ยกที่ 1
ประมาณเที่ยงคืนในตัวเมืองแม่ฮ่องสอน แม้ในตัวเมืองจะยังสว่างไสวด้วยแสงไฟ แต่ผู้คนส่วนใหญ่ต่างหลับใหลอยู่ใต้ผ้าห่มอันอบอุ่นภายใต้อากาศที่เหน็บหนาวของเดือนมกราคม
“ยายเอื้อยบ้าเอ้ย บอกไห้มารับตอนห้าทุ่ม นี่ปาเข้าไปจะเที่ยงคืนอยู่แล้วยังไม่มาอีก หรือเราจะเดินเข้าไปเองดีวะ... แต่ในซอยนี่มันมืดชะมัด”
“แต่ระยะทางแค่ห้าร้อยเมตรคงไม่เป็นไรมั่ง... เอาวะเดินก็เดิน” หญิงสาวผิวขาวสวยหม๋วยเซ็ก(ซี่) สูงประมาณร้อยหกสิบห้า ใส่เสื้อยืดสีขาวกางเกงยีนรับรูปรองเท้าส้นสูงสองนิ้ว บ่นกระปอดกระแปดก่อนที่จะเดินอย่างแร่งรีบเข้าไปในซอยเปลี่ยวที่มีไฟดวงเล็กๆ อยู่ประปราย หญิงสาวเดินไปได้ประมาณร้อยเมตร ด้านหลังพลันมีเสียงคนเดินตามมา
ดึกดื่นที่เงียบสงัดพลันมีเสียงรองเท้ากระทบพื้นดังกุบกับ หัวใจของหญิงสาวเต้นตึกตักอย่างหวาดผวา จึงรีบก้าวยาวๆ อย่างรวดเร็วพร้อมกับเงี่ยหูฟังทางด้านหลังอย่างจดจ่อ และในตอนที่เธอกำลังเดินอย่างแร่งรีบนั้นเสียงที่เดินตามมาด้านหลังก็รีบตาม
“แม่..จ้าวโว้ยซวยแล้วละมั้งกู...” หญิงสาวรำพึงด้วยความหวาดหวั่นพร้อมกับตัดสินใจ
“วิ่ง...โธ่โว้ย...ไม่น่าใส่รองเท้าส้นสูงมาเลย” หญิงสาวรำพึงอย่างหัวเสียพร้อมกับออกวิ่งเหยาะๆ อย่างลำบากเพราะไหนจะเป็นทางลูกรังและรองเท้าที่ใส่มาก็เป็นรองเท้าส้นสูงแม้จะไม่สูงมากก็ตาม แต่ก่อนที่จะได้คิดทำอะไรต่อไปนั้น
“กำลังจะไปไหนหรือจ๊ะน้องสาว ไห้พวกพี่ๆไปส่งมั้ยจ๊ะ?” เสียงพูดอย่างอารมณ์ดีแต่น้ำเสียงและท่าทางบ่งบอกถึงการคุกคามอย่างเห็นได้ชัด พร้อมกับผู้ชายคนหนึ่งที่วิ่งมาดักด้านหน้าของหญิงสาวเอาไว้อย่างรวดเร็วพร้อมกับที่อีกสี่คนวิ่งมาสมทบ และยืนเรียงรายกลายเป็นวงยืนล้อมหญิงสาวไว้ตรงกลางอย่างรวดเร็ว หญิงสาวหยุดชะงักด้วยความตกใจและตื่นกลัวสุดขีด แต่ยังคงพยายามควบคุมอารมณ์และสติพร้อมกับเหลียวมองกลุ่มคนที่กำลังล้อมตนเองเอาไว้ซึ่งมีอยู่ด้วยกันห้าคน
“พวกคุณจะทำอะไร?” หญิงสาวถามโดยพยายามคุมเสียงไม่ให้สั่นพร้อมกับมองไปยังคนทั้งห้า แม้แสงสลัวเลือนรางแต่ก็พอมองเห็นใบหน้าและสายตาของทั้งห้าที่ยกยิ้มอย่างหื่นกระหาย
“ไม่ต้องกลัว พวกพี่เพียงแค่ต้องการอยากรู้จักเท่านั้น ว่าแต่น้องสาวไม่ใช่คนแถวนี้นี่ กำลังจะไปไหนเหรอจ๊ะ?” ผู้ชายตัวสูงที่เพิ่งมาสมทบถามอย่างอารมณ์ดี
“ชั้นจะไปหาเพื่อนที่อยู่ด้านหน้านี่เอง พวกคุณช่วยหลีกทางให้หน่อยได้ไหม?” หญิงสาวพยายามกล่าวอย่างใจดีสู้เสือ
“ได้ซิ...เชิญ” ชายคนที่ยืนขวางอยู่ด้านหน้าเบี่ยงกายพร้อมกับผายมืออย่างสุภาพ
“ขอบคุณ” หญิงสาวพูดขึ้นอย่างโล่งอกพร้อมกับเดินเฉียดคนที่ยืนขวางอยู่ด้านหน้า...
“พลั๊ก! อุ๊ก!” ในขณะที่หญิงสาวกำลังเดินผ่านผู้ชายคนที่ยืนขวางอยู่ด้านหน้า ผู้ชายคนนั้นพลันคว้าข้อมือขวาของเธอเอาไว้พร้อมกับชกเข้าที่ท้องของหญิงสาวอย่างแรง ทำให้หญิงสาวตัวงอ พร้อมกับที่ชายผู้นั้นเบี่ยงมาล็อกคอของหญิงสาวเอาไว้ทางด้านหลัง ก่อนที่ชายอีกสองคนจะวิ่งมาจับขาของหญิงสาวเอาไว้คนละข้างแล้วยกขึ้น แต่ก่อนที่ทั้งห้าจะได้พาร่างของหญิงสาวเข้าไปในป่าละเมาะข้างทาง
“เฮ้ย! ขอกูร่วมด้วยคนได้รึเปล่าวะ?” น้ำเสียงทุ้มกังวานแต่แสดงออกถึงความรำคาญอย่างชัดเจนดังขึ้นอย่างกะทันหัน จนผู้ชายทั้งห้าสะดุ้งเฮือกพร้อมกับหันไปมองทางที่มาของเสียง
อย่างเชื่องช้า เสียงเดินกุบกับของรองเท้าพื้นแข็งที่กระทบพื้นดังเป็นจังหวะ ยามดึกสงัดเช่นนี้เสียงรองเท้ากระทบพื้นจึงดังกังวานเป็นพิเศษ
“ช่วย...ด้วย!” เสียงแหบเครือดังแผ่วเบาเพราะอาการจุกของหญิงสาวดังขึ้นอย่างมีความหวัง
“มึงเป็นใครวะ?” ผู้ชายหนึ่งในห้าเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดเมื่อเห็นเจ้าของเสียงที่เป็นชายหนุ่มผมเผ้าเป็นกระเซิงหนวดเครารกครึ้มใส่ชุดยีนเก่าๆ ในมือถือกระเป๋าเดินทางใบเล็กๆ
“พวกมึงไม่ต้องสนใจหรอกว่ากูเป็นใคร แต่พวกมึงยังไม่ได้ตอบคำถามของกูเลยว่า ขอกูร่วมด้วยคนได้หรือเปล่า?” เสียงชายผู้มาใหม่ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายพร้อมกับมองไปยังร่างของผู้หญิงที่กำลังถูกหาม แม้แสงไฟจะสลัวแต่ผู้มองยังสามารถเห็นได้ถึงรูปร่างที่สมส่วนและผิวขาวนวลสะท้อนในแสงสลัว
“หมูเขาจะหาม เสือกเอาคานเข้าไปสอด” ชายผู้มาใหม่รำพึงเบาๆ เพียงได้ยินแต่ลำพัง
“ได้ซิวะ มึงตามมาเลย” ผู้ชายคนเดิมพูดขึ้นอย่างผ่อนคลายพร้อมกับทำท่าจะเดินเข้าไปในป่าละเมาะริมทาง
“เฮ้ย! เดี๋ยวก่อน” ชายผู้มาใหม่เรียกไว้ก่อนที่จะเดินเข้าไปใกล้ๆ
“อะไรของมึงอีกวะ” ชายคนเดิมกระชากเสียงอย่างหัวเสีย
“ก็...ขอกูก่อนซิวะ” ชายผู้มาใหม่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงยียวนและเจือไปด้วยอารมณ์ขันอย่างยากที่จะข่มกลั้น
“อะไรของมึงวะ นี่มึงจะล่อนังนี่ตรงนี้เลยหรือวะ?”
“เปล่า...ที่กูบอกพวกมึงว่าขอกูก่อนนะ คือหมายความว่า...ขอกูกระทืบพวกมึงก่อนต่างหาก”
“หะ! อยากตายนักรึมึง? มีเพียงแค่คนเดียวเสือกทำซ่า” ชายคนเดิมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียมพร้อมกับชักมีดพกออกมาแทงเข้าใส่ชายผู้มาใหม่อย่างรวดเร็วโดยไม่คิดที่จะให้ฝ่ายตรงข้ามได้ตั้งตัว แต่แทนที่ชายผู้มาใหม่จะถอย กลับเดินสวนเข้ามาหนึ่งก้าวพร้อมกับเบี่ยงตัวหลบเล็กน้อย ทำให้มีดผ่านชายโครงไปอย่างพอดี การเคลื่อนไหวของชายหนุ่มผู้มาใหม่นั้นเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าเนิบนาบแต่พอดีเป็นที่สุด เหมือนกับจะรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะเคลื่อนไหวอย่างไร การเคลื่อนไหวของเค้าจึงเหมือนเป็นการดักรอและตอบโต้ มือของชายผู้มาใหม่คว้าเอาข้อมือที่ถือมีดแล้วบิดวูบ ก็สามารถบิดมือของผู้ชายคนนั้นขึ้นสูงแล้วกระทุ้งเข่าเข้าท้องน้อยอย่างจัง ส่งผลไห้ชายผู้นั้นร่างงองุ้ม อย่างต่อเนื่อง ชายผู้มาใหม่ใช้สันมือฟันเข้าที่คอด้านหลังอีกครั้ง ส่งผลให้ร่างนั้นลงไปกองกับพื้นและแน่นิ่งไป ผู้ชายที่เหลืออีกสี่คนมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างตลึงงันไปชั่วขณะก่อนที่จะปล่อยร่างของหญิงสาวลงพื้นอย่างไม่ใยดี และทั้งสี่ก็พุ่งเข้าหาชายผู้มาใหม่อย่างพร้อมเพรียงและรวดเร็วจนดูแทบไม่ทัน เท้าขวาของชายผู้มาใหม่ยันโครมเข้าหน้าท้องของร่างที่พุ่งล้ำหน้าเข้ามาก่อน ส่งผลให้ร่างนั้นกระเด็นกลับหลังและชนเข้ากับชายทีพุ่งตามมาอย่างกระชั้นชิด จึงทำให้ทั้งคู่ล้มไปด้วยกันอย่างไม่เป็นท่า แต่หนึ่งในสองของชายที่ยังเหลือ
“ย่าห์” เสียงดังพร้อมกับเท้าขวาที่ประเคนเข้าใส่ชายผู้มาใหม่ เสียงพลั๊กเมื่อชายผู้มาใหม่ยกแขนซ้ายขึ้นกันเอาไว้พร้อมกับหมัดขวาที่ชกเข้าโคนขาด้านในอย่างจังพร้อมกับเท้าซ้ายที่แตะตัดขาซ้ายของฝ่ายตรงข้ามอีกครั้ง
“พลั๊ก...อ๊อก!” ชายคนดังกล่าวหวายหลังหัวฟาดพื้นแน่นิ่งไปอีกคน ในขณะที่ชายอีกคนชกหมัดขวาตรงเข้าใบหน้าของชายผู้มาใหม่ ชายผู้มาใหม่ก้มหลบวูบพร้อมกับหมัดซ้ายที่ปล่อยใส่ชายโครงซ้าย เสียงตุ๊บพร้อมกับร่างสะท้านเฮือกและหมัดขวาที่ปิดฉากลงอย่างเฉียบขาดเข้าปลายคาง
“มึงตาย!” เป็นชายสองคนที่ถูกถีบล้มไปเมื่อซักครู่ เสียงแค้นเคืองที่ดังพร้อมกับมีดพับขนาดห้านิ้วแทงเสยตรงเข้าชายโครงของชายผู้มาใหม่ หนึ่งก้าวของชายผู้มาใหม่ที่ถอยฉากพร้อมกับมือขวาที่คว้าหมับเอาข้อมือฝ่ายตรงข้ามปิดยกขึ้นพร้อมกับหมุนร่างตนเองเข้าหาก่อนที่จะกดแขนฝ่ายตรงข้ามลงบนบ่าของตนเองอย่างแรง เสียงดังกร๊อบระคายหูชวนขนลุกต่อผู้ที่ได้ยิน
“อ๊าก!!” เสียงร้องโหยหวนสะท้านไปทั้งราตรีที่เงียบวังเวง ชายผู้มาใหม่ยังคงเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง หมุนกายพร้อมกับหมัดขวาที่หวดเข้าเต็มปลายคางเสียงร้องโหยหวลจึงเงียบลงในทันที เสียงผั๊วเมื่อเท้าของชายที่ยังเหลือกระทบกับเข่าของชายผู้มาใหม่ที่ยกขึ้นกันพร้อมกับถีบส่ง ทำให้ชายคนดังกล่าวเสียหลักเซถอยไปด้านหลัง
“ชิ!” เสียงแค่นเบาๆ ของชายผู้มาใหม่พร้อมกับร่างที่กระโจนวูบเท้าขวาเหยียบเข่าฝ่ายตรงข้ามโหนตัวขึ้นไปเสียงดังพล๊อกเมื่อศอกของชายผู้มาใหม่กระแทกลงกลางกระบานของฝ่ายตรงข้าม ยามบรรยายนั้นยืดยาวหากแต่จริงๆแล้วเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนหญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายดูแทบไม่ทันและแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาของตนเองว่าคนๆ หนึ่งจะสามารถคว่ำคู่ต่อสู้ห้าคนได้อย่างง่ายดาย
หลังจากนั้นชายผู้มาใหม่ได้เดินไปหาสาวสวยที่ยืนกุมท้องหน้าซีดเซียวแต่ยังพยายามเงยหน้าขึ้นมองผู้ที่มาช่วยตนเอาไว้อย่างทันท่วงที แสงสลัวเลือนรางทำให้พอที่จะเห็นใบหน้าที่รกครึ้มไปด้วยหนวดเคราผมเผ้าค่อนข้างยาวเป็นกระเซิงอย่างขาดการเอาใจใส่ ใส่ยีนเก่าๆ ร่างค่อนข้างสูง แผ่ความรู้สึกอบอุ่นออกมาอย่างประหลาด
“ขะ...ขอบคุณมากคะที่ช่วยเหลือชั้นไว้ ไม่เช่นนั้น...” สาวสวยพูดเสียงแผ่วอย่างสำนึกแม้ว่าจะยังจุกเสียดอยู่อย่างมาก แต่ก็นับว่าตนได้หลุดพ้นออกมาจากขุมนรกแล้วด้วยความช่วยเหลือของชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าและกำลังก้มลงมองดู ความรู้สึกที่ตื้นตันปลื้มปริ่มจนอยากจะร้องไห้ออกมาดังๆ
“เป็นอะไรมากรึเปล่า...ป้า?” เสียงแผ่วทุ้มพูดออกมาอย่างติดตลกในขณะที่ก้มลงมองดูหญิงสาวตรงหน้า
“!??#$&*!” ความปลื้มปริ่มความตื้นตันพลันหายมะลายสิ้นไปกับการเรียกหาเพียงครั้งเดียว เพราะพ่อเจ้าพระคุณดันไปจี้ใจดำของสาวเจ้าเข้าให้อย่างจัง
“ป้า! รึ...? กรี๊ด! ผั๊ว! ” สาวสวยที่มีอาการอ่อนแอจนน่าสงสารของเมื่อซักครู่พลันกลายเป็นนางมารร้ายภายในพริบตาพร้อมกับกำปั้นน้อยๆ ต่อยผั๊วเข้าไปที่ปากครึ่งจมูกครึ่งของชายหนุ่มที่กำลังก้มลงมองดูหญิงสาวตรงหน้าอย่างห่วงใย
“โอ้ย! นี่มันเรื่องบ้าอะไรของคุณกันวะเนี่ย?” ชายหนุ่มร้องเสียงดังอย่างหัวเสียพร้อมกับคลำจมูกของตัวเองอย่างเจ็บปวด แต่ก่อนที่จะได้ว่ากล่าวอะไรกันต่อ
“หยุดนะ! นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ยกมือขึ้น!” เสียงตะวาดพร้อมกับตำรวจห้านายพร้อมด้วยอาวุธ
“จับพวกมันเลยคะคุณตำรวจ พวกมันทำร้ายชั้นและจะข่มขืนชั้นด้วย” หญิงสาวชี้กราดชายหนุ่มและพวกที่นอนหมดสติอยู่บนพื้น
“อ้าว! ป้า..ทำไมพูดหม..ๆอย่างนั้นละ” ชายหนุ่มร้องขึ้นอย่างหัวเสียระคนกับความขำขันที่ปรากฏขึ้นวูบหนึ่ง
“ป้ารึ? นอนคุกไปก่อนซักคืนเถอะไอ้ปากปีจอ” หญิงสาวรำพึงอย่างแค้นเคือง พร้อมกับนึกถึงตนเองอย่างโมโห
“เรารึหน้าตาใช่ว่าจะขี้เหร่ แต่ทำไมถึงไม่มีแฟนกับเค้าบ้างวะ” หญิงสาวครุ่นคิดพร้อมกับมองค้อนนายปากเสียที่กำลังถูกควบคุมตัวไปขึ้นรถ
“ทางตำรวจต้องขอให้คุณไปให้ปากคำที่โรงพักด้วยครับ” ตำรวจนายหนึ่งพูดกับหญิงสาว
“ได้ค่ะ” หญิงสาวตอบรับพร้อมกับเดินตามไปขึ้นรถ
“นี่...ป้า...คุณทำกับคนที่ช่วยคุณแบบนี้ได้อย่างไรกัน หา?” ชายหนุ่มยังคงโวยวายอย่างเย้าหยอก
“หึ!” หญิงสาวมองค้อนพร้อมกับเชิดหน้าเดินไปขึ้นรถตำรวจ
เมื่อถึงโรงพักตอนที่หญิงสาวกำลังจะไห้การกับตำรวจ หลังจากตำรวจขอบัตรประชาชนไปบันทึกรายละเอียดไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“โอ้ย!” หญิงสาวร้องครางเบาๆพร้อมกับกุมหัว
“เป็นอะไรรึเปล่าคุณ?” ตำรวจถามขึ้นอย่างเป็นห่วง
“ชั้นรู้สึกปวดหัวนะค่ะ ชั้นขอมาไห้การพรุ่งนี้ได้รึเปล่าค่ะ?” หญิงสาวถามพร้อมกับยกมือกุมหัว
“งั้นเดี๋ยวผมไห้ตำรวจพาไปโรงพยาบาลนะครับ” ตำรวจนายนั้นบอกอย่างกังวล แต่ทันใดนั้น...
“ยายวิ! เกิดอะไรขึ้น?” เสียงหวานใสของหญิงสาวนางหนึ่งดังขึ้นอย่างเป็นห่วง
“อ้อ..ยายเอื้อยมาแล้วรึ เดี๋ยวค่อยไปคุยกันในรถเถอะ” วิภาหันไปพูดกับหญิงสาวหน้าตาสะสวยรูปร่างอวบอัดชวนมองเป็นอย่างยิ่ง
“คุณตำรวจเดี๋ยวชั้นไปกับเพื่อนก็ได้คะ” วิภาหันไปบอกกับตำรวจนายนั้นก่อนที่จะชวนเพื่อนเดินออกมา
===============
“ฮ่าฮ่าฮ่า...นี่แกทำกับพระเอกขี่ม้าขาวของแกอย่างนั้นได้ยังไงวะ?” หลังจากที่วิภาได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นไห้เพื่อนสาวฟังจนจบ
“พระเอกบ้านะซิ หน้าตายังกะโจร แถมยังปากหม..อีก” วิภาร้องขึ้นอย่างหงุดหงิด แต่ยามนี้เมื่อหายโมโหแล้วกลับรู้สึกเสียใจบ้างเล็กน้อยเมื่อนึกถึงการกระทำของตนเอง
“คงไม่เป็นไรหรอกนะ อยู่ในคุกแค่คืนเดียว” หญิงสาวรำพึงเบาๆกับตัวเอง
“หือ แกเป็นอะไรวะ บ่นงึมงำอยู่คนเดียว?”
“เปล่า...ไม่มีอะไร ว่าแต่แกเถอะไปไหนมาถึงได้ผิดนัดกับชั้นตั้งชั่วโมงกว่า?” วิภาถามเพื่อนสาวอย่างฉุนเฉียว
“น่า..นะ...ขอโทษ พอดีติดธุระส่วนตัวนิดหน่อย ฮิฮิฮิ...” เอื้อยคำพูดเสียงอ่อยอย่างสำนึกผิด
“แอบไปกินผู้ชายมาอีกละซิท่า?” วิภาหันไปถามเพื่อนสาวอย่างหมั่นไส้
“ฮิฮิฮิ... ก็ชั้นมันสวยเลือกได้นี่หว่า”
“ยะ...เมื่อไหร่แกจะเลิกลอยชายแล้วหาใครซักคนที่ถาวรเป็นตัวเป็นตนซะทีวะ ทำตัวเป็นของสาธารณะไปได้” วิภาพูดขึ้นอย่างอ่อนใจ
“ก็ชั้นกำลังรอแกไง รอแกมีผัว เอ้ย!...แต่งก่อนแล้วชั้นค่อยแต่งไง” เอื้อยคำพูดพร้อมกับหลิ่วตาอย่างยั่วเย้า
“คงจะยากวะ ชาตินี้ชั้นคงหาผัวไม่ได้แล้ววะ แกไม่ต้องรอชั้นหรอก” วิภาพูดขึ้นอย่างปลงๆ
“ก็แกนี่นะ...สวยเริดเชิดหยิ่งซะขนาดนี้ใครจะกล้าจีบวะ” เอื้อยคำโวยอย่างหมั่นไส้
“ก็ใครจะไปไวไฟเหมือนแกกันละย่ะ” วิภาค้อนเพื่อนสาวอย่างรักใคร่
“เออๆ อาบน้ำอาบท่าก่อนเถอะวะแก” เอื้อยคำบอกเมื่อรถเก๋งคันงามเลี้ยวเข้าจอดบริเวณบ้าน