บทที่หนึ่ง
:ชาวเขาป่าลึกเผ่าผสม
ซันซี กระตุกร่างกายที่ผ่ายผอมของเขาขึ้นจากพื้นดินหยาบ ๆ อย่างไม่ใยดี หลังจากที่คลุกเคล้าให้ร่างกายได้แผ่นอนยาวผ่านมาทั้งคืนกับความหนาวเหน็บของอากาศในหุบเขาอันรกทึบ เขาลุกขึ้นนั่งพร้อมกับก่นด่าตัวเองและโทษโชคชะตาที่มีความโหดร้ายต่อเขาตลอดมา ในที่สุดเขาก็เหนื่อยล้า ได้แต่เศร้าสร้อยในอารมณ์แทน พลางมองดูท้องฟ้าสีม่วงครามของเช้ามืดที่ขอบหน้าผาอารมณ์ของซันซีขุ่นมัวยิ่งขึ้นเมื่อคิดถึงเรื่องราวที่เขาและเพื่อนวางแผนการเข้ามาแทรกซึมค้าขายกับชนชาวเขาเผ่าหนึ่ เพื่อหวังผลประโยชน์มหาศาล...ซึ่งเขาคงไม่มีวันลืมเด็ดขาด...
เขาขี่ม้ามาเป็นระยะทางที่ยาวนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เพราะความกลัวที่มันแล่นมาจับในหัวใจของเขาตลอดเวลา คอยแต่จะระแวดระวังภัยที่อาจจะเกิดขึ้นกับตัวเองได้ทุกเมื่อ ซันซีรู้ดีว่าเพราะเหตุที่เขกับพรรคดพวกได้บุกเข้าปล้นทองกับคณะของชาวเขาทางแถ ซึ่งทั้งหมดมันเกิดขึ้นจากความชำนาญของเขา ท่ี่ใช้ประสบการณ์เหล่านี้มายาวนานกับการหลอกลวงบเหนือ ซึ่งพวกเขาได้แผนที่มาว่าจะมีการขนทองผ่านทางนั้นและร่วมวางแผนเพื่อดักรอการปล้นครั้งยิ่งใหญ่นี้มาเป็นแรมเดือน
มันเริ่มเข้าไปทำความรู้จักเพื่อทำการค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้า โดยถืเอาความได้เปรียบตรงที่เขาเป็นได้ทั้งคนพื้นเมืองของเผ่า...เผ่าหนึ่งในภูเขาสูงและแม้แต่การเป็นคนของเมืองเมียนม่า และฟหรือเป็นระหว่างเขตแดนไทยพม่า กระทั่งมาถึงการเป็นคนเมืองหลวงของประเทศไทย ซึ่งทั้งหมดมันเกิดจากความชำนาญของเขา ที่ใช้ประสบการณ์เหล่านี้มายาวนานกับการหลอกลวง การขโมย จนถึงการปล้น และคิดว่าครั้งนี้ก็คงไม่ยากนัก แต่ทุกอย่างก็ผิดคาด !
"พวกมึงจะบ้ารึไง?"
มัด ลัมซี ร้องถาม เมื่อรู้เรื่องการวางแผนร่วมกันของเพื่อนรุ่นน้องผู้เคยบากบั่นผ่านเรื่องการปล้นฆ่า และผ่านคุกมาด้วยด้วยกันนับครั้งไม่ถ้วน น้ำเสียงของเขา สีหน้าแววตาของเขาซันซีจำแม่ไม่เคยลืมเลือน
"มึงคิดว่าจะรวยได้แบบเร็ว ๆ งั้นเรอะ?"
จมูกของมัดบานเข้าออกอย่างน่ากลัวขณะที่ดวงตาทั้งคู่ของเขากลอกกลิ้งไปมาระหว่างเขากับเพื่อนอีกคนที่ร่วมแผนงาน
"...มึงสองคนจะต้องเอาชีวิตไปทิ้งที่นั่น แล้วกระดูกของพวกมึงก็จะไม่มีใครดูดำดูดี "
มัดเน้นคำดวงตาแทบถลนออกจากเบ้า
"กูรู้ดีว่าคนเผ่าผสมนั่นมันเป็นชาวป่าที่เถื่อนสุด ๆ มันยังไม่พบกับความเจริญเลยสักครั้ง มึงคิดกันให้ดี ถ้ายังไม่อยากตายเร็วก็ไป"
"แต่ทองนะพี่...ทองน่ะ"
ซันซีเคยย้ำคำนี้กับลูกพี่ผู้ผู้ที่เขาเคยฝากชวิตในการทำความชั่วมานักต่อนัก เพื่อให้ได้เงินมาใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย และถือว่าที่นี่คือแหล่งสมบัติและแหล่งอาชีพของเขา ลูกพี่คนนี้สนใจเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ มานานแล้ว "ทอง" ที่ได้มาโดยไม่ต้องลงมือค้นหาจากแหล่งธรรมชาติให้เมื่อย
"เออ! กูรู้แล้ว"
ลูกพี่ที่ซันซี่นับถือแระแทกเสียงก่อนที่ประโยคต่อมาจะกะจ่างชัดในโสตประสาทของเขาขึ้นอีกว่า
"แต่คนเผ่านี้กูไม่อยากยุ่ง..."
"ทำไมล่ะพี่..."
"มึงยังไม่รู้อะไร ไอ้พวกนั้นที่มีงว่านี่แหละ มันเถื่อนยิ่งกว่าอะไรดี อย่าว่าแต่กูเลยว่ะ ไอ้นักเลงที่มันผ่านมาแถว "งาสวรรค์" นี้ก็เถอะ กูยังไม่เห็นใครซ่า กล้าเข้าเหยียบถิ่นไอ้เถื่อนนั้นเลยสักคน...พวกมึงจะไม่เก่งเกินหน้าเขาไปหน่อยเร้อ..."
"แต่มันก็น่าลองนะพี่ "ซันซีจำได้ว่าเขายังไม่ลดละที่จะพยายามดึงลูกพี่มัด ลัมซีเข้าร่วมก้วน
"ข่าวที่ได้รับมา พวกนี้จะขนทองประจำเผ่าของมันผ่านเส้นทางด้านหลังของ "งาสวรรค์" ขึ้นไปทางเหนือสุดเข้าไปอีก...ซึ่งฉันคิดว่า..."
"มึงจะคิดอะไรเรื่องของมึง กูไม่เอาด้วย"มัดตัดบท " อยากตายเร็วก็ไปสิ!
"แต่ถ้าเราลงมือนะพี่เรารวยไม่รู้เรื่อง"
" ใช่ ! ไม่รู้เรื่อง " ลูกพี่เบ้ปากมองนัยน์ตาโปนอย่างเยาะหยัน ".....ไม่รู้เรื่อง เพราะพวกมึงจะตายก่อนที่ตะรู้เรื่องไงละ ไอ้โง่!"
"โธ่พี่...ไม่ไปก็น่าจะให้พรกันมั่ง"
"กูรู้...อต่อให้กูสวดอ้อนวอน พวกมึงก็รอดยาก "เขาลากเสียงตอนท้าย " ...ถ้ายังขืนตะแบงอยากจะไปละก็"
มัด พูดถูกที่บอกว่าไม่ควรจะไปที่นั่น เพราะคนเผ่านั้นสามารถที่จะเชือดหนังหัวใครต่อใครออกมาได้โดยง่าย และไม่มีมือกฎหมายเข้าไปถึงได้ อีกทั้งกลุ่มคนพวกนั้นยังวสามารถควบคุมสถานการณ์ทุกรู)แบบได้ด้วยคนของเผ่า เพียงการตัดสินจากหัวหน้าเผ่า ประกาศิตอยู่ที่นั่น ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องตลก แต่สำหรับซันซีแล้วมันเป็นตลกที่ร้ันทดมากในชีวิตการเป็นคนและนักเลงโตมาตลอด เกือบจะสิ้นลายก็คราวนี้ ซึ่งตัวเขาเองก็เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับคนในดเผ่าที่โหดร้ายลักษณะนี้มาจากภาพยนตร์จอยักษ์ใหญ่ ที่ชอบเข้ามาให้ความสำราญเพลิดเพลินที่ลานวัดแถวเชิงเขาแถบชานเมือง ซึ่งเขาเคยได้เข้าท่องราตรีแถว ๆ นั้นเพื่อดูลาดเลาของการขโมยก็หลายครั้งหลายครา
เขาได้รู้ได้เห็นจากภาพเหล่านั้นเองว่าเผ่าโคแมนเว่ พวกเวอร์ฮาร์-เรห์นอห์ หรือพวกแอนตีโลป ซึ่งเป็ฯอินเดียนแดงที่ป่าเถื่อนดุร้ายที่สุดแล้ว ร่างกายของพวกมันนั้นน่าเกรงขาม แต่ครั้นเมื่อซันซีได้มาเห็นมาสัมผัสกับชาวภูเขาเผ่าป่าลึก ที่เขาเองก็เรียกขานไม่ถูกว่าเผ่าอะไรกันแน่ ที่ทำการขนทองเหล่านั้น ซ้ำโหดร้ายพอ ๆ กับพวกอินเดียนแดงที่เคยเห็นในหนังมา หรืออาจจะโหดกว่านั้นด้วยซ้ำ เพราะภาพการาถลกหนังหัวเพื่อนชายของเขายังติดจาตรึงใจให้เขาหนาวสะท้านจนถึงยามนี้...แม้ซันซีจะไม่อยากเชื่อว่าสิ่งที่ได้รู้ได้เห็นนี้จะเกิดขึ้นในแถบบ้านเมืองของเขาเอง แต่สิ่งที่เห็นก็คือความจริง และเกิดขึ้นแล้วด้วย
หากในยามนั้น เขาไม่คิดสักนิดว่าจะเกรงกลัวชาวเขาเผ่าป่าลึกนั้น เพราะซันซีก็ถือว่าตนเอาเป็นชาวเขาเผ่าหนึ่งจะแพ้หน่อยก้แต่เรื่องภูมิประเทศเพราะเขาต้องข้ามแดนมาเพื่อการปล้นทองโดยเฉพาะ
แล้วมันก็เป็นจริงอย่างที่มัดคาดเดาเอาไว้ทุกอย่าง ซันซียังจำได้ถึงเสียงร้องของเพื่อนร่วมแผนการณ์เมื่อถูกเฉือนทีละชิ้น ๆ โชคดีที่เขาหนีเตลิดออกมาได้พร้อมม้าแก่ ๆ ตัวนี้ มันนำพาเขาออกมาจาก เหตุการณ์หฤโหดแห่งนั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะพ้นเขตอันตรายแล้ว...
"คุณพระช่วยด้วยเถิด "ซันซีพนมมือยกขึ้นท่วมหัว
"เราจะไม่ก่อเรื่องบ้าบอนี้ขึ้นมาอีกแล้ว"
เขานั่งเงียบอยู่ในท่านั้นชั่วอึดใจก่อนจะลุกขึ้นดึงม้าให้ออกเดินลดเลาะมากับสุมทุมพุ่มไม้ ท่ามกลางความเงียบสงบ จนกระทั่งความเงียบถูกทำลายลงด้วยเสียงร้องโหยหวนที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวอย่างแสนสาหัส
"อาคคคคคคคคคคคค"
ซันซีกระตุกม้าให้หยุดกึกร่างเกร็งขึ้นมาอย่างฉับพลัน
"โอย...ไม่นะ มันจะต้องไม่ตามมาถึงนี่แน่ ๆ "เขาคราง
"...มันไกลเกินกว่าเจ้าพวกเถื่อนนั่นจะมาถึงเสียอีกนะนี่"
ความคิดแรก คือเขาอาจจะฝังหัวมาจากเสียงร้องของเพื่อน ที่ถูกถลกหนังหัวมาก็ได้ เพราะมันตราตรึงในความจำเขาอยู่ตลอดมา ภาพต่าง ๆยังคงเด่นชัดและทำให้เขาขวัญผวา เขารีบเข้าไปซ่อนตัวหลังก้อนหินใหญ่ แล้วกวาดสายตาไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ แกมหวาดหวั่น
" พระผู้เป็นเจ้าช่วยลูกด้วยเถิด"
ลมหายใจของซันซีติดขัดและขาดห้วงทั้งที่หัวใจเต้นถี่แรงเมื่อมองเห็นภาพเบื้่องหน้าที่ห่างออกไปไม่ถึงร้อยฟุต มีชายคนหนึ่งนอนเปล่าเปลือยแผ่อยู่บนพื้น เหนือร่างของเขามีคนเถื่อนร่างใหญ่โตยืนผงาดถือมีดเปื้อนเลือดอยู่ที่นั่น เขาเป็นชายที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในชีวิตของซันซีเท่าที่พบเห็นมา
ด้วยร่างสูงใหญ่และเต็มไปด้วยพลัง ใบหน้าที่ดุเหมือนเหยี่ยวเป็นสีทองแดง ดวงตามีแววน่าสยดสยองที่แอบแฝงอยู่เบื้องหลังความนิ่งลึกคู่นั้น ผมสีดำขลับถักเปียหนาเป็นประกายเงาวาววับ ทว่าแสงแดดส่องมากระทบมีดเปื้อนเบือดในมือของเขาจนเป็นประกายนั่นต่างหากที่ทำให้ซันซีจ้องอย่างหวาดหวั่น มือเท้าเกร็งเย็นเฉียบ ไม่กล้าขยับ ไม่แม้แต่จะกระพริบตา ความตกใจของเขามีมากจนไม่สามารถจะขยับปืนยาวในมือขึ้นมาได้
ซันซีมองดูชายเผ่าป่าลึกแล้วสะท้านในอก ซึ่งตัวเขาเองกลัวนักหนาว่าจะมาเจอะเจอแล้วก็เจอจริง ๆ ทำเอาขนหัวลุกซู่ ก็เขาเพิ่งจะผ่านมันมาหยก ๆ กับเหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัว หากแต่ขายผู้นี้ยิ่งน่ากลัวมากขึ้นอีกเป็นสิบ ๆ เท่า จากภาพรวม ๆเบื้องหน้าขณะนี้เขายอมรับว่ามันสยดสยองยิ่งกว่าเพื่อนชายของเขาถูกถลกหนังมาเสียอีก
"ทำไมมันถึงได้น่ากลัวอย่างนี้นะ?"
ซันซีพึมพำมองจ้องชาบร่างยักษ์นั้นกลับขึ้นหลังม้าอย่างคล่องแคล่วต่างจากรูปร่างภายนอกของเขาที่ดูใหญ่ล่ำสัน แต่เขากลับว่องไวพลิ้วตามจังหวะได้ดีเมื่ออยู่บนหลังม้า ทะยานออกจากที่นั่นด้วยความเร็ว แม้ชายคนนั้นจะจากไปแล้วแต่หัวใจของซันซียังคงสั่นระทึก ก่อนจะรวบรวมความกล้าที่เหลืออยู่น้อยนิด กลับมาก้มลงแก้เชือกม้าที่มัดเอาไว้แล้วกวาดสายตามองไปรอบ ๆ อีกครั้ง ก่อนจะกลับไปหยุดนิ่งยังภาพท่ี่น่าสังเวชของชยคนที่นอนบนปล่าเปลือยบนพื้นในท่าสงบนิ่งไม่ไหวติง แล้วใบหน้าของซันซีก็ซีดเผือดเมื่อพยายามกลืนน้ำลายอันเหนียวหนึบลงคอ
"คุณพระช่วย มันโหดร้ายเกินไปกว่าที่เคนเห็นเสียอีก"
เขาคิดอย่างพะอืดพะอมและสะอิดสะเอียน เมื่อมองไปยังร่างชายที่นอนเปลือยจากการถูกแทงอยู่ตรงนี้มานานแล้ว ผู้บาดเจ็บคงทรมานอยู่นาน ก่อนที่ชาวเขาเผ่าอำมหิตตัวใหญ่คนนั้นจะผละจากไป หลังจากได้สร้างบาดแผลฉกรรจ์...ด้วยการตัดอวัยวะชิ้นสำคัญของชายหนุ่มนั้นทิ้งไป
ซันซีได้แต่หวนนึกถึงคำถามครั้งแล้วครั้งเล่าว่า ชายผู้เคราะห์ร้ายตรงหน้าเขาทำอะไรผิด ถึงได้มาอยู่ใสนสภาพน่าอดสูเพียงนี้ สายตาของซันซีมองเพ่งพิศจารณาชายที่นอนหายใจระรวยอยู่บนพื้น ใบหน้ายับเยินนั้นยังคงหลงเหลือริ้วรอยของความหล่อเหลาอยู่บ้าง แม้จะใกล้ตาย ท่าทางของเขาดูดีกว่าคนชาวเขาแถบนี้ ดูจากลักษณะผิวพรรณหน้าตาแล้ว ซันซียิ่งมั่นใจ
เขาไม่ใช่คนแถบนี้
แน่นอน !!