ออฟฟิศนี้รัก / Love in the workplace
29
ตอน
47.1K
เข้าชม
366
ถูกใจ
5
ความคิดเห็น
13
เพิ่มลงคลัง

อ๊อฟฟิศนี้มีรัก ตอนหนึ่ง

(1.1) “ท่านผู้จัดการใหญ่คนสวยเข้าประชุมประจำเดือนสาย”

ในห้องประชุมกลาง ของบริษัท คนรักกระดาษ จํากัด ที่ตั้งอยู่ย่านใจกลางเมืองของกรุงเทพมหานคร เมืองหลวงของประเทศไทย ที่มีชื่อเสียงเรื่องการจราจรติดขัดเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก

โดยเฉพาะวันนี้เป็นวันศุกร์สุดท้ายของเดือนไม่ต้องสงสัยเลยว่าการจราจรของกรุงเทพมหานครฟ้าอมรนั้นจะติดขัดกันขนาดไหน ถ้าวันนี้ไม่ได้เป็นวันประชุมประจำเดือนของบริษัท คนรักกระดาษ จำกัด ป่านนี้พนักงานทุกคนคงอยู่บนถนนไม่เส้นใดก็เส้นหนึ่งเพื่อที่จะกลับบ้าน หรือห้องพักของตนเป็นที่เรียบร้อย หรือไม่พนักงานบางคนก็คงจะอยู่ในห้างสรรพสินค้าที่ไหนสักแห่งเพื่อจับจ่ายใช้สอย

ซึ่งเป็นเรื่องปกติของคนเมือง การประชุมยังไม่ได้เร่ิมขึ้นเลยแม้แต่น้อย พนักงานหลายคนในห้องเร่ิมกระสับกระส่าย นั่งกันไม่ติดแต่ก็ไม่กล้าที่จะแสดงออก หรือถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น เพราะว่าดูเหมือนว่าวันนี้ท่านผู้จัดการใหญ่สาวสวยของบริษัท จะมาเข้าประชุมสาย และที่สำคัญท่านผู้จัดการใหญ่ไม่ได้บอกเหตุผลของการเข้าประชุมสายไว้กับใครเลย แม้แต่กับน้องชายลูกพี่ลูกน้องของเธอก็ไม่ทราบเช่นกัน และที่สำคัญเลขาสาวของเธอก็ยังไม่เข้ามาในห้องประชุมเช่นกัน

ในห้องประชุมกลางของบริษัทฯ  เต็มไปด้วยพนักงานทั้งระดับผู้บริหารและระดับพนักงานนั่งกันพร้อมหน้าพร้อมตา ซึ่งเวลาก็ล่วงเลยไปเกือบจะสิบห้านาทีแล้ว พนักงานบางคนเร่ิมสงสัยและเร่ิมอดรนทนไม่ไหว เร่ิมจับกลุ่มคุยกันแล้ว บางคนก็ว่า เกิดอะไรขึ้นกับท่านผู้จัดการใหญ่หรือเปล่า บางคนก็ว่ารถติด บางคนก็ว่าเป็นครั้งแรกที่ท่านผู้จัดการใหญ่เข้าประชุมสายต้องมีเรื่องคอขาดบาดตายอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่มีใครกล้าถามหรือพูดเสียงดัง

พนักงานหญิงบางกลุ่มเร่ิมจับกลุ่มคุยกันแบบไม่ดังมากนัก เพราะว่าเกรงใจผู้จัดการใหญ่และหัวหน้าแผนกต่าง ๆ วันนี้พนักงานทุกคนในบริษัทฯ มาเข้าประชุมกันพร้อมหน้าพร้อมตา และนั่งกันประจำที่เหมือนทุกครั้ง นั่งกันพร้อมหน้าพร้อมตา เพราะว่าการไม่เข้าประชุมประจําเดือนของบริษัทนั้น คณะผู้บริหารถือว่าเป็นความผิดอย่างร้ายแรง ซึ่งหากพนักงานขาดประชุมประจำเดือนโดยไม่มีสาเหตุอันควร พนักงานผู้นั้นจะต้องถูกทําหนังสือเตือน และถ้าขาดประชุมเกินสามครั้งภายในหนึ่งปี พนักงานท่านนั้นจะต้องถูกหักโบนัสประจําปีอย่างไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น

เป็นที่ทราบกันดีว่าโบนัสของบริษัท คนรักกระดาษ จำกัด นั้นดีมาก เมื่อเทียบกับบริษัท หรือธรุกิจอื่น ๆ ในสัญญาว่าจ้างได้ระบุไว้อย่างละเอียดเกี่ยวกับเรื่องการขาดการประชุม ซึ่งพนักงานทุกคนรู้ดีว่าบริษัทฯ เข้มงวดกับการเข้าประชุมประจําเดือนเป็นอย่างมาก ในวันที่พนักงานใหม่ทุกคนเข้ามาทำงานวันแรก พนักงานทุกคนจะต้องเซ็นชื่อรับทราบ กฏ ระเบียบ ต่าง ๆ ตามเงื่อนไขที่บริษัทฯ ตั้งขึ้น

ถ้ามนุษย์เรารู้จักรักษากฎระเบียบของบ้านเมือง และรักบ้านเมืองด้วยจิตใต้สํานึกของตัวเอง โลกก็คงจะน่าอยู่ขึ้นมากกว่านี้ แต่ทว่ากฎบางกฎจะสำคัญขนาดไหน ก็มีไว้ให้ยกเว้นได้เช่นกัน เพราะว่าวันนี้นายดนัย เหนื่อเมฆ หัวหน้าแผนกการตลาดของบริษัทฯ รูปหล่อที่เป็นที่หมายปองของสาว ๆ ในบริษัท คนรักกระดาษ จำกัด นายดนัยเป็นชายไทย ที่มีหน้าตาเป็นไทยแท้ มีใบหน้าที่สวยงาม มีริมฝีปากที่บางและรูปทรงเหมือนรูปกระจับ คิวของดนัยนั้นคมเข็ม จมูกของเขาก็โด่งงามได้รูป ไม่เล็กเกินไปและก็ไม่ใหญ่เกินไป ดนัยมีส่วนสูงได้มาตรฐานชายไทย ดนัยเป็นหนุ่มที่มีผิวพรรณดูดี สะอาดหน้า มองโดยรวมดนัยจัดว่าเป็นคนที่หล่อเหลาเอาการ สาว ๆ หลายคน ผิดหวังที่วันนี้หัวแผนกการตลาดหนุ่มหล่อ ไม่ได้มาเข้าประชุมในวันนี้

ชื่อของแผนกก็บอกอยู่แล้วว่าทําไมนายดนัย เหนือเมฆถึงได้ไม่เข้าประชุม แผนกการตลาดเป็นแผนกที่ต้องติดต่อกับลูกค้า เป็นแผนกที่ทำรายได้ให้กับบริษัทฯ บริษัทจะตั้งมั่นอยู่ได้ก็เกิดจากการขายสินค้า และที่สำคัญเป็นที่รู้กันว่านายดนัย เหนือเมฆ เป็นผู้เดียวในบริษัท คนรักกระดาษ จำกัด ผู้นี้ทำรายได้ในการขายสินค้าของบริษัท สูงสุดติดกันถึงสามปีซ้อน ดังนั้นการไม่เข้าประชุมครั้งนี้ของนายดนัย เหนือเมฆ ถือว่าเป็นกรณียกเว้น ไม่มีใครกล้ายุ่ง ไม่มีใครกล้าวิจารณ์ และไม่มีใครกล้าแตะต้องกับนายดนัย เหนือเมฆผู้นี้เลย

แต่การที่นายดนัย ไม่ได้มาเข้าประชุมในครั้งนี้ ก็มีใครบางคนแอบดีใจ นั่นก็คือคุณเอนก พร้อมทรัพย์ เอนกเป็นหนุ่มหล่ออีกคนที่สาว ๆ ในบริษัทนั้นแอบชอบ เอนกเป็นชายไทยที่สูงเกินมาตราฐานชายไทย และเขายังมีผิวพรรณที่ขาวเนียน ยิ่งกว่าผู้หญิงบางคน เอนกมีใบหน้าที่คมเข็ม หล่อยังกับพระเอกหนังไทย เรียกว่าถ้าเขาต้องการสมัครเป็นดารา รับรองว่าไม่ตกงานเป็นแน่ แถมเอนกยังดำรงตำแหน่งเป็นถึงหัวหน้าแผนกทั่วไปของบริษัทนั่นเอง แต่ทว่าตัวของเอนก เองก็ไม่รู้ตัวเองว่าทําไมเขาต้องดีใจทุกครั้งที่รู้ว่านายดนัย ไม่ได้เข้าบริษัทฯ

ขณะที่ทุกคนกำลังนั่งรอการมาเข้าประชุมของคุณวิภา พร้อมทรัพย์ ท่านผู้จัดการใหญ่ วิภาเธอเป็นผู้หญิงที่เกิดเพรียบพร้อมไปเสียทุกด้าน เธอมีหน้าในตาที่โตและขมเข็มเหมือนกับแขก มีหุ่นที่สูงผมเพรียวยังกับนางแบบ ริมฝีปากของเธอก็ดูอิ่มเอิบและยิ่งเวลาเธอได้ส่งยิ้มหวานให้ชายคนใดรับรองว่า ชายคนนั้นจะเดินตามเธอกลับบ้านทันที แต่เธอเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างเงียบ และวางมาดเป็นผู้ดีทุกกระเบียดน้ิว และเธอก็เป็นผู้ดีที่ไม่ได้มีแต่มาดเท่านั้น เธอยังผู้ดีที่มีดีจริงอย่างกับมาดที่เธอว่าง และเธอจะไม่ที่จะยิ้มให้ใครง่าย ๆ

การแต่งกายวิภานั้นก็เหมือนกับว่าหลุดมาจากนิตยสารแฟชั่นของวงค์ผุ้ดีอังกฤษ วิภาเธอจะแต่งตัวมีสไตล์เป็นของตัวเองคือว่าเรียบ แต่ดูดี ทุกอย่างจะต้องเข้ากันและสีที่เธอเลือกก็ไม่ได้เป็นสีที่ฉูดฉาด ใครเห็นครั้งแรกก็จะต้องบอกว่าเธอเหมือนเจ้าหญิงที่เดินอยู่บนดิน

ขณะที่พนักงานทุกคนกำลังนั่งรอวิภา ท่านผู้จัดการใหญ่อยู่นั้น นายณัฐพงษ์ งามดี ผู้จัดการทั่วไปหนุ่มใหญ่ หน้าตาดี ผิวพรรณ สะอาดสะอ้าน แต่งกายดี หน้าตาของณัฐพงษ์นั้นจะเป็นประเภทที่เรียกว่าหล่อแบบน่ารัก หล่อแบบหน้าทะเล้น เพราะว่าเวลาที่หนุ่มใหญ่คนนี้ยิ้มจะได้เห็นฟันที่สวยเรียงกันเป็นแถว และแถมเขายังมีคิวที่ดกดำ และต่อกันจนเกือบจะเป็นเส้นเดียว แต่ว่าลักษณะนิสัยของณัฐพงษ์นั้นจะตรงกันข้ามกับหน้าตา เพราะว่าณัฐพงษ์ นั้นจะมีบุคคลิคที่เงียบ ครึม เป็นประเภทถ้าเรื่องงานถามมาตอบได้หมด แต่ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัว ถามคำตอบคำ ใบหน้าของเขาเหมือนคนที่อมทุกข์อยู่ตลอดเวลา จนพนักงานทุกไม่ค่อยอยากจะเข้าหน้าเขา

ยกเว้นนายเอนก พร้อมทรัพย์เท่านั้นที่กล้าพูดกล้าคุยกับนายณัฐพงษ์ การมาสายของท่านผู้จัดการใหญ่นั้นทำให้หนุ่มใหญ่ณัฐพงษ์ กระวนกระว่ายใจเป็นที่สุด ทั้งห่วง ทั้งกังวล เขาพยามโทรหา เธอก็ไม่ยอมรับสายของเขา เพราะว่าปรกติ คุณวิภา พร้อมทรัพย์ ลูกพี่ลูกน้องของคุณเอนก พร้อมทรัพย์ จะต้องเดินมาเข้าประชุมพร้อมกับเอนก น้องชายเป็นประจำ

แต่วันนี้เอนกกับเข้ามาประชุมคนเดียว ครั้นพอณัฐพงษ์ สอบถามเอนก กลับได้คำตอบว่าไม่รู้จริง ๆ ว่าทำเธอถึงมาเข้าประชุมสาย ปรกติ เธอจะต้องแจ้งให้ทราบถ้าเธอจะเข้าประชุมสาย และที่แปลกก็คือวันนี้ นางสาวบังอร ทักษิณา เลขาสาวของท่านผู้จัดการใหญ่ ก็ยังไม่มาและไม่ยอมโทรรายงานกับณัฐพงษ์ ว่านายสาวของเธอจะมาประชุมสาย

พนักงานทุกคนไม่มีใครกล้าถามกับนายเอนก และก็ไม่มีใครกล้าถามกับนายณัฐพงษ์เช่นเดียวกัน เพราะว่าเกรงใจ และไม่กล้าเสี่ยงกับการถูกไล่ออก แต่ว่าเดือนนี้เป็นเดือนตุลาคม เป็นเดือนที่สำคัญกับพนักงานทุกคนในบริษัทฯ เป็นเดือนที่สำคัญจนพนักงานทุกคนตั้งชื่อเดือนตุลาคมว่า “เดือนแห่งความหวัง”

เพราะว่าเดือนนี้จะแตกต่างจากทุกเดือนที่ผ่านมาเป็นเดือนที่พนักงานทุกคนตั้งหน้าตั้งตารอคอยที่จะรู้ว่าผลกำไรของบริษัท คนรักกระดาษ จำกัด ปีนี้จะเป็นอย่างไร ในขณะที่ ณัฐพงษ์ ถามหาคุณวิภา เจ้าของบริษัท คนรักกระดาษ จำกัด วิภา สาวสวยผู้สง่างาม ทั้งหน้าตา ผิวพรรณ การแต่งกายก็ดูทันสมัยและน่าเกรงขาม ก็เปิดประตูเข้ามาในห้องประชุมพอดี และเธอก็ได้ยินที่ณัฐพงษ์ กำลังถามคำถามถึงการมาสายกับน้องชายของเธออยู่พอดี แต่เธอทำเป็นไม่ได้ยิน ก็จะให้เธอพูดหรือบอกกับใครได้อย่างไรกันว่าวันนี้ที่เธอต้องมาเข้าประชุมสายนั้นเป็นเพราะว่าเมื่อก่อนเข้าประชุมหนึ่งชั่วโมงที่แล้ว เธอได้ออกไปพบกับใครที่เธอเองก็ไม่ได้คาดคิดว่าจะได้พบเธอ

ย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งชั่วโมงที่แล้วก่อนเวลาประชุม บังอรเลขาสาวของเธอโอนสายเข้ามาในห้องทำงานของเธอ บังอร  ทักษิณา  “บอสคะ มีสายจากผู้หญิงคนหนึ่งคะ บอกว่าต้องการคุย กับบอสคะ บอกว่ามีเรื่องสำคัญมาก และก็บอกอีกว่าจะไม่คุยกับใครนอกจากบอสคนเดียวคะ บอสจะรับสายไหมคะ น้ำเสียงเธอดูแปลก อรไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยคะ อร ถามชื่อเธอก็ไม่ตอบ บอกแต่ว่าจะคุยกับบอสเท่านั้นคะ”

เมื่อวิภา ได้ยินที่เลขาสาวพูดเธอก็งงกับสายที่โทรเข้ามาไม่น้อย แต่เธอก็ทำใจดีสู้เสือ บางทีอาจจะเป็นลูกค้ารายใหญ่ของเธอก็ได้ ใครจะไปรู้บางครั้งลูกค้ารายใหญ่ก็มักจะทำตัวยิ่งใหญ่ตามฐานะ วิภาตั้งสติ เตรียมรับกับปัญหาที่จะเกิดพร้อมกับบอกให้เลขาสาวคู่ใจโอนสายเข้ามาในห้องทันทีที่เธอตั้งตัวติด วิภารับสายทันที

“สวัสดีคะ ฉันวิภารับสายคะ” วิภารับสายด้วยเสียงราบเรียบ

“สวัสดีคะ คุณวิภา คุณใช่คุณวิภา  พร้อมทรัพย์ คนที่เป็นเจ้าของบริษัท คนรักกระดาษ จำกัด ใช่ไหมคะ ถ้าใช่ ฉันมีเรื่องจะบอกกับคุณ และฉันต้องพบคุณวันนี้คะ” หญิงในสายตอบกลับด้วยถามที่วิภาเร่ิมไม่แน่ใจกับผู้หญิงคนนี้สักเท่าไรในตอนแรกว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย เพราะว่าเธอตั้งใจจะพูดกับเธอคนเดียว แต่กับไม่รู้จักเธอมาก่อน มันช่างจะยังไง ๆ อยู่ในความคิดของวิภา

“คะดิฉันเองคะตัวจริง เสียงใจ มีอะไรให้ดิฉันรับใช้หรือคะ  เราเคยเจอกันไหมคะ ดิฉันทราบจากเลขาของดิฉันว่าคุณมีเรื่องสำคัญที่ต้องบอกกับดิฉัน ขอโทษนะคะ คุณพอจะบอกชื่อของคุณกับดิฉันได้ไหมคะ คือว่าดิฉันแค่อยากรู้ว่าดิฉันคุยกับใครนะคะ”

“ดิฉันบอกชื่อคุณไป คุณก็คงไม่รู้จักหรอกคะ เพราะว่าเราสองคนไม่เคยเจอกัน และไม่คุยกันมาก่อน แต่ว่าวันนี้ฉันกับคุณคงจะได้พบกัน ถ้าคุณจะยอมมาพบฉัน และเราก็จะได้รู้จักกันคะ”

“ดิฉันต้องขอโทษอีกครั้งหนึ่งนะคะ ฉันไม่ชอบคุยกับคนที่ฉันไม่รู้จักชื่อนะคะ อีกอย่างทำไมดิฉันจะต้องออกไปพบกับคุณด้วยละคะ ในเมื่อเราสองคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน และมันมีความจำเป็นอะไรที่ฉันจะต้องออกไปพบคุณด้วยละคะ และวันนี้ฉันเองก็ยุ่งมากด้วยคะ ขอโทษนะคะ ถ้าคุณไม่บอกชื่อกับดิฉัน ดิฉันจะขอวางสายละคะ”

“อย่าเพิ่งวางสายนะคะคุณวิภา คือเรื่องมันยาว เอาเป็นว่าเรื่องที่ฉันจะพูดกับคุณนั้นมันเกี่ยวกับคุณโดยตรง และก็เป็นเรื่องของคุณกับคุณณัฐพงษ์  งามดี แค่นี้คุณคิดสำคัญพอไหมที่จะมาพบดิฉัน”

วิภา นิ่งไปครู่หนึ่ง และก็คิดตามที่ผู้หญิงในสายพูด แต่เธอก็ไม่แน่ใจว่าที่เธอคิดนั้นถูกต้องหรือไม่ หรือว่าบางทีผู้หญิงคนนี้อาจจะเป็นภรรยาเก่าของณัฐ หรือนายณัฐพงษ์  งามดีก็เป็นได้ เธอจึงถามกลับไปด้วยราบเรียบตามสไตล์ของเธอ

“ฉันจะไม่ออกไปพบคุณ จนกว่าคุณจะบอกว่าคุณเป็นใคร อีกอย่างเรื่องของคุณณัฐพงษ์ ทำไมคุณไม่ไปบอกกับเจ้าตัวเขาเอง ทำไมคุณต้องมาบอกกับฉันด้วย ฉันเองก็เป็นแค่เจ้านายของเขาก็เท่านั้นเอง"

“คือ คือว่า ฉันเออเป็นภรรยาเก่าของคุณณัฐพงษ์ งามดี และฉันก็มีเรื่องที่จะต้องบอกกับคุณเกี่ยวกับเรื่องระหว่างฉันกับคุณณัฐพงษ์ เมื่อสิบกว่าปีก่อน ฉันจำเป็นต้องคุยกับคุณ แต่ฉันไม่กล้าที่จะเข้าไปหาคุณที่บริษัทของคุณ และที่สำคัญฉันต้องการคุยกับคุณเพื่อถ่ายบาบที่ฉันก่อขึ้น เผื่อบางทีรอยบาปที่มันติดในใจฉันมันจะจางหายไปได้บ้าง ฉันกลัวว่าเรื่องนี้มันจะตายไปพร้อมกับฉัน ฉันต้องบอกกับคุณก่อนที่ฉันจะไม่ได้จะไม่มีโอกาสได้บอกเรื่องนี้กับคุณ”

“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเรื่องที่คุณจะบอกมันสำคัญมากน้อยแค่ไหน แต่ฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ว่าทำไมคุณต้องคุยกับฉัน ทำไมคุณไม่คุยกับสามีเก่าของคุณ  อย่างที่ฉันบอกฉันเองก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับสามีเก่าของคุณ ฉันกับเขาเราก็เป็นแค่เพื่อนกัน และตอนนี้เขาก็เป็นแค่เพื่อนร่วมงานของฉันเท่านั้น”

“ฉันขอร้องละคุณวิภา ฉันมาดีคะ ไม่ได้มาร้าย ฉันแค่ต้องการจะบอกความจริงกับคุณจากปากของฉันคะ  และตอนนี้ฉันก็รอคุณอยู่ที่ร้านอาหารญี่ปุ่นตรงข้ามตึกที่คุณทำงานอยู่ใกล้ ๆ นี้เองคะ ตกลงคุณจะมาพบฉันได้ไหมคะ ฉันสัญญาว่าจะรบกวนเวลาอันมีค่าของคุณไม่นานหรอกคะ”

วิภาไม่แน่ใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ อีกอย่างอีกไม่เกินชั่วโมงเธอก็จะต้องเข้าประชุมประจำเดือน และวันนี้ก็เป็นการประชุมที่สำคัญเสียด้วย เธอไม่เคยเข้าประชุมสาย แต่อีกใจหนึ่ง เธอเองก็อย่างจะรู้เหมือนกันว่า ผู้หญิงคนนี้ต้องการบอกอะไรกับเธอกันแน่ แล้วเธอเป็นใครกันแน่ วิภาคิดในใจ แต่ก็ตอบกลับไปด้วยเสียงสุภาพ และราบเรียบตามสไตล์ผู้บริหารหญิงคนเก่ง

“ตกลงฉันจะไปพบคุณ แต่ว่าฉันคงจะมีเวลาไม่นานนะคะ  ฉันมีเวลาให้คุณไม่มาก และฉันก็ต้องเอาเพื่อนของฉันไปด้วย ฉันหวังว่าคุณคงจะไม่ว่าอะไรนะคะ แล้วฉันจะรู้ได้ยังไงว่าคุณหน้าตาเป็นอย่างไง ในเมื่อฉันไม่เคยหน้าคุณมาก่อน”

“ถ้าคุณมาพบฉันภายในห้านาทีหรือสิบนาทีนี้ ฉันก็เป็นลูกค้าผู้หญิงคนเดียวที่นั่งอยู่คนเดียว ในตัวมุมที่เงียบที่สุดของร้านอาหารนั่นและคะ”

หลังจากนั้นวิภาก็ว่างสายไป แบบไม่เข้าใจ งง ๆ กับเรื่องที่เกิดขึ้น และเธอก็ยังงงกับเสียงในสาย และเดาไม่ออกว่าเธอเป็นใครกันแน่ เธอรีบหยิบกระเป๋าสะพายคู่ใจ กับโทรศัพท์มือถือ และก็เดินออกจากห้องทำงานของเธอไปอย่างรีบร้อน แต่เธอก็ไม่ลืมที่จะขอให้บังอรเลขาสาว ที่ใส่แว่นหน้า แต่งตัวต่างออกไปจากเธอ และเสื้อผ้าที่เธอใส่ก็ดูเหมือนจะเป็นเสื้อของผู้หญิงวัยสี่สิบปีก็ไม่ป่าน ออกไปข้างนอกกับเธอแบบไม่ได้บอกล่วงหน้า

“อร เธอต้องออกไปข้างนอกกับฉัน เดี๋ยวนี้ไม่ต้องหยิบ  อะไรไปนอกจากโทรศัพท์มือถือ กระเป๋าเงินก็ไม่ต้องเอาไป ถ้าเธอต้องการใช้เงินฉันจะจัดการเอง”

หลังจากที่วิภา พูดจบ บังอรก็ได้แต่ทำตามที่บอสสาวของเธอบอก และก็ไม่ได้ถามหรือพูดอะไรกับบอสสาวของเธออีกเลย เธอเดินคู่ไปกับบอสสาวแต่โดยดี และเธอก็ทำตามบอสสาวบอก เธอไม่ได้หยิบกระเป๋าสตางค์ของเธอไป เธอหยิบแต่โทรศัพท์มือถือเท่านั้น หลังจากนั้นไม่นานทั้งสองคนก็เดินข้ามถนน ไปถึงตึกที่อยู่ตรงข้ามกับบริษัท คนรักกระดาษ จำกัด และวิภาก็เดินนำบังอร เลขาสาวที่เดินตามเธอไปอย่างงง จนวิภาไปหยุดอยู่ที่หน้าร้านอาหารญี่ปุ่น และเธอก็เดินเข้าร้านไป แบบไม่แน่ใจตัวเองว่าเธอมาพบใคร

และแล้วเธอก็เห็น หญิงสาวคนหนึ่งผมยาวตรง และแต่งหน้าไม่จัด เสื้อผ้าที่ใส่ก็ดูทันสมัย และการแต่งหน้าของเธอก็จัดว่าไม่มากเกินไป มองรวม ๆ เธอเป็นหญิงสาวที่หน้าตาดีใช้ได้เลยที่เดียวร่วมสมัย บังอรยังงงกับการมาร้านอาหารญี่ปุ่นในครั้งนี้ของบอสสาว เพราะตั้งแต่เดินมาด้วยกันบอสสาวของเธอยังไม่ได้พูดอะไรกับเธอเลยสักคำ จนกระทั้ง วิภาหยุดเดิน และก็พูดกับบังอรเลขาสาวของเธอว่า

“อร ฉันเจอคนที่ฉันจะต้องมาพบแล้ว เธอเอาเงินนี่ไปนะจ๊ะแล้ว สั่งอะไรมาเดิม ไม่ต้องสั่งให้ฉัน และนั่งอยู่ตรงโต๊ะนี้  แล้วคอยมองฉันตลอดเวลานะ ถ้าเธอเห็นอะไรที่ไม่น่าไว้ใจ เธอก็โทรศัพท์หานายเอนกน้องชายฉันทันที แต่ถ้าทุกอย่างดูปกติ ก็ไม่ต้องทำอะไรนอกจากรอ เข้าใจไหมอร แล้วฉันจะเล่าให้ฟังทีหลัง”

“คะ คะ บอส ว่าไงว่าตามกันคะ อรไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไร แต่ก็ระวังตัวด้วยนะคะ แล้วบอสจะไปไหนคะ ไปไม่นั่งกับอรหรือคะ”

“ฉันจะเดินไปนั่งที่โต๊ะ ข้างในโน่นเธอเห็นโต๊ะที่ผู้หญิงคนนั้นนั่งอยู่ไหม ฉันมีธุระต้องคุยกับเธอสักครู่นะ ยังไงฉันจะพยามไม่เลยเวลาเข้าประชุมหรอก ไม่ต้องห่วง ฉันไปก่อนนะอร อย่าลืมละคอยดูฉันไว้อย่าให้คาดสายตานะ”

หลังจากนั้นวิภาก็เดินไปแบบใจดีสู้เสือ เดินเข้าไปแบบไม่แน่ใจว่าเธอกำลังเดินไปหาใคร เดินไปทำไม ทำไมเธอต้องเดินไปด้วย เมื่อเธอเดินเข้าไปถึง ผู้หญิงสาวคนนั้นก็ยืนขึ้นและก็เชิญเธอให้นั่งลง พร้อมกับยกมือไหว้เธอ วิภาตกใจ รับไหว้แบบไม่ได้ตั้งตัว ทั้งสองคนเงียบไป

สาวแปลกหน้า เร่ิมพูดขึ้นก่อนหลังจากที่เธอเห็นว่าวิภา สาวสวย สง่าตรงหน้าเธอไม่ได้พูดอะไรหลังจากรับไหว้ เมื่อเธอเห็นวิภา ตัวจริงเสียงจริงใกล้เธอถึงกับตกตลึงในความงามของเธอวิภา หญิงสาวที่ณัฐพงษ์ งามดี สามีเก่าของเธอรักและไม่เคยลืม สามีที่เธอเรียกนั้นก็เป็นเพียงสามีแต่ในนาม เป็นสามีที่ไม่เคยมีความสัมพันธ์ทางกายถึงแม้จะอยู่ห้องเดียวกันเกือบปี สามีที่ให้เงินเธอใช้ทุกเดือน ให้อาหารครบทุกมื้อดูแลเธอเป็นอย่างดี เพราะเขาคิดว่าเธอท้องกับเขา สามีที่เธอไม่เคยได้ไปไหนมาไหนด้วยกันเลยตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกัน

นอกจากเงินที่ว่างไว้บนโต๊ะหัวเตียง ซึ่งเตียงที่เขาไม่เคยเข้าไปนอนด้วยเลยแม้แต่สักคืนเดียว สามีที่บางคืนไม่กลับบ้าน แต่ก็โทรบอกว่าวันนี้ต้องทำงาน ให้ทานอาหารเย็นและเข้านอนเลย ส่วนเงินของพรุ่งนี้เขาว่างไว้ให้แล้ว

“ขอบคุณนะคะที่คุณยอมมาพบฉัน คุณวิภา ฉันจะไม่พูดอ้อม ค้อมนะคะ ฉันชื่อสุปราณีคะ ฉันเป็นภรรยาเก่าของคุณณัฐพงษ์ งามดี ซึ่งเมื่อก่อนเขาเคยเป็นแฟนเก่าของคุณถูกต้องไหมคะตามที่ฉันเข้าใจ และตามที่คุณณัฐพงษ์ เขาเล่าให้ฉันฟัง ตอนที่เขาเมาในร้านไนน์คลับที่ฉันทำงานอยู่เมื่อสิบกว่าปีก่อน ฉันจะเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้คุณฟัง ถ้าคุณรับปากฉันว่าคุณจะฟังฉันเล่าจนจบก่อน โดยที่ไม่ถามคำถามกับฉันใด ๆ ทั้งสิ้น”

“ฉันก็นั่งฟังคุณอยู่นี่ยังไงคะ คุณสุปราณี และฉันก็ยังไม่ได้พูดหรือถามคำถามคุณเลยสักคำ ตกลงฉันจะทำตามที่ คุณพูดสิ่งที่คุณพูดมาได้แล้วคะ เพราะว่าฉันมีเวลาไม่มาก หวังว่าคุณคงจะเข้า”

ขณะที่วิภา และ สุปราณีผู้หญิงที่บอสสาวของบังอรมาหาแบบด่วนโดยไม่ได้นัดหมายนั่งคุยกันอยู่ บังอรก็เฝ้าสังเกตุการณ์โดยตลอด และเธอก็เห็นว่าผู้หญิงที่บอสสาวของเธอคุยด้วย ดูจะไม่ได้มีพิษสงหรือร้ายกาจอะไร เธอก็เลยกดโทรศัพท์ หาคนรักของเธอตามประสาหญิงสาวทั่วไป แต่เธอก็เหลือบตามองบอสสาวของเธอตลอดเวลาตามที่เธอรับปากกับวิภาไว้ วิภากับสาวแปลกหน้าหนังคุยกันนานมาก ซึ่งส่วนใหญ่คนที่ขยับปากพูดจะเป็นหญิงสาวแปลกหน้ามากกว่าบอสสาวของ

บังอรคิดในใจ “นี่มันเรื่องอะไรกัน โทรมานัดเจอแล้วก็พูดอยู่คนเดียว แล้วบอสทำไมดูสนใจเรื่องที่ผู้หญิงคนนี้พูดนักหน้านะ แต่เอ้ ฉันเคยเห็นผู้หญิงคนนี้ที่ไหนนะ นึกไม่ออก มันติดอยู่ตรงริมฝีปาก”

บังอรมองดูที่นาฬิกาข้อมือราคาถูก ๆ ของเธอ ไม่ใช่ว่าเธอไม่มีเงินซื้อแต่เป็นเพราะว่าเธอไม่สนใจจะซื้อของแพงต่างหาก บังอรพูดกับตัวเองว่า “มันจะหาโมงเย็นแล้วนะคะบอสขา วันนี้เรามีประชุมนะคะ ทำไมวันนี้บอสของเราไม่ตรงเวลาเลยนะมันมีเรื่องอะไรกันแน่ฉันละอยากจะรู้จริง ๆ เอายังไงดีละบังอร เธอจะเดินไปหาเจ้านายดีไหม

สุดท้ายเธอก็ส่งข้อความไปหาบอสสาว ในข้อความบอกแค่ว่า “ บอสคะ จะห้าโมงแล้วคะ” เมื่อวิภาได้รับข้อความเธอก็เลยต้องรีบขอตัวกลับ อีกอย่างเรื่องทุกอย่างที่ต้องการจะรู้ และสงสัยมาโดยตลอดเธอก็ได้รู้จนหมดแล้วในวันนี้ เธอไม่รู้ว่าผู้หญิงที่ชื่อสุปราณี ภรรยาเก่าของณัฐพงษ์มาบอกเรื่องทั้งหมดกับเธอทำไม วิภา อยากจะถามแต่ก็มีเธอก็มีเวลาไม่พอ

“ขอบใจนะ ที่เธอเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฉันฟัง ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเธอต้องการอะไรจากฉัน แต่ฉันก็ต้องขอบใจเธอที่บอกสิ่งที่ฉันสงสัยมานาน จนตอนนี้ฉันก็ไม่ได้สนใจกับเรื่องนี้แล้วด้วย”

“ที่ฉันบอกคุณเพราะว่าฉันรู้สึกผิดกับคุณณัฐพงษ์ ฉันรู้สึกผิดกับคุณ ตอนนั้นฉันยังเด็กคิดอะไรแบบเด็ก ฉันเกือบทำร้ายคนดี ๆ ถึงสองคนไปเพราะฉันรู้เท่าไม่ถึงการ อีกอย่างตอนนี้บาบกรรมที่ฉันทำไว้มันตามมาเอาคืนในชาตินี้แล้วฉันไม่มีความสุข รักใครก็ไม่เคยสมหวัง ทุกคนที่ฉันรักจะเดินหนีฉันไปแบบไม่มีเยื่อใย ทิ้งฉันไปโดยไม่เคยบอกลาฉันก็ได้แต่หวังว่า การบอกความจริงกับคุณในครั้งนี้จะทำให้ชีวิตฉันดีขึ้น ฉันรู้ว่าคุณณัฐพงษ์เขายังรักคุณอยู่ ฉันดูออกและเท่าที่ฉันทราบเขาก็ไม่เคยมีใครอีกเลยหลังเลิกกับฉัน คุณเองก็เช่นกันฉันดูออกว่าคุณยังไม่ได้แต่งงาน และก็ไม่ มีใคร บางทีคุณสองคนอาจจะกลับไปรักเหมือนเดิมก็ได้ ถ้ามันเป็นแบบนั้นจริง ๆ ฉันคงจะมีสุขมาก  คุณไปเถอะ”

หลังจากที่วิภาฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างณัฐพงษ์คนรักเก่าของเธอกับผู้หญิงคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเธอเมื่อสิบนาทีก่อนที่เธอจะรีบกลับมาเข้าประชุม เธอดูนิ่งสงบภายนอก แต่ในใจของเธอนั้น กลับคิดถึงคำพูดของหญิงสาวคนนั้นและก็เกิดความสับสนในใจ และรู้สึกเจ็บปวดในใจมากเสียเกิน  แต่เธอก็แสดงออกและมีทีท่า เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอต้องพยามเก็บความรู้สึกนั้นไว้ เพราะว่าตอนนี้เธออยู่ในห้องประชุมของบริษัทเรียบร้อยแล้ว เธอเข้าประชุมสายไปสิบห้านาที แม้แต่บังอรเอง ก็จับสังเกตบอสสาวของเธอได้ แต่เธอเองก็ไม่ได้เอ่ยปากถามบอสของเธอเลยแม้แต่คำเดียว วิภากล่าวขอโทษพนักงานทุกคนในทันทีที่เธอเข้ามาในห้องประชุม“ฉันต้องขอโทษทุกคนด้วยนะคะที่เข้าประชุมช้าไปสิบห้านาที ทำให้ทุกคนต้องเสียเวลา”

หลังจากวิภาพูดจบ เธอก็นั่งลงตรงเก้าอี้หัวโต๊ะ พร้อมกับเร่ิมพูดเข้าเรื่องในการประชุมทันทีโดยที่ไม่ได้รอเสียงตอบกลับจากพนักงานใด ๆ ทั้งสิน ส่วนบังอร เลขาสาวก็รีบนั่งและเปิดสมุดจดรายงานการประชุมทันเช่นกัน เมื่อคุณวิภา เห็นว่าเลขาสาวของเธอพร้อมที่จะจดบันทึกเธอก็เร่ิมพูดทันที

ขณะที่วิภาพูดเปิดการประชุม ณัฐพงษ์  ก็นั่งมองหน้าของวิภา และก็แอบคิดในใจว่า “ ภา ผมไม่เข้าใจเลย ว่าทำไมคุณถึงครองตัวเป็นโสด ทั้ง ๆ ที่คุณก็อายุเกือบจะสี่สิบแล้ว หรือว่าเป็นเพราะผม หรือว่าเป็นเพราะการผิดสัญญาของผม จึงทำให้ท่านผู้จัดการใหญ่ผู้สวย สง่า เพรียบพร้อมอย่างคุณถึงได้ไม่ยอมแต่งงาน ผมไม่เคยลืมคุณเลยนะภา ผมยังรักคุณไม่เคยเปลี่ยนแปลง คุณยังดูเหมือนเดิมทุกอย่าง คุณเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ผมรัก ผมผิดเอง ผมจะรอคุณนะภาจะรอจนกว่าคุณจะให้อภัยผม”

ขณะที่ณัฐพงษ์ กำลังนั่งคิดอะไรเพลิน ๆ เขาดันทำปากกาล่วงจากโต๊ะ ซึ่งทุกคนไม่กล้าหัวเราะ แต่ว่าเอนกเป็นคนเก็บปากกาให้เขาจึงส่งปากกาให้ณัฐพงษ์ พร้อมกับพูดล้อเลียนณัฐพงษ์ว่า “พี่ณัฐ ผมรู้นะว่าพี่ณัฐคิดอะไรอยู่ แต่ว่าท่านประธานเร่ิมพูดเปิดการประชุมนานแล้วนะ” พอณัฐพงษ์ ได้สติก็รับปากกาคืนจากเอนกแต่ไม่ได้พูดอะไรกับเอนกเพื่อนรุ่นน้องที่สนิทกันเป็นพิเศษ แค่มองสบตากับเอนกเหมือนกับเป็นการรู้กันว่าคิดอะไรอยู่

ณัฐพงษ์ทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นก็ไม่พ้นสายตาของวิภา ท่านผู้จัดการใหญ่ไปได้ แต่ตัววิภา เองก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เธอเองก็แอบมองณัฐพงษ์อยู่บ่อย ๆ เช่นกัน  แต่ว่าเธอเองก็ไม่ต้องการให้ความรู้สึกมาเป็นอุปสรรค์ในการทำงาน เธอจึงพูดเปิดการการประชุม ซึ่งภาพในห้องประชุมนั้นเป็นภาพที่พนักงานทุกคนในบริษัทฯเห็นกันจนชินตาแล้วกับการนั่งประชุม คือ การนั่งหัวโต๊ะของคุณวิภา พร้อมทรัพย์ ข้างซ้ายมือถัดจากวิภา ก็จะเป็น บังอร เลขาสาว  ถัดจากบังอร ก็เป็นณัฐพงษ์ ท่านผู้จัดการทั่วไป เป็นที่รู้กันว่าณัฐพงษ์ นั้นเป็นมือขวาของวิภา

ณัฐพงษ์มีอํานาจตัดสินใจทุกอย่างในบริษัทในกรณีที่วิภา ไม่อยู่ในบริษัท บางครั้งถ้าเป็นเรื่องที่ไม่ได้ใหญ่มากณัฐพงษ์ก็จะเป็นคนตัดสินใจ โดยไม่รอผ่านอนุมัติจากวิภา ซึ่งขนาดเอนกน้องชายผู้น้องของวิภายังไม่มีอำนาจเท่ากับณัฐพงษ์ แต่เอนกเองก็ไม่ได้ว่าหรือรู้สึกอิจฉาแต่อย่างใด เพราะว่าเอนกรู้จักกับณัฐพงษ์มาตั้งแต่สมัยณัฐพงษ์เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกับวิภา

สมัยนั้นเอนกยังเป็นนักเรียนมัธยมอยู่เลยด้วยซ้ำ เอนกเองนับถือณัฐพงษ์เหมือนพี่ชายคนหนึ่งของเขา และเขาก็จะเป็นตัวช่วยตัวสำคัญในการที่จะทำให้วิภาพี่สาวของเขากับณัฐพงษ์คืนดีกัน เวลาที่วิภาต้องเดินทางไปต่างประเทศ ณัฐพงษ์ จะทำงานร่วมกับประสิทธิ์ และเอนก อยู่เสมอ ๆ ณัฐพงษ์เคยทำงานในตำแหน่งที่ดนัยทำอยู่ในปัจจุบัน

พนักงานทุกคนทั้งเก่าและใหม่ในบริษัทฯ จะเกรงใจคุณณัฐพงษ์ฯ เป็นอย่างมากทั้งด้านคุณวุฒิ และวัยวุฒิ อีกทั้งประสบการที่สั่งสมมา คุณณัฐพงษ์ไม่เพียงแต่เป็น มือขวาของคุณวิภาฯ แต่ยังเคยเป็นแฟนเก่าของคุณวิภาฯ อีกด้วย เมื่อสมัตอนที่ทั้งสองคนยังเรียนมหาวิทยาลัย พนักงานเก่าบางคนก็พอจะรู้เรื่องนี้กันบ้าง ฝั่งตรงข้ามกับบังอรเลขาของวิภาก็จะเป็นนายเอนก พร้อมทรัพย์ หัวหน้าแผนก ซึ่งเอนก นั้นเป็นลูกพี่ลูกน้อง ของวิภา ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้องชายเจ้าของบริษัทฯ

พนักงานทุกคนในบริษัทฯ ต่างก็เกรงใจเขาอยู่ไม่น้อย และถัดจากเอนก ก็จะเป็นนายประสิทธิ ประเสริฐสม รองผู้จัดการ ซึ่งนั่งตรงกันข้ามณัฐพงษ์  ส่วนที่นั่งถัดไปก็จะเป็นระดับหัวหน้าแผนก และก็เป็นพนักงานในบริษัทฯ ที่เหลือซึ่งแต่ละคนก็นั่งกันแบบจับกลุ่ม คือใครเป็นเพื่อนกับใครก็มักจะนั่งด้วยกัน ซ่ึ่งหนึ่งในกลุ่มนั้นก็จะมีกลุ่มของนางสาวดวงพร บุรีรัตน์ เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์นั่งอยู่ข้าง ๆ เพื่อนสนิท นั่นก็คือนางสาวมีนา ธรรมรงค์ สาวแผนกการตลาด

และยังมีนางสาวเนตรนภา คำดี สาวน้อยแผนกบัญชีอีกคนที่มักจะนั่งประชุมด้วยกันเป็นประจําที่มีการประชุม วันนี้สาวมีนาเธอทําหน้าที่หัวหน้าแผนกการตลาดแทนนายดนัย หัวหน้าแผนกและเพื่อนสนิทซึ่งจบมาจากมหาวิทยาลัยเดียวกัน ในฐานะท่านผู้จัดการใหญ่ วิภาเป็นผู้พูดเริ่มเปิดการประชุม เหมือนทุกครั้ง วิภาพูดเปิดประชุมครั้งนี้ว่า “สวัสดีคะ เพื่อนร่วมงานที่รักทุกท่าน วันนี้เป็นการประชุมประจําเดือนตุลาคมตามที่ทราบกันดีว่า การประชุมเดือน นี้เราจะพูดถึงงบประมาณของปีหน้าเพราะว่าอีกสองเดือนก็จะสิ้นปีแล้ว ใครมีโครงการอะไรที่จะนําเสนอ และคิดว่ามันดีกับบริษัทของพวกเรา และเป็นประโยชน์ต่อพวกคุณ ก็สามารถส่งความคิดเห็นโดยตรงมาที่ตัวดิฉันหรือจะเขียนทิ้งไว้ที่ตู้รับความคิดเห็นที่ตั้งไว้หน้าแผนกบุคคลก็ได้เลยนะคะ อย่างที่ทราบกันว่าบริษัทของเราอยู่กันอย่างพี่อย่างน้อง มีอะไรขัดข้องใจก็คุยกัน ซึ่งวันนี้ก็มีทั้งข่าวดี และ ข่าวร้ายที่จะบอกกับที่ประชุม”

เมื่อทุกคนได้ยินคำว่าข่าวร้ายทุกคนต่างก็ทำหน้าไม่ค่อยจะสู้ดี

วิภาพอจะเข้าใจลูกน้อง เธอจึงรีบพูดติดตลกว่า “ดิฉันขอพูดถึงข่าวดีก่อนนะคะ ข่าวดีก็คือว่าบริษัทของเราทําผลกําไรได้มากกว่าปีที่แล้ว”

พนักงานทุกคนปรบมือดีใจกันยกใหญ่ แต่ก็ยังไม่แน่ใจกับข่าวร้าย วิภาหยุดพูดและก็มองทุกคนไปรอบ ๆ โต๊ะ แล้วก็มาหยุดอยู่ที่นายตุลา ดานะ พนักงานเดินเอกสาร พร้อมทั้งยังบอกให้ตุลาเอาเอกสารไปแจกให้กับทุกคนได้อ่านและเซ็นรับทราบหลังจากนั้นวิภา ก็บอกให้ส่งเอกสารคืนกลับไปที่บังอร เลขาของเธอ โดยในเอกสารได้ระบุว่า “ ที่จอดรถใหม่” เมื่อวิภาเห็นว่าพนักงานทุกคนได้เอกสารครบแล้ว ก็รอจนตุลากลับไปนั่งที่เธอก็เริ่มพูดต่อ ว่า “ตามที่เห็นในหนังสือเวียนกันแล้วนะ คือว่าพวกเราทุก คนจะต้องขับรถไปจอดในที่จอดรถใหม่ที่บริษัทของเราจัดเตรียมไว้ให้ และก็เราจะต้องเริ่มสิ้นเดือนนี้เลยนะคะ นั่นก็หมายความว่า ในวันจันทร์ที่หนึ่งพฤศจิกายนนี้ พนักงานทุกคนจะต้องนํารถของท่านไปจอดในที่จอดรถใหม่ ซึ่งจะว่าไปก็ไม่ไกลจากที่จอดรถเก่า เท่าไหร่นักแค่อยู่ตรงข้ามกับตึกที่เราทํางานอยู่ก็เท่านั้น ระยะทางมันไม่ได้ไกลเลย เพียงแต่ต้องข้ามถนนก็เท่านั้น ครั้งนี้ทางบริษัทของเราได้ทำสัญญากับเจ้าของที่จอดรถใหม่ สิบปีเลยทีเดียว ฉันเข้าใจ  และเห็นใจพวกคุณทุกคนแต่ว่าอย่างน้อยก็ดีกว่าไม่มีที่จอดรถ ในกรณีนี้ไม่มีข้อยกเว้นนั่นหมายรวมถึงตัวดิฉันเองด้วย ต่อไปเป็นเรื่องงบประมาณของปีหน้า เชิญคุณณัฐพงษ์คะ”

วิภาพูดจบด้วยสีหน้าราบเรียบไม่แสดงออกใด ๆ เมื่อณัฐพงษ์เห็นวิภาเงียบลงเขาก็เลยพูดในสิ่งที่เขาควรจะพูด และณัฐพงษ์ก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องที่จอดรถใหม่อีกเลย

“ขอบคุณครับ คุณวิภาและก็สวัสดี พนักงานทุก ๆ คน เรื่องของงบประมาณปีหน้าก็คงจะเหมือนเดิม เหมือนปีที่แล้ว แต่ว่าปีหน้าเราจะเพิ่มงบประมาณสําหรับโครงการใหม่ชื่อว่า “สัมนาเชิงท่องเที่ยว” นั่นก็แสดงว่าเราจะมีการจัดสัมนาขึ้นปีละสองครั้ง โดยการสัมนาจะจัดขึ้นที่ต่างจังหวัด และก็จะเปิดโอกาสให้พนักได้เสนอชื่อสถานที่จะเราจะจัดสัมนา โดยให้ส่งรายชื่อมาได้ที่คุณเอนก โดยตรง การสัมนาก็จะเป็นเหมือนชื่อคือ เราจะให้พนักงาน ได้พักผ่อนตามอัธยาศัยด้วย หลังจากเสร็จการสัมนา โดยการสัมนาจะเริ่มขึ้นในราว ๆ กลางเดือนมกราคมปีหน้า และสถานที่นั้นเราตั้งใจว่าการสัมนาครั้งแรกของโครงการนี้จะต้องเป็นสถานที่ติดชายหาด และที่เราดู ๆ ไว้ ก็คือจังหวัดระยองเพราะว่าไม่ใกล้จากกรุงเทพฯมากนัก ในกรณีที่ไม่มีใครเสนอชื่ออื่นนะครับ ถ้าพนัก งานคนไหนสนใจจะเสนอชื่อมาที่ผมโดยตรง ก็ได้เลยนะครับ แต่ต้องก่อนต้นเดือนธันวาคมนะครับ เอาเป็นว่าเรื่องสถานที่เราจะบอกอีกครั้งหนึ่งในการประชุมประจําเดือนธันวาคม ส่วนหัวข้อต่อไปเป็นเรื่องพิเศษอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งจะอยู่ในงบประมาณของปีหน้าด้วยเช่นกันครับ บริษัท ของเราได้มีการเปิดตลาดการส่งออกสินค้าของเราไปยังต่างประเทศ ตอนนี้ก็มีแถบยุโรปและก็ทวีปอเมริกาเหนือครับ ดังนั้นบริษัทของเราจะจัดให้มีการส่งเสริมการเรียนภาษาอังกฤษกับพนักงานของเราทุกคน โดยเราใช้ชื่อของโครงการนี้ว่า “ภาษาดีมีรางวัล” โดยบริษัทจะจัดให้มีการเรียนการสอน และสอบภาษาอังกฤษ ถ้าใครเรียนดี  ผลสอบออกมาดีก็จะมีการปรับฐานเงินเดือนให้โดยทางบริษัทจะจัดครูต่างชาติซึ่งเป็นเจ้าของภาษาเข้ามาสอน และเรายังมีคุณวิภา และคุณเอนกจะคอยดูและช่วยสอนอีกแรง ส่วนทางด้านรายละเอียดให้พนักงานทุกคนเข้าไปติดต่อสอบถามโดยตรงได้ที่คุณเอนกหัวหน้าแผนกทั่วไป เพราะว่าโครงการนี้ คุณเอนกเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงครับทั้งเรื่องตารางการเรียนการสอน การหาครูผู้สอน และก็จะมีคุณวิภาหัวหน้าแผนกบุคคลเป็นผู้ ช่วยในโครงการนี้อีกแรงหนึ่งด้วยครับ ต่อไปผมขอเชิญคุณเอนกชี้แจงรายละเอียดได้เลยครับ”

เมื่อณัฐพงษ์พูดจบ เอนกหัวหน้าแผนกทั่วไปก็พูดขอบคุณณัฐพงษ์และก็เร่ิมเรื่องที่เขาเตรียมมาเพื่อที่จะพูดทันที “ขอบคุณครับพี่พงษ์ โครงการ “ภาษาดีมีรางวัล” ถือว่าบริษัทของเราได้เปิดโอกาสให้พนักงานทุกคนไม่ว่าคุณจะอยู่ในตําแหน่งใด คุณจะต้องได้รับการสอบคัดเลือกคลาสที่จะเรียน เหมือนเป็นการวัดพื้นฐานภาษาอังกฤษที่เราเรียนมาว่ายังใช้ได้หรือไม่ หรือถ้าใครมีผลการสอบ  "โทอิก" หรือ "โทเอล" ก็สามารถเอามาปรับฐานเงินเดือนได้เลยโดยบริษัท จะไม่บังคับให้ท่านที่ผ่านการสอบมาแล้วต้องมาเข้าเรียนอีกไม่ต้องกังวลใจไปนะครับแต่นั่นก็ต้องหมายถึงว่าคะแนนสอบของท่านต้องอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่ทางบริษัทกําหนดนะครับ และถ้าท่านมั่นใจว่าสามารถทําข้อสอบของบริษัทได้ ก็ไม่ต้องลงชื่อเข้าเรียนแต่อย่างไรเช่นกันครับ คือผมหมายถึงการสอบหลังเรียนจบ การเรียนภาษาอังกฤษครั้งนี้ค่าใช้จ่ายทุกอย่างทางบริษัทจะออกให้ทั้งหมด ค่าครูผู้สอน ค่าสอบ เพียงแต่ว่าขอให้พนักงานตั้งใจเรียน และทําข้อสอบให้ดี ผมขอให้ทุกคนส่งรายชื่อมายังฝ่ายบุคคล โดยเริ่มตั้งแต่อาทิตย์หน้า และช่วยเขียนระบุด้วยว่าท่านต้องการเรียนในช่วงเวลาใดหลังเลิกงาน หรือ ว่าวันเสาร์ หรือว่าวันอาทิตย์ หลังจากผมได้รายชื่อผมก็จัดให้มีการสอบเพื่อเลือกคลาส ในการเรียนผมข้อย้ํานะครับว่าพนักงานทุกคน รวมไปถึงแม่บ้านและคนขับรถ ผมมีเรื่องที่จะพูดเท่านี้ครับ”

หลังจากที่เอนกพูดจบ พนักงานบางคนก็เริ่มคุยกันถึงเรื่อง โครงการ ทั้งสองโครงการ ด้วยเสียงเบา ๆ แต่ก็พอจะได้ยินกันทั้งห้องประชุม และก็เกิดเสียงวิพากวิจารณ์กันยกใหญ่ บางคนก็ชอบบางคน ก็ไม่ชอบโดยเฉพาะพนักงานที่ไม่ค่อยชอบเรียนภาษาอังกฤษตอนสมัยเรียนหนังสือ จนคุณณัฐพงษ์ ต้องบอกให้ทุกคนเงียบเสียงวิพากวิจารณ์ลง เพราะว่ามันเร่ิมจะดังขึ้นเรื่อย ๆ  “ขอโทษครับช่วยกันหยุดคุยกันสักครู่นะครับ การที่บริษัทของเราจัดโครงการนี้ขึ้นมาก็เนื่องจากว่าบริษัท ของเราจะร่วมทุนกับบริษัทต่างชาติ ซึ่งบางคนก็อาจจะทราบเรื่องนี้กันบ้างแล้ว และที่สําคัญสินค้าบ้างตัวของเรา ก็จะส่งออกจําหน่ายในต่างประเทศด้วย และในปลายปีหน้าบริษัทของเราจะมีพนักงานจากต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ และอังกฤษ มาประจําที่สํานักงานของเรา เรื่องการประชุมก็มีเท่านี้ครับ มีพนักงานคนไหนสงสัยอะไรก็ถามมาได้เลยนะครับ”

หลังจากที่ณัฐพงษ์พูดจบ นุดา หัวหน้าแผนกบัญชีเกิดความสงสัย และก็กังวล เพราะว่าเธอมีลูกติด และยังต้องไปรับไปส่งลูกสาวที่โรงเรียน วันเสาร์์ลูกก็ยังต้องเรียนพิเศษอีก แล้วถ้าวันอาทิตย์ก็ไม่มีคนดูแล เธอเป็นซิงเกิลมัมทุกคนในบริษัทนี้รู้ดี นุดา หัวหน้าแผนกบัญชีกลัวจะไม่มีเวลา อีกอย่างถ้าต้องจ้างคนเลี้ยงลูกในวันอาทิตย์ก็ต้องจ่ายค่าจ้างเลี้ยงอีกและที่สําคัญก็หาคนไว้ใจได้อยากเหลือเกินสมัยนี้

นุดา หัวหน้าแผนกบัญชี เธอเลยยกมือถามเป็นคนแรกว่า “ดิฉันก็ไม่ขัดข้องเรื่องเรียนคะ แต่ว่าตอนเย็นดิฉันต้องไปรับส่งลูกสาว ส่วนวันเสาร์แกต้องเรียนพิเศษอีกจะเป็นไปได้ไหมคะถ้าวันอาทิตย์ นุดาขอเอาลูกมาที่ทํางานด้วย”

หลังจากณัฐพงษ์ได้ยินคําถามเขาก็ตอบกลับไปด้วยเสียงราบเรียบและสุขุม และด้วยน้ำเสียงที่เอ้ืออาทร คนที่ฟังจะรู้สึกได้ว่าเขาพูดออกมาจากใจจริง ๆ ว่า “ไม่น่าจะไม่มีปัญหาอะไร เราทํางานด้วยกันมานานก็เหมือนครอบครัวเดียวกัน ถ้ามีปัญหาอะไรก็ช่วยกันแก้ไขไป คุณนุดาสามารถเอาน้องนุดีมาที่ทำงานได้ครับแต่ว่าก็ระวังอย่าให้น้องนุดีเขาเล่นอะไรที่มันทําให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินของบริษัทและที่สําคัญก็อย่าให้เกิดอันตรายต่อเด็กก็แล้วกันนะครับ ผมขอให้พนักงานทุกคนสบายใจได้เลยครับ ทุกคนจะได้รับการช่วยเหลือเรื่องการจัดสรรเวลาแน่น่อนครับ มีใครสงสัยอะไรอีกไหมครับ”

พนักงานทุกคนในห้องประชุมต่างนั่งและนิ่งเงียบ ก็หมายความ ว่าไม่มีใครสงสัย ขณะที่ณัฐพงษ์ตอบคําถาม วิภา ท่านผู้จัดการใหญ่นั่งฟังที่ณัฐพงษ์ตอบคําถาม เธอรู้สึกว่าณัฐพงษ์ หรือว่าณัฐของเธอก็ยังเป็นคนจิตใจดี พูดจาดีเหมือนเดิมและก็เห็นด้วยกับคําพูดที่ว่าพวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน เธอก็เลยพูดแทรกขึ้นก่อนที่จะจบการประชุมว่า

“ก่อนจะปิดประชุมดิฉันในฐานะเจ้าของบริษัทขอพูดย้ําอีกครั้งว่า พวกเราทุกคนก็เหมือนครอบครัวเดียวกัน มีอะไรก็ปรึกษาหาหรือกัน เรื่องการเรียนภาษาอังกฤษ ต้องถือว่าทุกฝ่ายได้ผลประโยชน์ร่วมกัน เพื่อพวกเราทุกคนจะได้ร่วมกันพัฒนาบริษัทของเราให้เป็นบริษัท ที่มีศักยภาพและมีความเป็นสากล และก็เพื่อให้พวกเราได้เติบโตขยายบริษัทของเราไปด้วยกัน หลังจากทุกท่านเรียนจบไปวิชาความรู้ภาษาอังกฤษก็จะติดตัวท่านไปทุกหนทุกแห่ง และยังเอาไว้สอนลูกสอนหลานได้อีกด้วย หลังที่พวกคุณเรียนจบ เวลาที่พวกคุณต้องออกไปพบปะเจอะเจอกับฝรั่งข้างนอกบริษัท เผอิญฝรั่งคนหนึ่งเขาหลงทาง และเขาเดินเข้ามาถามทางพวกเรา พวกเราก็จะสามารถตอบคำถามฝรั่งหลงทางคนนั้นได้อย่างมันใจ และเป็นการช่วยสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศอีกด้วยนะคะ เอาละคะวันนี้ดิฉันต้องขอ ขอบคุณพวกเราทุกคนมากนะ ที่สละเวลาวันศุกร์ตอนเย็นมาเข้าร่วมประชุมกันพร้อมหน้า”

ณัฐพงษ์ เห็นว่าทุกคนนั่งฟังเงียบและไม่มีใครถามคําถามอะไรอีกเขาก็เลยกล่าวปิดประชุมว่า “ดูเหมือนทุกคนจะหมดข้อสงสัยแล้วนะครับ งั้นผมก็ขอปิดประชุมครับ ขอบคุณทุกคนนะครับที่สละเวลาในช่วงเย็นมาเข้าประชุมกันพร้อมหน้าทุกคน อ้อเรื่องตัวเลขของงบประมาณของแต่ละแผนก และการขึ้นเงินเดิือน และโบนัส ผมได้คุยกับคุณประสิทธิ์ เรียบร้อยแล้ว ทางคณะผู้บริหารจะเชิญหัวหน้าแผนกเข้าประชุมอีกครั้งหนึ่งในอาทิตย์หน้านะครับ เพราะว่ากําลังรอตัวเลขจากแผนกบัญชีอยู่ครับ”

หลังจากการประชุมประจําเดือนตุลาคมจบลง พนักทุกคนลุกขึ้นยืนแต่ก็ไม่ได้ออกจากห้องประชุม แต่กลับยืนรอให้ท่านผู้จัดการใหญ่สาวสวยเจ้าของบริษัท เดินออกจากห้องประชุมไปก่อน วิภาเธอเกรงใจพนักงาน เธอเลยรีบเดินออกจากห้องประชุม โดยที่ไม่ได้คุยอะไรกับใครเลย เพราะว่าไม่อยากให้พนักงานต้องรอนานเธอรู้ดีว่าพนักงานทุกคนต้องการจะกลับบ้านกันเต็มแก่ เนื่องจากว่าวันนี้เป็นวันศุกร์สุดท้ายของเดือน และเงินเดือนก็ออกวันนี้ ทุกคนคงอยากจะกลับบ้านและไปทำธุระของตนเอง

 

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว