นิทานแห่งฝัน
0
ตอน
4.09K
เข้าชม
771
ถูกใจ
15
ความคิดเห็น
0
เพิ่มลงคลัง

นิทานแห่งฝัน

 

มีตำนานเล่าขานถึงคนขายฝัน ว่ากันว่าเขาเป็นบุรุษนิรนาม หอบเร่ความฝันเอาไว้บนบ่า สวมหมวกปีกกว้างและไว้ผมยาวดุจอิสตรี ที่ใดซึ่งเขาย่ามกราย ที่แห่งนั้นย่อมมีความฝันผลิออกเบ่งบาน

เด็กหญิงสงสัย…

เมล็ดพันธุ์แห่งความฝันนั้น จะผลิออกในดินแดนไร้ฝันได้หรือไม่?

 

-1-

 

ในดินแดนที่มีขอบเขตกว้างไกล มีเมืองหนึ่งตั้งอยู่ปลีกแยกจากเมืองอื่น เมืองนี้เป็นเมืองที่มีชื่อเรียกเป็นที่รู้จักกันในนามเมืองไร้ฝัน ด้วยกฎเหล็กที่เจ้าเมืองถ่ายทอดวางคำสั่งออกมานับรุ่นต่อรุ่นถึงการห้ามที่จะวาดฝันใดๆ ชาวเมืองทุกคนจะได้รับแจกจ่ายน้ำยาปรุงพิเศษ เพื่อที่จะไม่คิดฝันถึงเรื่องราวใดๆ ในยามนิทรา

น่าแปลกที่แต่เด็กจนโต ยานี้ไม่เคยมีผลต่อเธอ

‘มายา’ ฝันในทุกค่ำคืนราวกับไม่รู้จักอิ่มฝัน ราวกับว่าทุกความฝันของชาวเมืองได้หลั่งไหลมารวมกันที่เธอ นับแต่เด็กจนบัดนี้โตมาเป็นผู้ใหญ่ มายาจำต้องทุกข์ทรมานกับการฝันทุกคืนวาน

ในทีแรกมายานั้นยินดี เธอเป็นเด็กที่สดใสและมีนัยน์ตาเป็นประกายสุกสกาวกว่าใครๆ เธอเปี่ยมล้นไปด้วยความฝันและความหวัง เธอมีเรื่องราวมากมายในช่วงเวลาที่เธอหลับฝันมาเอ่ยเล่าไม่รู้จบ หากแต่เธอกลับไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดเผยถึงความผิดปกตินี้ ครอบครัวของเธอหวาดหวั่นและทอดทิ้งเธอให้อยู่กับยายซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองลึกเข้ามาในชายป่า มีเพียงแต่ที่แห่งนี้เท่านั้นที่มายาจะได้รับอนุญาตให้มีฝัน

น่าเศร้าที่การฝันในทุกคืนวันได้ทำร้ายเธอ ฝันนั้นทำให้เธอไม่เคยได้หลับสนิท ฝันนั้นเป็นเพียงสิ่งที่เธอได้แต่กดเก็บเอาไว้

“มายา”

คุณยายของเธอเอ่ยเรียก สายตาจับจ้องมองมาที่หญิงสาวซึ่งยังดูไม่โตเต็มที่อย่างที่ควรเป็น ด้วยเพราะการนอนไม่เพียงพอจึงทำให้มายามีรูปร่างเล็กและมีร่างกายที่บอบบางกว่าผู้หญิงอื่นในเมือง

“คะยาย”

มายายิ้มสดใส หากแต่แววตายังมีร่องรอยความอ่อนล้าอยู่จางๆ

“หนูจะอยู่อย่างนี้ต่อไปหรือ”

“คะ?”

หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้น ในใจรู้สึกสังหรณ์ไม่ดี

“ยังฝันอยู่ทุกคืนใช่ไหม”

มายาเงียบกริบ เธอพยักหน้ารับช้าๆ  สีหน้าหมองลง

“หนูจะทำอย่างไรหากวันหนึ่งยายไม่อยู่แล้ว” หญิงชราถามต่อ จ้องมองใบหน้าของหลานที่แสดงความตกใจออกมา “จะกลับไปที่บ้านหรือ”

แววตาของมายากลับกลายเป็นสะท้อนความดื้อดึงออกมา

“จะกลับไปในที่ซึ่งไม่ต้องการหนูทำไม”

“หนูจะอยู่คนเดียว?”

“หนูจะไม่อยู่คนเดียว เพราะยายจะไม่จากหนูไปไหน”

หญิงสาวรั้นจะเอ่ย เธอไม่อาจจินตนาการถึงวันที่ยายได้จากเธอไป

“มายา…”

ยายของเธอเอ่ยเรียก น้ำเสียงอ่อนโยนยิ่ง

“จำเรื่องของคนขายฝันที่ยายเคยเล่าให้ฟังได้ไหม”

“จำไม่ได้”มายาตอบทันที มุมปากแย้มยิ้มเจ้าเล่ห์  “เล่าให้ฟังอีกทีสิคะ”

…เธอชอบฟังเรื่องนี้ยิ่งกว่าเรื่องอื่นใด

ยายของเธอจ้องมองสีหน้าที่สะท้อนความคาดหวังของหลานสาวอย่างรู้ทัน หญิงชราทำทีเป็นแสร้งหลับตานึก ก่อนจะเอ่ยเอื้อนออกมาอย่างอ้อยอิ่ง

“เรื่องมีอยู่ว่า….”

 

หนึ่งสัปดาห์ต่อจากนั้น คุณยายของมายาก็ได้จากไป

หญิงสาวในชุดดำยืนมองหลุมศพด้วยความโดดเดี่ยว พ่อแม่ของเธอและน้องสาวเพียงแวะมาวางดอกไม้ช่อโตๆ หนึ่งช่อลงหน้าหลุมศพ ก่อนจะเดินจากไปโดยไม่แม้แต่ชายตาเหลียวแลเธอ ชั่ววูบหนึ่งเธอนึกอยากจะเอื้อมคว้าชายเสื้อของพ่อแม่เอาไว้ และร่ำร้องออกมาอย่างที่เด็กๆ ทำว่าอย่าทิ้งเธอเอาไว้คนเดียว

สุดท้ายแล้วมายาก็มิได้ทำเช่นนั้น

และสุดท้ายแล้วอีก…ก็เหลือมายาอยู่เพียงคนเดียว

ในบรรดาความฝันทั้งหมด มายาฝันถึงเรื่องราวมากมายมีทั้งฝันดีและฝันร้าย แต่ท่ามกลางความฝันทั้งหลายทั้งหมดนั้น มีอยู่ฝันอย่างหนึ่งซึ่งเมื่อไหร่ที่คืนนั้นวนเวียนมาเป็นฝันเช่นนั้น มายาจะอิ่มเอิบและมีพละกำลังกว่าปกติไปทั้งวัน

เธอชอบที่จะฝัน…ฝันถึงการเดินทาง

พลันแววตาของหญิงสาวกลับทอประกายกล้า เธอรวบรวมพละกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อเก็บข้าวของที่มีอยู่น้อยนิดในกระท่อมเล็ก นึกอาลัยอาวรณ์เตาอบขนมซึ่งยายของเธอชอบที่จะอบทาร์ตแอปเปิ้ลให้เธอทาน และเธอก็ไม่เคยรู้จักเบื่อ  มายาชอบกลิ่นของเปลือกแอปเปิ้ลที่หอมอ่อนๆ และแอปเปิ้ลที่ผ่านความร้อนนั้นก็ส่งกลิ่นหอมหวานให้เธอฝันดี

ในเมืองไร้ฝัน ย่อมไม่มีใครกล้าจะฝันถึงโลกภายนอก หากแต่มายาซึ่งเปี่ยมไปด้วยความฝันนั้นไม่เหลือพื้นที่ไว้ซึ่งความขลาดเขลา

หญิงสาวพร้อมออกเดินทาง

พกความฝันอันใหม่ไปด้วยในกระเป๋าเป้ใบใหญ่

…เธอฝันที่จะได้พบกับคนขายฝันสักครั้ง

 

-2-

 

มายาจากกระท่อมชายป่ามาเพื่อที่จะเดินเข้าไปในเมืองซึ่งเธอนึกชัง และรู้สึกอึดอัดเหลือประมาณกับสายตาที่ชาวบ้านมองมาราวกับว่าเธอเป็นตัวประหลาด หากแต่เพื่อจุดมุ่งหมายที่วาดหวังไว้ หญิงสาวก็ได้แต่กลั้นใจเดินต่อไปเรื่อยๆ โดยหวังว่าตัวเธอจะสามารถผ่านเส้นทางนี้ไปเจอสิ่งใหม่ๆ

พลันหัวใจของเธอก็พองโต เมื่อนึกถึงต่างเมืองซึ่งไม่เคยมีใครได้ออกไป เธออยากรู้อยากเห็นเหลือเกินว่าภายนอกเมืองไร้ฝันนั้นจะมีอะไร ได้ยินว่าทางที่เธอจะไปนั้นเป็นเมืองท่า ด้วยเหตุนี้แม้เมืองไร้ฝันจะปิดตัวเอง แต่ก็ไม่เคยขาดแคลนน้ำและอาหาร มีพ่อค้าแวะเวียนเข้ามาเรื่อยๆ แต่ก็พกมาแต่วัตถุ ไม่ได้นำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงอะไร

ไร้หวัง ไร้ฝัน

หญิงสาวไม่อาจทนต่อสถานที่เช่นนี้

 

แสงตะวันสาดส่อง หญิงสาวลืมตาตื่นและลุกขึ้นจากม้านั่งที่เธออาศัยเป็นเตียงนอนชั่วคราว มายามองเห็นเมืองท่าอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล

 

-3-

 

บรรยากาศคึกคักและมีชีวิตชีวาภายในตัวเมืองแทบจะชะล้างความเศร้าของเธอในเวลานี้ไปจนหมดสิ้น มายารู้สึกราวกับได้กลับไปเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ อีกครั้งหนึ่ง เฝ้ามองผู้คนเดินขวักไขว่กันไปมาอย่างตื่นตาตื่นใจ ยินเสียงแม่ค้าที่เจื้อยแจ้วฟังสดใส หอมกลิ่นขนมหวานอบอวล

พลันเสียงท้องร้องก็ดังขึ้น มายาจึงตระหนักได้ว่าเสบียงของเธอใกล้หมดลง และเธอก็มีเงินทองติดตัวอยู่ไม่เท่าไหร่

หญิงสาวรวบรวมพละกำลังขึ้นอีกครั้ง หวังจะหางานชั่วคราวเพียงพอให้เธอมีเงินเก็บ และคิดหาทางต่อไปได้

มายาหางานได้ภายในวันนั้นเป็นร้านขายขนมปัง คอยยืนขายแต่เช้ายันบ่าย เธอจึงคิดจะหางานอีกอย่างทำเพิ่มหลังจากเสร็จงานช่วงเช้า แต่ก็ไม่มีที่ใดรับคนงานเพิ่มอีก ส่วนที่พักแรมของเธอก็เป็นม้านั่งบริเวณท่าน้ำซึ่งร้างคนในยามวิกาล หากแต่เมื่อตะวันเริ่มฉายแสง ผู้คนมายมายก็จะหลั่งไหลเข้ามา เธอจึงต้องรีบตื่นนอนและกลับไปก่อนที่รุ่งเช้าจะมาเยือน เวลาอาบน้ำก็อาศัยห้องน้ำสาธารณะแถวนั้น

มันไม่ได้สะดวกสบายเลยแม้แต่น้อย หญิงสาวแม้โตมาที่ชายป่า จริงอยู่ที่คล้ายจะถูกทอดทิ้งให้เดียวดาย แต่ยายของเธอก็ไม่เคยปล่อยให้เธอต้องลำบาก ใช้ชีวิตกันไปอย่างเรียบง่าย ดังนั้นเมื่อเลือกจากบ้านที่มีทุกสิ่งพร้อมมารอนแรมแล้ว เธอก็ได้แต่ปรับตัวตามสิ่งที่เลือกแล้วให้ได้

มายาดำเนินชีวิตเช่นนี้อยู่ได้ราวสามสัปดาห์ เพิ่มรับงานล้างจานอีกงานในช่วยบ่ายเป็นต้นไปก็พอเก็บเงินได้ประมาณหนึ่ง กระทั่งมีเหตุการณ์พลิกผันเกิดขึ้นในเช้าวันหนึ่ง

ทุกวันพุธจะมีเรือลำหนึ่งออกจากท่าตั้งแต่ก่อนที่พระจันทร์จะลาลับ ก่อนที่จะยินเสียงนกร้อง และก่อนที่มายาจะตื่นจากห้วงฝัน ในยามที่ควรจะเงียบงันนั้น พลันมีเสียงเอะอะทะเมิ่งเทิ่ง ปลุกหญิงสาวให้สะดุ้งตื่นขึ้นอย่างตระหนกตกใจ

มายาพยายามกวาดตามองหาที่มา เห็นความวุ่นวายตรงบริเวณท่าเรือซึ่งเรือขาประจำเกือบเช้าวันพุธกำลังจะออกนั้น เกิดการยื้อยุดฉุดกระชากบางสิ่งบางอย่าง

และก่อนที่หญิงสาวจะทันได้รู้สึกถึงลางร้าย…

ร่างเล็กๆ ก็วิ่งเข้ามาในทิศทางที่เธอเพิ่งจะลุกยืนขึ้นจากท่านอน และโยนของบางอย่างมาให้กับเธอ หญิงสาวจำต้องรับโดยไม่ทันคิด

“หนีเร็ว!!”

เด็กคนนั้นตะโกนขึ้น เรือนร่างของเธอค่อนข้างสูงโปร่งเรือนผมสั้นคล้ายเด็กผู้ชาย วิ่งพุ่งราวกับจรวด ทว่าเนื้อเสียงแหลมเล็กคล้ายกับเด็กผู้หญิง หากแต่มายาไม่มีเวลาทันได้พิจารนาโดยละเอียด เนื่องจากเพียงแค่ห่อผ้าที่หุ้มห่อของบางอย่างถูกโยกย้ายมาสัมผัสที่ปลายนิ้วเธอ นับแต่วินาทีนั้น

…ทุกสายตาก็มุ่งมาที่เธอ!

มายายืนหน้าซีดเผือก เร่งออกตัววิ่งหนีกลุ่มคนที่หันมาเห็นเธอเป็นเหยื่อแทน

“เอาคืนไป!”

เธอร้องพร้อมกับโยนห่อผ้านั้นให้กับเจ้าเด็กแปลกหน้า หากแต่สายไปเสียแล้ว คนกลุ่มที่ไล่ล่ามาไม่ทันเห็นฉากนั้น พวกเขายังคงวิ่งไล่ตามเธอมาอยู่ดี

“เด็กบ้า!!”

มายาเบ้หน้าพร้อมกับสาวเท้าวิ่งไปด้วยความรู้สึกอยากจะร้องไห้ออกมาดังๆ เวลานี้เธอควรจะไปอยู่ที่ร้านขนมปังแล้ว ทว่ากลับต้องมาวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนเพียงเพราะความผิดที่ตนไม่ได้ก่อ แต่ดันมาตกกระไดพลอยโจรรับผลกรรมไปด้วย

“ตามหนูมา”

เจ้าเด็กร้ายกาจคนนั้นร้องบอก ดูเธอรู้ทิศทางในเมืองเป็นอย่างดี เส้นทางที่นำวิ่งก็ล้วนแต่เป็นเส้นทางซอกซอนตามหลืบซอยซึ่งเธอไม่เคยได้สำรวจ กว่าที่มายาจะทันได้รู้สึกตัวเพราะมัวแต่ก้มหน้าก้มตาวิ่งอย่างไม่คิด สุดท้ายแล้วพวกเธอทั้งคู่ก็หนีพ้นจากกลุ่มคนที่ท่าเรือมาได้ราวกับปาฏิหาริย์

“ขอโทษค่ะ!”

เด็กหญิงหอบหนักพร้อมกับค้อมตัวขอโทษอย่างร้อนรน มายาซึ่งเหนื่อยจากการวิ่งทำได้เพียงยืนหน้าแดงแล้วหอบหนักเสียจนพูดอะไรไม่ออก แม้แต่แรงจะโกรธยังไม่เหลือ

“เธอทำให้ฉันต้องไปทำงานสาย” นี่เป็นประโยคแรกที่มายาเค้นออกมาได้หลังจากอาการหอบดีขึ้น “ถ้าฉันตกงานจะทำไง?”

มายาว่าอย่างเอาเรื่อง เด็กหญิงยืนกระพริบตาถี่ จ้องมองมายาราวกับตัวประหลาด

“หนู…หนูไม่ทันคิดเรื่องนั้น”

“เธอขโมยของมาหรือ?”

มายาถามเสียงนิ่ง  มือบางกอดอกอย่างถืออำนาจ

“เปล่า!!” เด็กหญิงเสียงดังขึ้นมาเป็นครั้งแรก มายาชะงัก “พวกนั้นต่างหากที่พยายามเอาของไปจากหนู”

“ดูจากภาพที่เห็นแล้วไม่ค่อยตรงกับที่เธอว่า”

มายาพูดออกมาอย่างที่เธอคิดว่าเป็นเหตุเป็นผลดีแล้ว

“หนูแอบมากับเรือก็จริง แต่ของนี้เป็นของที่หนูจะเอาไปส่งให้คนอื่น พวกนั้นพยายามตรวจ แต่คนที่จ้างวานหนูมาเขากำชับเอาไว้ไม่ให้ใครเห็น”

“แอบมากับเรือ?” มายางุนงง “เรือลำนี้มาเทียบท่าตั้งแต่เมื่อวานหลังอาทิตย์ตกได้ราวหนึ่งชั่วโมง ทำไมเธอถึงเพิ่งจะโผล่หัวขึ้นมาตอนเรือจะกลับไป”

“คือว่า…” เด็กหญิงหน้าแดง ยืนบิดตัวไปมา “หนูแอบขโมยเหล้าของผู้โดยสารคนอื่นมาลอง รู้สึกตัวอีกทีก็เช้าแล้ว…พวกนั้นเข้ามาปลุกหนูขึ้นแล้วค้นตัวหนู หนูไม่ยอมให้เขาแกะห่อผ้าดู ก็เลยออกมาเป็นอย่างที่เห็น”

“แล้วฉันเกี่ยวอะไรด้วย”

มายาถามเสียงดุ เด็กหญิงเพียงจ้องมองเธอนิ่งๆ นัยน์ตาไม่มีความหวั่นแม้สักนิด ก่อนที่จะยักไหล่เล็กๆ นั่น

“หนูนึกว่าพี่จะวิ่งเร็ว ให้พี่พาของนั่นหนีไปแทน ส่วนหนูค่อยตามไปเอาทีหลัง”

“ฉันคงช่วยเธอหรอก”

เด็กหญิงเลิกคิ้วขึ้น

“อ้าว…” เธออ้าปากน้อยๆ พร้อมกับจ้องมองมายาอย่างงุนงง “แต่พี่ก็ช่วยไปแล้วนี่”

มายาถึงกับชะงักไปครู่หนึ่ง หญิงสาวหัวเราะในลำคอแล้วพยายามสงบสติอารมณ์อย่างที่สุด ก่อนที่เธอจะเค้นเสียงพูดออกมาเนิบช้า

“’งั้นเราแยกจากกันตรงนี้…สายมากแล้วฉันจะรีบไปทำงาน” มายาจ้องมองเด็กหญิงเจ้าปัญหาอีกครั้งอย่างเต็มตา “…ที่เธอก่อเรื่องก็แล้วไปแล้วกัน”

 

ตกงาน

คำว่าตกงานตัวโตๆ ที่เธอเพิ่งจะได้ลิ้มรสเมื่อไม่กี่นาทีมานี้ทำให้หญิงสาวถึงกับน้ำตาคลอ เธอเดินคอตกออกมาจากร้านขายขนมปังประดุจดั่งคนไร้สิ้นเรี่ยวแรง เนื่องจากค่าแรงหลักที่เธอได้มาในช่วงนี้นั้นก็มาจากร้านขนมปังเป็นส่วนใหญ่ ส่วนที่ล้างจานตอนเย็นก็พอแค่ค่าข้าวมื้อเดียวต่อวันเท่านั้น

และที่ร้ายไปกว่านั้น…

…เด็กหญิงคนเมื่อเช้ายืนยิ้มแฉ่งรอรับเธออยู่ ประหนึ่งยมทูตถือคมเงี้ยวคอยก็ไม่ปาน

ก่อนที่เด็กหญิงประหลาดจะเอ่ยถ้อยคำซึ่งจะเปลี่ยนแปลงชะตาของเธอไปตลอดกาล

“…เรามีชะตาให้ต้องไปด้วยกัน…”

 

-4-

 

น่าเศร้าที่หญิงสาวนั้นบ้าพอที่เคลิ้มไปกับคำว่า ‘ชะตา’ ที่เด็กคนหนึ่งพูดออกมาอย่างสวยหรู

มายาซึ่งกำลังเคว้งคว้างโดดเดี่ยวอยู่ท่ามกลางเมืองท่าอันกว้างใหญ่ ถูกปีศาจตัวน้อยล่อลวงให้เดินทางเป็นเพื่อนโดยมีข้อเสนอมายั่วยวนเพียงว่าตลอดการเดินทางค่าอาหารทุกอย่างเด็กหญิงจะคอยออกให้ ระยะเวลาเดินทางไปกลับทั้งหมดนั้นใช้เวลาไม่เกินสามวัน มายาซึ่งตอนนี้เป็นเพียงหญิงพเนจรก็ได้แต่รู้สึกว่าข้อเสนอนี้ก็ไม่เลวเสียทีเดียว

…หากไม่ใช่ว่าจุดหมายที่เด็กหญิงต้องการไปนั้นเป็นสถานที่ซึ่งเธอได้จากมา

“เบล…”

มายากระซิบเรียกเด็กหญิงผู้กลายมาเป็นผู้ร่วมเดินทางชั่วคราวของเธอ แท้จริงแล้วมายาไม่ได้คิดตามเบลมาเพียงเพราะเห็นแก่กินเสียทีเดียว หากจะแจงว่าเธอรู้สึกไม่ดีถ้าต้องปล่อยให้เด็กผู้หญิงคนหนึ่งต้องเดินทางไปต่างเมืองเพียงลำพังก็เกรงว่าจะไม่มีคนเชื่อ

“แค่มาส่งของไม่นานใช่ไหม…”

มายาถามเสียงเบา เด็กหญิงจ้องมองสีหน้าเคร่งเครียดของมายาอย่างประหลาดใจ ก่อนจะตอบกลับไปทั้งที่ยังงุนงง

“แค่มาส่งของไม่นาน”

มายาเพียงพยักหน้ารับนิ่งๆ เหม่อมองออกไปไกล เเละไม่เอ่ยเอื้อนถ้อยคำใดออกมาตลอดเส้นทางที่นำพาเธอหวนกลับไปยังเมืองไร้ฝัน

…กระทั่งเธอตระหนักได้ว่า

เบลพาเธอหลง

“เบล!”

มายาเอ่ยเรียกเสียงดุ ใบหน้าที่นิ่งเฉยมาตลอดทางนั้นพลันเคร่งเครียดขึ้นมา ทำเอาเด็กหญิงถึงกับเริ่มขนลุกซู่ด้วยความผิดที่เสมือนเป็นชะงักปักอยู่ด้านหลัง

“คิดจะไปไหนเธอว่ามาเลย พี่เป็นคนที่นี่ พี่รู้ทาง”

…มั้งนะ? หญิงสาวแอบต่อท้ายในใจ เธอเป็นคนที่นี่ก็จริง แต่เธอก็อยู่แต่กับยายที่กระท่อมชายป่าไม่ค่อยได้เข้ามาในตัวเมืองสักเท่าไหร่ หากแต่เธอก็อดทนมานานเกินพอแล้วกับการต้องมาทนเดินวกไปวนมาในเมืองที่เธอแสนจะชังอย่างไม่รู้จุดหมาย

หรือจะคบเด็กสร้างบ้าน? มายาคิดพลางทอดถอนใจ

“อ้าว? แล้วไมเพิ่งมาบอกอะ”

เบลจ้องมองเธอราวกับจะตำหนิ ก่อนที่จะส่ายหน้าช้าๆ อย่างระอา น่าหมั่นไส้เสียจนมายาเกือบจะยั้งมือไม่ให้ตบกะโหลกเด็กไปสักทีจนได้สิน่า

“จะรู้ไหมว่าคนนำทางดันไม่รู้ทาง”

เด็กหญิงเงียบนิ่งไป ก่อนจะตอบกลับมาเสียงอ่อยอย่างคนรู้สึกผิด

…นึกไม่ถึงเลยว่าคำตอบที่ได้มานั้นจะทำให้มายากลับต้องเป็นฝ่ายเงียบกริบเสียเอง

“บ้านที่กระท่อมชายป่า”

 

-5-

 

“เสียใจด้วยที่เธอทำงานนี้ไม่สำเร็จ”

มายาเอ่ยปลอบเด็กส่งของ ซึ่งจ้องมองเข้าไปในกระท่อมอันว่างเปล่าด้วยสีหน้าผิดหวังอย่างสุดซึ้ง มายาไม่รู้ว่าเด็กหญิงเดินทางมาไกลแค่ไหนเพียงเพื่อจะมาส่งของให้กับยายของเธอ

แต่ท่านได้จากไปไกลแล้ว…

…และคนที่เสียใจกว่าใครใครก็คือเธอ

“พี่จะพาเธอไปไหว้คุณยายที่หลุมศพ แล้วคืนนี้เราพักที่นี่กันก่อนแล้วกัน”

เบลหันดวงตากลมโตจ้องมองมาที่เธออย่างแปลกใจ

“ที่นี่ไม่มีใครอยู่อีกต่อไปแล้ว ยืมนอนสักคืนไม่มีใครสนใจหรอก”

“พี่ชายคงผิดหวัง”

เบลกระซิบแผ่ว

“คนที่จ้างวานเธอมาน่ะหรือ?”

“ค่ะ เขาดีกับหนูมาก แต่หนูทำงานให้เขาไม่สำเร็จ…เขากำชับเอาไว้มากว่าต้องส่งของให้กับคุณยายคนนี้เท่านั้น จะเป็นญาติพี่น้องคนอื่นก็ไม่ได้ เหลือทางเดียวคงต้องเอาไปคืน…”

มายาพยักหน้ารับนิ่งๆ แววตาครุ่นคิด ความตั้งใจที่จะแสดงตัวว่าเธอเป็นหลานสาวของยาย และคิดจะรับของเอาไว้แทนนั้นจบลงไปในเวลาสั้นๆ ซึ่งเธอก็ไม่ได้นึกเสียดายของอะไร แม้จะมีความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับของสิ่งนั้นอยู่บ้าง แต่ที่สำคัญไปกว่าก็คือความเสียใจที่ยายของเธอได้จากไปเร็วเหลือเกิน

“พักที่นี่สักคืนแล้วเราค่อยกลับไปเมืองท่า”

มายาย้ำบอกกับเด็กหญิง

…อดไม่ได้ที่จะรู้สึกใจหายกับการเดินทางอันแสนสั้นที่มีเพื่อนร่วมทางตัวน้อย

 

-6-

 

การเดินทางสิ้นสุดลงเมื่อพวกเธอทั้งคู่กลับมาที่เมืองท่า แม้มายาจะนึกเสียดายที่จะไม่มีคนคอยออกค่าอาหารให้อีกต่อไปแล้ว หากแต่สิ่งที่ทำให้นึกเสียดายยิ่งกว่าคงเป็นความผูกพันที่ก่อตัวขึ้นมาในระยะเวลาสั้นๆ ที่ได้เดินทางไปด้วยกัน ว่าไปแล้วก็อาจกล่าวได้ว่าปีศาจน้อยตนนี้เป็นเพื่อนคนแรกของเธอเลยก็ว่าได้

“พี่มายา” เด็กหญิงเอ่ยเรียกเสียงเบา “พี่มายาจะทำอะไรต่อ”

“คงต้องหางานทำ พี่ต้องเก็บเงินให้มากพอเพื่อที่จะเดินทางต่อไปอีก”

“พี่เป็นนักเดินทาง?”

เบลใช้ดวงตาโตๆ ของเธอจ้องมองมายาอย่างสนอกสนใจ

“พี่อยากจะเป็นนักเดินทาง” มายาอมยิ้ม “ล่องเรือ เดินเท้า…รอนแรมไปเรื่อยๆ ”

“หนูอยากจะชวนให้พี่มายาไปหาพี่ชายด้วยกัน…” เบลเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่แน่ใจ “แต่หนูไม่เหลือเงินมากพอที่จะออกค่าอาหารให้กับพี่มายาอีกแล้ว”

เด็กหญิงเพียงแต่พูดด้วยความไร้เดียวสาหาได้มีเจตนาเหน็บแนมอะไร หากแต่มายากลับรู้สึกเหมือนถูกคำพูดทิ่มแทงเสียนี่

“รีบไหม”

มายาถามห้วน

“หา?”

“ถ้าไม่รีบก็อยู่ที่นี่ต่อสักพัก รอพี่เก็บเงินพอแล้วเราค่อยไปด้วยกัน”

“พี่มายาคิดจะทำอะไร”

หญิงสาวหลับตาลง นึกถึงความตั้งใจเก่าก่อนที่อยากจะทำมาเนิ่นนานแล้ว

“พี่จะเล่านิทาน…”

 

-7-

 

ไม่นานภายในเมืองท่าก็เต็มไปด้วยเสียงเล่าลือถึงหญิงสาวจากต่างเมืองผู้เดินทางมาพร้อมกับนิทานที่นำมาซึ่งฝันดี

นิทานของมายาล้วนแต่เป็นนิทานซึ่งไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อน ทุกคนที่ได้ฟังล้วนแต่ตื่นตาตื่นใจไปกับเรื่องราวหลากหลายรสชาติที่ส่งผ่านออกมาจากริมฝีปากน้อยๆ นั้นอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหมดลง เป็นครั้งแรกที่มายานึกขอบคุณความฝันของเธอทั้งที่แต่ก่อนเธอเคยนึกรังเกียจมันเพราะมีแต่จะให้เธอเป็นตัวประหลาด และทำให้เธอไม่เคยได้หลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ แม้บางครั้งฝันในบางค่ำคืนนั้นจะเป็นฝันร้าย หากแต่ฝันร้ายที่เคยน่ากลัว เวลานี้ก็ได้กลายมาเป็นวัตถุดิบซึ่งทำให้นิทานของมายามีรสชาติระทึกใจในบางตอนที่ต้องการความตื่นเต้น การได้เล่านิทานนั้นก็เปรียบเสมือนเป็นการได้ปลดปล่อยตัวเธอจากอะไรบางอย่างที่พันธนาการเธอมาเนิ่นนาน

…มายารู้สึกเบิกบานอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

พลันตระหนักขึ้นมา ว่านี่ล่ะ…คือวิถีทางของเธอ

 

“คงอยู่นานกว่านี้ไม่ได้แล้ว”

เบลว่าเสียงอ่อย พวกเธอค้างอยู่ที่เมืองท่ามาได้เพียงไม่ถึงสัปดาห์ แม้จะส่งจดหมายไปถึงพี่ชายที่จ้างวานเธอแล้วว่าจะกลับไปช้าสักหน่อย และพี่ชายคนนั้นก็ไม่ได้ว่าอะไร หากแต่เด็กหญิงยังคงรู้สึกไม่ดีเพราะของสำคัญที่ซ่อนอยู่ภายใต้ห่อผ้านั้นติดอยู่กับเธอ และเธอคงไม่อาจสบายใจได้สักทีหากไม่ได้ส่งมันคืนกลับไปยังเจ้าของ

“งั้นเราก็ไปหาพี่ชายคนที่ว่ากัน พี่มีเงินเก็บเพียงพอแล้ว”

มายาแย้มยิ้มกว้าง มือบางชูถุงเงินขึ้นอวด หากแต่คนที่ยิ้มได้กว้างที่สุดในเวลานี้คงไม่ใช่ใครนอกเสียไปจากปีศาจตัวน้อยๆ เบล ผู้ที่ถึงกับกระโดดไปพลางตบมือแปะๆ หมุนตัวไปรอบอย่างสุขใจ

“ถ้าพี่มายาได้เจอกับพี่ชายคงชอบ”

“เขาเป็นอย่างไรหรือ ได้ยินมานาน แต่ไม่เห็นรู้ว่าเขาดีกับเธอยังไงบ้าง”

“เขาเป็นหมอเดินทางมาไกล เมืองบ้านเกิดที่หนูจากมาคือเมืองนาฬิกา ไม่นานมานี้มีโรคระบาด แม่หนูเกือบตายแล้วแต่ได้พี่ชายที่เดินทางผ่านมาช่วยเอาไว้โดยไม่คิดค่ารักษา ทีแรกเขาอยากจะมาส่งของให้กับคุณยายเอง แต่ติดที่ยังต้องอยู่ดูแลผู้ป่วยคนอื่นๆ ปกติหนูทำงานเป็นคนส่งของอยู่แล้วเลยอาสามาส่งให้แทน”

“อย่างนี้นี่เอง…”

มายารำพึงกับตัวเองเบาๆ ทีแรกเธอได้ยินเบลเอ่ยถึงพี่ชายหมอที่ว่าก็นึกไม่ชอบหน้า คิดว่าคนอะไรใจจืดใจดำถึงกับใช้ให้เด็กผู้หญิงเดินทางมาไกลเพียงลำพัง ครั้นพอได้ฟังเรื่องทุกอย่างทัศนคติที่มีก็เริ่มเปลี่ยนไป กลายเป็นตั้งตารอที่จะได้เดินทางไปพบตัวจริงสักหนแทน

“งั้นเราไปกันเถอะ ไปพบพี่ชายหมอของเบลกัน”

หญิงสาวหันมองเด็กหญิง สบตาเข้าใจ และแย้มยิ้มออกมาอย่างซุกซน

 

-8-

 

เมืองนาฬิกาเป็นเมืองน่ารัก ได้ยินจากที่เบลเล่ามาว่าก่อนที่โรคระบาดจะแพร่เข้ามานั้นเมืองนี้นับเป็นเมืองเล็กที่น่าอยู่มาก ครั้นมายาได้มาเห็นกับตาก็คิดว่าแม้กระทั่งตอนนี้ทั้งเมืองก็ยังกรุ่นไปด้วยบรรยากาศอันอบอุ่นอ่อนโยนอยู่จางๆ และสัมผัสได้ถึงความมีชีวิตชีวาที่กำลังฟื้นคืนมาเมื่อโรคร้ายใกล้จะจากไป ความดีอันนี้ยิ่งทำให้มายานึกอยากเจอตัวพี่ชายหมอของเบลยิ่งไปอีก

ไม่นานพวกเธอทั้งคู่ก็เดินทางกันมาถึงบ้านของเด็กหญิง คนที่เปิดประตูออกมาต้อนรับเป็นแม่ของเบล เธอเป็นหญิงวัยกลางคนซึ่งมีรูปร่างอวบและใบหน้าที่ดูอ่อนโยนใจดี ก่อนที่ใบหน้าใจดีนั้นจะเริ่มแปลงเป็นปีศาจร้ายเมื่อลูกสาวตัวดีที่ยังไม่ทันจะได้นั่งติดบ้านดี ก็ดันเอ่ยปากบอกว่าจะขอออกไปข้างนอกอีกเสียแล้ว

“จะไปหาพี่ชาย”

เบลบอกไปเพียงแค่นั้นแม่ของเด็กหญิงก็หยุดระงับการแปลงร่างลง และดูจะเข้าอกเข้าใจได้ทันที ซ้ำยังจัดแจงเตรียมผลไม้ ขนมของกินมาเสียมากมายฝากเอาไปให้คุณหมออีกด้วย

มายาแย้มยิ้มลา รับของฝากมาช่วยถือ

“ได้ยินว่าตอนนี้คุณหมออยู่บ้านคนปั่นฝ้ายโน่นแหนะ”

แม่ของเด็กหญิงบอก เบลพยักหน้ารับรัวๆ ก่อนจะวิ่งนำออกไปอย่างคึกคัก มายาเดินตามออกไปพร้อมกับนึกสงสัยว่า หากเธอจะขอเก็บของที่เขาคิดจะส่งมอบให้ยายของเธอเอาไว้แทนได้ไหมหนอ?

 

-9-

 

พี่ชายหมอของมายาเป็นชายหนุ่มที่มีท่าทีนิ่งขรึมต่างจากที่เบลได้เคยบรรยายเอาไว้ว่าเขาดูใจดีและเป็นมิตรนักหนา หมอหนุ่มสวมแว่นตากลมดูคงแก่วิชา หากแต่ครั้นเมื่อเขาได้แย้มรอยยิ้มจางๆ ในยามที่เบลวิ่งเข้าไปหาพร้อมกับข้าวของที่หอบเต็มมือ ใบหน้านั้นก็พลันดูอ่อนโยนยิ่งอย่างที่เธอหมดสิ้นถ้อยคำมาแย้ง

พลันชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นสบมองเธอ แววตานั้นจับจ้องมาที่มายาอย่างพินิจ

“พี่สาวนักเล่านิทาน?”

ฟังคล้ายเขาจะถามเด็กหญิง หากแต่สายตาของเขามองตรงมาที่มายา

“ขอ…ขอคุยด้วยหน่อยได้ไหมคะคุณหมอ”

มายาเอ่ยขึ้นอย่างยากลำบากหลังจากที่ฝืนกลืนน้ำลายอันเหนียวหนืดลงคอได้สำเร็จแล้ว เห็นชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้น ทอดมองเธออยู่นานกว่าจะเอ่ยตอบในที่สุด

“ได้สิ”

 

“มีอะไรจะคุย”

ชายหนุ่มเอ่ยถามหญิงสาวที่ยืนอ้ำอึ้งอยู่นาน เขาเดินนำมายามายังบริเวณทุ่งหญ้าที่อยู่ติดกับบ้านคนปั่นฝ้าย บรรยากาศรอบตัวเงียบสงบ ลมพัดเย็นสบายเหมาะแก่การพูดคุย ชายหนุ่มมองออกว่าหญิงสาวมีเรื่องบางอย่างที่อยากจะถามเขา เขาเองก็มีเรื่องที่นึกอยากจะถามเธอเหมือนกัน

“ฉันเป็นหลานของคุณยายคนที่อยู่ในกระท่อมชายป่า เลยอยากจะถามคุณว่าของที่อยากส่งให้กับยายของฉัน ให้ฉันเป็นคนรับแทนจะเป็นไรไหม”

หมอหนุ่มนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง สีหน้าครุ่นคิด

“รู้ไหมว่าของข้างในเป็นอะไร?”

หญิงสาวส่ายหน้า

“ผมคิดว่าคงไม่ได้”  เขาว่าห้วนๆ ซึ่งมายาก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เธอเพียงแต่อยากลองถามดูเท่านั้น “…แต่จะลองคิดดูก่อนแล้วกัน”

เขาพูดต่อมาอีกเพียงแค่นั้นก่อนที่จะนิ่งเงียบไปนานเสียจนมายานึกขึ้นมาได้ว่าคงหมดธุระคุยแล้ว และควรจะขอตัวลาเสียที หากแต่ชายหนุ่มกลับเอ่ยถามขึ้นมาอีก

“คุณใช่ไหมที่เล่านิทานที่เมืองท่า เบลเล่าให้ผมฟังผ่านจดหมาย และผมก็ได้ยินเสียงเล่าลือมาเกี่ยวกับนิทานที่คุณเล่าระหว่างที่เดินทางมาที่นี่”

“ค่ะ”

หญิงสาวรู้สึกประหลาดใจ

“ทำไมถึงเล่านิทาน”

มายานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง…ไม่อาจตอบคำถามนี้ได้ด้วยคำพูดสั้นๆ ไม่กี่ประโยค หญิงสาวเหลือบสายตาขึ้นสบกับอีกฝ่าย ก่อนจะว่าออกมาช้าๆ เมื่อแน่ใจดีแล้วว่าอีกฝ่ายอดทนรอที่จะฟังอย่างจริงใจ

“เพราะฉันฝัน” ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ มายาพยายามอธิบายเพิ่ม “ฉันมาจากเมืองไร้ฝัน แต่น้ำยาไร้ฝันไม่อาจห้ามให้ฉันฝัน ดังนั้นฉันจึงฝันทุกคืน…”

“ที่เมืองไร้ฝันห้ามแม้กระทั่งให้มีการเล่านิทาน แต่ยายของฉันก็ยังแอบเล่านิทานให้ฉันฟัง เพราะนั่นคือสิ่งเดียวที่ช่วยให้ฉันซึ่งมีปัญหากับการนอนได้หลับสบายขึ้นมาบ้าง ฉันรู้สึกมานานแล้วว่านิทานที่ยายเล่าให้ฉันฟังกับความฝันของฉันนั้นมีความใกล้เคียงกัน ฉันจึงลองเอาฝันดีและร้ายในแต่ละคืนมาประติดประต่อกันเป็นนิทาน เป็นสิ่งที่ฉันอยากทำมานานแล้วแต่ไม่เคยนึกว่าจะทำได้”

“…ฉันสุขใจมากที่ได้เล่านิทาน”

มายาเล่าออกมายาวเหยียดโดยที่แทบไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่าตนเองจะพูดอะไรออกมาได้มากมายขนาดนี้

“เอาล่ะ”

หมอหนุ่มว่าขึ้น ใบหน้ายังคงเรียบนิ่ง แต่แววตาทอประกายอ่อนโยน

“ผมอยากให้คุณอยู่เล่านิทานให้กับคนที่นี่จนกว่าผมจะเอาชนะโรคร้ายในเมืองนี้ได้” ชายหนุ่มขยับยิ้มบาง ก่อนจะเอ่ยเอื้อนข้อเสนอที่เธอไม่อาจปฏิเสธ “แล้วผมจะมอบห่อผ้านั่นส่งต่อให้กับคุณผู้ซึ่งอ้างตัวว่าเป็นหลานสาว”

 

-10-

 

ราวหนึ่งเดือนที่เมืองนาฬิกาของมายาผ่านพ้นไปด้วยความอิ่มเอมใจ พี่ชายหมอของเบลนั้นเป็นคุณหมอที่เก่งกาจเหลือเชื่อ เขาขจัดโรคร้ายที่คอยทำลายกัดกินร่างกายชาวเมืองนาฬิกาไปได้ราวกับร่ายมนต์

ชายหนุ่มใช้ยารักษาเยียวยาร่างกายก็จริง แต่นิทานของหญิงสาวก็ได้ฟื้นฟูจิตใจของชาวเมืองโดยที่ตัวเธอเองไม่เคยรู้สึกตัวถึงคุณค่านี้มาก่อน

มายาพักพิงอยู่ที่นี่มานานพอที่จะรู้สึกผูกพันจนไม่อยากเดินทางต่อไปไหน แต่ก็ไม่อาจมองเมินความต้องการที่ติดอยู่ก้นบึ้งในใจของเธอที่ยังคงเรียกร้องให้เธอออกเดินทางต่อไปพร้อมกับเล่าเรื่องราวมากมายที่เรียงร้อยมาจากความฝัน

“จะไปแล้วหรือ”

หมอหนุ่มถามขึ้น เขาซึ่งแวะมาเยี่ยมตรวจสุขภาพของคุณแม่ของเบลได้เห็นภาพที่มายากำลังเก็บข้าวของพอดี

“ค่ะ อยู่นานพอแล้ว”

หญิงสาวตอบพร้อมรอยยิ้มบาง

“จะไม่เอาของ?”

มายาเงียบนิ่งไปครู่หนึ่ง

“ฉันคิดว่าเก็บไว้ที่คุณอาจจะเหมาะกว่า”

“ไม่เอาไม่ได้” ชายหนุ่มเอ่ยขัดขึ้นทันที “ในเมื่อคุณทำตามข้อเสนอของผมจนสำเร็จดีแล้ว ผมก็ต้องมอบมันให้กับคุณ”

“อย่างนั้นก็ได้”

หญิงสาวตอบพร้อมกระพริบตา จ้องมองสีหน้าที่ดูจริงจังเป็นพิเศษของหมอหนุ่มอย่างแปลกใจ

“ภายในห่อผ้านั้นมีของอยู่สองอย่าง อย่างแรกคือจดหมาย” ชายหนุ่มว่าพร้อมกับชูจดหมายที่หยิบออกมาจากกระเป๋าเสื้อขึ้น “หลังจากที่คุณอ่านมันจบแล้วค่อยไปเอาของอีกอย่างที่บ้านพักของผม ครบสองอย่างจากนั้นค่อยเดินทางก็ได้”

มายารับจดหมายจากชายหนุ่มมาอย่างเบามือ และถือมันเอาไว้อย่างทะนุถนอม พร้อมกับจ้องมองแผ่นหลังของชายหนุ่มซึ่งเดินหันหลังจากไป

“ไม่มีอะไรให้ต้องรีบนี่พี่มายา พรุ่งนี้ค่อยไปก็ได้นี่คะ”

เบลเดินเข้ามาเกาะแขนหญิงสาวพร้อมกับทำตาละห้อย มายาหัวเราะพร้อมกับลูบหัวเด็กหญิงอย่างเอ็นดู

“ขอเวลาพี่อ่านจดหมายก่อนนะ”

หญิงสาวว่าพลางทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ และค่อยๆ คลี่จดหมายนั้นอ่านอย่างเบามือ เห็นลายอักษรซึ่งเป็นลายมือแปลกๆ ค่อนข้างจะอ่านยาก หากแต่เธอก็ใช้เวลาอยู่ไม่นานจึงจะคุ้นชินและอ่านข้อความในจดหมายนั้นได้อย่างไหลลื่น

 

ถึง ทามาร์

 

คุณคงสงสัยว่าผมได้หายไปไหน เป็นเวลายี่สิบปีแล้วที่ผมไม่ได้ออกเดินทางเพื่อเล่านิทานอย่างที่คุณพ่อของผมได้ทำมาจวบจนวันสุดท้ายของชีวิต ผมดีใจมากจริงๆ ที่คุณชอบนิทานของผมเฉกเช่นเดียวกับที่คุณชอบนิทานของพ่อผมซึ่งเป็นนักเล่านิทานที่เก่งกาจเสียจนถูกกล่าวถึงในฐานะตำนานของคนขายฝัน น่าเสียดายที่เป็นเพราะปัญหาสุขภาพที่ทำให้ผมไม่อาจเดินทางไปที่ไหนได้อีก ไม่อาจแม้กระทั่งเปล่งเสียงเล่านิทาน

ผมจึงเขียนนิทานที่ผมไม่อาจเล่าผ่านเสียงขึ้นมาเป็นอักษรแทน และอยากจะมอบหนังสือที่ได้รวบรวมนิทานเหล่านั้นเพื่อมอบให้คุณซึ่งเป็นทั้งเพื่อนและเป็นคนที่คอยส่งมอบกำลังให้ผมไม่ท้อถอยที่จะเล่านิทานต่อไป

เวลาของผมใกล้หมดลงแล้วทามาร์ แม้แต่หลานชายของผมซึ่งเป็นหมอที่เก่งกาจก็ไม่อาจยื้อต่อเวลาให้ผมได้ ผมจึงอยากจะฝากของขวัญชิ้นสุดท้ายนี้ให้คุณซึ่งเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผม

ขอให้มีความสุขกับฝันที่ผมอยากจะมอบให้

 

รัก

นักเล่านิทาน

 

มายาพับเก็บจดหมายอย่างนิ่มนวล รอยยิ้มอาบอิ่มอยู่บนใบหน้า

…นึกสงสัยว่าจะดีแค่ไหนหากมีคนเล่านิทานให้เธอได้ฟังอีกสักครั้ง

 

-11-

 

“คุณหมอ”

มายาเอ่ยเรียกพร้อมกับแย้มยิ้มกว้างเสียจนตาหยี

“ผมชื่อทาลี”

“ทาลี”

หญิงสาวทวนพร้อมรอยยิ้ม เห็นชายหนุ่มขยับมุมปากขึ้นบ้างเล็กน้อย

“อ่านนิทานให้ฟังหน่อยสิคะ”

หญิงสาวอ้อนขอ ความมั่นใจที่มาจากไหนไม่รู้มากมายในเวลานี้ทำให้เธอไม่เผื่อใจคิดเอาไว้เลยว่าชายหนุ่มอาจจะปฏิเสธอย่างเย็นชา

“ที่ระเบียงหน้าบ้านคงจะเหมาะกับการฟังนิทาน”

ชายหนุ่มทอดมองมาที่เธอด้วยแววตาอุ่นล้ำราวกับแสงตะวัน

 

…น่าแปลกนักที่คนเป็นหมอนั้นจะมีน้ำเสียงในการเล่านิทานอย่างที่ทำให้หญิงสาวผู้ซึ่งอ่อนล้ากับการฝันในทุกค่ำคืน ได้หลับใหลลึกเข้าไปในห้วงนิทราอย่างที่ปรารถนามาเนิ่นนาน…

 

-12-

 

มีเรื่องเล่าถึงนักเล่านิทานหญิงที่เดินทางไปทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าเมืองเล็กเมืองใหญ่ เธอจะเปิดหมวกแล้วมอบส่งความหวังและความฝันผ่านเรื่องราวน่ามหัศจรรย์เท่าที่เธอมีให้กับทุกคนที่ปรารถนาจะมีฝัน ทุกที่ซึ่งไปเธอไม่ว่าแห่งหนใดมักจะมีหมอหนุ่มที่เก่งกาจราวเทวดาปรากฏตัวอยู่ใกล้ๆ คอยเดินทางเคียงข้างกันไปตลอดเส้นทางที่ไม่เห็นจุดหมาย

มายาอิ่มเอมใจในทุกคืนวัน เธอค้นพบว่าคนขายฝันที่เธอเฝ้าอยากพบพานไม่ได้อยู่ที่ไหนไกลนอกจากข้างในตัวของเธอ เธออยากที่จะเล่านิทานในทุกที่ซึ่งเธอไป จวบจนกระทั่งเรื่องราวเหล่านั้นจะส่งไปไกลถึงเมืองที่ไร้ฝันให้เกิดมีเมล็ดพันธุ์แห่งความฝันผลิออกเบ่งบานในสักวัน…และจวบจนกระทั่งการเดินทางในเส้นทางชีวิตที่แสนสั้นนี้จะสิ้นสุดลง

…ให้เรื่องราวเหล่านี้คงอยู่ต่อไปนานเท่านานในความทรงจำของทุกคน…

 

 

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว