“ความฝัน”
นามปากกา: Yannapat J.P. (Jussaateen Padoru)
..นักอ่านทั้งหลาย นั่งลงแล้วผ่อนลมหายใจ ตั้งสมาธิเสีย บัดนี้ได้มีเรื่องราวจะมาเผยแผ่ หากแต่มันหาใช่นิทานสอนใจ กล่อมเด็กตัวน้อยให้นอนหลับฝันดีและเชื่อในเทพนิยายโปรดปรานของพวกเขา
มันหาใช่เรื่องราวของผู้กล้าที่เดินทางผ่านขุนเขาเพื่อช่วยเหลือเจ้าหญิงบนหอคอย แล้วโค่นล้มจอมมาร นำพาสันติสุขสู่แดนอาณาจักรแห่งรุ่งอรุณ
แต่เป็นเรื่องราวของมนุษย์คนหนึ่ง ที่แม้เส้นทางการผจญภัยจะยากลำบากและคดเคี้ยวเพียงใด แม้จะล้มลงไประหว่างการเดินทาง แต่เสียสุดท้ายก็สำเร็จฝันของตนในวาระอวสาน..
เรื่องราวนี้เริ่มต้นด้วยความฝันของเด็กชายตัวน้อยคนหนึ่ง ผู้ซึ่งหลงใหลในภาพเคลื่อนไหวผ่านหน้าจอโทรทัศน์ และแทบตลอดในคราวตัวเล็ก เขามักใช้เวลาส่วนมากในการกระโดดโลดเต้นเชียร์ตามรายการหนึ่งซึ่งมักจะฉายในยามเย็นเวลาเดิมเสมอ
“โตไป ผมจะเป็นอย่าง V3 ให้ดู!” เด็กน้อยว่ากล่าวกับแม่ของเขาด้วยใบหน้าเริงระรื่นพร้อมกับชูมือสองนิ้วลอกเลียนแบบตามรายการโทรทัศน์นั้น
เขาหลงใหลในบุรุษภายใต้หน้ากาก ผู้คอยผดุงความยุติธรรม ขจัดเหล่าวายร้ายทิ้งด้วยพละกำลังมหาศาล และเผด็จศึกด้วยลูกเตะเพียงคราวเดียวเหนือเหล่าคนชั่วทุกชีวา
หากจะพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ในวัยเด็กของเขานั้น เขาฝักใฝ่ต้องการจะเป็นฮีโร่นั่นเอง
แม่ของเขายิ้มตอบกลับเด็กตัวน้อยคนนั้นอย่างเอ็นดูเป็นการตอบกลับในขณะที่กำลังรีดเสื้อผ้านักเรียนสำหรับเตรียมสวมใส่ไปโรงเรียนในวันถัดไป
เด็กตัวน้อยเติบใหญ่ขึ้นเป็นวัยรุ่นในช่วงเวลาผ่านไปโดยพลัน ควบคู่ด้วยจิตใจที่ยังคงเชื่อมั่นในการเป็นผู้ผดุงความยุติธรรม แม้จะเรียนรู้แล้วว่าการเป็น ฮีโร่สวมหน้ากาก นั้นฟังดูเหลวไหลทั้งเพ แต่อาชีพที่คล้ายคลึงกันในสายตาเขา อย่างทหาร หรือตำรวจ ก็ยังเป็นหนึ่งในตัวเลือกในอนาคตอยู่นั่นเอง
หากแต่แทนที่เส้นทางของเขาจะราบรื่น และมีอุปสรรค์เพียงการเรียนที่ยุ่งยากแต่ไหนแต่ไรแล้ว.. เขากลับได้รับอุปสรรคใหม่ที่อันตรายและยากยิ่งกว่าในการหลีกเลี่ยง ดังเช่นสุภาษิตที่เคยได้ยินผ่านหูผ่านตามาว่า
“คบคนพาล พาลพา ไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพา ไปหาผล”
เด็กหนุ่มในที่นี้ ได้เพื่อนคนแรกของโรงเรียนมัธยมที่มีมุมมองต่างกันสุดขั้ว และประสบการณ์ความรู้ที่คงจะเข้าข่ายกับคำว่า ผิดระเบียบ ภายในโรงเรียนแห่งนั้น
“ลองสักม้วนเปล่า?” เพื่อนคนนั้นยื่นซองบุหรี่ไปยังเด็กหนุ่มด้วยท่าทีไม่มีพิษภัยอะไร
และด้วยความเป็นมิตรและถ่อมตนของเด็กหนุ่ม จึงทำให้เขามิกล้าพอจะปฏิเสธเพื่อนคนนี้ไปได้
“สักอึกมั้ยพวก?” เพื่อนคนนั้นยื่นขวดเหล้าขวดหนึ่งให้กับเด็กหนุ่มด้วยท่าทีไม่มีพิษภัยอะไร
และด้วยความเป็นมิตรและถ่อมตนของเขา จึงทำให้มิอาจกล้าปฏิเสธเพื่อนคนนี้ได้อีกคราว
“ของเด็ดนะเว้ยเจ้านี่น่ะ ลองมั้ยเพื่อน?” เพื่อนคนนั้นยื่นกัญชาให้เด็กหนุ่มด้วยท่าทีไม่มีพิษภัยอะไร
และก็เป็นอีกครั้งที่เขามิอาจกล้าปฏิเสธได้ และรับมันจากมือเพื่อนไป
ราวกับตัวเด็กหนุ่มค่อย ๆ แปรเปลี่ยน จากเดิมแรกเริ่มที่เขาเกลียดชังสิ่งของเหล่านี้ กลับกลายเป็นเขามิอาจขาดสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยความเพลิดเพลินสนุกสนานที่ได้รับ เขาเริ่มเสพติดมันตามเพื่อนสนิทของเขาอย่างลับ ๆ เรื่อยไป
“ไอหมอนี่มันเห็นเราเล่นยา.. เล่นมันเลยมั้ย?” เพื่อนคนนั้นยื่นไม้หน้าสามขนาดใหญ่ให้เด็กหนุ่มด้วยท่าทีไม่มีพิษภัยอะไร ในขณะที่มีเด็กสภาพยับเยินกำลังนอนโอบกอดเข่าตนเองอยู่บนพื้น
หากแต่ว่าแม้จะเปลี่ยนไปเพียงใด จิตใต้สำนึกของเขาก็ดิ้นรนจนได้รับความกล้ามาได้ หรือเป็นเพราะดูรายการฮีโร่นั่นมากไปในยามเด็กจนร่างกายตอบสนองไปเองก็อาจได้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเด็กหนุ่มสามารถปฏิเสธคำขอของเพื่อนเขาได้เสียที
“ไม่”
สิ่งที่ได้ตอบรับคือความยุติธรรม เพียงแต่ว่าผลตอบรับของความยุติธรรมนั้นคือเขาถูกไล่ออกจากโรงเรียนเพราะทำผิดกฎระเบียบ
“เอ็งแม่งไม่เพื่อนเลยว่ะ เพราะเอ็งไงถึงได้โดนไล่ออกกันหมดอย่างนี้น่ะ” เพื่อนที่ทำให้ชีวิตเขาต่ำตมลงโดยทันตา ปฏิเสธเด็กหนุ่มและลาจาก หายเข้าไปในกลีบมืด
“ลูกทำให้แม่ผิดหวัง” แม่ของเขาร้องห่มร้องไห้ด้วยความผิดหวัง หากแต่มิใช่เพราะทำผิดระเบียบเสียทีเดียว แต่ที่ต้องหลั่งน้ำตาให้เพราะการงานอนาคตของลูกเธอนั้นเริ่มพังทลายเสื่อมสลายลงแล้วต่างหาก
ชีวิตของเด็กหนุ่มลงจากยอดเขาลงตั้งแต่คราวนั้น
แม้จะย้ายไปเรียนที่โรงเรียนอื่นได้ แต่เพื่อนที่นั่นก็หาได้ต่างกันมากมาย มิหนำซ้ำอาจเลวร้ายกว่าเพื่อนคนก่อนก็ได้
เรื่องชกต่อยอาละวาดภายในโรงเรียนและภายนอกเกิดขึ้นราวกิจวัตรประจำวัน จนแม้แต่ครูอาจารย์ เด็กนักเรียน ผู้ใหญ่ในละแวกเคยชินดุจสุนัขข้างถนนเดินเล่นไปเรื่อยเปื่อยแล้วไม่มีใครสนใจอะไร
แม้เด็กหนุ่มจะมิได้ร่วมก่อการ แต่ก็มีหลายคราวที่มักจะเกิดลูกหลงไปด้วยและทำให้ได้รับบาดเจ็บเป็นช่วง ๆ ไป จนสุดท้ายก็ต้องย้ายโรงเรียนอีกไปเรื่อย
จนสิ้นสุดท้าย เงินทั้งหมดก็ต้องหมดไปกับการหาที่เรียนไปเสียแล้ว และทำให้เด็กหนุ่มจบการศึกษาได้เพียงมัธยมต้นแล้วต้องมาช่วยทำงานกับแม่แทน
คงจะต้องถึงกาลบอกลากับอาชีพทหาร อาชีพตำรวจที่ฝักใฝ่อยากจะเป็นเสียแล้ว..
เด็กหนุ่มท้อกับอนาคตที่เขาเคยเล็งมองเอาไว้ในวัยเด็ก
แม้จะช่วยแม่ทำงานหาเงินมากเพียงใด แต่ด้วยกองเงินหนี้สินจำนวนมากจากการถอนกู้เพื่อส่งเข้าเรียน จึงทำให้แทนที่จะได้เงินกำไรไว้ใช้สอย กลับกลายเป็นต้องใช้หนี้เป็นจนหมด
กว่าที่เด็กหนุ่มจะรู้ตัวถึงความวินาศนี้อีกที เวลาก็ล่วงเลยผ่านไปหลายต่อหลายปีแล้ว
จากเด็กหนุ่มสภาพทรุดโทรม กลายเป็นชายวัยยี่สิบกลาย ๆ ไร้บ้าน ไร้ถิ่นฐานที่ทรุดโทรมเสียยิ่งกว่าอดีต
กว่าจะรู้ตัวอีกที ก็ลงเอยกลายเป็นคนที่ต้องคอยหาที่หลบฝนตามใต้สะพานลอย เก็บเศษขยะอาหารมาประทังชีวิตเสียแล้ว
นอกจากเวลาที่จะเดินเร็วจนเกินไปแล้วนั้น ทุกครั้งที่เขานอนหลับลง ก็ไร้ซึ่งฝันดีให้พินิจมองผ่อนคลายอีกต่อไปแล้ว หรือแม้แต่ฝันร้ายให้ตัวสั่นขวัญผวา มีเพียงความว่างเปล่า ความดำมืด และความเหน็บหนาวของลมโชยยามราตรีเท่านั้น
ยามเช้าก็เดินคุ้ยเศษขยะขวดน้ำอาหาร
ยามกลางวันก็ประทังชีวิตด้วยอาหารทั้งหมดที่หามาได้
ยามเย็นก็คุ้ยเศษขยะขวดน้ำอาหาร
ยามค่ำคืนก็ประทังชีวิตด้วยอาหารทั้งหมดที่หามาได้ แล้วจึงนอนหลับพักผ่อนไป
นอกเหนือจากนั้นคงเป็นการนอนเอ้อระเหยดูท้องฟ้านภาที่ดูไม่สดใสเหมือนในอดีตเท่าที่เขาจำความได้ คงเป็นเพราะเดินเพลินจากบ้านเกิดมายังเมืองหลวงกรุงใหญ่ จึงทำให้ควันรถ ควันโรงงานลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าให้เห็นด้วยตาเปล่า
หรืออาจเป็นเพราะชีวิตของเขากำลังขาดบางอย่างสำคัญไป จนทำให้สายตาของเขามองเห็นทุกอย่างรอบตัวดูไม่สมบูรณ์ ดูไม่สะอาด ไม่สวยงามเท่าที่ควรไปหมด
“แล้วหากเราขาดอะไรบางอย่างไป.. บางอย่างนั่นมันคืออะไรล่ะ?” หากจะบอกว่าชายหนุ่มไม่ต่างอะไรกับคนความจำเสื่อมก็คงได้ หรือเอาเข้าจริงอาจดูเหมือนคนหลงทางเสียยิ่งกว่า
หรือเพราะอยากจะลืมความทุกข์ยากเข็ญที่ต้องผ่านมาให้หมดก็อาจจะ
แต่ที่สำคัญมีเพียงความจริงที่ว่า ณ ปัจจุบัน เขาเหลือเพียงตัวคนเดียวเสียแล้ว
ทว่าหาใช่เสมอไป ดุจพระเจ้าประทานโอกาสครั้งที่สองมาให้ เมื่อหญิงสาวคนหนึ่งยื่นถุงอาหารสด ๆ ร้อน ๆ มาวางไว้เบื้องหน้าของชายไร้บ้านผู้นี้
“ฉันเห็นคุณอยู่แถวนี้มาหลายสัปดาห์แล้วก็เลย.. นี่ค่ะ” และเมื่อนั้นชายหนุ่มจึงได้พบกับเด็กสาวม.ปลายคนหนึ่งผู้ซึ่งต่อมาจะคอยมาหาเขาคนนี้เสมอ ทุก ๆ วันศุกร์ในแต่ละสัปดาห์
แม้จะมิได้มาช่วยเหลือทุกวัน ทุกคืน แต่มันก็ถือเป็นการช่วยเหลือ มิหนำซ้ำยังมีค่าดุจแสงตะวันต่อชายผู้นี้ ดุจความหวังใหม่ในชีวิตหลังจากคลุกคลีกับกองขยะมานานแสนนาน
ทุก ๆ วันที่หญิงสาวมาแวะเวียนนั้นเขาก็มักจะเห็นรอยยิ้มอันเป็นมิตรเอ็นดูบนใบหน้าของเธอเสมอ และไม่รู้ด้วยสาเหตุใดมันกลับทำให้เขาเผลอยิ้มแย้มตามจนต้องหันหน้าหนีออกด้วยความเขินอายเป็นครั้งเป็นคราว
มันวนเวียนอยู่อย่างนี้เรื่อยไป จนจากคนแปลกหน้าก็เริ่มกลายเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตา แล้วต่อมาจึงกลายเป็นคนรู้จักกันไปโดยปริยาย
ทว่าทันใดนั้นเอง รอยยิ้มก็ต้องจางหายไป
ดุจสายฟ้าที่ผ่าลงมาพริบตาเดียว แปรเปลี่ยนจากรอยยิ้มปริ่มด้วยความสุขเป็นดวงตาที่เบิกโพลนด้วยความวิตกหวาดผวา
เมื่อในยามค่ำคืนของวันหนึ่ง เขากลับมองเห็นเด็กสาวคนนั้น กำลังเดินอยู่บนท้องถนนอยู่
แล้วถูกกลุ่มชายร่างสูงใหญ่กระชากตัวเข้าไปในกลีบมืดของตรอกซอยหนึ่ง
ทันทีที่ชายจรจัดผู้นี้เหลือบสายตาเห็นเหตุการณ์นั้นโดยพอดิบพอดี เขาจึงพลันรีบวิ่งตามไปในทันทีทันใด ด้วยความหวาดวิตก
ภาพของเด็กสาวกำลังถูกกลุ่มชายสามคนรายล้อมอยู่
จินตนาการมากมายไหล่ผ่านสายตาของชายจรจัด
รีดไถ?
ฆาตกรรม?
ข่มขืน?
หรือทั้งหมดในคราวเดียวล่ะ?
ทั้งหมดที่สมองเขาสามารถประมวลออกมาได้คือความเจ็บปวดของเด็กสาวเท่านั้น
เสียงร้องขอความช่วยเหลือของเด็กสาวเริ่มแผ่วเบาลงเมื่อมือของชายคนหนึ่งควักมีดสั้นออกมาจากเสื้อคลุมของเขาแล้วยื่นไปยังใบหน้าของหญิงสาวราวเป็นการข่มขู่ข่มขวัญ
“----------” เสียงพูดที่ยากจะฟังเข้าใจได้แต่พอจะรับทราบถึงความหมายที่สื่อแผ่ออกมาจากดวงตาของชายคนนั้น ดวงตาที่เปี่ยมด้วยความอาฆาตและไร้ซึ่งความสั่นกลัวในผลที่จะตามมา เมื่อมีดของเขาเริ่มเคลื่อนจ่อเข้าใกล้คอของเด็กสาวเข้าเรื่อย ๆ
นี่ไมใช่เรื่องของชายจรจัด
เดินหาย ๆ ไป และรักษาชีวิต ความปลอดภัยของตัวเองไว้คงจะดีกว่า
ชายหนุ่มส่ายหน้าของตนและพยายามจะหันหนีออกไป
หากแต่ว่าไม่ทันแม้แต่ขาของเขาจะก้าวถอยหลังออก ร่างของเขาก็หยุดนิ่ง
ไม่ใช่ด้วยความหวาดกลัวว่าตนจะต้องบาดเจ็บ ดังที่สมองนึกคิดก่อนหน้า
แต่ด้วยความอับอายจากจิตใต้สำนึกของชายหนุ่ม ทำให้เขาหยุดเคลื่อนไหวไปเองในทุกอณูของร่างกายยกเว้นเพียงสายตาและสมอง
จะเดินทิ้งไปง่าย ๆ อย่างนี้เหรอ?
มันใช่สิ่งที่เราควรจะทำจริง ๆ เหรอ?
เสียงฟันของเขาดังกึกกึกภายในปาก ในขณะที่สายตายังคงจับจ้องมองไปที่ภาพเหตุการณ์ภายในตรอกนั้นอยู่อย่างเงียบเชียบ
ภาพทุกอย่างเริ่มเคลื่อนไหวช้าลงในขณะที่ส่วนหนึ่งของความทรงจำของเขาไหลเวียนวนกลับมาหาตน
ภาพของตัวเขาที่กำลังยืนอยู่หน้าประตูบ้านหลังหนึ่งพร้อมกับกระเป๋าสัมภาระบนหลัง มองตรงไปยังกระจกด้านนอกบ้านซึ่งในขณะนั้นยังเป็นยามราตรีอยู่
มันคือตัวเขาตอนเป็นเด็ก ก่อนที่จะหนีออกจากบ้านของเขามายังเมืองหลวง
หากแต่มันไม่ใช่การผจญภัย มันไม่ใช่การเดินทางไปศึกษาที่ต่างเมือง หรือเรียนรู้ชีวิตของคนเมืองกรุงใด ๆ ทั้งสิ้น
มันคือการหนีปัญหาต่างหาก
ตัวเด็กหนุ่มก้าวเดินเปิดประตูออกไปในยามที่แม่ของกำลังนอนหลับอยู่
บนผ้าปูที่นอนของเด็กหนุ่มคือเงินเก็บเงินออมทั้งหมดของเขา เหลือทิ้งไว้ให้แม่ของเขาเป็นจำนวนหมื่นกว่า ๆ ไม่ว่าจะช่วยได้มากหรือน้อยเพียงใด แต่นั่นถือเป็นคำขอโทษของเด็กหนุ่มให้กับการกระทำอันโง่เขลาของเขาในครั้งนี้
และมันกลับกลายเป็น การกระทำที่โง่เขลาเสียจริงเกินคำบรรยายใด ๆ
เพราะเขามิได้เห็นหน้าแม่ของเขาอีกเลย หรือแม้แต่ข่าวคราวของเธอ
ราวกับหายไปจากเรื่องราวนี้ของเขา หลงเหลือเพียงแค่เศษเสี้ยวในความทรงจำเท่านั้น
หากทว่าดูเหมือนมันจะมาถึงวันที่เขาต้องตัดสินใจอีกครั้งว่าจะหนีปัญหาเบื้องหน้าหรือเข้าต่อสู้กับมันดีกันแน่
“ป- ปล่อยเธอคนนั้นนะ” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก เรียกร้องความสนใจของชายทั้งสองที่กำลังข่มขวัญหญิงสาวอยู่ภายในตรอกลึก
“..หา?” ชายคนหนึ่งหันหน้าตอบกลับมาพร้อมลากเสียงยาวในขณะที่มีดยังจ่อบนคอหอยของหญิงสาวเหมือนเดิม
“เสือกอะไรวะ?”
“ถ- ถ้ายังไม่ปล่อยล่ะก็- ฉันจะแจ้งตำรวจ-” ชายหนุ่มยังคงพูดกล่าวด้วยท่าทีสั่นกลัว
เมื่อกลุ่มชายฉกรรจ์ทั้งหลายได้ยินเช่นนั้น พวกเขาต่างก็เงียบลงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะตลกขบขันออกมาดังลั่น
“แจ้งตำรวจเหรอ? จะเอาโทรศัพท์จากไหนล่ะสารรูปจากแก?”
“นี่ ๆ ฉันให้ยืนหนึ่งบาท เอาไปกดตู้โทรศัพท์เอาได้นะ ฮ่า ๆๆๆ!”
ชายหนุ่มลดสายตาลงมามองดูสารรูปของเขา แล้วจึงกลับมาจำความได้ถึงสถานะของเขา
“กลับไปนอนใต้สะพานลอยแล้วอย่ามาเสือกอีก ถ้ายังไม่อยากเจ็บตัว.. เข้าใจ!?”เขาตะโกนขู่ ไล่ชายจรจัดผู้นี้ออกไปจากสายตาด้วยท่าทีอารมณ์เสียปนขบขันจากเหตุการณ์ก่อนหน้า
ก็จริงอย่างที่เขาว่า
นี่ไม่ใช่เรื่องของเรา จะไปเสือกเขาทำไมล่ะ?
ชายจรจัดที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความกลัวภายในจิตใจเมื่อเห็นโอกาสดังเช่นนี้เขาจึงเริ่มก้าวขาล่นถอยกลับมา
หากแต่เมื่อนั้นเองดวงตาของเขากลับบังเอิญประจบสบตากับหญิงสาวคนนั้นโดยพอดิบพอดี
“ ”
ไร้ซึ่งบทวาจาใด ๆ ในการสนทนาผ่านดวงตาของชายหญิงทั้งสอง หากแต่กลับมีความหมายมากกว่าประโยควลีใด ๆ ในช่วงเวลานั้น
ตัดสินใจ
บัดนี้เขาต้องตัดสินใจอีกครั้งหนึ่ง และหากผิดเพียงครั้งเดียว เส้นทางชีวิตของเขาจักเปลี่ยนดังเช่นในอดีตคราวเด็กของเขา
“ดูเรื่องนี้อีกแล้วเหรอ ลูก?”
วาจาของแม่ของเขาดังเข้ามาภายในหัวของเขาอีกคราวหนึ่งในรอบหลายต่อหลายปี ดุจดังความทรงจำในอดีตเริ่มกลับมาหลอกหลอนเขาอีกครั้งหนึ่ง ด้วยภาพของเด็กตัวน้อยกำลังนั่งดูโทรทัศน์เบื้องหน้าของเขาด้วยท่าทางฮึกเหิมแข็งแกร่ง
“ฉันจะนับหนึ่งถึงสาม แล้วแกจะต้องวิ่งหนีหางจุดตูดไปให้ไกลที่สุด” ชายหนุ่มดึงมีดออกจากคอหอยของหญิงสาวและหันมายืนกอดอกเบื้องหน้าชายจรจัดที่กำลังจรดสายตามองหญิงสาวอยู่อย่างนิ่งเงียบคล้ายคลึงกับอาการเหม่อลอย
“แล้วจะว่าไป.. โตไปอยากจะเป็นอะไรล่ะ ลูก?”
ใบหน้าของแม่เขาย้อนกลับมาบังวิสัยทัศน์ทั้งหมดเบื้องหน้า ด้วยรอยยิ้มอันดูรักและห่วงใยดุจเช่นคำกล่าวว่า มารดาคือผู้ที่รักเรามากที่สุด
“หนึ่ง”
เด็กตัวน้อยหันกลับมาหาแม่ของเขาอย่างรวดเร็วด้วยรอยยิ้มตื่นเต้นสนุกสนาน
“สอง”
ในขณะที่ด้านหลังของเขา บนจอโทรทัศน์นั้นกำลังปรากฏให้เห็นภาพของแสงควันระเบิดและชายสวมหน้ากากในชุดรัดรูป
“สาม-”
“โตไป ผมจะเป็นอย่าง V3 ให้ดู!”
และเมื่อนั้นเอง ชายจรจัดที่ได้ตัดสินใจแล้วอย่างแน่วแน่ จึงพุ่งตรงเข้าไปด้วยสุดแรงเกิดความอย่างบ้าคลั่ง ในขณะที่ชายฉกรรจ์ทั้งสองพลันชักมีดขึ้นมาอย่างรวดเร็วด้วยสัญชาตญาณที่พุ่งพรวดไปทั่วร่างด้วยความที่ประมวลสถานการณ์ภายในสมองของเขา ส่วนตัวหญิงสาวนั้นซึ่งหลุดจากพันธนาการแล้วยังคงยืนหยุดนิ่งด้วยความหวาดกลัวพร้อมน้ำตาไหลรินออกมาจากดวงตาจากความหวาดผวาก่อนหน้านี้
“หนีไป!”
“ไม่ต้องรอฉัน! วิ่งหนีไปซะ!” ชายจรจัดตะโกนขึ้นมาในขณะที่แขนทั้งสองของเขากำลังดันชายฉกรรจ์สองคนนี้ออก
หญิงสาวพลันวิ่งหนีไปด้วยความหวาดกลัวตามที่ชายจรจัดกล่าว หากแต่วินาทีนั้นเธอหันกลับมาหาชายจรจัดคนนั้นอีกคราวหนึ่งด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยประโยคหนึ่งที่เมื่อชายคนนั้นเหลือบสายตาเห็นเช่นนั้น จึงได้ยิ้มปริ่ม ๆ ตอบกลับเธอไป
ดุจเป็นคำบอกกล่าวลาครั้งสุดท้ายของทั้งสองคนแปลกหน้าผู้ต่างไม่เคยรู้ชื่อของแต่ละคน
ขอบคุณ
บัดนั้นเอง ชายผู้ซึ่งเคยสูญเสียหนทาง ตัวตน และอนาคตไป จากอุปสรรคที่เขาตระหนักพบเจอ ถูกช่วงชิงความฝันออกไปด้วยความโหดร้ายของสังคมและโลกไปนี้ที่มักพยายามตีกรอบให้กับผู้คนอย่างเสมอมา
บัดนี้เขาได้กลับมาสู่หนทางชีวิตของเขาแล้ว แม้อนาคตที่ถูกพังทลายลงแล้วอาจซ่อมแซมได้หรือไม่ได้ก็ตาม
แต่ในที่สุด เขาก็ได้เป็นสมดังความฝันของเขาแล้ว
เขาได้ช่วยชีวิตชีวิตหนึ่งเอาไว้ ไม่สำคัญว่าตนจะเป็นเช่นไร ไม่หวังเงิน กำไรใด ๆ จากการกระทำ
ดุจฮีโร่สวมหน้ากากผู้ที่ซึ่งคอยมอบประกายไฟให้ชายหนุ่มได้ฝันถึงในอดีตกาล
ก่อนที่เรื่องสั้นเรื่องนี้จะถึงกาลอวสานลงในเพียงไม่กี่ย่อหน้า ผมอยากจะมอบคำถามให้กับนักอ่านทุกคนที่พินิจเลื่อนสายตามาจนถึงบรรทัดนี้
พวกคุณใฝ่ฝันหวังจะเป็นสิ่งใดในอนาคตกันล่ะ?
เป็นนักเขียน? เป็นผู้กำกับภาพยนตร์? เป็นนักกฎหมาย?
หรือจะเป็นฮีโร่ในชุดรัดรูปกันล่ะ?
คุณอยู่ใกล้ไกลกับความฝันนั้นในปัจจุบันเพียงใดกันล่ะ?
ประสบปัญหา กับอุปสรรคอะไรกันอยู่มั้ย?
คุณยังคงเชื่อในความฝันของคุณอยู่มั้ย?
หลังจากที่คุณทำความฝันได้สำเร็จแล้วจะทำอะไรต่อล่ะ?
สุดท้ายนี้..
หากว่าการที่จะทำตามความฝันได้สำเร็จจะต้องแลกด้วยชีวิตเหมือนชายจรจัดคนนี้ล่ะ?
นอนตายด้วยบาดแผลมีคมในตรอกลึกอันมืดมิด และไม่อาจได้มองดูผลงานที่เขาได้สร้างขึ้นมา
คุณยังจะเดินอยู่บนเส้นทางแห่งความฝันของคุณอยู่มั้ย?