หวานใจกับนายโฮ้งๆ (เมื่อเขาเป็นหมาของผม) 18+++ #ธัญวลัยไม่สนับสนุนปกAI

Y

หวานใจกับนายโฮ้งๆ (เมื่อเขาเป็นหมาของผม) 18+++ #ธัญวลัยไม่สนับสนุนปกAI

หวานใจกับนายโฮ้งๆ (เมื่อเขาเป็นหมาของผม) 18+++ #ธัญวลัยไม่สนับสนุนปกAI

Sriwaroon

Y

16
ตอน
2.35K
เข้าชม
22
ถูกใจ
1
ความคิดเห็น
11
เพิ่มลงคลัง

เป็นนิยายเรื่องแรกของเราฝากติดตามด้วยนะ รับลองสนุก 

 

เขาเป็นหมาของผม.... 

ใช่...คุณได้ยินไม่ผิดหรอก เขาเป็นหมาของผมจริงๆ นะ แต่เขาไม่ใช่สัตว์ 4 ขา ไม่มีขน ไม่มีหู กับหาง แต่เป็นเพียงชายหนุ่มรูปหล่อ ที่มีนิสัยเชื่องกับผมคล้ายกับหมาเท่านั่นแหละครับ หึหึหึ 

เรื่องมันเกิดขึ้นตอนที่ผมอายุได้ 8 ขวบ ในตอนนั้นผมกับเขาเราได้เจอกันครั้งแรกที่สวนสาธราณะใกล้บ้าน 

10 ปีก่อน.......... 

ณ บ้านหรูแห่งหนึ่ง 

“เรนโต้ คอยแม่ก่อนสิลูกอย่าพึ่งไปไหนนะ” เสียงคุณแม่ของผมเรียกผมไว้ก่อนที่ผมจะหนีออกไปข้างนอกเพียงลำพัง คำสั่งของคุณแม่ทำให้ผมหยุดฝีเท้าเอาไว้ไม่ออกไปไหนรอคุณแม่ตามออกมาก่อน คุณแม่ของผมท่านเป็นผู้หญิงที่สวยมากคนหนึ่งในสายตาผมเลยนะ ผมสีทองตาสีน้ำตาลผิวขาวเป็นยองไย รูปร่างผอมเพรียวหุ่นยังกับนางแบบในนิตยาสารเลยเชียว อายุท่านประมาณ20กวาๆ ได้ล่ะมั้ง ท่านเป็นลุกครึ่งไทยอเมริกัน 

ส่วนคุณพ่อของผมท่านเป็นหนุ่มสูงใหญ่ชาวอิตาเลี่ยนแก่กว่าคุณแม่ประมาณ 10 ปี ดังนั้นผมก็เลยมีเชื้อชาติไทย-อเมกัน-อิตาเลี่ยน 3 เชื้อชาติเลยทีเดียวครับ เหอะๆ ๆ ๆ แต่ผมเกิดและเติบโตมาที่เมืองไทยนะไม่เคยได้ไปอิตาลี่หรืออเมริกาเลยสักครั้ง ถึงเคยมีความคิดว่าอยากจะไปเที่ยวบ้างก็เถอะ 

เอาหล่ะ ผมขอแนะนำตัวก่อนนะครับ ชื่อของผม คือ มาเรนโต้ ดิคารีสโซ่ นามสกุลเรียกตามคุณพ่อที่เป็นชาวอิตาเลี่ยน แต่ใครๆ ก็มักจะเรียกชื่อผมสั้นๆ ว่า “เรน หรือเรนโต้” ผมเป็นเด็กผู้ชายที่มีผมสีทอง ตาสีฟ้า เหมือนคุณพ่อ แต่สีผิวเหมือนคุณแม่ จะว่าน่ารักก็อาจจะได้ถ้าไม่คิดว่าผมหลงตัวเองจนเกินไปน่ะนะ ผมน่ะเนื้อหอมนะตั้งแต่เด็กแล้วมีแต่เด็กผู้หญิงมาตามจีบ แต่ผมก็ไม่ค่อยสนใจพวกเธอสักเท่าไหร่นักหรอก ซึ่งผมตอนนี้ยังไม่ค่อยรู้เรื่องความรักอะไรเท่าไหร่เลยนี่นา เป็นเพียงแค่ เด็กผุ้ชาย 8 ขวบตัวเล็กๆ ธรรมดาคนนึงเท่านั้นเอง 

“มาเรนโต้ แม่เสร็จแล้วลูกไปๆ รีบไปเดี่ยวจะค่ำซะก่อน” นั่นไงคุณแม่ออกมาแล้วล่ะครับ ผมจะได้ไปเที่ยวสักทีตื่นเต้นจะแย่อยู่แล้ว วันนี้ผมใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั้นปกกะลาสีสีขาว เข้าชุดกับกางเกงขาสั้นสีน้ำเงิน รองเท้าผ้าใบไม่สวมถุงเท้า กระโดดเหยงๆ ไปมาด้วยความตื่นเต้นรอคุณแม่อยุู่ 

และทันทีที่คุณแม่ออกมาเราสองแม่ลูกจึงพร้อมที่จะออกเดินทางไปเที่ยวห้างกันครับ คุณแม่คว้าแขนผมมาจุงมือเอาไว้ทันทีแล้วพาเดินไปด้วยกันตามทาง ซึ่งไม่ค่อยไกลจากบ้านเท่าไหร่ ในตอนนี้น่าจะประมาณ 5 โมงเย็นได้แล้วล่ะมั้งเพราะผมเห็นท้องฟ้าสีส้มๆ แสงเรืองๆ ดูสวยมากเลยที่เดียว 

แต่ทว่า... 

ในระหว่างที่ผมกับคุณแม่กำลังเดินผ่านสวนสาธารณะนั้นได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ผมกับคุณแม่เราเหลือบไปเห็นคนตัวสูงๆ หลายคนกำลังยืนล้อมวงทำอะไรกันอยู่ พวกนั้นดูแล้วน่าจะเป็นพวกเด็กวัยรุ่นท่าทางเป็นอันพาลทั้งนั้นเลย ผมจูงมือคุณแม่ไปดูใกล้ๆ ว่าเกิดอะไรกันขึ้นนั้น ก็ปรากฎว่าพวกนั้นกำลังรุมกระทืบเด็กผู้ชายผมสีดำๆ คนหนึ่งที่นอนหมอบคลุกฝุ่นเอามือกันหัวเอาไว้กำลังถูกรุมเตะ รุมกระทืบรัวๆ ๆ อย่างไร้ความปรารณี จนอาการน่าจะสาหัสเลยทีเดียว 

ผมไม่รอช้ารีบร้องตะโกนให้คนมาช่วยห้ามทันที ซึ่งสิ่งที่ผมพอจะคิดออกนั่นก็คือ 

“ตำรวจมาแล้วววววววว ตำรวจจจจจจจจจจจมาาาาาา อุป” ผมตะโกนสุดเสียงจนคุณแม่ที่จูงมือผมอยู่รีบเอามือมาปิดปากผมแทบไม่ทันแล้วลากตัวผมไปแอบดูสถานการณ์ตามพุ่มไม้ ซึ่งมันเสี่ยงเอามากๆ เลยครับหากไม่ได้ผล ถ้าพวกนั้นเกิดไม่เชื่อคิดว่าเราหลอกลวงแล้วตามมาไล่ล่าผมกับคุณแม่ล่ะก็ ซวยเลยครับ 

แต่ว่าเรายังโชคดีอยู่เพราะมันได้ผล อย่างน้อยๆ คนพวกนั้นได้หยุดชะงักไม่รุมซ้อมเด็กผมดำคนนั้นอีกแล้ว แถมยังต่างคนต่างมองหน้ากันแล้วรีบพากันแยกย้ายหนีไปในทันที 

“เฮ้ออ หัวใจแม่จะวาย” คุณแม่ถอนหายใจแล้วเอามือออกจากปากผม เราต่างค่อยลุกขึ้นยืนมองไปทางเด็กคนนั้น ที่ตอนนี้น่าจะปลอดคนไม่มีใครอยู่แล้ว 

ผมและคุณแม่เราสองคนจึงค่อยๆ พากันเดินไปดูเด็กคนนั้นที่นอนสลบเหมือดอาการปางตายดูแล้วช่างน่าสงสารเวทนามากเลยทีเดียวครับ เกือบทำให้ผมกับคุณแม่ร้องไห้แน่ะ แต่เราไม่มีเวลามานั่งสงสารหรือเสียใจอยู่ สิ่งที่เราทั้งคู่ต้องรีบทำคือนำตัวเขาส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุดก่อนที่เด็กคนนั้นจะหมดสิ้นลมหายใจไปเสียก่อน 

ซึ่งคุณแม่เป็นคนอุ้มเขาไปส่งที่โรงพยาบาลที่อยุ่ใกล้ที่สุดเท่าที่จะใกล้ได้ เพราะสภาพของเขาร่อแร่เต็มที ร่างกายมีแต่รอยฟกช้ำ เลือดตกยางออก คุณแม่บอกกับผมว่าแขนเขาน่าจะหักเพราะแขนเขาตกห้อยทำมุมแปลกๆ ดูน่าสงสารจังเลยครับ 

แล้วเราก็มาถึงโรงพยาบาลได้ไม่นาน ผมกับคุณแม่มานั้งรอคุณหมออยุ่หน้าห้องตรวจเด็กรอคอยผลการตรวจของเด็กคนนั้นอยู่นานประมาณครึ่งชัวโมงกว่าๆ ได้ล่ะนะ 

อ่ะ ดูเหมือนว่าคุณหมอจะออกมาแล้วล่ะ ผมไม่รอช้ารีบวิ่งไปที่ประตูเพื่อที่จะไปดูเด็กคนนั้นว่าอาการเป็นยังไงบ้าง ซึ่งผมได้หยุดยืนดูอยู่ข้างเตียงหันไปมองดูเขาที่กำลังหลับสนิทไม่ได้สติ ผมยืนมองอยู่เพียงครู่หนึ่ง ซึ่งดูจากรูปร่างหน้าตาของเขาแล้วน่าจะโตกว่าผมนิดหน่อย 

“คุณแม่ครับ เขาตัวสูงจังเป็นพี่ผมเหรอ” ผมหันไปถามคุณแม่ของผมขณะที่เรากำลังเฝ้าไข้เขาอยู่ข้างๆ เตียง 

“น่าจะใช่ แม่ว่าน่าจะแก่กว่าลูก 2 -3 ปีมั้งจ๊ะ” คุณแม่บอกผมยิ้มๆ เอามือลูบหัวผมไปด้วย 

“พี่เขาจะเป็นอะไรหรือเปล่าครับ คุณหมอ” คราวนี้ผมหันไปถามลุงหมอที่เดินตามเรามาท่าทางใจดีที่ผมรู้จักมาตั้งแต่เล็กๆ เพราะลุงหมอเคยทำคลอดให้ผมได้เกิดมาดูโลกนี้ไงล่ะครับ 

“พ้นขีดอันตรายแล้วล่ะครับ คุณหนูเรน ไม่ต้องห่วงนะพี่เขาจะอาการดีขึ้นในเร็ววัน แต่ที่แขนต้องเข้าเฝือกนะ แขนหักน่ะ น่าสงสารจริงๆ เด็กตัวนิดเดียวทำกันได้ลงคอ” ลุงหมอบอกผมด้วยเสียงที่อ่อนโยน ผมอยากเห็นเขาฟื้นขึ้นมาไวๆ จังเลยครับ อยากพูดอยากคุยกับพี่เขา อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา แต่ผมก็ถูกคุณแม่พากลับบ้านเพราะว่านี่มันค่ำแล้วไงล่ะ 

“ไว้พรุ่งนี้ค่อยมาเยี่ยมพี่เขาใหม่นะลูก นี่ดึกแล้วเราต้องกลับแล้วนะ ส่วนไปห้างเราไว้ไปวันพรุ่งนี้แทนนะจ๊ะ” คุณแม่บอกแบบนั้น ว้าอดเที่ยวเลยครับ แต่ไม่เป็นไร ชีวิตคนสำคัญกว่าเรื่องเที่ยวน่ะไว้วันหลังก็ได้ 

หลังจากนั้นไม่นานเราสองแม่ลูกก็พากันกลับบ้าน หมดเวลาเที่ยวแล้วครับน่าเสียดายจริงๆ แต่ผมไม่อยากจะงองแงหรอกนะ โตแล้วนี่นา แต่ก่อนที่เราจะกลับ ผมได้หันไปทางพี่เขาแล้วโบกมือลา แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้สติ รับรู้การมาและการลาจากของผมก็ตาม 

หวังว่าพรุ่งนี้พี่เขาจะฟื้นนะ ผมอยากคุยอยากถามเขาเหลือเกินว่าไปทำอะไรมาถึงได้โดนรุมกระทืบแบบนั้น ผมอยากรู้เรื่องราวของเขาจริงๆ 

“คุณแม่ครับ พรุ่งนี้พี่เขาจะฟื้นมัยครับ” ผมอดไม่ได้ที่จะถามคุณแม่ด้วยความกังวลใจนิดหน่อย 

“ฟื้นสิจ๊ะ” คุณแม่บอกแค่นั้นแล้วยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน เหมือนเป็นการปลอบใจผมมากกว่าเพื่อทำให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้น 

แต่ดูเหมือนคำปลอบของคุณแม่จะไร้ผล เพราะเมื่อถึงวันรุ่งขึ้นของวันใหม่ผมกลับมาจากโรงเรียนไปเยี่ยมพี่เขา พี่เขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัวเลยครับน่าจะใช้เวลาหลายวันอยู่กว่าจะฟื้นก็เล่นถูกซ้อมอาการปางตายขนาดนั้นคงไม่ฟื้นตัวเร็วนักหรอก แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไปหาไปเยี่ยมพี่เขาทุกวันนะ และนอกจากไปเยี่ยมแล้วคุณแม่ก็เป็นธุระให้เรื่องค่าใช้จ่ายแทนทั้งหมด จนกว่าจะตามหาญาติผู้ปกครองของพี่เขามารับตัวไปนั้นแหละ ก็คุณแม่ของผมท่านใจดีมากนี่นา ผมรักคุณแม่มากเลยล่ะครับ 

หลังจากนั้นประมาณ 2-3 วัน พี่เขาดูเหมือนจะเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมา ผมพึ่งกลับจากโรงเรียนประถมรีบตรงมาเยี่ยมพี่เขาที่โรงพยาบาลทันที แล้วผมก็ได้เห็นเขาฟื้นเสียที 

พอเดินเข้ามาข้างในห้อง ผมอดที่จะยิ้มอย่างดีใจขึ้นมาไมได้เมื่อเห็นพี่เขากำลังนั่งทานอาหารอยู่โดยมีพี่พยาบาลคนสวยเป็นคนป้อน น่าอิจฉาจังแฮะ ผมอยากถูกป้อนบ้างจังเลย แต่ผมคงไม่ไปแย่งอาหารคนป่วยหรอกนะครับ แบบนั้นมันดูไม่ดีเท่าไหร่ 

“อ้า ฟื้นแล้วเหรอครับ เป็นไงบ้าง หายเจ็บหรือยัง สบายดีมัย พี่ชื่ออะไร เกิดไรขึ้นกับพี่ครับ ทำไมพี่ถึงถูกซ้อม แขนหายหรือยัง ใช้งานได้เปล่า???” ผมเข้าไปรัวคำถามเป็นชุดๆ เลยครับแถมยังเผลอเอามือไปลูบๆ หัวเขาด้วยความดีใจที่จะได้พูดคุยกันหลังจากที่เห็นเขาหมดสติไปหลายวัน แต่ทว่า.... 

“ตายแล้วลูก!! ไปเล่นหัวพี่เขาแบบนี้ได้ยังไงกัน พี่เขาโตกว่าเรานะครับ แล้วหนูไปถามอะไรรัวๆ แบบนั้นพี่เขาจะตอบทันเหรอลูก” แย่ล่ะโดนคุณแม่ดุจนได้ แถมยังถูกอุ้มพาออกมาห่างๆ เตียงพี่เขาอีก 

พอผมหันไปมองอีกทีกลับพบว่า ตัวเองทำพี่เขาตกใจน่าดู ซึ่งดูจากสีหน้าก็รู้แล้ว หน้าตาอึ้ง ทึ่ง หวอ ขนาดนั้น ถึงหน้าตาจะมีแต่แผลเขาก็จัดว่าหน้าตาน่ารักอยู่นะ แต่พี่พยาบาลที่กำลังป้อนข้าวพี่เขาอยู่นี่สิกลับหัวเราะอย่างเดียวเลย ผมละอายจนอยากมุดเตียงหนีเลยครับ 

แล้วคุณแม่ก็มาสะกิดไหล่ผมบอกผมให้ไปขอโทษพี่เขาซะ ที่ไปเล่นหัวแบบไร้มารยาทแบบนั้น แต่ผมไม่ได้อยากทำสักหน่อยก็ไม่รู้นี่ว่าทำแบบนี้ไม่ได้น่ะ ผมได้แต่ยืนก้มหน้าสำนึกผิดอยู่แบบนั้นสักพักใหญ่ ก่อนที่จะตัดสินใจกล้าที่จะพูดกับพี่เขาอีกครั้ง 

“เอ่ออ พี่ครับ คือ ...” ผมพยายามจะกล่าวคำขอโทษออกไป แต่ว่า ปากมันหนักพูดไม่ออกแฮะ 

พี่เขาหันมามองผมนิ่งๆ แต่ผมกลับก้มหน้าอยู่ พยายามจะเอ่ยคำนั้นออกมาด้วยความขัดเขินแต่มันกลับพูดไม่ได้ ทำไมผมเป็นคนแบบนี้วะ 

แล้วผมก็ตัดสินใจเงยหน้าไปมองพี่เขาแบบเผชิญหน้ากันเลย แต่เขากลับเสมองไปทางอื่น 

“พี่ครับผมขอ.......” กำลังจะพูดคำนั้น แต่เขาไม่หันมามองผมเลย ท่าทางเขาดูเหมือนจะสนใจไฟเพดานของโรงพยาบาลมากเป็นพิเศษ มองแบบเอาเป็นเอาตายเลยด้วย 

“พี่ครับฟังผมก่อน...” ผมพยายามอีกทีจะบอกพี่เขาด้วยความตั้งใจเต็มที่ 

“..........” เขาไม่ยอมมองผมอ่ะ จะไปสนใจอะไรที่หน้าอกพี่พยาบาลคนสวยวะ เห็นแล้วผมอดหงุดหงิดขึ้นนิดๆ ไม่ได้แล้วแฮะ 

“เฮ้ๆ ๆ ๆ วอดซับๆ ๆ ๆ โย่วๆ ๆ” ร้องเพลงมั่วๆ แม่มแล้วรอดูปฎิกริยาพี่เขาอีกที 

“.......” นั่นหันไปอ้าปากให้พยายาบาลป้อนข้าวอีก ไอหมอนี่ ไม่คิดจะสนใจตรูเลย หงุดหงิดชะมัด อยากกลับบ้านแล้วไม่อยากพูดด้วยแล้วอ่ะ 

และดูเหมือนเสียงโทรศัพท์ของคุณแม่ดังขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย คุณแม่จึงรีบถือโทรศัพท์เดินออกไปรับสายข้างนอกห้องอย่างรวดเร็ว ปล่อยทิ้งผมให้ยืนหงุดหงิดอยู่ในห้องกับพี่เขาสักพักใหญ่เลยอ่ะ การอยู่ลำพังท่ามกลางความเงียบนั้นและไม่มีใครสนใจ ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดเหลือเกินครับ 

แล้วไม่นานคุณแม่ก็กลับเข้ามาในห้องบอกผมว่าต้องกลับแล้วคุณพ่อมีงานด่วนต้องไปต่างประเทศคืนนี้ และผมจะต้องติดตามไปกับคุณพ่อด้วยน่ะสิครับ ท่านจะส่งผมไปเรียนต่อที่อิตาลี่ ว้าววน่าตื่นเต้นจังเลยครับที่จะได้ไปต่างประเทศ ไปบ้านเกิดของคุณพ่อ 

แต่ว่า...คืนนี้..ถือว่าเป็นวันสุดท้ายที่ผมจะได้เจอกับพี่เขาแล้ว น่าเสียดายเรายังไม่ได้พูดอะไรกันเลยอ่ะ เอาแต่มองสลับกันไปมาแบบนั้น แต่ช่างเหอะสักวันอาจจะได้เจอกันใหม่ก็ได้ เผื่อโลกมันจะกลมแบบที่คุณแม่เคยบอกเอาไว้ก็เป็นได้ 

แต่ก่อนที่ผมจะกลับบ้านเพื่อไปเตรียมตัวขึ้นเครื่องบินรอบ 1 ทุ่ม เพื่อไปอิตาลี่กับคุณพ่อ ผมอยากจะตะโกนบอกกับพี่เขาที่หน้าประตูห้องว่า ลาก่อนครับ ไว้พบกันใหม่ ........ไอพี่บ้า!!!! 

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว