ความฝัน
0
ตอน
314
เข้าชม
13
ถูกใจ
0
ความคิดเห็น
1
เพิ่มลงคลัง

“ความฝัน”
นามปากกา: Yannapat J.P. (Jussaateen Padoru)

 

..นักอ่านทั้งหลาย นั่งลงแล้วผ่อนลมหายใจ ตั้งสมาธิเสีย บัดนี้ได้มีเรื่องราวจะมาเผยแผ่ หากแต่มันหาใช่นิทานสอนใจ กล่อมเด็กตัวน้อยให้นอนหลับฝันดีและเชื่อในเทพนิยายโปรดปรานของพวกเขา
     มันหาใช่เรื่องราวของผู้กล้าที่เดินทางผ่านขุนเขาเพื่อช่วยเหลือเจ้าหญิงบนหอคอย แล้วโค่นล้มจอมมาร นำพาสันติสุขสู่แดนอาณาจักรแห่งรุ่งอรุณ
     แต่เป็นเรื่องราวของมนุษย์คนหนึ่ง ที่แม้เส้นทางการผจญภัยจะยากลำบากและคดเคี้ยวเพียงใด แม้จะล้มลงไประหว่างการเดินทาง แต่เสียสุดท้ายก็สำเร็จฝันของตนในวาระอวสาน..

เรื่องราวนี้เริ่มต้นด้วยความฝันของเด็กชายตัวน้อยคนหนึ่ง ผู้ซึ่งหลงใหลในภาพเคลื่อนไหวผ่านหน้าจอโทรทัศน์ และแทบตลอดในคราวตัวเล็ก เขามักใช้เวลาส่วนมากในการกระโดดโลดเต้นเชียร์ตามรายการหนึ่งซึ่งมักจะฉายในยามเย็นเวลาเดิมเสมอ
     “โตไป ผมจะเป็นอย่าง V3 ให้ดู!” เด็กน้อยว่ากล่าวกับแม่ของเขาด้วยใบหน้าเริงระรื่นพร้อมกับชูมือสองนิ้วลอกเลียนแบบตามรายการโทรทัศน์นั้น
     เขาหลงใหลในบุรุษภายใต้หน้ากาก ผู้คอยผดุงความยุติธรรม ขจัดเหล่าวายร้ายทิ้งด้วยพละกำลังมหาศาล และเผด็จศึกด้วยลูกเตะเพียงคราวเดียวเหนือเหล่าคนชั่วทุกชีวา
     หากจะพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ในวัยเด็กของเขานั้น เขาฝักใฝ่ต้องการจะเป็นฮีโร่นั่นเอง
     แม่ของเขายิ้มตอบกลับเด็กตัวน้อยคนนั้นอย่างเอ็นดูเป็นการตอบกลับในขณะที่กำลังรีดเสื้อผ้านักเรียนสำหรับเตรียมสวมใส่ไปโรงเรียนในวันถัดไป

เด็กตัวน้อยเติบใหญ่ขึ้นเป็นวัยรุ่นในช่วงเวลาผ่านไปโดยพลัน ควบคู่ด้วยจิตใจที่ยังคงเชื่อมั่นในการเป็นผู้ผดุงความยุติธรรม แม้จะเรียนรู้แล้วว่าการเป็น ฮีโร่สวมหน้ากาก นั้นฟังดูเหลวไหลทั้งเพ แต่อาชีพที่คล้ายคลึงกันในสายตาเขา อย่างทหาร หรือตำรวจ ก็ยังเป็นหนึ่งในตัวเลือกในอนาคตอยู่นั่นเอง
     หากแต่แทนที่เส้นทางของเขาจะราบรื่น และมีอุปสรรค์เพียงการเรียนที่ยุ่งยากแต่ไหนแต่ไรแล้ว.. เขากลับได้รับอุปสรรคใหม่ที่อันตรายและยากยิ่งกว่าในการหลีกเลี่ยง ดังเช่นสุภาษิตที่เคยได้ยินผ่านหูผ่านตามาว่า
     “คบคนพาล พาลพา ไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพา ไปหาผล”
     เด็กหนุ่มในที่นี้ ได้เพื่อนคนแรกของโรงเรียนมัธยมที่มีมุมมองต่างกันสุดขั้ว และประสบการณ์ความรู้ที่คงจะเข้าข่ายกับคำว่า ผิดระเบียบ ภายในโรงเรียนแห่งนั้น
     “ลองสักม้วนเปล่า?” เพื่อนคนนั้นยื่นซองบุหรี่ไปยังเด็กหนุ่มด้วยท่าทีไม่มีพิษภัยอะไร
     และด้วยความเป็นมิตรและถ่อมตนของเด็กหนุ่ม จึงทำให้เขามิกล้าพอจะปฏิเสธเพื่อนคนนี้ไปได้
     “สักอึกมั้ยพวก?” เพื่อนคนนั้นยื่นขวดเหล้าขวดหนึ่งให้กับเด็กหนุ่มด้วยท่าทีไม่มีพิษภัยอะไร
     และด้วยความเป็นมิตรและถ่อมตนของเขา จึงทำให้มิอาจกล้าปฏิเสธเพื่อนคนนี้ได้อีกคราว
     “ของเด็ดนะเว้ยเจ้านี่น่ะ ลองมั้ยเพื่อน?” เพื่อนคนนั้นยื่นกัญชาให้เด็กหนุ่มด้วยท่าทีไม่มีพิษภัยอะไร
     และก็เป็นอีกครั้งที่เขามิอาจกล้าปฏิเสธได้ และรับมันจากมือเพื่อนไป
     ราวกับตัวเด็กหนุ่มค่อย ๆ แปรเปลี่ยน จากเดิมแรกเริ่มที่เขาเกลียดชังสิ่งของเหล่านี้ กลับกลายเป็นเขามิอาจขาดสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยความเพลิดเพลินสนุกสนานที่ได้รับ เขาเริ่มเสพติดมันตามเพื่อนสนิทของเขาอย่างลับ ๆ เรื่อยไป
     “ไอหมอนี่มันเห็นเราเล่นยา.. เล่นมันเลยมั้ย?” เพื่อนคนนั้นยื่นไม้หน้าสามขนาดใหญ่ให้เด็กหนุ่มด้วยท่าทีไม่มีพิษภัยอะไร ในขณะที่มีเด็กสภาพยับเยินกำลังนอนโอบกอดเข่าตนเองอยู่บนพื้น
     หากแต่ว่าแม้จะเปลี่ยนไปเพียงใด จิตใต้สำนึกของเขาก็ดิ้นรนจนได้รับความกล้ามาได้ หรือเป็นเพราะดูรายการฮีโร่นั่นมากไปในยามเด็กจนร่างกายตอบสนองไปเองก็อาจได้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเด็กหนุ่มสามารถปฏิเสธคำขอของเพื่อนเขาได้เสียที
     “ไม่”
     สิ่งที่ได้ตอบรับคือความยุติธรรม เพียงแต่ว่าผลตอบรับของความยุติธรรมนั้นคือเขาถูกไล่ออกจากโรงเรียนเพราะทำผิดกฎระเบียบ
     “เอ็งแม่งไม่เพื่อนเลยว่ะ เพราะเอ็งไงถึงได้โดนไล่ออกกันหมดอย่างนี้น่ะ” เพื่อนที่ทำให้ชีวิตเขาต่ำตมลงโดยทันตา ปฏิเสธเด็กหนุ่มและลาจาก หายเข้าไปในกลีบมืด
     “ลูกทำให้แม่ผิดหวัง” แม่ของเขาร้องห่มร้องไห้ด้วยความผิดหวัง หากแต่มิใช่เพราะทำผิดระเบียบเสียทีเดียว แต่ที่ต้องหลั่งน้ำตาให้เพราะการงานอนาคตของลูกเธอนั้นเริ่มพังทลายเสื่อมสลายลงแล้วต่างหาก
     ชีวิตของเด็กหนุ่มลงจากยอดเขาลงตั้งแต่คราวนั้น
     แม้จะย้ายไปเรียนที่โรงเรียนอื่นได้ แต่เพื่อนที่นั่นก็หาได้ต่างกันมากมาย มิหนำซ้ำอาจเลวร้ายกว่าเพื่อนคนก่อนก็ได้
     เรื่องชกต่อยอาละวาดภายในโรงเรียนและภายนอกเกิดขึ้นราวกิจวัตรประจำวัน จนแม้แต่ครูอาจารย์ เด็กนักเรียน ผู้ใหญ่ในละแวกเคยชินดุจสุนัขข้างถนนเดินเล่นไปเรื่อยเปื่อยแล้วไม่มีใครสนใจอะไร
     แม้เด็กหนุ่มจะมิได้ร่วมก่อการ แต่ก็มีหลายคราวที่มักจะเกิดลูกหลงไปด้วยและทำให้ได้รับบาดเจ็บเป็นช่วง ๆ ไป จนสุดท้ายก็ต้องย้ายโรงเรียนอีกไปเรื่อย
     จนสิ้นสุดท้าย เงินทั้งหมดก็ต้องหมดไปกับการหาที่เรียนไปเสียแล้ว และทำให้เด็กหนุ่มจบการศึกษาได้เพียงมัธยมต้นแล้วต้องมาช่วยทำงานกับแม่แทน
     คงจะต้องถึงกาลบอกลากับอาชีพทหาร อาชีพตำรวจที่ฝักใฝ่อยากจะเป็นเสียแล้ว..
     เด็กหนุ่มท้อกับอนาคตที่เขาเคยเล็งมองเอาไว้ในวัยเด็ก
     แม้จะช่วยแม่ทำงานหาเงินมากเพียงใด แต่ด้วยกองเงินหนี้สินจำนวนมากจากการถอนกู้เพื่อส่งเข้าเรียน จึงทำให้แทนที่จะได้เงินกำไรไว้ใช้สอย กลับกลายเป็นต้องใช้หนี้เป็นจนหมด
     กว่าที่เด็กหนุ่มจะรู้ตัวถึงความวินาศนี้อีกที เวลาก็ล่วงเลยผ่านไปหลายต่อหลายปีแล้ว
     จากเด็กหนุ่มสภาพทรุดโทรม กลายเป็นชายวัยยี่สิบกลาย ๆ ไร้บ้าน ไร้ถิ่นฐานที่ทรุดโทรมเสียยิ่งกว่าอดีต
     กว่าจะรู้ตัวอีกที ก็ลงเอยกลายเป็นคนที่ต้องคอยหาที่หลบฝนตามใต้สะพานลอย เก็บเศษขยะอาหารมาประทังชีวิตเสียแล้ว
     นอกจากเวลาที่จะเดินเร็วจนเกินไปแล้วนั้น ทุกครั้งที่เขานอนหลับลง ก็ไร้ซึ่งฝันดีให้พินิจมองผ่อนคลายอีกต่อไปแล้ว หรือแม้แต่ฝันร้ายให้ตัวสั่นขวัญผวา มีเพียงความว่างเปล่า ความดำมืด และความเหน็บหนาวของลมโชยยามราตรีเท่านั้น
     ยามเช้าก็เดินคุ้ยเศษขยะขวดน้ำอาหาร
     ยามกลางวันก็ประทังชีวิตด้วยอาหารทั้งหมดที่หามาได้
     ยามเย็นก็คุ้ยเศษขยะขวดน้ำอาหาร
     ยามค่ำคืนก็ประทังชีวิตด้วยอาหารทั้งหมดที่หามาได้ แล้วจึงนอนหลับพักผ่อนไป
     นอกเหนือจากนั้นคงเป็นการนอนเอ้อระเหยดูท้องฟ้านภาที่ดูไม่สดใสเหมือนในอดีตเท่าที่เขาจำความได้ คงเป็นเพราะเดินเพลินจากบ้านเกิดมายังเมืองหลวงกรุงใหญ่ จึงทำให้ควันรถ ควันโรงงานลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าให้เห็นด้วยตาเปล่า
     หรืออาจเป็นเพราะชีวิตของเขากำลังขาดบางอย่างสำคัญไป จนทำให้สายตาของเขามองเห็นทุกอย่างรอบตัวดูไม่สมบูรณ์ ดูไม่สะอาด ไม่สวยงามเท่าที่ควรไปหมด
     “แล้วหากเราขาดอะไรบางอย่างไป.. บางอย่างนั่นมันคืออะไรล่ะ?” หากจะบอกว่าชายหนุ่มไม่ต่างอะไรกับคนความจำเสื่อมก็คงได้ หรือเอาเข้าจริงอาจดูเหมือนคนหลงทางเสียยิ่งกว่า
     หรือเพราะอยากจะลืมความทุกข์ยากเข็ญที่ต้องผ่านมาให้หมดก็อาจจะ
     แต่ที่สำคัญมีเพียงความจริงที่ว่า ณ ปัจจุบัน เขาเหลือเพียงตัวคนเดียวเสียแล้ว
     ทว่าหาใช่เสมอไป ดุจพระเจ้าประทานโอกาสครั้งที่สองมาให้ เมื่อหญิงสาวคนหนึ่งยื่นถุงอาหารสด ๆ ร้อน ๆ มาวางไว้เบื้องหน้าของชายไร้บ้านผู้นี้
     “ฉันเห็นคุณอยู่แถวนี้มาหลายสัปดาห์แล้วก็เลย.. นี่ค่ะ” และเมื่อนั้นชายหนุ่มจึงได้พบกับเด็กสาวม.ปลายคนหนึ่งผู้ซึ่งต่อมาจะคอยมาหาเขาคนนี้เสมอ ทุก ๆ วันศุกร์ในแต่ละสัปดาห์
     แม้จะมิได้มาช่วยเหลือทุกวัน ทุกคืน แต่มันก็ถือเป็นการช่วยเหลือ มิหนำซ้ำยังมีค่าดุจแสงตะวันต่อชายผู้นี้ ดุจความหวังใหม่ในชีวิตหลังจากคลุกคลีกับกองขยะมานานแสนนาน
     ทุก ๆ วันที่หญิงสาวมาแวะเวียนนั้นเขาก็มักจะเห็นรอยยิ้มอันเป็นมิตรเอ็นดูบนใบหน้าของเธอเสมอ และไม่รู้ด้วยสาเหตุใดมันกลับทำให้เขาเผลอยิ้มแย้มตามจนต้องหันหน้าหนีออกด้วยความเขินอายเป็นครั้งเป็นคราว
     มันวนเวียนอยู่อย่างนี้เรื่อยไป จนจากคนแปลกหน้าก็เริ่มกลายเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตา แล้วต่อมาจึงกลายเป็นคนรู้จักกันไปโดยปริยาย
     ทว่าทันใดนั้นเอง รอยยิ้มก็ต้องจางหายไป
     ดุจสายฟ้าที่ผ่าลงมาพริบตาเดียว แปรเปลี่ยนจากรอยยิ้มปริ่มด้วยความสุขเป็นดวงตาที่เบิกโพลนด้วยความวิตกหวาดผวา
     เมื่อในยามค่ำคืนของวันหนึ่ง เขากลับมองเห็นเด็กสาวคนนั้น กำลังเดินอยู่บนท้องถนนอยู่
     แล้วถูกกลุ่มชายร่างสูงใหญ่กระชากตัวเข้าไปในกลีบมืดของตรอกซอยหนึ่ง
     ทันทีที่ชายจรจัดผู้นี้เหลือบสายตาเห็นเหตุการณ์นั้นโดยพอดิบพอดี เขาจึงพลันรีบวิ่งตามไปในทันทีทันใด ด้วยความหวาดวิตก
     ภาพของเด็กสาวกำลังถูกกลุ่มชายสามคนรายล้อมอยู่
     จินตนาการมากมายไหล่ผ่านสายตาของชายจรจัด
     รีดไถ?
      ฆาตกรรม?
     ข่มขืน?
     หรือทั้งหมดในคราวเดียวล่ะ?
     ทั้งหมดที่สมองเขาสามารถประมวลออกมาได้คือความเจ็บปวดของเด็กสาวเท่านั้น
     เสียงร้องขอความช่วยเหลือของเด็กสาวเริ่มแผ่วเบาลงเมื่อมือของชายคนหนึ่งควักมีดสั้นออกมาจากเสื้อคลุมของเขาแล้วยื่นไปยังใบหน้าของหญิงสาวราวเป็นการข่มขู่ข่มขวัญ
     “----------” เสียงพูดที่ยากจะฟังเข้าใจได้แต่พอจะรับทราบถึงความหมายที่สื่อแผ่ออกมาจากดวงตาของชายคนนั้น ดวงตาที่เปี่ยมด้วยความอาฆาตและไร้ซึ่งความสั่นกลัวในผลที่จะตามมา เมื่อมีดของเขาเริ่มเคลื่อนจ่อเข้าใกล้คอของเด็กสาวเข้าเรื่อย ๆ
     นี่ไมใช่เรื่องของชายจรจัด
     เดินหาย ๆ ไป และรักษาชีวิต ความปลอดภัยของตัวเองไว้คงจะดีกว่า
     ชายหนุ่มส่ายหน้าของตนและพยายามจะหันหนีออกไป
     หากแต่ว่าไม่ทันแม้แต่ขาของเขาจะก้าวถอยหลังออก ร่างของเขาก็หยุดนิ่ง
     ไม่ใช่ด้วยความหวาดกลัวว่าตนจะต้องบาดเจ็บ ดังที่สมองนึกคิดก่อนหน้า
     แต่ด้วยความอับอายจากจิตใต้สำนึกของชายหนุ่ม ทำให้เขาหยุดเคลื่อนไหวไปเองในทุกอณูของร่างกายยกเว้นเพียงสายตาและสมอง
     จะเดินทิ้งไปง่าย ๆ อย่างนี้เหรอ?
     มันใช่สิ่งที่เราควรจะทำจริง ๆ เหรอ?
     เสียงฟันของเขาดังกึกกึกภายในปาก ในขณะที่สายตายังคงจับจ้องมองไปที่ภาพเหตุการณ์ภายในตรอกนั้นอยู่อย่างเงียบเชียบ
     ภาพทุกอย่างเริ่มเคลื่อนไหวช้าลงในขณะที่ส่วนหนึ่งของความทรงจำของเขาไหลเวียนวนกลับมาหาตน
     ภาพของตัวเขาที่กำลังยืนอยู่หน้าประตูบ้านหลังหนึ่งพร้อมกับกระเป๋าสัมภาระบนหลัง มองตรงไปยังกระจกด้านนอกบ้านซึ่งในขณะนั้นยังเป็นยามราตรีอยู่
     มันคือตัวเขาตอนเป็นเด็ก ก่อนที่จะหนีออกจากบ้านของเขามายังเมืองหลวง
     หากแต่มันไม่ใช่การผจญภัย มันไม่ใช่การเดินทางไปศึกษาที่ต่างเมือง หรือเรียนรู้ชีวิตของคนเมืองกรุงใด ๆ ทั้งสิ้น
     มันคือการหนีปัญหาต่างหาก
     ตัวเด็กหนุ่มก้าวเดินเปิดประตูออกไปในยามที่แม่ของกำลังนอนหลับอยู่
     บนผ้าปูที่นอนของเด็กหนุ่มคือเงินเก็บเงินออมทั้งหมดของเขา เหลือทิ้งไว้ให้แม่ของเขาเป็นจำนวนหมื่นกว่า ๆ ไม่ว่าจะช่วยได้มากหรือน้อยเพียงใด แต่นั่นถือเป็นคำขอโทษของเด็กหนุ่มให้กับการกระทำอันโง่เขลาของเขาในครั้งนี้
     และมันกลับกลายเป็น การกระทำที่โง่เขลาเสียจริงเกินคำบรรยายใด ๆ
     เพราะเขามิได้เห็นหน้าแม่ของเขาอีกเลย หรือแม้แต่ข่าวคราวของเธอ
     ราวกับหายไปจากเรื่องราวนี้ของเขา หลงเหลือเพียงแค่เศษเสี้ยวในความทรงจำเท่านั้น
     หากทว่าดูเหมือนมันจะมาถึงวันที่เขาต้องตัดสินใจอีกครั้งว่าจะหนีปัญหาเบื้องหน้าหรือเข้าต่อสู้กับมันดีกันแน่
     “ป- ปล่อยเธอคนนั้นนะ” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก เรียกร้องความสนใจของชายทั้งสองที่กำลังข่มขวัญหญิงสาวอยู่ภายในตรอกลึก
     “..หา?” ชายคนหนึ่งหันหน้าตอบกลับมาพร้อมลากเสียงยาวในขณะที่มีดยังจ่อบนคอหอยของหญิงสาวเหมือนเดิม
     “เสือกอะไรวะ?”
     “ถ- ถ้ายังไม่ปล่อยล่ะก็- ฉันจะแจ้งตำรวจ-” ชายหนุ่มยังคงพูดกล่าวด้วยท่าทีสั่นกลัว
     เมื่อกลุ่มชายฉกรรจ์ทั้งหลายได้ยินเช่นนั้น พวกเขาต่างก็เงียบลงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะตลกขบขันออกมาดังลั่น
     “แจ้งตำรวจเหรอ? จะเอาโทรศัพท์จากไหนล่ะสารรูปจากแก?”
     “นี่ ๆ ฉันให้ยืนหนึ่งบาท เอาไปกดตู้โทรศัพท์เอาได้นะ ฮ่า ๆๆๆ!”
     ชายหนุ่มลดสายตาลงมามองดูสารรูปของเขา แล้วจึงกลับมาจำความได้ถึงสถานะของเขา
     “กลับไปนอนใต้สะพานลอยแล้วอย่ามาเสือกอีก ถ้ายังไม่อยากเจ็บตัว.. เข้าใจ!?”เขาตะโกนขู่ ไล่ชายจรจัดผู้นี้ออกไปจากสายตาด้วยท่าทีอารมณ์เสียปนขบขันจากเหตุการณ์ก่อนหน้า
     ก็จริงอย่างที่เขาว่า
     นี่ไม่ใช่เรื่องของเรา จะไปเสือกเขาทำไมล่ะ?
     ชายจรจัดที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความกลัวภายในจิตใจเมื่อเห็นโอกาสดังเช่นนี้เขาจึงเริ่มก้าวขาล่นถอยกลับมา
     หากแต่เมื่อนั้นเองดวงตาของเขากลับบังเอิญประจบสบตากับหญิงสาวคนนั้นโดยพอดิบพอดี
     “     ”
     ไร้ซึ่งบทวาจาใด ๆ ในการสนทนาผ่านดวงตาของชายหญิงทั้งสอง หากแต่กลับมีความหมายมากกว่าประโยควลีใด ๆ ในช่วงเวลานั้น
     ตัดสินใจ
     บัดนี้เขาต้องตัดสินใจอีกครั้งหนึ่ง และหากผิดเพียงครั้งเดียว เส้นทางชีวิตของเขาจักเปลี่ยนดังเช่นในอดีตคราวเด็กของเขา
     “ดูเรื่องนี้อีกแล้วเหรอ ลูก?”
     วาจาของแม่ของเขาดังเข้ามาภายในหัวของเขาอีกคราวหนึ่งในรอบหลายต่อหลายปี ดุจดังความทรงจำในอดีตเริ่มกลับมาหลอกหลอนเขาอีกครั้งหนึ่ง ด้วยภาพของเด็กตัวน้อยกำลังนั่งดูโทรทัศน์เบื้องหน้าของเขาด้วยท่าทางฮึกเหิมแข็งแกร่ง
     “ฉันจะนับหนึ่งถึงสาม แล้วแกจะต้องวิ่งหนีหางจุดตูดไปให้ไกลที่สุด” ชายหนุ่มดึงมีดออกจากคอหอยของหญิงสาวและหันมายืนกอดอกเบื้องหน้าชายจรจัดที่กำลังจรดสายตามองหญิงสาวอยู่อย่างนิ่งเงียบคล้ายคลึงกับอาการเหม่อลอย
     “แล้วจะว่าไป.. โตไปอยากจะเป็นอะไรล่ะ ลูก?”
     ใบหน้าของแม่เขาย้อนกลับมาบังวิสัยทัศน์ทั้งหมดเบื้องหน้า ด้วยรอยยิ้มอันดูรักและห่วงใยดุจเช่นคำกล่าวว่า มารดาคือผู้ที่รักเรามากที่สุด
     “หนึ่ง”
     เด็กตัวน้อยหันกลับมาหาแม่ของเขาอย่างรวดเร็วด้วยรอยยิ้มตื่นเต้นสนุกสนาน
     “สอง”
     ในขณะที่ด้านหลังของเขา บนจอโทรทัศน์นั้นกำลังปรากฏให้เห็นภาพของแสงควันระเบิดและชายสวมหน้ากากในชุดรัดรูป
     “สาม-”
     “โตไป ผมจะเป็นอย่าง V3 ให้ดู!”
     และเมื่อนั้นเอง ชายจรจัดที่ได้ตัดสินใจแล้วอย่างแน่วแน่ จึงพุ่งตรงเข้าไปด้วยสุดแรงเกิดความอย่างบ้าคลั่ง ในขณะที่ชายฉกรรจ์ทั้งสองพลันชักมีดขึ้นมาอย่างรวดเร็วด้วยสัญชาตญาณที่พุ่งพรวดไปทั่วร่างด้วยความที่ประมวลสถานการณ์ภายในสมองของเขา ส่วนตัวหญิงสาวนั้นซึ่งหลุดจากพันธนาการแล้วยังคงยืนหยุดนิ่งด้วยความหวาดกลัวพร้อมน้ำตาไหลรินออกมาจากดวงตาจากความหวาดผวาก่อนหน้านี้
     “หนีไป!”
     “ไม่ต้องรอฉัน! วิ่งหนีไปซะ!” ชายจรจัดตะโกนขึ้นมาในขณะที่แขนทั้งสองของเขากำลังดันชายฉกรรจ์สองคนนี้ออก
     หญิงสาวพลันวิ่งหนีไปด้วยความหวาดกลัวตามที่ชายจรจัดกล่าว หากแต่วินาทีนั้นเธอหันกลับมาหาชายจรจัดคนนั้นอีกคราวหนึ่งด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยประโยคหนึ่งที่เมื่อชายคนนั้นเหลือบสายตาเห็นเช่นนั้น จึงได้ยิ้มปริ่ม ๆ ตอบกลับเธอไป
     ดุจเป็นคำบอกกล่าวลาครั้งสุดท้ายของทั้งสองคนแปลกหน้าผู้ต่างไม่เคยรู้ชื่อของแต่ละคน
     ขอบคุณ
     บัดนั้นเอง ชายผู้ซึ่งเคยสูญเสียหนทาง ตัวตน และอนาคตไป จากอุปสรรคที่เขาตระหนักพบเจอ ถูกช่วงชิงความฝันออกไปด้วยความโหดร้ายของสังคมและโลกไปนี้ที่มักพยายามตีกรอบให้กับผู้คนอย่างเสมอมา
     บัดนี้เขาได้กลับมาสู่หนทางชีวิตของเขาแล้ว แม้อนาคตที่ถูกพังทลายลงแล้วอาจซ่อมแซมได้หรือไม่ได้ก็ตาม
     แต่ในที่สุด เขาก็ได้เป็นสมดังความฝันของเขาแล้ว
     เขาได้ช่วยชีวิตชีวิตหนึ่งเอาไว้ ไม่สำคัญว่าตนจะเป็นเช่นไร ไม่หวังเงิน กำไรใด ๆ จากการกระทำ
     ดุจฮีโร่สวมหน้ากากผู้ที่ซึ่งคอยมอบประกายไฟให้ชายหนุ่มได้ฝันถึงในอดีตกาล

ก่อนที่เรื่องสั้นเรื่องนี้จะถึงกาลอวสานลงในเพียงไม่กี่ย่อหน้า ผมอยากจะมอบคำถามให้กับนักอ่านทุกคนที่พินิจเลื่อนสายตามาจนถึงบรรทัดนี้
     พวกคุณใฝ่ฝันหวังจะเป็นสิ่งใดในอนาคตกันล่ะ?
     เป็นนักเขียน? เป็นผู้กำกับภาพยนตร์? เป็นนักกฎหมาย?
     หรือจะเป็นฮีโร่ในชุดรัดรูปกันล่ะ?
     คุณอยู่ใกล้ไกลกับความฝันนั้นในปัจจุบันเพียงใดกันล่ะ?
     ประสบปัญหา กับอุปสรรคอะไรกันอยู่มั้ย?
     คุณยังคงเชื่อในความฝันของคุณอยู่มั้ย?
     หลังจากที่คุณทำความฝันได้สำเร็จแล้วจะทำอะไรต่อล่ะ?
     สุดท้ายนี้..
     หากว่าการที่จะทำตามความฝันได้สำเร็จจะต้องแลกด้วยชีวิตเหมือนชายจรจัดคนนี้ล่ะ?
     นอนตายด้วยบาดแผลมีคมในตรอกลึกอันมืดมิด และไม่อาจได้มองดูผลงานที่เขาได้สร้างขึ้นมา
     คุณยังจะเดินอยู่บนเส้นทางแห่งความฝันของคุณอยู่มั้ย?

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว