะตากรรมตามลำพัง โดยไม่คิดจะ “วิ่งเต้น” เพื่อช่วยให้ลูกไม่ต้องเป็นทหาร ทั้งๆที่จะช่วยจริงๆ มันก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงของผมหรอก แต่ผมคิดว่า การเป็นพลทหารมันไม่ได้เลวร้ายเสียจนต้องหลีกหนีให้พ้น อย่างมากก็เหนื่อยจากการฝึกในช่วงแรกๆ ต่อไปก็ชินไปเอง แถมยังได้รู้จักความมีระเบียบวินัย รู้จักเรื่องของอาวุโส การตรงต่อเวลาและความอดทน ซึ่งล้วนเป็นประสบการณ์อันมีประโยชน์ต่อความเป็นลูกผู้ชายของเขาที่จะหาจากสถาบันพลเรือนที่ไหนไม่ได้

แต่อนิจจา ลูกชายคนโตของผมส่วนสูงไม่ถึงเกณฑ์ เตี้ยไปเซ็นต์เดียว จึงหมดสิทธิที่จะรับใช้ชาติด้วยการเป็นทหาร เขาจึงเป็นได้แค่วิศวกรโยธาตามความปรารถนาของเขา (แต่จนป่านนี้ก็หลายปีแล้วที่เขาทำงานก่อสร้างให้คนอื่น เขายังไม่ได้สร้างบ้านให้ผมสักหลัง)

ทีนี้ก็มาถึงคิวของลูกชายคนกลางซึ่งก็อยากเป็นนายทหารเหมือนพ่อของเขานั่นแหละ แต่ติดที่เรียนหนังสือไม่เก่งเหมือนพี่ชายของเขา (ติดขี้เกียจ ว่างั้นเถอะ) ก็เลยต้องเรียนรามฯคณะนิติศาสตร์ไป โดยขอผ่อนผันการเกณฑ์ทหารเรื่อยมาตามสิทธิ จนกระทั่งอายุ22และยังเรียนรามฯปี3อยู่ เหลืออีกปีเดียวก็จะจบแล้ว และยังมีสิทธิผ่อนผันได้จนถึงอายุ28 แต่ลูกคนนี้กลับไม่ใช่สิทธินั้นให้เต็มที่ เขาเข้ารับการตรวจเลือกทหารเกณฑ์ในปีนั้นดื้อๆเลย

“ทำไมไม่รอให้เรียนจบก่อน ถึงค่อยมาเกณฑ์ทหาร” ผมถามอย่างไม่เข้าใจโจทย์

“ขี้เกียจรอ ให้มันจบๆไปเป็นเรื่องๆจะได้เรียนให้สบายใจ ส่วนการเรียนก็ดร็อปไว้ก่อน พอปลดค่อยกลับมาเรียนต่อ หรือจะเรียนตอนเป็นทหารก็ยังได้”นั่นคือเหตุผลของเขาที่บอกผมในวันนั้น

“พ่อช่วยบอกเพื่อนพ่อให้หน่อยสิ ตอนนี้พี่ป๋องเป็นผบ.มทบ.11ไม่ใช่หรือ”เมียผมถามถึงคนที่จะช่วยหลีกเลี่ยงการเป็นทหารเกณฑ์ให้ลูกผมได้

“ไม่ต้องหรอกพ่อ ผมจะสมัครเป็นทหารเลย ไม่ต้องจับใบดำใบแดงให้เสียเวลา”ลูกชายพูดอย่างหนักแน่น

จึงเป็นอันว่าผมหมดสิทธิช่วยลูกด้วยประการทั้งปวง แต่ถึงอย่างไรผมก็ไม่บากหน้าไปหาใครให้เขาช่วยโกงชาติเพื่อลูกของผมหรอก มันจะเป็นหนี้บุญคุณที่ไม่เข้าท่าที่สุด

ไม่กี่วันต่อมาลูกชายของผมก็ถูกส่งตัวเข้าศูนย์ฝึกทหารใหม่ที่สัตหีบพร้อมกับเพื่อนทหารในผลัดเดียวกับเขา ขณะเดียวกันผมก็ทำงานของผมอยู่ในกองเรือยุทธการต่อไปตามปกติ สองสัปดาห์ต่อมา ลูกชายพาเพื่อนทหารใหม่อีก2-3คนมากินนอนระหว่างวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ที่บ้านพักของผมในหมู่บ้านกองเรือยุทธการ หัวเกรียนกันมาเลยทีเดียว

พวกเขาแย่งกันเล่าชีวิตโหดๆฮาๆในศูนย์ฝึกทหารใหม่ของพวกเขาอย่างสนุกสนาน ไม่มีวี่แววว่าจะมีความระทมขมขื่นแต่ประการใด ยิ่งฟังไปก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นทหารมาเกือบ30ปี แต่มีความรู้เรื่องราวลึกๆของพลทหารน้อยมาก ซึ่งมันก็ควรเป็นอย่างนั้นแหละ เพราะหน้าที่การงานของผมแทบไม่ได้คลุกคลีกับพลทหารเลย ถ้าจะมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับพวกเขา ผมก็ต้องสั่งการลงไปตามลำดับชั้นจนถึงจ่าซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงชั้นต้นของพวกเขา ชีวิตของผมกับพลทหารจึงไม่เคยได้สัมผัสกันอย่างลึกซึ้งแต่ประการใด

จนกระทั่งวันนี้เองที่ผมเริ่มเข้าใจและมองเห็นรายละเอียดในชีวิตของทหารเกณฑ์ที่ศูนย์ฝึกทหารใหม่ผ่านทางการเล่าสู่กันฟังของพลทหารใหม่กลุ่มหนึ่งในมิติของพ่อกับลูกๆ

และในวันนั้นเช่นกันที่ผมได้รับรู้เหตุผลที่แท้จริงของลูกชายในการสมัครมาเป็นทหารเกณฑ์อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยของเขา

“ไอ้ด๊อดมันสารภาพกับผมครับพ่อ ว่าที่มันสมัครมาเป็นทหารเพราะขี้เกียจเรียนนิติฯ พอขึ้นปี3มาตรากฎหมายมันยุ่งยากซับซ้อนมากขึ้นทุกที เลยตัดสินใจหนีเรียนมาเป็นทหารดีกว่า ชีวิตจะได้ง่ายขึ้น”เพื่อนทหารใหม่นายหนึ่งของลูกชายกระซิบบอกผมตอนด๊อดลุกขึ้นไปฉี่ในส้วม

อือม์ ไอ้หมอนี่มีวาระซ่อนเร้นตั้งแต่เด็ก  ผมได้แต่หวังว่าลูกชายคนนี้โตไปคงไม่ริอ่านเป็นนักการเมืองหรอกนะ

 

____________________________________________________________________________________

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว