จอมคนวีรบุรุษ (ตอนที่ 1 อาคันตุกะจากแดนไกล)

แอ็กชั่น

จอมคนวีรบุรุษ (ตอนที่ 1 อาคันตุกะจากแดนไกล)

จอมคนวีรบุรุษ (ตอนที่ 1 อาคันตุกะจากแดนไกล)

Salamandre

แอ็กชั่น

0
ตอน
323
เข้าชม
30
ถูกใจ
0
ความคิดเห็น
0
เพิ่มลงคลัง

ปีพุทธศักราช 2300 เรื่องราวนี้ได้ถูกกำหนดขึ้น ซึ่งจุดเริ่มต้นนั้นเป็น ณ จัตุรัสแห่งหนึ่งในมณฑลยูนนาน โดยทั่วไปแล้วจัตุรัสแห่งนี้ถือว่าเป็นเพียงจัตุรัสเล็กๆแห่งหนึ่ง ซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 50 x 50 ตารางเมตรเท่านั้น รอบตัวของมันถูกโอบล้อมไปด้วยกำแพงบ้านเรือนของราษฎร ซึ่งทำให้มันดูเหมือนสถานที่สำหรับรำมวยแห่งหนึ่งที่ไม่มีความหมายแต่อย่างใด ไหนเลยจะรู้ว่า อันที่จริงแล้วจัตุรัสแห่งนี้คือลานประกอบพระราชพิธีประจำมณฑลยูนนาน อาจเป็นเพราะมณฑลแห่งนี้ตั้งอยู่ห่างไกลจากกรุงปักกิ่งอย่างมาก ลานพระราชพิธีแห่งนี้จึงไม่ค่อยที่จะมีความสำคัญแต่อย่างไรนัก แต่ทว่าในวันนี้จัตุรัสที่แสนจะคับแคบแห่งนี้กลับยิ่งดูคับแคบขึ้นไปอีก เนื่องจากว่าประชนชนจากทุกซอกทุกมุมของมณฑลต่างพากันออกมาห้อมล้อมลานจัตุรัสอย่างล้นหลาม ราวกับว่าพวกมันเป็นกำแพงชั้นนอกอีกชั้นหนึ่ง

เสียงประทัดดังกึกก้องทัดเทียมกับเสียงผู้คนที่โห่ร้องแสดงความยินดีกระหึ่มไปทั่วทั้งลานจัตุรัส และยิ่งกึกก้องขึ้นไปอีกเมื่อกลุ่มฝูงชนทางด้านทิศตะวันออกของลาน ต่างแหวกทางให้เจ้ามังกรสีฟ้าครามที่ผงาดออกมายังใจกลางของจัตุรัสแห่งนี้ บางครั้งมันแหวกว่ายราวกับว่ามันเป็นมัจฉาที่เริงระบำอยู่ใต้ผิวน้ำ แต่ในบางครั้งมันก็ทำท่าทางเหาะเหินเดินล่องกลางนภา แม้ว่าเจ้ามังกรนี้จะมีเพียงตัวเดียวก็ตาม แต่มันก็ชนะใจผู้คนนับพันที่เบียดเสียดขานรับการแสดงของมันอย่างเนืองแน่น เด็กๆหลายคนโห่ร้องคละเคล้าเสียงกลองที่ดัง ตุ้งแช่ๆ  ผู้คนทุกครัวเรือนต่างพากันออกมาจากเคหะสถานของตน ไม่มีบ้านไหนเลยที่จะทิ้งผู้เคราะห์ร้ายไว้ในเคหะสถานของพวกเขา บางคนพักอาศัยอยู่ในเมือง บางคนพักพิงตามป่าตามดอย บางคนเดินทางมาจากต่างถิ่นฐานที่ห่างไกล แต่จุดประสงค์ของทุกคนกลับเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันนั้นคือ การร่วมงานฉลองในครั้งนี้

หลายๆคนนั้นสวมใส่ชุดเสื้อผ้าใหม่ และเกือบทุกตัวนั้นล้วนแล้วแต่เป็นชุดสีแดงที่ท้าทายแสงแดดที่ร้อนแรงยามเที่ยงวัน แต่ทุกๆคนที่มาชุมนุม ณ ที่นี้ ไม่มีผู้ใดที่จะยอมสยบต่อสุริยนเลยแม้แต่ผู้เดียว ทั้งหมดต่างพากันเฉลิมฉลองในวันแรกของเทศกาลสารทตงชิว ( วันตรุษจีน ) อย่างเต็มที่ นอกเหนือจากชายชาวจีนที่ทักเปียและผู้หญิงที่เกล้าผมแล้ว ยังมีชนชาติอื่นที่ให้ความสนใจต่องานเทศกาลนี้อย่างแน่นขนัดเทียว ไม่ว่าจะเป็นชาวไทลื้อ ชาวคะฉิ่น ( อยู่ในอาณาจักรพม่า ) ชาวทิเบต ชาวแขก และชาวพื้นเมืองแถบนั้นแล้ว แต่ที่เห็นจะเด่นสะดุดตาที่สุดกลับเป็นเด็กสยามไว้ผมแกละดกดำอายุไม่เกิน 15 ปี ผู้หนึ่ง ที่นั่งโห่ร้องอยู่บนกำแพงบ้านหลังหนึ่งอย่างโจ่งแจ้ง

ในสายตาของเด็กชายมีเพียงเจ้ามังกรที่แหวกว่ายโอบล้อมภายในจัตุรัสเท่านั้น นี่เป็นครั้งแรกที่มันได้เห็นการแสดง การเชิดมังกร แม้ว่าตัวมันจะเคยได้ยินการแสดงชนิดนี้มาบ้างแล้ว แต่เทียบไม่ได้กับการได้มองผ่านด้วยสายตาของมันเอง เสียงโห่ร้องที่ค่อยๆแผ่วเบาตามระยะเวลาของการแสดง พลันกลับมาดังกึกก้องอีกครั้ง เพราะว่ามีชายผู้หนึ่งสวมใส่ชุดนักรบและผ้าคลุมไหล่สีเขียวซึ่งเป็นลักษณะของเทพเจ้ากวนอู เทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์พร้อมด้วยศาสตราวุฒิคู่กายง้าวมังกรจันทร์เสี้ยวที่ทำขึ้นจากกระบอกไม้ไผ่ที่แกะสละอย่างสวยงามและประณีต เทพเจ้ากวนอูพุ่งตรงเข้าฟาดฟันกับเจ้ามังกรสีฟ้าครามอย่างออกรสสมจริง อีกทั้งยังมีแป๊ะยิ้มนั่งพัดวีดับคลายร้อนท่ามกลางเที่ยงวันที่แสนจะร้อนละอุ เด็กชายคิดว่าชายที่สวมหน้ากากแป๊ะยิ้มคงจะกำลังร้อนอยู่อย่างแน่แท้ เพราะว่ามันแอบเห็นชายสวมหน้ากากแอบปาดเหงื่อที่ต้นคออยู่หลายครั้ง ซึ่งเจ้าแป๊ะยิ้มนั้น อาจจงใจกระทำขึ้นมาเองหรือว่าตัวมันนั้นร้อนจริงๆ แต่นั้นก็สามารถเรียกเสียงร้องขบขันได้อย่างมาก

หลังจากที่จบการแสดงชุดกวนอูโรมรันกับเจ้ามังกร ยังมีคณะกายกรรมเปลี่ยนหน้าที่เดินทางมาจากดินแดนเสฉวน นักแสดงทั้งหมดเป็นผู้ชาย 3 คน ยืนอยู่ที่ตรงกลางจัตุรัส ที่ใบหน้าของเหล่านักแสดงมีหน้ากากงิ้วสวมใส่บดบังหน้าที่แท้จริงของพวกเขาอยู่ การแสดงชุดนี้ต่างจากชุดเชิดมังกรอย่างมาก เนื่องจากเสียงโห่ร้องของฝูงชนนั้นเบาบางยิ่ง นั้นไม่ได้บ่งบอกว่าการแสดงเปลี่ยนหน้านั้นไม่ได้รับความนิยมหรือชาวยูนนานไม่ได้ให้ความสนใจ แต่เป็นเพราะการแสดงชุดนี้เป็นการแสดงที่หาชมได้ยากนัก ส่วนใหญ่ต้องเดินทางไปตามหัวเมืองใหญ่ๆเท่านั้นถึงจะได้ดู ทุกคนจึงเฝ้าดูการแสดงชุดนี้อย่างใจจดใจจ่อ เด็กชายผมแกละ มันไม่ได้รับรู้ถึงกลิ่นอายความตื่นเต้นที่หลั่งออกมาจากฝูงชนที่บริเวณรอบข้างเลย ตัวมันเพียงคิดแต่ว่าการแสดงเชิดมังกรนั้นน่าชมกว่าการแสดงงิ้วชุดนี้มากนัก ขณะที่มันกำลังจะเบือนหน้าไปทางอื่น แต่แล้วในขณะนั้นเอง มันพลันได้ยินเสียงรัวกลองดังขึ้น ซึ่งชักจูงให้มันต้องหันหน้ากลับไปที่ลานจัตุรัสอีกครั้ง และทันใดนั้นนักแสดงที่ยืนอยู่ตรงกลางได้เลื่อนมือปลดหน้ากากที่ตัวมันสวมใส่อยู่ วินาทีนั้นเองหน้ากากใบเก่าสีขาวของมันได้หายไป ซึ่งถูกแทนที่ด้วยหน้ากากยักษ์สีเขียวใบใหม่แทน ครั้งนี้เสียงที่เงียบกริบของฝูงชนแปรเปลี่ยนเป็นกึกก้องกัมปนาทสั่นสะท้านจัตุรัสแทน เสียงตบมือผสมผสานเข้ากับเสียงรัวไม้กลองอย่างสนั่นหวั่นไหว คราวนี้นักแสดงทั้งซ้ายและขวาก็ปลดเปลี่ยนหน้ากากกันบ้าง จากนั้นทั้งสามก็ปลดเปลี่ยนหน้ากากใบใหม่ไปเรื่อยๆอย่างรวดเร็วราวกับว่ามีหน้ากากในตัวเสื้อของพวกมันไม่รู้จักหมดไม่รู้จักสิ้น ความสนุกได้ถูกส่งต่อเนื่องทันทีเมื่อมีนักแสดงนำอุปกรณ์เล่นไฟออกมา นักแสดงคนกลางยังคงเปลี่ยนหน้ากากใบใหม่ออกมาอยู่เรื่อยๆ ส่วนคนที่อยู่ด้านซ้ายและด้านขวานำอุปกรณ์เล่นไฟที่เตรียมไว้มาเป่าหลอดพ่นไฟกันอย่างเย้ยฟ้าท้าพระอาทิตย์ ซึ่งสามารถเรียกเสียงฮือฮาได้เป็นอย่างมาก

เด็กชายชาวสยามรู้สึกประทับใจกลับการแสดงชุดนี้มากที่สุด ซึ่งทำเอาความนิยมในการแสดงชุดเชิดมังกรต้องร่วงหล่นไปในบัดดล เมื่อลองหันมาพิจารณาถึงอายุกับรูปร่างของเด็กชายชาวสยามผู้แล้วนี้ ถือว่าตัวของมันค่อนข้างที่จะตัวเล็กตามแบบฉบับชาวเอเชีย แต่ทว่าร่างกายของมันนั้นกลับสมส่วนอย่างยิ่ง ไอ้เจ้าผมแกละทั้ง 2 ข้าง ดำสนิทราวกับย้อมด้วยผลของมะค่า มันสวมเสื้อใส่สบายๆตัวบางๆสีขาว ถกนุ่งโจงกระเบนแบบสมัยสยามนิยมสีม่วงเข้ม ซึ่งบ่งบอกถึงความเป็นมาของชนชาติของตนได้อย่างดี แต่พอมองถึงเบื้องบาทของมัน เจ้าเด็กคนนี้กลับสวมรองเท้าแบบชาวจีน ซึ่งดูแล้วจะขัดๆตากันสักหน่อยในสายตาของชาวบ้านในละแวกแถบนี้ อย่างน้อยมันก็ดูเป็นจุดเด่นและสีสันในงานเทศกาลนี้  ผิวของเด็กชายนั้นผิวขาวผ่องใส ซึ่งสามารถบ่งบอกถึงชาติตระกูลของมันได้ว่า เด็กชายผู้นี้ไม่ได้กำเนิดมาจากชนชั้นชาวบ้านสามัญชนอย่างแน่นอน ใบหน้าของมันจัดว่าเป็นเด็กที่น่ารักน่าเอ็นดูอย่างยิ่ง คิ้วดกดำ จมูกเป็นสัน ริมฝีปากเข้ารูป ซึ่งลับเข้ากับไปคางที่กลมมนของมันได้อย่างดี ผู้ใดที่ได้มองย่อมใคร่ที่จะรักเด็กชายชาวสยามผู้นี้

ในตอนแรกเด็กชายก็ชมการแสดงที่ลานจัตุรัสท่ามกลางฝูงชนที่แน่นขนัด แต่เมื่อผู้คนมีจำนวนที่เพิ่มมากขึ้น ย่อมบดบังสายตาของเด็กชายเป็นธรรมดา เมื่ออยู่ที่สยามประเทศ เด็กชายอาจมีบ่าวไพร่ตามใจจนเคยชิน จึงออกปากตะโกนไล่เหล่าชาวบ้านที่มามุงดูออกไป ชาวบ้านแม้ไม่พอใจ แต่เมื่อดูจากกายแต่งกายของเด็กชายย่อมทราบว่ามันคงมีความเป็นมาไม่ธรรมดา ดังนั้นไม่มีใครอยากยุ่งด้วย พวกมันจึงทำตัวเฉยๆไม่หลบหลีกแต่อย่างใด

สาเหตุที่เด็กชายเดินทางจากบ้านเกิดมาไกล จนถึงราชวงศ์ชิงแห่งนี้ เนื่องจากบิดามันเป็นทูตสัมพันธไมตรีจากอโยธยา ซึ่งตัวมันรบเร้าบิดาอยู่หลายแรมวัน จนบิดาของมันยอมที่จะนำมันมาด้วย แต่เนื่องจากงานธุระต่างแดนในครั้งนี้ ค่อนข้างใช้เวลานานหลายเดือนหรืออาจเป็นปีก็เป็นได้ ดังนั้นบ่าวไพร่ที่ตามมาจึงค่อนข้างจะจำกัด ดังนั้น  ทางราชสำนักจึงจัดให้มีขุนนางคอยอารักษาในงานเทศกาลนี้แทน เนื่องจากเด็กชายซุกซนและเอาแต่ใจ ขณะที่กองราชสำนักหยุดพัก ตัวมันจึงได้แอบหนีมาเที่ยวลานจัตุรัสก่อน หมายที่จะยลงานเทศการก่อนใคร  ครั้นถึงตอนนี้ มันเริ่มรู้สึกผิดแล้วที่มันแอบหนีออกมาโดยที่ไม่ได้เหล่าองครักษ์ออกมาด้วย เพราะหากมันมีองครักษ์เหล่านั้นอยู่ เด็กชายคงได้สั่งให้พวกมันขับไล่พวกบ่าวไพร่ที่แสนจะยโสเหล่านี้ออกไป ขณะที่มันกำลังหนีออกไปนั้นกับถูกมือปราบนายหนึ่งพบเข้า โดยมือปราบผู้นั้นยืนกรานที่จะตามมาด้วย หากเด็กชายไม่รับปากมัน มันจะไปฟ้องบิดาของมันออกมา เด็กชายจึงยอมให้มันมาด้วย แต่มาถึงมือปราบผู้นั้นก็หายตัวไปในทันที แม้เด็กชายจะสงสัย แต่ตัวมันเองตั้งใจที่ออกมาเที่ยวตามลำพังอยู่แล้ว ตัวมันจึงคร้านที่จะสนใจพฤติกรรมของมือปราบคนนั้น

เมื่อตัวเด็กชายไม่มีเหล่าองครักษ์ ตัวมันก็แค่เด็กธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นเด็กชายจึงต้องหาทำเลที่ดีกว่าเพื่อที่จะได้ชมการแสดงของวันนี้แทน เด็กชายผู้นี้ซุกซนมาก เมื่อตอนอยู่ที่อโยธยา มันมักกระทำเรื่องที่ใจกล้าบ้าบิ่นเสมอ เช่นปีนขึ้นต้นไม้ไปเก็บมะม่วงหรือพุทรา ลงว่ายน้ำที่ลำน้ำเจ้าพระยา ดังนั้นการปีนป่ายกำแพงของมัน ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ยากลำบากเกินกำลังของมันนัก เด็กชายเลือกที่จะปีนขึ้นไปบนกำแพงของบ้านเรือนหลังหนึ่ง ที่อยู่ใกล้กับอะไรก็ตามที่ทำให้มันสามารถปีนขึ้นไปบนกำแพงหลังนั้นได้ หลังจากการแสดงชุดงิ้วเปลี่ยนหน้า การแสดงชุดเชิดสิงโตปืนบันไดไม้ก็ได้เริ่มต้นขึ้น ซึ่งการแสดงชุดนี้นับเป็นการแสดงที่หน้าตื่นตาตื่นใจที่ในสายตาของมันอย่างยิ่ง ตัวมันจึงต้องวิ่งขยับเข้าใกล้จุดที่ เพื่อมันจะสามารถรับชมการแสดงได้อย่างชัดเจนที่สุด  แต่เมื่อเสียงฝูงชนโห่ร้องกึกก้องขึ้น นั้นเป็นสัญญาณว่าการแสดงได้เริ่มขึ้นแล้ว มันจึงต้องรีบวิ่ง เพื่อที่จะได้ชมการแสดงอย่างทันท่วงที แต่การขยับตัวที่รีบเร่งทำให้ตัวมันเกิดก้าวเท้าพลาดขึ้น ซึ่งเป็นเหตุให้มันร่วงหล่นจากด้านบนกำแพง ทำเอาฝุ่นตลบอบอวน ณ บริเวณ ที่เด็กชายพลัดตกลงมา พร้อมด้วยเสียงอุทานและครวญครางด้วยความเจ็บปวด แต่นอกจากผงฝุ่นที่ตลบอบอวนแล้ว ยังมีกลิ่นเหม็นคลุ้งของสุราที่ฟุ้งกระจายตามมา ณ ที่บริเวณนั้นอีกด้วย

เด็กชายพยายามยกตัวขึ้นนั่งพร้อมส่งเสียงสะอื้นด้วยความเจ็บปวด มือซ้ายของมันได้เกาะกุมบาดแผลบริเวณไหล่ขวาของมันไว้เพื่อระงับความเจ็บปวดไว้ นอกจากบาดแผลที่หัวไหล่ของมันแล้ว บริเวณสะโพกตรงจุดที่ตัวมันได้กระแทกถูกพื้น ก็รู้สึกเจ็บปวดไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ในขณะที่ความเจ็บปวดเก่ายังไม่ทันหมดไปความเจ็บปวดใหม่ก็เข้าแทนที่โดยทันที เด็กชายรู้สึกว่ามีคนบีบหัวไหล่ข้างซ้ายของมันพร้อมทั้งกระชากตัวมันที่เพิ่งจะล้มทั้งยืนขึ้นจากพื้น ตัวมันกรีดร้องโวยวายก่อนที่มันจะเงยหน้าขึ้นจ้องมองชายผู้ที่กระชากตัวมันขึ้นมา ผู้ชายผู้นั้นเป็นชายตัวโตไว้หนวดเครารุงรัง ทั้งยังด่าทอมันด้วยภาษาจีนอย่างหยาบคายเกินกว่าที่มันจะเข้าใจ ชีวิตในกรมในกองดงขุนนางของมันนั้น ตั้งแต่เล็กจนย่างเข้าสู่วัยใกล้จะหนุ่มอย่างในขณะนี้ ตัวมันยังไม่เคยตกอยู่สถานการณ์เช่นนี้มาก่อน เนื่องจากบิดาของเป็นเอกอัครราชทูต ดังนั้นคนอื่นย่อมเกรงกลัวมันเป็นพิเศษ แต่ที่นี่ไม่ใช่อโยธยา คนในที่นี่ย่อมไม่กลัวเกรงมัน จนในท้ายที่สุดตัวมันก็ไม่สามารถทนรับแรงกดดันเช่นนี้ได้อีกต่อไป ด้วยความสิ้นหวังมันจึงร้องตะโกนชื่อหนึ่ง ดังขึ้นว่า “หลออี้

ตอนแรก กลุ่มชายเหม็นสุรานั้นต่างงงงันอยู่พักนึง  เมื่อหันแลขวา ยังไม่ได้พบกับตัวตลกที่ชื่อว่า หลออี้ พวกมันจึงแหกปากหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ พวกมันคงนึกว่าเวลานี้ ใครกันเหล่าที่จะบ้าบิ่นมาช่วยเหลือเด็กชายต่างถิ่นอย่างมัน อีกทั้งตัวมันเองก็เป็นนักเลงประจำถิ่นตลาดแห่งนี้ ต่อให้เหล่ามือปราบเอง ต่างก็เกรงใจพวกมันอยู่สามส่วน

แต่แล้วเรื่องที่มันไม่เคยคิดมาก่อนพลันเกิดขึ้น ตัวชายที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าผู้นั้น ตัวมันกลับรู้สึกเจ็บปวดที่หัวไหล่ข้างซ้ายจุดเดียวกับที่ตัวมันบีบที่หัวไหล่ของเด็กชายอย่างน่าอัศจรรย์ใจ ด้วยความเจ็บปวดนั้น ทำให้มันจำต้องคลายมือที่บีบหัวไหล่ของเด็กชายออก เมื่อเด็กเป็นอิสระ มันได้ร้องเรียกหลออี้อีกครั้ง ซึ่งทำให้ชายผู้นั้นรู้ว่าคนที่ตอแยกับมันนั้นเป็นใครแล้ว จากนั้นมันจึงค่อยรู้ตัวว่า ตัวมันถูกเตะตรงเข้าที่ข้อพับขาข้างซ้าย ซึ่งส่งผลให้มันล้มลงคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าของเด็กชายชาวสยามอย่างพอดิบพอดี ด้วยความโกรธเกี้ยวและเสียหน้าอย่างมาก ชายผู้ก่อเหตุจึงได้รีบลุกขึ้นพร้อมหันกลับไปเผชิญหน้ากับคนที่บีบหัวไหล่และเตะที่ข้อพับของมัน แต่ก่อนที่มันจะได้พบกับใบหน้าของคนที่ทำร้ายมัน มันกลับได้พบกับตราประจำตัวมือปราบ 7 มณฑลแทน ชายวัยอายุ 40 ต้นๆ รูปร่างสูงโปร่ง ไว้ผมเปียตามแบบที่ชาวแมนจูที่มักไว้กัน หนวดเคราที่จัดทรงได้รูป ชายผู้นี้ถือว่าผู้เป็นชายที่หน้าตาดีและสำอางผู้หนึ่ง บุคลิกเช่นนี้ทำให้ชายที่ชื่อหลออี้นั้น ดูแล้วน่าจะเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นเสียมากกว่า ตำแหน่งมือปราบ 7 มณฑลที่เขาเป็นอยู่ ชายผู้นี้คือ หลออี้ ผู้ที่เด็กชายร้องเรียกหานั้นเอง

เมื่อชายผู้นั้นพบผู้ที่มีเรื่องกับมันเป็นถึงมือปราบ 7 มณฑล มันถึงกับสร่างเมาเลยทีเดียว มันจึงรีบเปลี่ยนอากัปกิริยาที่แข็งกร้าวเป็นอ่อนนุ่มโดยทันที เมื่อฝูงชนรอบข้างพบว่าเรื่องราวคงยุติในลักษณะเช่นนี้ เหล่าชาวบ้านที่หวังจะได้ดูการต่อยตีที่มากกว่านี้ ต่างไม่สบอารมณ์ทยอยเดินจากห่างไป  ชายตัวโตรีบเล่าเรื่องราวให้กับมือปราบได้ฟังว่า ตัวมันนั้นยืนดื่มสุราอยู่ที่ริมกำแพง แต่แล้วเด็กชายต่างถิ่นผู้นี้ มันชี้ไปที่เด็กชายชาวสยาม กลับตกลงมาจากกำแพง ด้วยความตกใจ มันจึงเผลอทำสุราของมันแตก ทั้งที่มันเข้าหาเรื่องเด็กชาย แต่มันพูดเหมือนกับว่ามันเป็นคนอ่อนแอที่หวังจะขอความเป็นธรรม มือปราบยังคงนิ่งเฉยกับการขอความเห็นใจของมัน ก่อนที่เขาจะกล่าวตอบกลับมันไปอย่างเรียบๆว่า เด็กชายผู้นี้มีความสำคัญระหว่างราชวงศ์ชิงและสยาม คำพูดนี้ทำให้ชายที่ดูหาญเหี้ยมถึงกลับเข่าทรุดเลย จากนั้นมือปราบได้ไล่ตะเพิดมันไป แม้ตัวมันจะไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่ แต่มันก็ยอมที่จะจากไปแต่โดยดี เด็กชายที่นั่งดูเหตุการณ์อย่างเงียบงัน ตัวมันรู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก เพราะในชีวิตของมัน ไม่เคยมีใครแม้แต่ที่จะคิดทำร้ายมันเลย ซึ่งเป็นผลที่ทำให้มันเชื่อมั่นว่าจะไม่มีใครที่จะกล้าลงมือทำร้ายบุตรชายของหัวหน้าคณะทูตผู้นี้

ในขณะที่มันได้แต่งอมืองอเท้ายอมรับในชะตากรรมของมัน แต่แล้วเมื่อหลออี้ได้เข้าช่วยเหลือมันไว้ เหตุกาลกลับตาลปัตรโดยสิ้นเชิง ตอนนี้เมื่อมันเรียกสติตนเองได้แล้ว เด็กชายรู้สึกเป็นปลื้มอย่างยิ่งเมื่อได้ยินสิ่งที่มือปราบผู้นี้พูดว่ามันมีความสำคัญต่อความร่วมมือระดับประเทศ แม้ว่ามันจะเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่มันยังดีใจจนลืมอาการเจ็บปวดไปชั่วขณะ ก่อนที่อาการบาดเจ็บจะกลับมาเจ็บปวดอีกครั้ง จนมันต้องสะอื้นออกมาเบาๆ เมื่อหลออี้ได้ขับไล่ชายผู้นั้นไปแล้ว มันก็ได้เข้ามาสอบถามอาการบาดเจ็บของเด็กชาย ก่อนที่มันจะจี้สกัดจุดห้ามเลือดของเด็กชายอย่างรวดเร็ว ในไม่ช้าอาการเจ็บปวดของมันจึงค่อยๆทุเลา ในตอนนี้เด็กชายได้หยุดสะอื้นแล้ว หลออี้เหลียวซ้ายแลขวาก่อนที่จะถามมันว่า ตัวมันเดินไหวหรือไม่ เด็กชายพยักหน้าอย่างหนักแน่น ในตอนนี้เทศกาลสารทตงชิวมาถึงจุดที่น่าสนใจที่สุด นั้นคือการแสดงยิงพลุนับพันดอก แม้ว่าบรรยากาศจะน่าประทับใจพอให้มันจดจำไปตลอดชีวิต แต่เหตุการณ์ก่อนหน้านั้น ตัวมันก็ยากที่จะลืมเลือนเช่นกัน หลังจากที่เสียงพลุดอกแรกสนั่นหวั่นไหว มือปราบและเด็กชายก็จากไปท่ามกลางเศษของพลุที่ยังคงปลิวว่อนอยู่

แม้ว่าช่วงเที่ยงตรงจะเป็นช่วงที่พระอาทิตย์ร้อนแรงที่สุด แต่ด้วยทว่าในช่วงฤดูหนาวนี้ เด็กชายกลับว่ายังพอมีลมเย็นบางๆพัดมาอย่างเอื่อยเฉื่อยอยู่เรื่อย ซึ่งลมเย็นเหล่าอาจเป็นผลจากลำน้ำที่ด้านข้างของพวกมันก็เป็นได้ ณ ริมแม่น้ำสายหนึ่งระลอกลมเย็นได้พัดผ่านมา ซึ่งทำให้กิ่งหลิวที่แน่นขนัด ณ ริมตลิ่ง ดูสั่นไหวอย่างพร้อมเพียง หลออี้ ได้พาเด็กชายมานั่งทำแผลในบริเวณที่เงียบสงบปลอดผู้คน

ณ ที่นี่ นอกจากเขาทั้งสองแล้ว ยังมีม้าสีแดงเพลิงที่ไม่ได้ใส่อานอยู่ตัวหนึ่ง มันถูกล่ามผูกไว้กับโคนต้นป๋อต้นใหญ่ต้นหนึ่ง เสียงเด็กชายยังคงร้องสะอื้นทุกครั้งที่ลงยาสมานแผล ส่วนหลออี้นั้นก็ทำแผลให้เด็กชายอย่างขะมักเขม้น เวลาผ่านไปไม่นานเท่าไหร่เขาก็ทำแผลให้เด็กชายจนเสร็จ ซึ่งยาทำแผลก็คือสมุนไพรที่เติบโตขึ้นแถวบริเวณนั้น นั้นเอง เมื่อมันล้างมือแล้ว มันก็พบว่าเด็กชายผู้นี้จ้องมองมันอย่างจริงจัง ด้วยวัยที่กำลังซนของเด็กชาย เรื่องเจ็บปวดเป็นเรื่องแค่ผ่านมาแล้วผ่านไป แต่นิสัยของเด็กชายนั้น เมื่อมีเรื่องใดก็ตามที่ตัวมันสงสัย มันจะไม่ยอมปล่อยให้เรื่องที่อยากรู้นั้นได้หลุดลอยไปโดยเด็จขาด มันจะตั้งสติรวบรวมความรู้เชิงทางภาษาที่ร่ำเรียนมา ตัวหลออี้เองก็รู้สึกว่าเด็กชายอาจมีอะไรที่ตั้งใจจะถามมัน เด็กชายไม่รอให้มันถักถาม พลันชี้มือไปที่ม้าของมัน จนหลออี้ต้องตะโกนถามขึ้นว่า “เซิ่น เมอ” (อะไร) จากนั้น คำถามมากมายที่ค้างคาในใจของเด็กชายมานาน มันได้ระดมยิงใส่หลออี้โดยที่ไม่ให้มันได้ตั้งตัว

“ม้าของท่านเป็นพันธุ์อะไร ถึงได้ควบได้เร็วยิ่งนัก ทำไมท่านไม่ใส่อานให้มันละ ข้านี่ก้นระบมไปหมดแล้ว”

หลออี้ ยิ้มในความขี้สงสัยของเด็กชาย ก่อนจะตอบมันอย่างกระตือรือร้นไปว่า

“ม้าของข้าเป็นเชื้อขัยของม้าแดงเหงื่อโลหิต เจ้าเคยได้ยินชื่อมาก่อนไหม” เด็กน้อยส่ายหน้า หลออี้จึงได้อธิบายต่อไปว่า จักรพรรดิฮั่นอู๋ตี้เคยส่งทหารไปยังตะวันตกอันไกลโพ้น ในดินแดนที่บูชาไฟและลัทธิปีศาจ เพื่อค้นหาชาติพันธ์ของมัน เขามองไปที่ม้า ลักษณะของพิเศษของจ้าวโลหิตนี้ มีสองประการ คือ มันวิ่งไวที่สุดในจงหยวนและอีกประการเวลาที่มันโลดแล่นหยาดเหงื่อของมันจะไหลออกมาเป็นสีแดงสดคล้ายสีของเลือด นั้นคือที่มาของชื่อของมัน จ้าวโลหิต ส่วนสาเหตุที่ข้าไม่ใส่อานม้าให้มัน เป็นเนื่องจากการดูแลม้าป่า ย่อมไม่สามารถนำวิธีทีใช้ดูแลม้าบ้านมาใช้ มันจะทำให้สัญชาตญาณของมันสูญสิ้นไป พอถามคำถามแรกได้คำตอบ เด็กชายจึงถามต่อไปว่า

“ท่านหลออี้ เมื่อครู่นี้ถ้าท่านมาช้ากว่านี้เพียงนิดเดียว ตัวข้าคงทิ้งชีวิตไว้ที่จัตุรัสนั้นแล้ว”

หลออี้ มันรู้สึกเขินๆกับคำถามนี้ ก่อนที่มันจะตอบคำถามเด็กชายอย่างหน้าตาเฉย “ขอโทษที พอดีข้ากำลังตามสาวงามนางหนึ่งอยู่ ข้าเข้าใจว่าเจ้าอยู่ข้างๆตัวข้า แต่เมื่อข้าได้ยินเสียงร้องเรียกจากเจ้า ทำให้ข้าต้องตัดใจจากนางผู้นั้น แล้วย้อนกลับมาช่วยเหลือเจ้าได้อย่างทันท่วงที” ใบหน้าของมันล้วนแดงปลั่ง บางท่าทีก็ดูยิ้มแย้ม บางท่าทีก็ดูเสียดาย ขัดกับภาพลักษณ์อันโหดร้ายที่จัตุรัสนั้น

เด็กชายรู้สึกว่าการกระทำของมือปราบผู้นี้ไร้เหตุผลสิ้นดี แม้ว่าตัวมันจะเป็นฝ่ายที่หลบหนีออกมา แต่ถึงอย่างไรตัวมันก็มือศักดิ์เป็นถึงบุตรชายของนักการทูตจากแดนอโยธยา ที่มีความสำคัญต่อความสัมพันธ์ของทั้งสองชาติ แต่หลออี้ผู้นี้กลับไม่ได้ให้ความสำคัญกับมันเลยแม้แต่น้อย เมื่อยามที่มันเป็นเด็ก มันคร้านที่จะเรียนรู้วิชาการต่อสู้ ตัวมันชอบที่จะเรียนเกี่ยวกับทางด้านวิชาการมากกว่า ซึ่งดูเหมือนมันจะไปเป็นอย่างอื่นมิได้นอกเหนือจากการสืบทอดตำแหน่งนักการทูตต่อจากบิดาของมันเท่านั้น  ซึ่งมันก็สามารถเรียนรู้ได้ดีด้วย แม้ว่าในสภาพความเป็นจริงความสัมพันธ์ของมันกับบิดาจะไม่ค่อยสู้ดีนักเท่าไหร่ แต่บิดาของมันก็ได้ชดเชยในส่วนของเรื่องบริวาร ซึ่งมีอยู่มากมาย พวกไพร่เหล่านั้นไม่เคยจะขัดใจมันเลย ตามใจมันเสียทุกเรื่อง ก็อย่างที่รู้กันการทำงานด้วยฝีปากบางครั้งกลับเจริญรุ่งเรืองมากกว่าการทำงานด้วยมือ ซึ่งสิ่งเหล่าได้บ่งเพาะนิสัยเอาแต่ใจให้มันโดยที่มันไม่รู้ตัว แต่บริวารที่มากมายกลับไม่มีผู้ใดจริงใจกับมันแม้แต่คนเดียว อย่างเช่นเมื่อครั้งก่อนเดินทางมาที่ต้าชิง เมื่อบิดาของมันร้องหาคนอาสาเดินทางมาดูแลบุตรชายของมัน พวกไพร่ล้วนแล้วแต่เอ่ยอ้างถึงเรื่องของกฎหมายที่พวกมันสรรหาปลุกปั้นเรื่องราวขึ้นเพื่อปฏิเสธการเดินทาง เด็กพอมีความรู้เรื่องกฎหมายบ้าง  มันรู้ว่าทั้งหมดนั้นเพียงข้ออ้างของบ่าวไพร่มันเท่านั้น แต่ด้วยนิสัยของมันแม้มันจะเป็นคนที่เอาแต่ใจ แต่มันก็ไม่เคยบังคับจิตใจของใคร ดังนั้นมันจึงไม่ได้นำบริวารร่วมทางมากับมันด้วยเลยแม้แต่คนเดียว ผิดกับบิดาของมันซึ่งจะมีลุงจุ่นติดตามร่วมทางกับบิดาของมันทุกครั้ง พอมาถึงที่ต้าชิงทางการบ้านเมืองได้จัดส่งหลออี้คอยอารักขามัน แม้จะไม่คุ้นเคยกันเท่าไหร่แต่มันพาลที่จะยึดถือหลออี้เฉกเช่นบ่าวไพร่ของมัน ซึ่งหลออี้มันเป็นคนง่ายๆ ยิ่งทำให้เด็กชายมีแต่ความยินดี

หลังจากที่เด็กชายได้ฟังคำแก้ตัวของหลออี้ มันก็เกิดอารมณ์โมโหขึ้น มันจึงกล่าวโผลงขึ้นว่า

“ข้าจะไปบอกท่านทูตให้ปลดท่านออกจากตำแหน่ง”

ตอนแรกตัวหลออี้ก็นึกขัน ว่าเด็กตัวเล็กนี้จะมีปัญญาไปทำอะไรมันได้ แต่พอมันมานึกถึงสถานการณ์ตอนนี้ดู จึงแสร้งไปตามน้ำ ประหนึ่งว่าคำพูดของเด็กชายเมื่อสักครู่นี้จะได้ผล ตัวมันจึงรีบเข้ามากล่าววาจาขอขมาเด็กชายโดยทันที อีกทั้งยังพูดกลบเกลื่อนขึ้นว่า “ข้าขอโทษ อย่านำเรื่องนี้ไปบอกแก่ท่านทูตเลย เอางี้เดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปเลี้ยงเป็นการปลอบขวัญเองดีไหม” เด็กชายอาจได้ฟังคำยินยอสอพลอจนเคยชิน มันจึงไม่ได้เฉลียวใจในท่าทีการเสแสร้งของหลออี้ ทั้งยังดีใจที่มือปราบผู้นี้รู้ธรรมเนียมปฏิบัติ โดยพามันไปเลี้ยงอาหารเพื่อเป็นการปลอบขวัญมัน แต่แล้วเด็กชายกลับนึกถึงชาติบ้านเมืองด้วยเช่นกัน คือ หลังจากที่ผ่านเหตุการณ์ที่จัตุรัสมา แม้ตัวมันจะทั้งเหนื่อยและหิว ดังนั้นการที่ไปหาอะไรรับประทาน ถือว่าเป็นความคิดที่ดี แต่ว่ามันเหมาะสมกับสภาพการณ์ตอนนี้หรือไม่

เด็กชายจึงถามมันด้วยความสงสัยว่า “แต่ว่า เราไม่รีบไปขึ้นเรือหรือ” เนื่องจากตามกำหนดการณ์วันนี้คณะทูตจะต้องเดินทางกลับกรุงศรีอยุธยาประมาณช่วง สี่โมงเย็น ถ้าหากตัวมันไปไม่ทัน มือปราบเสเพลผู้นี้อาจจะเดือดร้อน ถึงขั้นประหารก็เป็นได้

“ควับ”เมื่อหลออี้ กระโดดลอยตัวขึ้นค่อมบนกลางหลังม้า มันรั้งบังเหียนบังคับทิศทางของม้าให้หันกลับมาทางเด็กชายพร้อมทั้งกล่าวขึ้นว่า “เหลือเวลากว่า 4 ชั่วยาม จากโรงเตี๋ยมไปยังท่าเรือไม่เกินครึ่งชั่วยามก็ถึงแล้ว มามาเดินมาทางนี้เร็วเข้า” หลังจากที่มันกล่าวจบมันก็ยื่นมือให้เด็กชาย

เด็กชายลังเลอยู่ชั่วครู่ ตัวมันนึกสงสัยว่าหลออี้ผู้นี้กินเบี้ยหวัดของทางการ แต่หากพิจารณาจากนิสัยของมันแล้ว หลออี้ค่อนข้างจะทำอะไรตามอำเภอใจเสียมากกว่า ไม่ค่อยสนกฎเกณฑ์ของราชสำนัก ซึ่งแตกต่างกับข้าราชการคนอื่นอย่างสิ้นเชิง เด็กชายก็กลับเข้าใจไปเองว่ามือปราบผู้นี้เกรงกลัวมันอยู่บ้าง เมื่อเสียงของหลออี้เร่งเร้ามันอีกครั้ง มันจึงตัดสินใจยื่นมือของมันออกไปให้ หลออี้ คว้าตัวตัวมันขึ้นมาบนหลังม้า ก่อนที่มันจะเร่งม้าควบขี่ไปยังทิศตะออกเฉียงใต้โดยทันที

การที่หลออี้ได้ตัดสินใจเช่นนี้ทำเอาเด็กชายอดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ โดยตัวมันได้ยู่ร่วมกับหลออี้มาเป็นเวลาเกือบเดือน หากจะบอกว่าเขาดูแลมันอย่างดี อาจจะดูเกินเลยไป แต่หลออี้ก็ไม่เคยขัดใจตัวมันเลยสักครั้ง ดังนั้นหากเขาพามันไปที่เรือไม่ทัน ตัวเขาคงได้รับโทษทาอาญาเป็นแน่ มันยังได้ข่าวอีกว่าอำมาตย์เหอเซินผู้เป็นคนสนิทของจักรพรรดิเฉียนหลงจะเดินทางมาส่งคณะทูตด้วยตนเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ยิ่งไม่อาจผิดพลาดได้  เด็กน้อยยังนึกถึงความผิดปกติอีกเรื่องหนึ่ง ทุกครั้งที่มันร่วมทางกับหลออี้ หลออี้จะเลือกใช้เส้นทางหลักในการเดินทาง แต่ในครั้งนี้เขากลับเลือกใช้เส้นทางทุรกันดาร อีกทั้งยังทอดตัวเข้าสู่ป่าลึก จนทำให้มันเกิดลางอัปมงคลขึ้นว่าเส้นทางนี้อาจจะไม่ได้นำมันไปสู้โรงเตี๋ยม แต่จะเป็นที่อื่นแทน  ทุกครั้งที่มันไปกับเขา มันล้วนมั่นใจในมือปราบผู้นี้ แต่ในครั้งนี้มันต้องต่อสู้กับความไว้วางใจที่มันมีให้หลออี้ ด้วยความเป็นเด็กความกลัวสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แต่พอเมื่อมันได้ย้อนคิดถึงนิสัยใจคอที่ผ่านมาของมือปราบผู้นี้ ทำให้มันมั่นใจได้เลยว่าหลออี้ผู้นี้ไม่ใช่คนที่จะสามารถทรยศเพื่อนได้โดยเด็ดขาด ซึ่งหลออี้เหมือนว่ามันเหมือนจะสามารถอ่านใจของเด็กชายออก มันจึงกล่าวกับเด็กชายอย่างยิ้มแย้มว่าโรงเตี๋ยมนั้นอยู่ไม่ไกลแล้ว

ทางที่หลออี้พามันมา ล้วนแล้วแต่เป็นเส้นทางป่าลึก ไร้วี่แววบ้านเรือนหรือผู้คน สองฟากฝั่งขนาบข้างด้วยต้นไม้สูงใหญ่ เด็กชายเริ่มลุกลี้ลุกลน ในตอนนี้มันไม่กลัวที่จะไปเรือไม่ทัน แต่มันกลับกลัวว่าจะไม่ได้กลับไปที่สยามอีกเสียมากกว่า แม้ว่ามันจะหวั่นวิตก แต่ทว่ามันยังมั่นใจในตัวมือปราบคนนี้อย่างเต็มเปี่ยม หลังจากที่เดินทางมาระยะหนึ่ง ดูเหมือนว่าทางข้างหน้าจะเป็นหนทางสู่ทางออกของป่าลึกแห่งนี้ เมื่อทั้งสองหลุดออกมาจากถนนเส้นเดิมได้ เด็กชายก็ได้พบกับโรงเตี๋ยมหลังใหญ่หลังหนึ่งที่เบื้องหน้าของมัน หลออี้เหมือนจะอ่านใจมันออกอีกครั้ง มันพูดกับเด็กชายสั้นๆ ทางลัด ครั้งนี้เด็กชายต้องขอบคุณความไว้เนื้อเชื่อใจที่มันมีให้กับมือปราบผู้นี้ ซึ่งก็ทำให้เด็กชายรู้สึกดีได้เชื่อใจผู้อื่น เพราะมันแสดงให้ว่าเด็กชายเห็นว่าตัวมัน ไม่ได้อยู่ตามลำพัง หลออี้ผูกม้าของมันไว้กับต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่อยู่ด้านหน้าของโรงเตี๋ยม เด็กชายมองดูป้ายร้านที่โอ่อ่า จรดตัวอักษรจีนสีทองที่อ่านออกได้ว่า “โรงเตี๋ยมตงไหล”

ซึ่งผู้ใดที่ต้องเดินทางไปยังสยาม ล้านช้าง หรือ พม่า โรงเตี๋ยมแห่งนี้จะเป็นจุดสุดท้ายที่นักเดินทางทุกคนต้องมารวมตัวกัน ก่อนที่จะเดินทางออกนอกเขตการปกครองของราชวงศ์ชิง อาจเนื่องมาจากโรงเตี๋ยมแห่งนี้ตั้งอยู่บนทำเลที่ดี ทำให้เจ้าของร้านสามารถนำกำไรมาตกแต่งร้านตงไหลของมันให้โอ่อ่าทัดเทียมกับโรงเตี๋ยมในหัวเมืองใหญ่ๆได้เลย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ โรงเตี๊ยมตงไหลเป็นเพียงโรงเตี๋ยมเล็กๆชั้นเดียวเท่านั้น มีบางคนเล่าลือว่าทางราชวงศ์ให้การสนับสนุนโรงเตี๋ยมนี้อยู่อย่างลับๆ ครั้นถึงสมัยปัจจุบันทางร้านได้ต่อขยายร้านเพิ่มมากขึ้น จนตอนนี้เป็นโรงเตี๋ยมขนาดใหญ่ที่มีถึงจำนวน 4 ชั้น แต่จุดที่เป็นสัญลักษณ์ที่แท้จริงของโรงเตี๋ยมแห่งนี้คือ อาคารทั้งหลังล้วนแล้วแต่ทาด้วยสีแดง ซึ่งเป็นลักษณะเด่นในการดึงดูดผู้มาเยือนโรงเตี๋ยมตงไหลแห่งนี้ นักเดินทางจึงขนานนามโรงเตี๋ยมแห่งนี้อีกชื่อหนึ่งว่า “ตึกแดง” นอกจากตัวตึกที่โอ่อ่าแล้วฝีมือการทำอาหารของพ่อครัวร้านนี้ก็รสเลิศไม่แพ้กัน ผู้คนจึงมาใช้บริการหนาแน่นในทุกๆวัน

หลังจากที่หลออี้ผูกม้าของมันเสร็จ ขณะที่ทั้งสองกำลังเดินเข้าโรงเตี๋ยมอยู่นั้น ก็มีคนทักพวกเขาจากด้านหลังว่า

“น้องชาย ม้าตัวนี้ขายเท่าไหร่” ผู้ที่เอ่ยถามเป็นชายฉกรรจ์สูงใหญ่หน้าตาโหดร้าย มันมาพร้อมกับเพื่อนร่วมทางอีก 2 คน ซึ่งยืนอยู่ที่ด้านหลังของมัน ซึ่งใบหน้าของพวกมันทั้งสองก็ไม่เป็นมิตรเช่นเดียวกัน

หลออี้ตอบกลับไปว่า “ม้าของข้านี้ไม่ได้มีไว้ขาย ต่อให้ท่านนำเงินหลายสิบหมื่นตำลึงทองมาแลกก็ยังคงได้รับคำตอบเดิม”

ชายทั้งสองที่อยู่ข้างหลังร้องโวยวายหาเรื่องขึ้นทันที แต่พวกมันกลับถูกชายฉกรรจ์สูงใหญ่ ซึ่งดูเหมือนมันจะเป็นลูกพี่ของคนทั้งสอง มันกลางมือขึ้นขวางพวกมันเอาไว้ จากนั้นชายผู้ดูเหมือนหัวหน้าได้กล่าวน้ำเสียงเรียบๆกับหลออี้ว่า “พวกเจ้าคงเป็นคนต่างถิ่นไม่รู้ประสีประสาอะไร โปรดจำเอาไว้ อะไรที่ข้า ฟงเจี๋ย ต้องการ สุดท้ายมันก็ต้องเป็นของข้า”

จากนั้นทั้งสาม ก็สะบัดหน้าเดินตรงเข้าไปข้างไหนโรงเตี๋ยมตงไหลทันที เด็กชายพบว่าสถานการณ์ตอนนี้กำลังตรึงเครียด มันคิดว่ามันและหลออี้ไม่มีเหตุจำเป็นที่จะจมปลักอยู่กับพวกกุ๊ยเหล่านี้ อีกทั้งมันก็กลัวเกรงฟงเจี๋ย และพวกด้วย เรื่องราวที่จัตุรัสเพิ่งผ่านไปไม่กี่ชั่วยาม จนบัดนี้พายุกำลังจะตั้งเค้าอีกครา ความกลัวทำให้ท้องไส้ของมันปั่นป่วน ตอนนี้มันไม่หิวกระหายแล้ว มันอยากจะไปให้ถึงเรือให้เร็วที่สุด     ขณะที่มันจะบอกให้หลออี้รุดไปที่เรือ มันกลับพบว่าสายตาของมือปราบผู้นี้กำลังจับจ้องมอง ฟงเจี๋ย และพวก ที่กำลังเดินเข้าร้านอยู่ อย่างไม่ละสายตา เด็กชายภาวนาให้ต่างคนต่างเลิกราไป แต่แล้วหลออี้พลันยิ้มด้วยความมั่นใจพร้อมกล่าวเรียบๆด้วยว่า “ไป พวกเราเข้าไปข้างในกัน ดูสิว่าตัวยาในน้ำเต้าของพวกมัน ขายอะไร” เด็กชายแทบไม่เชื่อหูตัวเอง มันไม่คิดว่าหลออี้จะต่อกรกับพวกดุร้ายทั้งสามนี้ ขณะที่มันคิดที่จะห้ามปราม แต่แล้วมันก็พบว่าหลออี้ได้เดินนำหน้ามันไปแล้ว เด็กชายรู้ว่าหลออี้ผู้นี้แปลกพิกลอยู่บ้าง แต่มันไม่คิดว่าเขาจะเป็นได้ถึงขนาดนี้ เมื่อมันเห็นหลออี้เดินห่างมันไปไกลแล้ว ส่วนตัวของมัน ซึ่งไร้ความคิดความอ่านอยู่แล้ว ได้แต่ข่มความกลัวแล้วครุ่นคิดในใจว่า เอาไงก็เอากัน ก่อนที่จะวิ่งตามหลังมันเข้าร้านไป

ข้างในโรงเตี๋ยมตงไหลมีโต๊ะที่นั่งลูกค้าราวๆ 20 ตัว ซึ่งบ่งบอกถึงฐานะของเจ้าของร้านได้เป็นอย่างดี ข้างในร้านตกแต่งเต็มไปด้วยโคมไฟรูปทรงต่างๆที่ประดับประดาอย่างสวยงาม และที่แน่นอนพวกมันก็ล้วนแล้วแต่สีแดง แขกข้างในร้านจับจองที่นั่ง กว่า 15 โต๊ะของชั้นล่าง และยังมีอีกมากมายที่จับจองอยู่ที่ชั้นบน บริกรผู้หนึ่งรีบเสนอหน้าออกมาเพื่อต้อนรับทั้งสอง หลออี้ยิ้มเล็กน้อยก้อนล้วงเงินง้วนขาวๆจำนวน 1 ตำลึงออกมา บริกรผู้นั้นตาลุกวาวขึ้นทันทีก่อนที่หลออี้จะบอกให้มันจัดหาที่นั่งที่ดีสุดให้แก่พวกเขา บริกรรับเงินด้วยความยินดีก่อนจะพาพวกมันไปยังที่นั่งตรงระเบียงที่สามารถยลทิวทัศน์ที่สวยงามของยูนนานได้

ที่บริเวณชั้นสองนั้นมีแขกที่มาความสำราญกับมื้อเที่ยงอยู่ราวๆ 10  กว่าโต๊ะ และในจำนวนนั้นมี ฟงเจี๋ยและพวกของมันนั่งอยู่ด้วย แววตาที่มั่นคงของ ฟงเจี๋ย ประสานกับแววตาที่เชื่อมั่นของ หลออี้ พวกมันทั้งสองจ้องตากันเพียงไม่กี่วินาทีแต่เหมือนกับพวกมันทั้งสองกำลังหยั่งเชิงฝ่ายตรงข้ามกันอยู่ ก่อนที่หลออี้จะหย่อนก้นนั่งอย่างสบายใจ มันสั่งอาหารกับบริกร 2-3 อย่าง ขณะที่บริกรกำลังจะเดินไปแจ้งรายการกับพ่อครัว

“หยุดก่อน” เสียงที่ดังสะท้านทำให้ทุกคนต้องหันมามองมัน ทั้งหมดพบว่าต้นเสียงนั้นเป็น ฟงเจี๋ย ชายที่สูงใหญ่และหยาบกร้านผู้นั้น

จากนั้นฟงเจี๋ยก็ชี้นิ้วไปยังที่นั่งของหลออี้และเด็กชาวสยาม ก่อนที่มันจะพูดขึ้นอย่างกราดเกรี้ยวว่า “เสี่ยวเอ้อ พวกข้าอยากได้ที่นั่งของมัน ทำไมที่ของมันนั่งสบาย แต่ที่นั่งของข้ากลับคับแคบ”

ทุกคนที่ได้ยินล้วนทราบว่าพวกมันทั้งสามล้วนจ้องที่หาเรื่องผู้ชายกับเด็กต่างถิ่นที่เพิ่งจะเข้าร้านได้ไม่นาน สถานการณ์เบื้องหน้าล้วนตรึงเครียด ลูกค้ากว่าครึ่งแต่งชำระเงินแล้วต่างถยอยจากไป ส่วนพวกที่อยากดื่มกินต่อล้วนแล้วแต่ขยับย้ายโต๊ะหนีไปยังจุดที่ห่างไกล ด้วยความที่มันเป็นมือปราบ มันจึงต้องกวาดมองรอบข้างเพื่อป้องกันความปลอดภัยของประชาชน อีกทั้งยังค้นหาผู้ที่มีท่าทีน่าสงสัยอีกด้วย แล้วมันก็พบเห็นความผิดปกติเกิดขึ้น คือลูกค้าเกือบทั้งหมดล้วนแล้วแต่ย้ายที่นั้งหรือเขยิบโต๊ะให้ห่างออกไป คงเหลือแต่ชายสวมชุดขาวสวมหมวกนักศึกษาผู้หนึ่งยังคงนั่งอยู่ประจำตกของมันที่เดิม ทั้งทีโต๊ะของเขาก็ไม่ได้ห่างไกลจากโต๊ะของมันสักเท่าใด แต่มันก็ไม่มีทีท่าที่จะขยับนี้ ราวกับเรื่องทั้งหมดล้วนห่างไกลจากตัวมันทั้งสิ้น เมื่อเรื่องถึงขั้นนี้แล้วมันก็รู้ตัวว่าการต่อสู้ยากที่จะหลีกเลี่ยง มันจึงบอกให้เห็นชายไปหาจุดที่ปลอดภัย

คนที่อยู่ในร้านบ้างก็ตื่นเต้น บ้างก็รำคาญ แต่โดยส่วนมากแล้วค่อนไปทางหวาดกลัวเสียมากกว่า รวมถึงหมากที่เนื้อตัวของมันสั่นเทาด้วยความกลัวอย่างยิ่ง มันรู้สึกถึงแรงกดดันมหาสารที่ทำให้มันขยับขาก้าวย่างมิได้ หลออี้ต้องย้ำกับมันอีกครั้งหนึ่ง ให้ถอยห่างออกไป ร่างกายของมันจึงค่อยๆสนองปฏิกิริยาค่อยๆขยับเคลื่อนไหว เด็กชายจึงเดินไปรวมกับกลุ่มคนทางเบื้องซ้ายของโต๊ะของมัน ซึ่งตรงนั้นเป็นที่นั่งของชายที่ไม่ค่อยสนใจโลกนายนั้น ทั้งที่ศึกใกล้จะปะทุแล้ว แต่มันยังนั่งจิบสุราอย่างไม่ได้สนใจสถานการณ์รอบข้างแม้แต่น้อยเลย เด็กน้อยหวังว่าการปะทะกันคงจะไม่เกิดขึ้น ทั้งที่มันรู้ว่าในที่สุดถึงจุดแตกหักแล้ว ในตอนนี้ หลออี้ ได้หดมือซ้ายที่มันวางไว้บนโต๊ะ เพื่อลดลงกำด้ามของกระบี่คู่กายเอาไว้ เพื่อพร้อมรับสถานการณ์ตอบโต้อย่างเฉียบพลัน ส่วนฟงเจี๋ยก็ขยับร่างกายเพื่อเข้าสู่สภาวะตื่นตัวเช่นเดียวกัน ทุกคนต่างเฝ้าชมจนแทบจะลืมหายใจเลยทีเดียว เด็กชายอดที่จะเป็นห่วงหลออี้ไม่ได้ เนื่องจากบุคลิกของมันดูเหมือนหนุ่มเจ้าสำราญ ส่วนฝ่ายตรงข้ามทั้งตัวใหญ่และดุดัน เหตุการณ์ใกล้ที่จุดปะทุกันแล้ว คงไม่มีใครหน้าไหหยุดยั้งการต่อสู้ครั้งนี้ได้แล้ว

แต่ทันใดนั้นเองก็มีเสียงผู้ชายคนหนึ่งร้องทักขึ้นว่า “ขอให้พี่ฟงเจี๋ย เห็นแก่หน้าเรา เซียงหวี่ด้วย เนื่องจากเราต้องอาศัยโรงเตี๋ยมเล็กๆแห่งนี้เพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง นอกจากนั้นขอให้ท่านทั้งสองเห็นแก่หน้าเพื่อนนักเดินทางทุกท่านที่อยู่ ณ ที่ตรงนี้ด้วย เอาเป็นว่าวันนี้เราจะถือโอกาสขอเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารต้อนรับพวกท่านเอง ถ้าหากว่าขาดตกบกพร่องอันใด ท่านพี่คิดบัญชีกับผู้น้องได้แต่เพียงผู้เดียว” หลังจากที่เขาพูดจบ เพียงคำพูดไม่กี่ประโยค แต่ก็ได้ทำลายบรรยากาศที่ตรึงเครียดของโรงเตี๋ยมตงไหลไปได้เลยโดยปริยาย ลูกค้าส่วนมากต่างส่งเสียงสนับสนุนเจ้าของโรงเตี๋ยม ส่วนพวกที่ชอบชมคราเคราะห์ของชาวบ้านก็ได้เพียงเก็บความไม่พอไว้ในใจเท่านั้น เซียงหวี่ผู้นี้ อายุราวๆ 55 ปี หน้าตาของเขาเต็มไปด้วยริ้วรอย ซึ่งบ่งบอกได้ว่าเขาดำเนินชีวิตในยุทธจักรมาอย่างยาวนาน เขาไว้เครา 5 แฉกดำงาม สวมใส่เสื้อนักศึกษาสีม่วงอันสง่า เมื่อครั้งที่มันเร่ร่อนอยู่ในยุทธจักรตัวมันก็เคยเป็นจอมดาบที่มือชื่อเสียงผู้หนึ่ง ซึ่งมีฉายาว่า “ดาบฟ้าคำรน” ผู้ที่บัญญัติ 15 ดาบฟ้าคำรนขึ้นมา แม้ว่าชื่อเสียงส่วนมากจะค่อนไปในทางที่ไม่ดี ซึ่งตัวมันเคยนำกองทัพธรรมรบฟันกับทหารรักษาแผ่นดินมาแล้ว แม้ท้ายที่สุดแผนการที่มันวางไว้อย่างดิบดีจะล้มเหลวไม่เป็นท่า ทั้งตัวมันก็ถูกจับเป็น แต่โชคดีที่ทั้งหมดได้รับอภัยโทษ ดังนั้นนักโทษในครั้งนั้นทั้งหมดได้ปฏิญาณให้คำสาบานว่าจากนี้ไป พวกมันจะไม่ตั้งตนเป็นศัตรูกับองค์จักรพรรดิอีก จากนั้นจึงได้ลี้ภัยมาเปิดกิจการโรงเตี๋ยมที่มณฑลยูนานแห่งนี้ ในสถานการณ์ครั้งนี้แม้ดูเหมือนว่าทุกคนจะดูเกรงกลัวฟงเจี๋ย แต่ด้วยฉายา ดาบฟ้าคำรน ทำให้ยังไม่มีใครหน้าไหนที่จะกล้ามาตอแยในโรงเตี๋ยมตงไหลแห่งนี้ ซึ่ง ฟงเจี๋ยมันเป็นนักเลงท้องถิ่นในแถบนี้ มันย่อมที่จะรู้จักกิตติศักดิ์ของเจ้าของโรงเตี๋ยมเป็นอย่างดี หากเซียงหวี่ขอให้มันเลิกตอแย ตัวมันคงได้แต่ยกเลิกชั่วคราว ส่วนหลออี้มันยังคงนิ่งเฉยไม่ได้แสดงท่าทีแต่อย่างใด

เมื่อเซี่ยงหวี่เห็นพวกมันยอมเลิกราก็ค้อมตัวขอบคุณพวกมันทั้งสอง ก่อนที่มันจะหันหน้ามากล่าววาจากับหลออี้ว่า “น้องคนนี้ส่วนสัดไม่เลว ย่อมมิบุคคลที่มีชื่อเสียธรรมดาเป็นแน่” เมื่อกล่าวจบมันก็จ้องมองหน้าหลออี้อย่างลึกซึ้ง

หลออี้ ตอบกลับอย่างนอบน้อมว่า “ข้าพเจ้า หลออี้เป็นคนป่าคนดอยย่อมไม่รู้จักธรรมเนียมในยุทธจักร คงปฏิบัติตามคำสั่งของพี่ฟง เราสองพี่น้องจะเป็นฝ่ายขอย้ายที่นั่งออกไปเอง พวกเราต้องการรับประทานอาหาร มิใช่ต้องการจะต่อยตี” หลังจากที่พูดจบก็ชักชวนเด็กชายชาวสยามไปนั่งที่โต๊ะตัวเล็กกว่า ที่ข้างบันไดทางขึ้นเหลา ส่วนฟงเจี๋ยและพวกเพียงยิ้มแย้มอย่างเย้ยหยัน

เซียงหวี่ กล่าวคำว่า “ประเสริฐ เห็นแก่ความเป็นลูกผู้ชายของท่าน เราจะนำสุราที่เลิศรสที่สุดในร้านมาเปิดเลี้ยงพวกท่านเอง” ทุกคนรอบข้างต่างร้องเฮโลชอบใจ ที่โต๊ะของฟงเจี๋ย ชายร่างใหญ่พลันผุดลุกขึ้น สภาวะกลับมาตรึงเครียดอีกครั้ง บรรยากาศชั้นสองตอนนี้เงียบกริบ หากแม้เพียงเข็มสักเล่มหล่นลงพื้น ทุกคนบนที่นั้น คงล้วนแต่จะได้ยินทั้งสิ้น ฟงเจี๋ยมันโค้งคำนับเจ้าของสถานที่ พร้อมกล่าวด้วยท่าทีโอ่อ่าผ่าเผยว่า

“ข้าพเจ้าเพียงกล่าววาจาหยอกล้อ ขอให้ท่านพี่อย่าเก็บมาเป็นอารมณ์ ค่าอาหารของของพวกท่านทั้งสอง มิต้องรบกวนท่านดาบฟ้าคำรน เราผู้น้องขออาสาเป็นเจ้ามือเลี้ยงเอง” เมื่อสถานการณ์กลับตาลปัตรอีกครั้ง ในรอบนี้เหล่าลูกค้าคนอื่นๆ ต่างโห่ร้องกระหึ่มชอบใจที่เรื่องราวจบลงด้วยอย่างดี ซึ่งเสียงได้ดังกว่าครั้งไหนๆ เมื่อเซียงหวี่เห็นเช่นนั้นก็อดที่ชื่นชมความใจกว้างของฟงเจี๋ยมิได้ จากนั้นมันจึงขอตัวลงเพื่อไปดูแลลูกค้าที่จุดอื่นต่อไป พร้อมทั้งยังกำชับให้พ่อครัวทำอาหารเลิศรสให้พวกเขาทั้ง 2 โต๊ะได้ลิ้มลองอย่างเต็มที่

ฟงเจี๋ยสบตาหลออี้ เพียงแว๊บนึง ก่อนที่จะหันไปพูดคุยกับพรรคพวกทั้งสองต่อไป เด็กชายเห็นว่าเรื่องจบลงเช่นนี้ ตัวมันมันย่อมยินดียิ่ง จึงได้กล่าวกับหลออี้ว่า “ในเมื่อเรื่องคลี่คลายได้ด้วยดี ข้าก็สามารถรับประทานได้อย่างสบายใจ” หลออี้ เพียงแสร้งยิ้มกลบเกลื้อนเด็กชาย

หลออี้มันมีความเห็นแตกต่างกับเด็กชาย ตัวมันคิดว่า คนอย่างฟงเจี๋ย พวกมันต้องไม่ยอมรามือง่ายๆเป็นแน่ จนตัวมันอดที่จะหันกลับไปมองที่ฟงเจี๋ยมิได้ เมื่อเด็กน้อยเห็นเช่นนี้ อาจเป็นสัมผัสพิเศษของเด็กชาย ซึ่งมันเริ่มรู้สึกใจคอไม่ดีขึ้น เหมือนมีลางบอกเหตุว่าไม่ช้าก็เร็วโรงเตี๋ยมตงไหลที่มีชื่อเสียงแห่งนี้จะต้องพินาศด้วยน้ำมือของพวกมันทั้งสองเป็นแน่ ทางฟงเจี๋ย มันมักจะแสยะยิ้มใส่หลออี้เหมือนชวนท้าทายต่อยตีอยู่ตลอดเวลา แต่หลออี้ไม่เคยที่จะตอบรับคำเชื้อเชิญจากมัน เพียงจ้องหน้าและนิ่งเงียบงันเท่านั้น ส่วนโต๊ะของลูกค้าท่านๆอื่น ซึ่งดูว่าพวกเขาไม่ได้สัมผัสบรรยากาศที่เปลี่ยนในขณะนี้ พวกมันยังคงดื่มกินพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน เด็กชายเหลือบจ้องมองดูไปทั่ว จนมันเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าในสถานการณ์รอบข้างที่ดูเหมือนจะเป็นปกติ แต่มีเพียงโต๊ะเดียวเท่านั้นที่จะดูผิดแผกแตกต่างกันออกไป นั้นคือโต๊ะที่มีชายชุดขาวสวมหมวกนักศึกษาผู้หนึ่ง ซึ่งบนโต๊ะของมันก็มีสุรา แต่มันกลับนั่งเพ่งมองสุราอย่างไม่ยินยอม เด็กชายไม่เข้าใจพฤติกรรมของมัน จึงเข้าใจว่านั้นอาจเป็นอาการป่วยทางด้านจิตใจประเภทหนึ่ง

และแล้วลางสังหรณ์ของเด็กชายก็เริ่มที่จะมีเคล้าโครงขึ้น เมื่อสุราจำนวนหลายชั่งหลั่งไหลเข้าปากของฟงเจี๋ยและพวกทั้งสอง อาการมึนเมาของพวกมันก็เริ่มบดบังสติสัมปชัญญะที่พวกมันเคยมี หรือบางทีพวกมันมันอาจจะรอเวลาเช่นนี้อยู่ ด้วยฤทธิ์สุราทำให้ฟงเจี๋ยกล่าวกับพวกพ้องมันทั้งสองว่า“พวกเจ้ารู้ไหม แท้ทีจริงแล้ว ฉายาไอ้ดาบฟ้าคำรนนั้น มันก็แค่ไอ้ชื่อเสียงจอมปลอม ดูสิในเวลานั้นจักรพรรดิได้เปลี่ยนแผ่นดินเป็นเด็กน้อยเฉียนหลง มันก็ยังใจฟ่อ ถุย! ต่อให้ไอ้จักรพรรดิมาถือร้องเท้าทั้งสองข้างให้กับข้า มันยังไม่คู่ควรเลย”

เมื่อลูกน้องของมันทั้งสองได้ฟังคำของหัวหน้าของมันแล้ว ต่างก็หัวเราะชอบใจกันใหญ่ ซึ่งคำพูดคำจาแต่ละคำของพวกเขาทั้งสาม ต่างสร้างความไม่พอใจแก่ลูกค้าในร้านและหลออี้เป็นอย่างมาก เพราะในสายตาของคนทั่วไปแล้วพวกมันต่างมองว่าเซียงหวี่นั้นเป็นบุรุษผู้กล้า สาเหตุที่เขาต่อต้านจนยอมก้มหัวแก่องค์จักรพรรดินั้นคงย่อมมีเหตุผลส่วนตัวของเขา แต่ลักษณะของฟงเจี๋ยนี้ แสดงให้เห็นว่ามันไม่ได้เห็นแก่หน้าเจ้าสถานที่ผู้นี้แม้แต่น้อย หลังจากฤทธิ์สุราออกรส สันดานดิบที่แท้จริงของพวกมันเป็นที่ประจักษ์แก่สายของพยานทุกคนในที่นี้ ดั้งนั้นการถ่อมตัวเมื่อครู่นี้ล้วนแล้วแต่เป็นการเสแสร้งแกล้งดัดทั้งสิ้น

เด็กชายมันพยายามที่จะสังเกตสีหน้าของหลออี้อยู่ตลอดเวลา เนื่องจากพวกมันทั้งสามได้เอ่ยอ้างนามของจักรพรรดิเฉียนหลง ซึ่งหลออี้มันก็สังกัดราชการในสมัยจักรพรรดิเฉียนหลงผู้นี้ เนื่องจากหลออี้ มันสวมชุดของชาวบ้านชนบททั่วไป จึงไม่มีใครทราบตัวตนและหน้าที่การงานที่แท้จริงของมัน แต่ใบหน้าของมันยังคงเฉยเมยอยู่ ราวกับว่าจักรพรรดิเฉียนหลงนั้นไม่ได้มีความสำคัญกับตัวมันแม้แต่น้อย เด็กชายสงสัยว่าตัวหลออี้มันคงเป็นผู้มีความอดทนอดกลั้นสูง หรือไม่ มันก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับองค์จักรพรรดิเฉียน หลงจริงๆ

ชายที่นั่งซ้ายมือของฟงเจี๋ย กล่าวว่า “ให้เด็กน้อยอ่อนหัดเป็นฮ่องเต้ข้าว่าให้หมูหมากาไก่เป็นเสียจะดีกว่า” ทั้งสามต่างพากันหัวเราะดังขึ้นอีก เมื่อทั้งสาม กล่าววาจาถึงขั้นนี้แสดงว่าพวกมันคงถือดีในฝีมือหรือไม่ก็เพ้อเจ้อเพราะฤทธิ์สุรา ถึงไม่เห็นตัวบทกฎหมายบ้านเมืองอยู่ในสายตา ตอนนี้ผู้ทราบสถานการณ์ต่างพาตัวไปชำระเงิน พร้อมพาล่าถอยออกจากโรงเตี๋ยมแห่งนี้ไป ลูกค้าบางรายถึงกับถามถึงดาบฟ้าคำรน เซียงหวี่กับบริกรของร้าน แต่พวกมันได้รับคำตอบจากว่า ตอนนี้เจ้าของกิจการไม่ได้อยู่ในร้านแล้ว บริกรประจำร้านล้วนแล้วแต่เป็นชาวบ้านในท้องที่แถบนี้ ทั้งหมดไม่รู้วรยุทธติดตัว พวกมันต่างเกรงกลัววายร้ายทั้งสามยิ่ง จึงไม่มีใครที่จะกล้าตอแยพวกมันทั้งสามแม้แต่คนเดียว ทุกคนต่างหลบหนีลงไปบริเวณชั้นล่างกันหมด ส่วนชายชุดขาวนั้นมันเดินลุกออกจากที่โต๊ะของมันเป็นคนสุดท้าย แต่มันก็รีรอไม่ยอมลงบันไดไปที่ชั้นล่างเหมือนว่ามันยังคงต้องการเฝ้ารออะไรบางอย่างอยู่  ดังนั้นในนี้ตอนนี้จึงมีผู้คนเพียงโต๊ะ 2 โต๊ะ เท่านั้นคือ โต๊ะของ ฟงเจี๋ย และโต๊ะของ หลออี้

เด็กน้อยชาวสยามรู้สึกหนาวๆร้อนๆ ตอนนี้มันทำหน้าตาราวกับว่ามันกำลังอั้นอุจจาระอยู่ มันพยายามส่งสายตาสะกิดมาที่หลออี้ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจเด็กน้อยเลย เขายังคงนั่งนิ่งๆและอมยิ้มเล็กๆน้อยๆ แต่ว่าหลออี้นั้น มันตั้งใจจดจำฟังคำพูดทุกประโยคที่ทั้งสามได้พูดจาว่าร้ายต่อองค์จักรพรรดิเฉียนหลงและการปกครองบ้านเมืองของพระองค์ เด็กน้อยเข้าใจถึงหัวอกของหลออี้ เพราะขุนนางบ้านเมืองย่อมจงรักภัคดีต่อองค์จักรพรรดิ ดั้นนั้นเมื่อมีคนพูดจาว่าร้ายต่อพระองค์ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่ขุนนางตงฉินยังจะนิ่งเดียวดายอยู่ เด็กชายคิดว่าหลออี้ผู้นี้ มันเหมือนกับพายุที่กำลังตั้งเคล้า รอเพียงเวลาที่จะโถมกระหน่ำเท่านั้น

เมื่อความกดดันถึงขีดสุด เด็กชายจึงตัดสินใจถามหลออี้ว่า “ลูกค้าคนอื่นเขาออกไปจากร้านหมดแล้ว เมื่อใดเราถึงจะไปเหมือนกับคนอื่นเขาบ้าง ต้อนนี้ข้าก็กินอิ่มแล้วด้วย ท่านอย่าลืมนะ ท่านยังมีภาระที่จะต้องส่งตัวข้าขึ้นเรืออีก” แต่ดูเหมือนว่าในตอนนี้ ตัวหลออี้มันไม่ได้ใส่ใจต่อคำถามของเด็กชายเลยแม้แต่น้อย มันมัวแต่สนใจคำพูดของฟงเจี๋ยและสุราที่อยู่ในมือของมันเพียงเท่านั้น

ตึบ ตึบ ตึบ ฟงเจี๋ยทุบโต๊ะอย่างคุ้มคลั่ง ใบหน้าที่แดงกล่ำราวกับเทพเจ้ากวนอู แสดงให้เห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่จะสามารถถอนอาการมึนเมาของมันกับพรรคพวกได้อีกแล้ว ในเวลานี้ ฟงเจี๋ยมันยังคงกล่าวอย่างคะนองปากต่อไป “ทั้งหมดนี้เป็นเช่นนี้ก็เพราะ ไอ้คังซีตัวเดียวเท่านั้น”

“บังอาจ”หลออี้ตะโกนก้องขึ้น เด็กน้อยสังเกตเห็นว่าในตอนแรกที่ฟงเจี๋ยพาดพิงถึงเฉียนหลงฮ่องเต้ ซึ่งเป็นฮ่องเต้ในรัชกาลปัจจุบัน หลออี้ยังพอควบคุมตัวเองไว้ได้ เหมือนไม่ได้ให้ความสำคัญแต่อย่างไร แต่พอเพียงพาดพิงถึงจักรพรรดิคังซี ซึ่งมีศักดิ์เป็นปู่ของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เนื้อตัวของหลออี้พลันสะท้านขึ้นอย่างรุนแรง มันกำด้ามกระบี่คู่ใจ แล้วลุกขึ้นพรวดทันที ตาของมันลุกโชนไปด้วยความแค้น เด็กชายผู้ไว้ผมแกละ มันคิดว่าในเวลานี้คงไม่มีใครหยุดเขาได้อีกแล้ว ตลอดเวลาที่มันได้อยู่ร่วมกับเขา เขาจะเป็นคนที่ยิ้มง่าย เด็กชายไม่เคยเห็นมันครุ่นข้องหมองใจ แม้กระทั้งตอนที่มันอยากเล่นกับลูกหมีแพนด้า หลออี้ มันก็ไม่เคยบ่นสักคำ อีกทั้งยังสรรหามาให้มันโดยใช้เวลาไม่นานด้วย แต่ในเวลานี้สถานการณ์กลับเปลี่ยนแปลง เด็กชายรู้สึกว่าในตอนนี้มือปราบผู้นี้หน้ากลัวยิ่ง

ฟงเจี๋ยหาเกรงกลัวมันไม่ อีกทั้งยังพูดต่อไปอย่างได้ใจว่า “คังซีนำพาชนชาวฮั่นเดือดร้อนยกพลทหารเราบุกโจมตีพวกเซ่อมู่ทางภาคเหนือ อีกทั้งยังปกครองชนชาวฮั่นอย่างต่ำช้าไม่ต่างอะไรก็พวกมองโกล ข้าว่าจะรวบรวมกองทัพธรรมบุกไปที่หลุมศพของมัน กระชากขึ้นมาจากหลุมดูสิว่ามันจะมีสามหัวหกกรหรือไม่” พรรคพวกทั้งสองต่างกล่าวสนับสนุนคำพูดของพี่ใหญ่ของพวกเขา จากนั้นทั้งสามก็หัวเราะกันอย่างบ้าคลั่ง แต่ในขณะที่ฟงเจี๋ยกำลังจะพูดต่อไป

“โพล้ง” โต๊ะตัวที่หลออี้นั่งอยู่นั้นพลันถูกฟันหักโค่นลงมา ซึ่งเป็นฝีมือของหลออี้ เพียงการลงมือฟันแค่ทีเดียว ฝีมือของมันก็สามารถกลบเสียงของพวกฟงเจี๋ยได้ จากนั้นมันก็ส่งสายตาที่เย็นชาไปที่เด็กชายและกล่าวกับเด็กชายว่า “หลบไป” ใจจริงเด็กชายอยากจะหลบลี้ไปตั้งนานแล้ว แต่ติดที่ว่าบรรยากาศที่ตรึงเครียดพาให้ของมันกล้าที่จะขยับออกไป เมื่อมันได้ยินเสียงของหลออี้ มันจึงจำฝืนกำลังขาที่ดูจะไร้เรี่ยวแรงทั้งสองข้าง ให้ขยับเขยื้อนไปยังโต๊ะตัวหนึ่งที่มุมห้องโดยทันที

หลออี้กระชากกระบี่ออกมา อีกทั้งยังเดินตรงเข้าหาฟงเจี๋ยและพวกทั้งสอง พร้อมกล่าววาจากึกก้องว่า “จักรพรรดิคังซี พระองค์ทรงยกเลิกตัวบทกฎหมายที่เอารัดเอาเปรียบชาวบ้านของราชวงศ์หมิง ทรงให้ความสนใจในการแก้ปัญหาน้ำท่วมอย่างจริงจังและทรงพระปรีชาสามารถรวบรวมจัดทำพจนานุกรมภาษาจีนเล่มแรกให้ชาวโลกได้ประจักษ์” ในตอนนี้อีกเพียงไม่กี่ก้าวมันก็จะเดินถึงโต๊ะของวายร้ายทั้งสามแล้ว  ซึ่งพวกมันยังดูมึนงงด้วยฤทธิ์สุรา แต่ทีท่าของพวกมันหาได้เกรงกลัวชายผู้นี้ไม่

หลออี้ยังคงพูดต่อไปว่า “มองโกลปกครองบ้างเมืองอย่างโหดร้าย แต่ราชวงศ์แมนจูใช้หลักการประนีประนอมหล่อหลอมรวมชาติขึ้น พวกสถุลต่ำช้าไหนเลยจะเข้าใจ” คราวนี้พวกมันทั้งสามได้รู้สึกถึงภัยคุกคามจากชายผู้นี้ แต่เพราะพวกมันไม่ได้ให้น้ำหนักแก่ชายผู้นี้มากนัก พวกมันจึงมีท่าทีปราศจากความเกรงกลัว อีกทั้งต่างลุกขึ้นอย่างพร้อมเพรียงด่ามันอย่างหยาบคาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่นั่งทางซ้ายมือของฟงเจี๋ยถึงชี้ไม่ชี้มือใส่หลออี้ เมื่อมันเห็นหลออี้ไม่โต้ตอบ มันก็ชักได้ใจ มันควักกระบี่ออกมาพร้อมเดินมาหามือปราบอย่างเอาเรื่อง มันมีชื่อว่า เยว่ซิน โดยปกติแล้วตัวมันชอบทำร้ายเจ้าหน้าที่ทางการอยู่แล้ว โดยเฉพาะการตัดข้อมือของอีกฝ่าย ดูแล้วมันน่าจะชอบเป็นพิเศษ จนมันได้รับสมญานามว่า                “หัตถ์สลายเย่วซิน” ตัวมันจ้องข้อมือของหลออี้อย่างไม่วางตา ก่อนที่จะยกดาบขึ้นแล้วฟันใส่ข้อมือของหลออี้

“ควับ” เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น แทนที่จะเป็นข้อมือซ้ายของหลออี้ แต่กลับข้อมือซ้ายของชายผู้นั้นแทน ข้อมือของมันร่วงหล่นลงกับพื้นอย่างอเนจอนาถ ชายผู้นั้นร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด แต่ด้วยความที่เป็นนักเลงแทนที่เขาจะนำมือขวาห้ามเลือดที่ข้อมือซ้ายข้างที่ขาด แต่กลับใช้มืออีกข้างชักมีดสั้นภายเสื้อออกมาอย่างองอาจ ด้วยความเป็นมือปราบ ดังนั้นหลออี้ย่อมรู้ที่มาของพวกมันทั้ง 3 ดีอยู่แล้ว “กายศิลาฟงเจี๋ย” “อินทรีคลั้งหลิวตงและ” และคนที่ฟันเพิ่งจะฟันแขนขาดไป “หัตถ์สลายเย่วซิน” ครั้งนี้มันกลับมือขาดเสียเองถือว่ากรรมได้สนองตัวมันแล้ว  ฟงเจี๋ยและพรรคพวกอีกคนหนึ่ง เมื่อเห็นอย่างนั้น พวกมันล่าถอยล่นก้าวหนึ่งพร้อมกัน โดยที่ตอนนี้ฟงเจี๋ยได้ล้วงตะขอเหล็กคู่ที่กลางหลังออกมา ส่วนอีกคนก็กำดาบอย่างมั่นคง ฟงเจี๋ยจับจ้องมองที่หลออี้เป็นการคุมเชิง โดยตอนนี้พวกมันทั้งสามล้วนสร่างเมาโดยปริยาย

ส่วนชายอีกคนหนึ่งทางมือขวาของ ฟงเจี๋ย นั้นคือหลิวตง ได้ฟาดฟันดาบใส่หลออี้อย่างเต็มกำลัง หลออี้สมเป็นยอดฝีมือที่แท้จริง เขาเบี่ยงตัวหลบดาบด้านข้างอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะใช้กระบี่โต้ตอบกลับไป จังหวะกระบี่นี้อาจดูเหมือนจะทื่อด้าน แต่ก็แฝงด้วยการเปลี่ยนแปลงนานัปการ เสียงกระบี่และดาบปะกันดัง เพล้ง ที่ง่ามมือของหลิวตงผู้ใช้ดาบผู้นั้นฉีกขาดทันที เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังขึ้น ก่อนที่ดาบในมือของมันจะร่วงลงพื้น หลออี้ไม่รอช้าเขาก็มันตะหวัดเท้าใส่ที่บริเวณลิ้นปี่ของชายผู้นั้นอย่างรุนแรง จนมันถึงกับกระอักเลือดออกมา ก่อนที่จะหงายหลังร่วงถลากระแทกกับโต๊ะที่ด้านหลังของมันอย่างหนักหน่วง หลออี้มันรู้สึกถึงรังสีที่คุกคามที่ด้านหลังของมัน มันจึงก้มหัวตามสัญชาตญาณ ซึ่งสามารถหลบรอดคมมีดได้อย่างเฉียดฉิว มันปล่อยมือออกจากกระบี่คู่ใจของมัน เพื่อที่จะสามารถใช้สองมือยันพื้นไว้ได้ จากนั้นจึงดีดเท้าทั้งสองข้างใส่ท้องน้อยของชายที่แขนขาด ผู้ที่อยู่ด้านหลังของมันอย่างแม่นยำ ทำให้ชายผู้นั้นล้มขดตัวลงนอนกับพื้นจนสิ้นสติไป

ในตอนนี้เด็กชายตกตะลึงในฝีมือขององครักษ์ผู้นี้อย่างมาก เปรียบได้กับพยัคฆ์ร้ายที่ผงาดลงมาจากทรวงสวรรค์ มันไหนเลยคิดว่าคนเพียงคนเดียว แม้ว่าจะเป็นมือปราบก็ตาม จะสามารถต่อสู้กับชายป่าเถื่อนทั้งสามคนได้ อีกทั้งหลออี้ผู้นี้ยังดูคล้ายบัณฑิตผู้หนึ่งมากกว่าผู้ที่จะมาเป็นมือปราบได้ แต่หลังจากที่ตัวมันชนะชายทั้งสองได้ เด็กชายถึงกลับต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติของตัวเองเสียใหม่ เด็กชายได้คิดว่าศิลปะการต่อสู้นั้นไม่ใช่จะไร้ประโยชน์เหมือนกับที่มันเคยคิดไว้ ดังนั้น มันตั้งใจไว้ว่าหลังจากที่มันกลับถึงอยุธยาแล้ว มันจะให้บิดาของมันสรรหาครูมวยที่มีชื่อเสียงสอนมวยแก่มันเพื่อเป็นการป้องกันตัว เมื่อก่อนมันฝักใฝ่อยู่แต่กับตำรา ทำให้มันละเลยวิชาบู๊ ซึ่งบิดามันก็เคยไหว้วานให้ครูมวยที่เก่งกาจ ที่ท่านเชิญมาเพื่อสอนวิชาหมัดมวยแก่มัน ซึ่งตัวมันก็หลบเลี่ยงไปเสียทุกครั้ง แต่แล้ว หลังจากที่มันได้ชมการต่อสู้ในครั้งนี้ กลับทำให้มันเกิดความเปลี่ยนแปลงให้หันมาใส่ใจร่ำเรียนวรยุทธอีกครั้ง

หลังจากที่หลออี้ดีดลูกหลังใส่นักเลงคนนั้น มันก็พาตัวกลิ้งหลบรอดคมตะขอได้อย่างหวุดหวิด ฟงเจี๋ย มันรู้สึกแปลกใจที่ชายคนนี้สามารถหลบรอดจากท่าสังหารของมันได้ ตัวมันก็ไม่รีรอช้า ฉวยโอกาสที่มันกำลังเป็นฝ่ายรุกเดินหน้าฟาดฟันชายหนุ่มต่อไป หลออี้เอี้ยวตัวหลบซ้ายทีขวาที ฟงเจี๋ยยังคงฟาดฟันอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันไม่ให้หลออี้ได้มีโอกาสได้โต้ตอบมันกลับ

แต่แล้วหลออี้มันรู้สึกเหมือนมีแสงมาแยงเข้าที่ตาของมัน ด้วยความที่มันมีความคิดว่องไว มันจึงรีบพลิกเพื่อเบี่ยงเบนหักเหมุนของแสง ฟงเจี๋ยมันไม่ทันป้องกันตัว ถูกแสงกระทบถูกเข้าตาของมันอย่างจัง มันจึงต้องใช้เวลาชั่วครู่ถึงจะสามารถปรับสายตาของมันได้ เมื่อมันเริ่มเห็นภาพได้เลือนราง มันก็พบกับคมกระบี่พุ่งเข้าที่ท้องน้อยของมัน ฟงเจี๋ยรีบขยับตะคอคู่เข้าปะทะรับคมกระบี่ของหลออี้อย่างหนักหน่วง แสดงให้เห็นถึงการเป็นยอดฝีมือของมันเช่นกัน

เด็กชายยังเฝ้าลุ้นอย่างระทึก มันไม่สามารถคาดเดาได้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะในสมรภูมิเลือดแห่งนี้ ทั้งคู่ดูก่ำกึ่งสูสีอย่างมาก แต่เมื่อมันพบว่าหลออี้มีโอกาสโต้ตอบกลับบ้างแล้ว มันถึงกับร่ำร้องดีใจอย่างลืมตัว ฟงเจี๋ยมันรู้สึกรำคาญกับเด็กน้อย แต่มันไม่มีเวลาที่จะปลีกตัวไปจัดการคนอื่น เนื่องด้วยหลออี้นั้นกำลังโจมตีมันอย่างหักโหม

ในตอนนี้เมื่อหลออี้ได้ฉวยโอกาสเป็นฝ่ายรุกบ้าง มันก็ไม่รอช้า มันฟาดกระบี่ยังศีรษะของฟงเจี๋ย อย่างรวดเร็วและแม่นยำ แต่ฟงเจี๋ย มันก็ยอดเยี่ยมยิ่ง มันยกตะขอขึ้นต้านยันท่ามรณะของหลออี้ได้อย่างเฉียดฉิว เมื่อท่าแรกมาถึงท่าที่สองก็ตามโดยทันที  ครานี้หลออี้ปรับเปลี่ยนกระบวนท่าเป็นฟันเฉียง เพื่อหวังจะให้คู่อริของมันขาดสะพายแล่ง แต่ฟงเจี๋ยได้อาศัยวิชาตัวเบาที่รวดเร็วของมันหลบหนีล่าถอยหลบรอดได้อีกครั้ง เมื่อฟงเจี๋ยสามารถตั้งหลักได้บ้าง มันจึงตัดสินใจงัดท่าไม้ตายของมันออกมา กระบวนท่านี้เรียกว่า พันสับฟาดหมื่นสังหาร จุดเด่นของท่าไม้ตายนี้คือ ผู้ใช้จะใช้ภาวะตะขอเหล็กที่รวดเร็วจ้วงฟันจุดสำคัญทั้ง 48 จุดของร่างกายภายในเวลา 1 นาที ตั้งแต่มันสำเร็จยอดวิชายังไม่เคยใช้วิชานี้มาก่อนเลย ตัวมันไม่เคยคิดเลยว่าบุรุษหน้าตาเรียบร้อยผู้นี้จะตรึงมือขนาดนี้ เพื่อให้การต่อสู้จบลงอย่างรวดเร็วทำให้มันต้องงัดท่าไม้ตายนี้ออกมา

เมื่อหลออี้เห็นว่าคู่ต่อสู้ของมันแทนที่จะตอบโต้กับยืนนิ่งเฉยราวกับกำลังทำสมาธิอยู่ มันจึงรั้งสภาวะร่างกายให้ช้าลงแทนที่จะดุดันเพราะมันคิดว่าฟงเจี๋ยผู้นี้ต้องมีท่าไม้ตายอะไรซ่อนไว้อยู่แน่ เมื่อฟงเจี๋ยพบว่าหลออี้เกิดการลังเลในการจู่โจม มันจึงรีบพุ่งตัวออกพุ่งตะขอข้างซ้ายใส่ที่ก้านคอ ส่วนตะขอที่มือข้างขวาแทงใส่ท้องน้อยของหลออี้อย่างดุดัน หลออี้มีเพียงหนึ่งกระบี่ยากที่จะปกป้องสองตะขอที่ฟาดฟันคนละจุดกัน

มันจึงตัดสินใจตวัดกระบี่ต้านตะขอที่จู่โจมก้านคอของมัน ก่อนกดลงกระแทกกระบี่เข้ากับตะขออีกตัวที่จู่โจมใส่ท้องน้อยของมัน ฟงเจี๋ยไม่มีถ้าทีแปลกใจที่เขาป้องกันท่าตายของมันได้ มันจึงรีบเปลี่ยนแปลงเป็นท่าตะขอเป็นการจู่โจมใส่ หัวใจ ใส่ติ่ง ดวงตา ลิ่นปี่ หลอดลม ลำคอ หว่างคิ้ว อย่างรวดเร็ว

ตะขอคู่ของฟงเจี๋ยไล่รัวใส่หลออี้อย่างไร้ความปราณี ท่าตะขอของของมันรวดเร็วและแม่นยำอย่างเหลือเชื่อ หลออี้มันคิดอยู่แล้วว่าชายผู้นี้ต้องไม่ธรรมดา แต่ไหนเลยจะคาดคิดว่ามันจะเก่งกาจถึงขนาดนี้ มีอยู่รายคราวที่มันต้องใช้ร่างกายส่วนอื่นรับตะขอแทนเพื่อปกป้องจุดตายของเขา เช่น ยกหัวไหล่ป้องกันไหปลาร้า หรือใช้ส่วนหนาของสะโพกป้องกันม้าม จนบัดนี้มันหลบรอดท่าตะขอของฟงเจี๋ยมาแล้วประมาณ 40 จุดตายแล้ว ตอนนี้หลออี้มันอ่อนล้าเต็มทีแล้ว สายตาก็เริ่มพล่ามัว จนหลออี้มองไม่เห็นเงาขวานที่ฟาดลงมาใส่มัน มันทำได้เพียงประคองตัวหลบคมคมของโจรร้ายผู้นี้เท่านั้น

เมื่อ ฟงเจี๋ย เห็นเช่นนั้นเขาก็หัวเราะก้องพร้อมกล่าวว่า “แม้ว่าเจ้าจะมีฝีมืออยู่ 2 ท่า แต่เมื่อเผชิญหน้ากับบิดาก็เหมือนควงขวานต่อหน้าหลู่ปันเท่านั้น” ในขณะที่ หลออี้ ล่าถอยอย่างรีบร้อนจนเป็นเหตุให้เขาสะดุดก้าวอี้จนล้มตัวลง เขารู้ได้ทันทีเลย ถ้าหากเขาไม่สามารถทำไรสักอย่างได้ วันนี้ในปีหน้าจะเป็นวันครบรอบวันตายของเขาอย่างแน่นอน แต่แล้วทันใดนั้นเองมือซ้ายของเขาก็สัมผัสถึงวัตถุสิ่งหนึ่ง ด้วยปฏิกิริยาที่รวดเร็ว เขาจึงรีบขว้างวัตถุสิ่งนั้นใส่หน้าของ ฟงเจี๋ย แน่นอนเขาใช้ตะขอคู่ฟาดฟันสิ่งนั้นโดยไม่ยากเย็น แต่ทว่าทันใดนั้นเอง หลออี้ ม้วนหน้าอย่างรวดเร็วพร้อมพุ่งดาบเสียบที่กลางหน้าอกของมหาโจรปักทะลุกลางหลัง ฟงเจี๋ย ตวาดร้องลั่นขึ้น ข้อมือขวาของเยว่ซินที่วัตถุที่เมื่อครู่นี้ หลออี้ขว้างใส่หน้ามัน จนมันต้องใช้คมตะขอปกป้องฟันเกี่ยวจนซากมือนั้นร่วงหล่นจนเป็นเศษเล็กเศษน้อย ตัวฟงเจี๋ยนั้น สายตาของมันยังคงตกตะลึงอยู่ มันคงไม่คิดว่าตัวมันจะจบชีวิตลงในลักษณะนี้ จากนั้นมันจึงค่อยๆล้มลงกองกับพื้นแล้วแน่นิ่งไป

เมื่อเสร็จศึกแล้ว หลออี้ มันทรุดตัวนั่งถอนหายใจด้วยความโล่งอก ตั้งแต่ที่มันกรำศึกมา นับว่าครั้งนี้เป็นศึกที่ยากที่สุดในชีวิตของมัน มันแทบจะไม่มีชีวิตรอดออกจากตะขอคู่ที่สร้างชื่อของ ฟงเจี๋ย ได้แล้ว หลังจากที่ได้พักเหนื่อย มันจึงหันไปที่ทิศทางของเด็กน้อยพร้อมรอยยิ้มแห่งชัยชนะ

 

.......................................................................................................................

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว