พระอาทิตย์ย้อนแสง
0
ตอน
1.32K
เข้าชม
377
ถูกใจ
9
ความคิดเห็น
0
เพิ่มลงคลัง

 

พระอาทิตย์ย้อนแสง

ผู้ประพันธ์:  ช  ปภัณ

 

1

          พระอาทิตย์ย้อนแสง

คือชื่อนครที่มืดมิด แสงสว่างจากดวงตะวันจะฉายไปยังผู้มีเวทมนต์เท่านั้น อันที่จริง ชื่อนครนี้คือฉายาซึ่งชาวเมืองผู้อยู่ในเงามืดและผู้คนจากแคว้นอื่นตั้งให้ ส่วนผู้มีเวทมนต์เรียกนครแห่งนี้ว่า “พระอาทิตย์ทอแสง”

ตามปกติ แสงสว่างและความมืดมิดจะแยกจากกันอย่างชัดเจน แต่ยามเที่ยงในศาลากลางวันนี้ผิดแผกไป นั่นเพราะเหล่าขุนนางผู้เปี่ยมด้วยอำนาจเวทมนต์และผู้นำกลุ่มตะวันย้อนแสงมารวมตัวกันเพื่อประชุมใหญ่

เหล่าขุนนางในชุดคลุมสีขาว ยาว ก้าวผ่านโถงทางเดิน พวกเขาทักทายกันเอง โดยไม่ชายตามองเหล่าผู้นำกลุ่มตะวันย้อนแสงผู้คลุมผ้าสีดำ บางคนหันไปใส่ใจรูปนักปราชญ์ในยุคต่างๆ ที่ติดตามรายกำแพงมากกว่าเสียอีก

ตรงสุดทางเดิน มีประตูไม้ใหญ่สีทองเปิดต้อนรับผู้เข้าร่วมประชุม ทุกคนต้องสวมชุดทรงสามเหลี่ยมสีเขียวประกายทอง เนื้อผ้าค่อนข้างหยาบ เพราะย้อมด้ายทอจากว่านกำบังภัยและติดเกล็ดทองค่อนข้างถี่ เพื่อป้องกันการใช้เวทมนต์ระหว่างการประชุม

เวลามาที่ศาลากลาง หลายคนมักตรงมายังประตูทองเลย จึงไม่ค่อยมีใครสังเกตเห็นว่าที่ด้านข้างห้องนั้นมีซอกเล็กๆ ติดภาพนักปรัชญาผู้มีชื่อเสียงอีกท่าน ทว่ากลับเป็นจุดที่ชายหนุ่มผู้หนึ่งชื่นชอบ ร่างสูงยืนตรงหน้ารูปนั้น เขาสวมเสื้อคอปกตั้ง คลุมผ้าสีดำยาว ดูเคร่งขรึมเด็ดขาด ดวงตาคม มุ่งมั่นดั่งอินทรีย์จ้องบุรุษหนวดฟูบนผืนผ้าใบ มีป้ายไม้สลักชื่อ “ฟรีดริช นีตเชอ”

“มนุษย์มีอยู่สองแบบ...นาย กับ ทาส” ริมฝีปากบาง พึมพำ ทบทวนปรัชญาของนีตเชอ “นายมีพลัง ส่วนทาสไร้พลัง”

ขณะครุ่นคิดอยู่นั้น สหายผู้สวมชุดสามเหลี่ยมแล้วก็ตามมาเรียกเขา

“ซิเซโร จวนจะได้เวลาแล้ว” ทักแล้ว ผู้เตือนก็รีบกลับเข้าห้องเพื่อไปนั่งประจำตำแหน่ง

ซิเซโรหมุนตัว เพื่อเข้าประตูทอง ประจวบเดียวกันนั้น หญิงสาวในชุดคลุมสีขาวก็ก้าวเข้ามาพอดี เธอผู้นั้นหันมา ผมสีทองตรงยาวพลิ้วต้องประกายกับแสงตะวัน ดวงตา กลม โต มองเขา แต่ชายหนุ่มยกผ้าคลุมขึ้นกันไว้ ด้วยรู้ว่าสตรีผู้นี้มีเวทมนต์ใด

เขารอให้เธอเปลี่ยนชุดก่อน เมื่อมั่นใจแล้วว่าเจ้าหล่อนโดนจำกัดอำนาจแล้วจึงตามเข้าไป เมื่อทั้งสองแต่งกายถูกต้องตามกติกาของสภากาแฟแล้ว เจ้าหน้าที่จึงเปิดประตูสีทองอีกบานเพื่อเข้าสู่ห้องประชุมใหญ่

เจ้าหน้าที่ขานชื่อสมาชิกในสภากาแฟสองรายสุดท้าย

“ท่านฌองส์ ดาร์ริดา และท่านฟูลตง ซิเซโร”

ทั้งคู่ยืนมองห้องประชุมทรงสี่เหลี่ยม แบ่งโต๊ะยาวออกเป็นสองด้าน ฝั่งขวาเป็นฝ่ายขุนนางพระอาทิตย์ทอแสง ส่วนทางซ้ายเป็นฝ่ายแกนนำพระอาทิตย์ย้อนแสง ตรงกลางต้นห้องเป็นที่นั่งของประธานและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย

ซิเซโรเดินไปด้านซ้าย ส่วนดาร์ริดาแยกไปด้านขวา

ตั้งแต่เมื่อครู่จนถึงบัดนี้ พวกเขายังไม่สบตากันเลย

 

2

          ภายในห้องประชุมต้องใช้ไฟฟ้าเป็นตัวช่วยให้แสงสว่าง เพราะเหล่าขุนนางโดนจำกัดเวทย์ จึงไม่อาจเรียกแสงตะวันได้
            ซึ่งนั่นก็เป็นหัวข้อในการประชุมครั้งนี้

“พวกท่านต้องเลิกใช้เวทย์แย่งแสงอาทิตย์ ปล่อยให้พระอาทิตย์ทอแสงตามธรรมชาติ เพื่อให้พวกเราได้รับแสงอย่างเท่าเทียมกัน” ซิเซโรอภิปรายต่อหน้าขุนนางนักเวทย์ “พวกเรายังมีข้อเสียเปรียบจากการโดนกดขี่อีกมาก แต่ตอนนี้พวกเราขอให้ทุกท่านคืนแสงสว่างให้พวกเราเสียก่อน การอยู่แต่ในที่มืดมิดและอับชื้น ทำให้คุณภาพชีวิตของพวกเราตกต่ำ ทั้งมีอันตราย ทั้งมีโรคภัยไข้เจ็บ”

เหล่าขุนนางปรึกษากันระงม จนกระทั่ง มิคฮอล ผู้นำแห่งชนชั้นพระอาทิตย์ทอแสง ให้เหตุผลบ้าง          “ท่านก็เห็นแล้วนี่ว่า ผู้ขับเคลื่อนนครคือพวกเรา พวกเราจึงมีความจำเป็นต้องใช้แสงสว่างตลอดเวลา และที่ทำอยู่นี้เป็นการขอความร่วมมือ หาใช่การยึดแสงไม่ เพื่อนครของเรา ขอให้ท่านเข้าใจ”

“เราเสียสละเพื่อนครแล้วเราได้อะไร” ซิเซโรย้อนถาม “พวกเราควรได้รับการดูแลมากกว่านี้”

ขุนนางผู้นำเริ่มหงุดหงิด แต่ยังสงวนท่าทีให้สุขุมไว้

ดาร์ริดาผู้นั่งอยู่ข้างๆ พอดูออก เธอเอื้อมมือไปแตะเขา แล้วเป็นฝ่ายพูดแทน

“ในเรื่องนี้ พวกเราก็ได้แบ่งแสงให้กับสถานทำงานตลอดเวลา ชาวเมืองสามารถเลือกทำงานได้สามกะ ใครหมดกะ ก็กลับบ้านไปนอน ซึ่งความมืดนั้นก็ไม่น่ามีผลกระทบอะไรมากนัก เพราะเรามีไฟฟ้าให้ท่าน” น้ำเสียงของหญิงสาวนั้นไพเราะ ไร้การกระแทกคำ ทว่าไร้หัวใจ “อยากให้ทบทวนสักเล็กน้อยว่า ผู้ที่ได้รับผลกระทบมาก...พวกเขาทำงานกันรึเปล่า”

คำถามนั้นทำเอาฝั่งตะวันย้อนแสงชะงักไป ดาร์ริดาจึงทวนกติกาสังคม ตอกกลับ

“ถ้าไม่ทำงาน จะแบ่งทรัพยากรของนครให้ ก็ไม่เสมอภาคต่อคนอื่นที่ตั้งใจทำงานค่ะ”

ทั้งห้องประชุมเงียบกริบ ยิ่งคิดตามยิ่งสมเหตุผล จนเหมือนฝ่ายตะวันย้อนแสงจะพ่ายแพ้ แต่ซิเซโรส่ายศีรษะ แล้วตอบโต้

“คุณสมบัติของไฟฟ้าไม่อาจเทียบเท่าแสงตะวัน ที่ท่านพูดมาล้วนเป็นข้ออ้างที่จะไม่ยอมแบ่งแสงให้” เขายอกย้อน “ทำไมท่านไม่ใช้ไฟฟ้าบ้างล่ะ ยามเดินมาประชุมที่นี่ ใช้แสงตะวันนำทางกันทำไม”

สิ้นคำถาม ฝ่ายสีดำก็โวยวายด้วยอารมณ์ท้าทายเจือความเก็บกด ส่วนฝ่ายสีขาวก็หันมาคุยกันเอง ไม่สบตาฝั่งตรงข้าม กลายเป็นไม่มีใครฟังใคร จนกระทั่งประธานในที่ประชุมเคาะค้อนเรียกความสงบคืน ก่อนประกาศ

“วันนี้เกิดความอลหม่านขึ้นแล้ว ขอยุติการประชุมเพียงเท่านี้ แล้วจะแจ้งทุกท่านให้ทราบว่าวาระครั้งต่อไปจะจัดขึ้นในวันไหน”

สิ้นคำ แสงไฟก็หรี่ลง ประตูบานสีทองเปิดอ้าออก เหล่าขุนนางต่างรีบลุกขึ้นเดินออกจากห้องทันที

ซิเซโรยืนตัวแข็ง เขากำลังตีโต้ชาวสีขาวได้แล้วแท้ๆ แต่กลับปิดการประชุมเสียแบบนี้!

ชายหนุ่มมองดาร์ริดาผู้กำลังเลื่อนเก้าอี้นั่งเก็บให้เข้าที่…ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นแผนของเจ้าหล่อน นางต้องการปั่นหัวที่ประชุมเพื่อให้ยุติการอภิปรายครั้งนี้โดยเร็ว เหล่าขุนนางไม่อยากคุยกับพวกเขาด้วยซ้ำ!

ดาร์ริดา...แม้โดนจำกัดเวทมนต์ แต่ก็ยังควบคุมอารมณ์คนในห้องประชุมได้ตามต้องการ ช่างเป็นบุคคลอันตราย

ในบรรดาแกนนำชนชั้นสูงที่ต้องกำจัดทิ้ง...ดาร์ริดาเป็นหนึ่งในนั้น!

 

3

ดาร์ริดาในชุดคลุมสีขาวสะอาด ยืนตรงหน้าบันไดทางลงศาลากลาง

ตรงนี้สูงพอที่จะมองเห็นพระอาทิตย์ทอแสงได้ทั้งนคร สิ่งปลูกสร้างและประติมากรรมใดที่เป็นของสาธารณะ ล้วนออกแบบงดงามทั้งทางการคำนวณโครงสร้างและศิลปะตกแต่ง แต่ทุกแห่งกลับทรุดโทรมเพราะประชาชนไม่ให้ความร่วมมือในการดูแลรักษา

พวกเขาไร้การศึกษา ร่างกายทรุดโทรม เนื้อตัวสกปรก หน้าตาอัปลักษณ์ บ้างก็เป็นเผ่าพันธุ์ครึ่งมนุษย์ไปเสียแล้ว ก็ด้วยเหตุนี้ล่ะ ต่อให้บูรณะบ้านเมืองอย่างไร ก็ไม่มีวันดูดีได้

หญิงสาวยื่นแขนขึ้นตรงหน้าแล้วหงายฝ่ามือออก พลันนั้นดอกไม้สีขาวก็ปรากฏขึ้น ร้อยเรียงเป็นเส้นทางกลางอากาศ ดาร์ริดาไม่คิดจะใช้ถนนสาธารณะ เพราะทั้งเมืองล้วนสกปรกและอันตราย ตามที่ซิเซโรกล่าว

บนท้องฟ้า เหล่าผู้วิเศษล้วนประยุกต์เวทมนต์ให้เลี่ยงเส้นทางปุถุชน พวกเขาไม่ชำเลืองมองเหล่าแกนนำสีดำที่ต้องเดินถนนดังเดิม แต่ใช้เวลาที่เหลือเพียงน้อยนิดหันกลับมาล่ำลากัน เมื่อแต่ละคนแยกย้ายกันแล้ว ดาร์ริดาจึงหยุดเดิน แล้วร่ายมนต์ให้ดอกไม้มารวมตัวกันที่ฝ่าเท้า เพื่อลอยตามสายลมเย็นไปยังจุดหมายปลายทาง

 

 

4

โรงงานผลิตยา คือหนึ่งในสถานประกอบการภายใต้การดูแลของดาร์ริดา

ที่นี่ปลูกสร้างแบบวิหารกรีก เพื่อให้ภายในอาคารมีที่โล่งสำหรับปลูกสมุนไพรและกั้นห้องสำหรับปรุงยา พนักงานในสังกัดทุกคนสวมชุดสะอาดมิดชิด ทำงานภายใต้แสงตะวันที่เธอใช้เวทมนต์ควบคุม

หญิงสาวคำนวณว่าจะลงตรงสวนสมุนไพรกลางวิหาร แต่กลับเห็นว่าด้านหลังนั้นมีชายร่างใหญ่ สวมกางเกงผ้าขาดรุ่งริ่ง ท่อนบนเปลือยเปล่า นอนหมอบที่ชานบันได เธอจึงเปลี่ยนไปลงตรงนั้นแทน

เมื่อปลายรองเท้าแตะพื้นหินอ่อน บุปผามนตราก็กำจายปลิวว่อนก่อนสลายไป ชายร่างใหญ่ค่อยๆ เงยหน้ามอง ทั้งสองสบตากัน

“เป็นอะไรรึเปล่า” เธอถามพลางเดินลงบันไดไปหา

“ผม...ไม่รู้...” เขาตอบในลำคอ ไม่มีเรี่ยวแรงเปล่งเสียงออกมา ผิดจากรูปร่างใหญ่ กล้ามเนื้อแน่นที่ดูน่าจะแข็งแรง

พนักงานรักษาความปลอดภัยรีบวิ่งมาพร้อมไม้ตะบองในมือ เตรียมขับไล่คนเร่ร่อน ทว่าดาร์ริดาย่อกายลงนั่งตรงหน้าชายผู้นั้น แล้วยื่นแขนซึ่งสวมถุงมือสีขาวสะอาดให้เขาจับ

“ฉันจะรักษาเธอเอง แต่ก่อนอื่น ขอดูหน่อยว่า มีแรงยืนไหม”

คนป่วยลังเล เพราะตามปกติ ผู้มีเวทมนต์มักไม่แตะต้องหรือมีปฏิสัมพันธ์กับชาวเมืองธรรมดา เขาดูรู้จักความแตกต่างระหว่างชนชั้นดี

แต่น้ำใจของหญิงสาวนั้น ช่างงามเสียจนเขายื่นมือไปจับ

...แต่กลับเป็นลมล้มไป…

 

5

ชายร่างใหญ่รู้สึกตัว ค่อยๆ ลืมตา

เบื้องหน้าเป็นเพดานสีขาว มีพัดลมทองหมุนเวียนอากาศ เขาอยู่บนเตียงนุ่ม ติดหน้าต่างบานใหญ่ มองเห็นสวนสมุนไพรเขียวชอุ่ม...และดาร์ริดานั่งอยู่ด้านข้าง

“เป็นไงบ้าง” เธอถาม ใบหน้างามนั้นดูเคร่งขรึมมากกว่าเป็นห่วง

“อา...ผม...ไม่รู้ครับ แต่คิดว่าดีขึ้น”

“ฉันไม่รู้ว่าเธอเป็นโรคอะไร เธออาจไม่ได้ป่วยเป็นโรคอะไรด้วยซ้ำ เธอแค่เหนื่อยอ่อน เพราะไม่ได้กินอะไรดีๆ อยู่แต่ในที่สกปรกอับชื้น หากไม่อยากเป็นแบบนั้นอีกก็ให้ทำงานที่นี่...ไปอาบน้ำแต่งตัวซะ” ว่าแล้วร่างบางก็ลุกขึ้น พลันนั้นก็มีผู้รับใช้ชายเข้ามายืนกั้นระหว่างทั้งสอง แทบจะไม่ให้เขามองหน้าหญิงสาวผู้มีพระคุณ

“อ...เอ่อ...แต่...ผม” คนป่วยงุนงงที่ชีวิตของเขากลับมีคนอื่นมาตัดสินใจให้

“เธอชื่ออะไร”

“ม...มูร์ ครับ”

“มูร์ ฉันรำคาญที่เธออึกอักแบบนี้ เธอจะเอายังไงกับชีวิตตัวเองก็พูดมา”

“ผ...ผมไม่รู้” เขาส่ายหน้า

“คนที่ไม่ชัดเจนในตัวเอง ย่อมถูกบงการ” ดาร์ริดาสรุป “มาทำงานกับฉัน จนกว่าเธอจะมีจิตใจที่แข็งแกร่ง  แบบคนพวกนี้”

กล่าวเสร็จ หญิงสาวหมุนตัวออกจากห้องไป

คนรับใช้ชายทั้งสอง ต้อนรับมูร์สู่วิหารโรงงานผลิตยา

 

6

ยามเช้าตรู่ในวันที่ไร้งานหลวง ดาร์ริดาแจกยาสามัญประจำบ้านให้กับประชาชน

เธอแวะเวียนตามบ้านเรือน เริ่มที่หมู่บ้านซอย 1 ถนนทั้งสายจึงโปรยด้วยดอกไม้เนรมิต ท้องฟ้าเบื้องบนส่องแสงสว่าง สร้างความชื่นอกชื่นใจให้ชาวบ้านอย่างมาก

เมื่อถึงท้ายซอย ดาร์ริดาเคาะประตูบ้านไม้หลังสุดท้าย ผู้ที่เปิดออกมาเป็นชายหนุ่มร่างสูงในผ้าคลุมสีดำ...ซิเซโรนั่นเอง!

“กำลังรออยู่เลย” เขาส่งยิ้มให้ ก่อนดึงร่างบางเข้ามาข้างใน

ภายในบ้านหลังนี้ไม่มีข้าวของเครื่องใช้ใดๆ จึงทำให้เพิ่งรู้ว่าเป็นบ้านร้าง

“ท่านต้องการอะไร”

“ต้องการทุกสิ่งที่สมควรได้” เขาชี้นิ้วไปยังพื้น พลันนั้นโต๊ะและเก้าอี้ก็ปรากฏขึ้น ดาร์ริดาตกใจ

“ท่านมีพลังได้ยังไง!”
            “ท่านต้องเข้าใจผิดเรื่องพลังเป็นแน่ ไม่ใช่ขุนนางมีพลัง แต่ประชาชนไร้พลังหรอกนะ” เขานั่งไขว่ห้าง “คนที่มีจิตแห่งนายต่างหากที่สร้างพลังได้ ดังนั้น ตราบใดที่รู้สึกพ่ายแพ้ หรือดีแต่ยอมทำตามคำสั่ง ย่อมไร้พลัง จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า พวกที่ดีแต่ได้อย่างพวกท่านถึงมีพลังกันทุกคนไง”

ดาร์ริดารู้ที่มาของพลังอยู่แล้ว เพียงแต่ความชินตาที่เห็นสังคมแบ่งแยกออกเป็นสองชนชั้น ทำให้ลืมนึกไป อันที่จริง หน้าที่หลักของเธอคือการคอยทำให้เหล่าขุนนางมีจิตอันผ่องใสจากดอกไม้มนตรา เพื่อรักษาอำนาจพิเศษไว้ให้อยู่กับตัว ดังนั้น หากเหล่าผู้นำตะวันย้อนแสงจะมีเวทมนต์ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

“สมกับเป็นผู้นำตะวันย้อนแสง ไม่ว่าอยู่ในสถานการณ์ใด ก็กำลังใจดีเสมอ” หญิงสาวชม ก่อนเดินไปนั่งตรงเก้าอี้อีกตัว พยายามหยั่งเชิงว่าอีกฝ่ายต้องการสิ่งใด “แต่จะดีกว่านี้ ถ้าท่านยอมร่วมมือกับฉัน”

“ร่วมมืออะไร”

“มาสร้างนครแห่งความเสมอภาคกันเถอะค่ะ” เธอบอก “ท่านก็เห็นว่าฉันพยายามลงมาหาชาวบ้าน ฉันไม่ได้เอาแต่หาผลประโยชน์ใส่ตัวและทอดทิ้งชาวบ้านนะคะ อย่างวันนี้ ท่านก็เห็นแล้วนี่”

ซิเซโรหัวเราะ

“ความอยากสร้างนครแห่งความเสมอภาคคือวาทกรรม” เขาคว่ำมือลงบนโต๊ะ เป็นอวัจนะของผู้ต้องการควบคุมคน “วาทกรรมเพื่อหลอกให้คนตายใจ ท่านหลอกชาวบ้านให้พวกเขารู้สึกรักท่าน รู้สึกว่าท่านไม่ทอดทิ้งพวกเขา แต่มันจะดีกว่านี้ไหม ถ้าชาวบ้านทุกคนมีความเป็นอยู่ที่ดีจนไม่ต้องให้ท่านมาคอยแจกยา! ท่านแค่ต้องการหาที่ทำทานสร้างกุศลให้ตัวเองเท่านั้น!”

ดาร์ริดากัดฟัน โมโห เธอรู้สึกเกลียดฝีปากของเขาจับขั้วหัวใจ

“แล้วท่านล่ะ มาเรียกร้องสิทธินั่นสิทธินี่ ความจริงก็ไม่ใช่อยากให้สังคมเท่าเทียมกันหรอก คนที่ต้องการให้สังคมเท่าเทียมกัน ต้องมีความรักในเพื่อนมนุษย์ แต่ท่านกลับพูดแบบนี้กับฉัน ท่านต้องการจะโค่นพวกเราต่างหาก” หญิงสาวลุกขึ้น ไม่อยากร่วมโต๊ะด้วยนานไปมากกว่านี้

“ถ้ารู้อย่างนั้นแล้ว ไม่มาร่วมมือกับผมเหรอ” เขาถามย้อน

“ร่วมมืออะไร”

“ร่วมมือกันกำจัดขุนนางขูดรีด เพื่อนครที่มีแต่ความยุติธรรม” เป้าหมายของซิเซโรไม่ได้ต่างจากของเธอเลย วาทกรรมของเขาก็หลอกลวงเช่นเดียวกัน “มาร่วมทางกับผมดีกว่า เส้นทางของผมได้รับการยอมรับจากหลายฝ่ายว่าวางแผนมาได้ถูกต้องดีเยี่ยม แตกต่างจากเส้นทางที่คุณเดินอยู่มากนะ”

“ความอยากสร้างนครแห่งความเสมอภาคคือวาทกรรม” เธอย้อนคำเขาอย่างใจแข็งและแน่วแน่ “ท่านมีเส้นทางของท่าน ฉันมีเส้นทางของฉัน ดังนั้นเส้นทางที่ถูกต้องที่สุดจึงไม่มีจริง”

ซิเซโร่ถอนหายใจยาว แล้วจึงลุกขึ้น พลางเปรย

“น่าเสียดายจริง ทั้งที่ผมต้องการพลังของท่านแท้ๆ” ชายหนุ่มก้าวเข้าใกล้ “หากไม่มาเป็นพวกเดียวกัน ก็จงลิ้มรสความหวาดกลัวที่พวกผู้หญิงรู้สึกยามที่ต้องใช้ชีวิตท่ามกลางความมืดมิดเถอะ”

ว่าแล้วเขาก็ยกนิ้วชี้ขึ้นมาระดับหัวคิ้วของดาร์ริดา เธอตกใจ รีบร่ายเวทมนต์ดอกไม้กำบัง

แต่ช้าเกินไป ร่างบอบบางไร้เรี่ยวแรง ทรุดลงกับพื้น ดวงตาคู่งามมองเห็นภาพสุดท้ายก่อนหมดสติ

...รอยยิ้มของซิเซโร...

 

7

ดาร์ริดารู้สึกตัว ค่อยๆ ลืมตา  

เบื้องหน้าเป็นเพดานสีขาว มีพัดลมทองหมุนเวียนอากาศ เธอนอนอยู่บนเตียงนุ่ม ติดหน้าต่างบานใหญ่ มองเห็นสวนสมุนไพรเขียวชอุ่ม..อา...ที่นี่คือวิหารผลิตยา

ด้านข้าง มูร์คุกเข่ากับพื้น คอยดูแลอยู่

“ท่านหญิงฟื้นแล้ว” เขาโล่งอก ดาร์ริดาหันไปมองแล้วนึกทบทวนว่าทำไมตนเองถึงมาอยู่ที่นี่ได้ พลันนั้น ภาพรอยยิ้มของซิเซโรก็ผุดขึ้นในหัว ร่างบางรีบลุกนั่งแล้วสำรวจร่างกาย

เสื้อผ้ายังคงเป็นชุดเดิม ร่างกายไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหน

หัวใจของเธอเต้นเร็ว หญิงสาวนั่งนิ่ง ตัวแข็ง ความรู้สึกหวาดกลัวและโล่งอกประดังเข้ามาในเวลาเดียวกัน

“ท่านหญิง...” มูร์เรียกอย่างกังวล ดาร์ริดาค่อยๆ เหลือบไปมอง

บัดนี้ชายร่างใหญ่สวมชุดเครื่องแบบของโรงงานผลิตยาแล้ว

“มูร์ ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

“ผมก็ไม่รู้ครับ ผมเห็นท่านหญิงนอนสลบอยู่ตรงบันไดหลังวิหาร” เขาบอก “ผมรีบพามาที่นี่ คนอื่นไปตามหมอ แต่หมอยังไม่มา ค่อยยังชั่วที่ท่านฟื้นก่อน ผม...ผมเป็นห่วงท่านหญิงมาก”

มูร์พูดพัลวันไปมา แต่แทนที่ดาร์ริดาจะรู้สึกรำคาญ เธอกลับประหลาดใจ เพราะตอนเขาสิ้นสติ เธอเคยพูดจาค่อนข้างกระด้าง...นั่นทำให้หญิงสาวรู้สึกละอาย

“ขอบใจนะ”

“ม...ไม่เป็นไรครับ” อีกฝ่ายร้องเสียงสูง “ท่านช่วยผมไว้ ผมต้องเป็นฝ่ายขอบคุณท่านหญิงต่างหาก แต่ก่อนอื่น ท่านไม่เป็นไรแล้วใช่ไหมครับ”

คำถามนั้นกลับมาให้เธอนึกถึงรอยยิ้มของซิเซโร่อีกครั้ง หญิงสาวชันเข่า ซบใบหน้าลงกับฝ่ามือ

นี่สินะ ที่เขาอยากให้เธอรู้สึก!

เมื่อนายหญิงมีท่าทีแบบนี้ มูร์ก็เลิกลัก มองซ้ายขวา แล้วจึงหยิบผ้าห่มขึ้นมากางออก

“ท...ท่านหญิงครับ” เขาเรียก “คือว่าผมไม่กล้าปลอบขวัญท่าน ต...แต่...ผมคลุมผ้าที่หลังท่านแทน ได้ไหมครับ”

ดาร์ริดาหันมามองเล็กน้อย เธอเองก็อยากรู้สึกอบอุ่นกว่านี้อยู่พอดี จึงพยักหน้า ชายหนุ่มค่อยๆ คุกเข่าบนเตียง บรรจงห่มผ้าผืนบางสีขาวรอบร่างบาง...แขนล่ำนั้นคล้องรอบหญิงสาวเบาๆ

นายหญิงหันไปมอง

“ผ...ผมไม่ได้กอดท่านนะครับ ผมแค่คิดว่าจะทำให้ท่านกลัวน้อยลง” มูร์รีบแก้ตัว “ต่อไปนี้ ท่านไปที่ไหน ขอให้ผมติดตามท่านไปด้วยเถอะครับ ผมจะคุ้มครองท่านเอง”

มือ แขน และขาของดาร์ริดาเกร็งน้อยลง ความรู้สึกหวาดกลัวลดหายลงไปเยอะ หญิงสาวพยักหน้ารับข้อเสนอของอีกฝ่าย แต่ก็ไม่วายไล่เขาลงจากเตียง

แต่นั่นก็แสดงว่า กำลังใจของเธอกลับคืนมาแล้ว

 

8

นับแต่นั้นมา มูร์ก็คอยอยู่เคียงข้างดาร์ริดาปานองค์รักษ์

ยามหมดหน้าที่จากงานหลวง หญิงสาวมักใช้เวลาอยู่กับการดูแลพืชสมุนไพรตรงกลางวิหาร ใน ช่วงเวลาที่ไม่ต้องสุงสิงกับใครนั้น ดาร์ริดามีท่าทีผ่อนคลาย ดูเป็นธรรมชาติ

แต่เมื่อเก็บเกี่ยวสมุนไพรเพื่อผลิตยา กลับมักทุกข์ตรม จนมูร์อยากช่วยเยียวยา

“ท่านหญิง ตั้งแต่ผมรู้จักท่าน สิ่งเดียวที่ทำให้ท่านมีสีหน้าเช่นนี้ คือคำของท่านซิเซโร”

“ใช่” หญิงสาวลดกรรไกรตัดกิ่งลง “ฉันผลิตยา เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของชาวเมือง แต่เขากลับเห็นว่าสิ่งที่ฉันทำ ยังไม่ถูกต้อง”

“ท่านหญิง...” มูร์ปลอบเพียงเอ่ยเรียกเธอซ้ำเท่านั้น

“มูร์ ทุกครั้งที่ฉันพูดถึงซิเซโร เธอไม่เคยมีท่าทีขัดขืนเขาเลย ซ้ำยังพูดจาให้เกียรติเขา” ดาร์ริดาสังเกตตลอด เพราะเธอทำงานด้านการโน้มน้าวคน จึงจับคำพูดของทุกคนได้ไว แต่ก็ไม่น่าแปลกใจนัก เพราะมูร์เคยเป็นคนเร่ร่อนมาก่อน “เธออยู่ข้างใคร ซิเซโร หรือ ฉัน”

ชายหนุ่มตัวใหญ่ยังคงเป็นแบบเดิม อึกอัก ลังเล และตอบไม่ได้ในทันที

ดาร์ริดาถอนหายใจ แล้วเนรมิตดอกไม้สีขาวขึ้นมา พร้อมวางลงบนพื้นดิน ก่อนเอ่ยขึ้น

“พอฉันไปแล้ว ค่อยตั้งสมาธิดีๆ แล้วหยิบขึ้นมา” กล่าวแล้ว ร่างบางก็ออกจากสวนไป

มูร์ทำตาม เขาหลับตา ตั้งสมาธิ เมื่อใจนิ่งแล้วจึงแตะดอกไม้ มีเสียงลอดเข้ามากระซิบหัวใจ

“เป็นเพื่อนกันนะ”

 

9

          ซิเซโรยืนอยู่บนเวที เบื้องหน้าเขาคือพลเมืองตะวันย้อนแสง

หลังจากที่พูดปลุกเร้าประชาชนหลายครั้ง ทุกอย่างเป็นไปตามแผนการ ดังนั้นคราวนี้มีเพียงประโยคเดียวที่เขาประกาศ

“คืนนี้ เราจะปฏิวัติ!”

 

10

ยามนี้คือเวลากลางคืน แต่ดาร์ริดากำลังนั่งทำงานอยู่ใต้แสงตะวัน

ช่วงหลังมานี้ เธอค่อนข้างรู้สึกอุ่นใจที่มีมูร์คอยตามดูแล อาจเป็นเพราะเขาตัวใหญ่และซื่อตรงก็เป็นได้

ขณะพิมพ์เอกสารอยู่นั้น วิหกมนตราสีขาวก็บินผ่านหน้าต่างเข้ามาแล้วหยุดตรงโต๊ะ พร้อมกระดาษที่ผูกติดกับเท้า หญิงสาวเอะใจ เธอแตะม้วนกระดาษ พลันควันสีขายก็ลอยคลุ้งขึ้น ปรากฏเป็นใบหน้าของมิคฮอล

“ดาร์ริดา หนีไป! พวกตะวันเบี่ยงแสงก่อกบฏ!” เขาพูดขณะโดนชายชุดดำสองคนฉุดกระชากร่างให้ออกจากประตูห้องนอน

“ท่านมิคฮอล!” ดาร์ริดาร้องลั่นพร้อมกับควันที่จางหายไป มูร์รีบวิ่งเข้ามา

“เกิดอะไรขึ้นครับ!” เขาถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง หญิงสาวมองหน้าอีกฝ่ายอย่างลังเล

“มูร์...เธอรู้ไหมว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกับกลุ่มตะวันย้อนแสง”

ชายหนุ่มพยักหน้า แล้วค่อยๆ ก้าวไปทางโต๊ะทำงาน ทว่าหญิงสาวลุกขึ้น แล้วก้าวถอยหนี
            “ท่านไม่เชื่อใจผมบ้างหรือ”

“มูร์ เธอพูดให้ชัดๆ ได้ไหม ว่าเธอเป็นพวกใคร”

“ผมเป็นของท่านดาร์ริดา” คราวนี้เขากล่าวหนักแน่นและมั่นใจ พร้อมยื่นมือไปหานายหญิง “พวกเรารีบหนีกันเถอะครับ”

ดาร์ริดาโล่งอก เธอพยักหน้า แล้วจับมือเขา ร่างบางถูกรวบเข้าไปกอดแน่น ความอบอุ่นจากแผงอกผายนั้นช่วยให้รู้สึกปลอดภัยขึ้น หญิงสาวเรียกกำลังใจกลับคืนมาแล้วค่อยๆ ละกายออก

ทว่ามูร์แตะนิ้วชี้ที่ระหว่างคิ้วของเธอ พร้อมร่ายมนต์คุ้นหู พลันนั้นดาร์ริดาก็ไร้เรี่ยวแรงเหมือนดั่งที่เคยเป็น ดวงตาคู่งามมองเห็นภาพสุดท้ายก่อนหมดสติ

มูร์ กลายเป็น ซิเซโร!

 

11

          ดาร์ริดารู้สึกตัวอีกครั้ง ก็อยู่ในคุกเสียแล้ว

          ภายในนี้มืด แคบ ไร้หน้าต่าง จึงไม่อาจควบคุมแสงอาทิตย์ได้ เธอรีบคลานไปจับลูกกรง และเห็นพรรคพวกถูกขังอยู่เช่นกัน ทุกคนสวมชุดนักโทษจำกัดพลังที่ไม่สามารถถอดออกได้หากไร้กุญแจมนตรา หน้าตาพวกเขาดูหม่นหมอง ก้มศีรษะมองพื้นอย่างสิ้นหวัง

ชายในผ้าคลุมสีดำตรวจตราความปลอดภัยอยู่นอกกรงเหล็ก ในมือถือไม้คฑายาว แสดงว่าคนพวกนี้ใช้พลังได้

เสียงบานประตูสนิมดังขึ้น ชายคนหนึ่งก้าวเข้ามาด้วยความสุขุม หนักแน่น เขาหยุดยืนตรงหน้าห้องขังของดาร์ริดา

ซิเซโรนั่นเอง

“ได้เวลาตื่นพอดี เลยมาดูเสียหน่อย” คนที่เคยใช้เวทมนต์ปลอมแปลงกายเอ่ยทัก

“จะเสียเวลามาทำไม ท่านยังมีกิจต้องทำอีกมาก” เธอโกรธ แต่พยายามตั้งสติ

“เพราะคนอื่นถูกพวกเราเย้ยหยั่นแล้ว” เขาตอบ “ถึงมีสภาพอย่างที่เห็นนี่ไง”

“ทุกคนล้วนโดนหลอกเหมือนฉันงั้นเหรอ” ดาร์ริดาจับกรงแน่น เพื่อยันกายให้ลุกขึ้นสนทนากับเขา “ไม่อายเหรอที่ได้รับชัยชนะจากการโกหกแบบนี้น่ะ”

“คนที่โกหกไม่เป็น มีแต่คนที่ไม่รู้ว่าความเป็นจริงคืออะไรเท่านั้น ผมเห็นว่าความจริงคืออะไร ผมจึงต้องโกหกเพื่อไปถึงเป้าหมาย” เขายื่นหน้าเข้าไปใกล้ซี่กรง “ท่านคาดหวังอะไรในตัวมูร์กัน ดาร์ริดา อยากให้เขาศรัทธาในตัวท่านหรือ...ความศรัทธามีไว้สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการรับรู้ความเป็นจริงบนโลกนี้ จะพูดให้ง่ายก็คือ ท่านอยากมีคนโง่ๆ อยู่ใกล้ๆ ไง ท่านชอบคนโง่”

ดาร์ริดายืดแขนสุดแรงไปทางคนเยาะเย้ย แต่ซิเซโรหลบทัน เขาหัวเราะเสียงดัง แล้วถาม

“โกรธใช่ไหม เกลียดใช่ไหม นี่ล่ะ คือความรู้สึกที่พวกเรามีมาตลอดร้อยปี รับรู้ไว้ซะ!”
            “ฉันไม่ได้โกรธเกลียดที่ท่านโกหกหรือหักหลังฉัน” นิ้วมือเรียวคว้าคอเสื้ออีกฝ่าย แล้วดึงให้ร่างสูงเข้าใกล้ซี่กรงอีกครั้ง “แต่สิ่งที่ฉันโกรธเกลียด นั่นคือ ต่อจากนี้ ฉันจะไม่สามารถเชื่อถือเธอได้อีกแล้ว...มูร์”

ซิเซโรชะงัก ทั้งสองมองหน้ากันชั่วขณะ จนในที่สุดเขาก็ดึงตัวเองออกจากปลายนิ้วเรียว แล้วเดินไปทางกระตูทางออก ก่อนบอกผู้คุมขัง

“เราจะประหารคนพวกนี้ต่อหน้าสาธารณะด้วยกิโยติน ตามแผนเดิม”

สิ้นเสียง เหล่าผู้ต้องขังต่างกรีดร้อง โวยวาย โหยหวน ขอชีวิต

ดาร์ริดาคาดแผนการของเขาออก ซิเซโรต้องการปั่นสถานการณ์ให้จิตของเหล่าขุนนางมืดมนลง จนไม่อาจใช้เวทมนต์ได้อีกต่อไป

 

12

ซิเซโรเดินเข้าห้องทำงาน ซึ่งมีเหล่าแกนนำนั่งประชุมกันอยู่

เมื่อทุกคนเขามา ก็ต่างส่งรอยยิ้มปรีดาให้

“ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง เราจะโค่นพวกนั้นแล้วยึดทุกอย่างที่ควรเป็นของพวกเราคืนมา” สหายย้ำเจตนารมณ์ “ตอนนี้ เจ้าพวกนั้นคงกำลังสิ้นหวัง จิตตกจนไม่สามารถใช้พลังได้แล้วล่ะมั้ง”

“ซิเซโร รู้ไหม ตอนนี้พวกเราบางคนเริ่มใช้พลังได้แล้ว” เพื่อนอีกคนบอกด้วยความตื่นเต้น

อันที่จริง ความคึกครื้นนี้น่าจะเป็นเพียงเรื่องปกติ เขาเคยจินตนาการภาพนี้ไว้แล้ว แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป คือความรู้สึกอึดอัดในอกนี้ต่างหาก

มีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป...สิ่งนั้นคืออะไรกัน?

ชายหนุ่มนั่งเท้าคางครุ่นคิด ปล่อยให้พรรคพวกเปรมปรีดิ์กับชัยชนะ จนกระทั่งผู้คุมขังก้าวเข้ามารายงาน

“ผู้ต้องขังคนหนึ่งมีอาการผิดปกติครับ” สิ้นคำ ซิเซโรก็รู้สึกกังวล

“ใคร” แต่ก็ยังถามด้วยท่าทีไม่แยแสนัก

“ท่านดาร์ริดาครับ” อีกฝ่ายตอบ...เพียงได้ยินชื่อ ก็ดั่งมีเข็มทิ่มผ่านเนื้อหัวใจ ทว่าชายหนุ่มก็ยังคงมาดเมินเฉิยเช่นเดิม

“เป็นอะไรล่ะ”

“เธอนอนนิ่งเลยครับ”

“ก็ปกตินี่ เรากำลังทำให้พวกนั้นหดหู่อยู่นะ”

“แต่ท่านดาร์ริดาเหมือนจะหยุดหายใจ” ผู้คุมอธิบายเพิ่ม ซิเซโรอดนึกภาพตามไม่ได้ แล้วเขาก็ฉุกคิดขึ้นมา

ดาร์ริดาอาจแตกต่างจากมนุษย์ทั่วไป เธอเป็นดั่งดอกไม้ แสนบอบบาง หากได้รับการกระทบกระเทือน ก็มีแต่จะเหี่ยวเฉาร่วงโรยรา

“รีบพา...” ซิเซโรอยากให้หญิงสาวนอนบนเตียงดีๆ และให้หมอดูแล แต่ก็ต้องกัดปากงับคำเอาไว้ ก่อนเอ่ยออกไป “รีบไปคุมห้องขัง คนในนั้นจะเป็นอะไรก็ช่างมัน”

 

13

คืนนั้น ดาร์ริดานอนคุดคู้อยู่บนพื้น ร่างบางนิ่ง ราวกับหยุดหายใจ

มนตราสลบไสลลอดผ่านช่องประตูห้องคุมขัง ทุกคนหมดสติ ไม่มีใครเห็นว่าซิเซโรเดินเข้ามาเปิดกรงห้องขังของดาร์ริดา แล้วอุ้มร่างบางขึ้นเหนืออก

ดาร์ริดารู้สึกตัวอีกที บนเตียงนอนนุ่ม ในห้องสีขาว เพดานติดพัดลมหมุนระบายอากาศ ไม่ได้สวมชุดจำกัดมนตราแล้ว หญิงสาวหันไปมองด้านข้าง...ซิเซโรนั่งอยู่ตรงขอบเตียง

ร่างบางรีบผละหนี แต่ด้วยกายไร้เรี่ยวแรง จึงล้มลงบนผ้าผืนนุ่ม

“เป็นอะไรรึเปล่า” เขาถาม

“ไม่เป็นไร” หญิงสาวค่อยๆ ยันกายขึ้น ท่าทีดื้อดันทุรังนี้ทำให้เขาโล่งอก เพราะนั่นแสดงว่าสุขภาพจิตของเธอยังดีอยู่

ซิเซโรควรจะเจ็บใจมากกว่า แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว...เปลี่ยนไปโดยที่เขาต้านทานไม่ได้

“ดีแล้ว”

“ท่านยังเหมือนเดิม ยังลังเล จิตใจของท่านยังสั่นคลอน” เธอเปรียบซิเซโรกับมูร์ “เส้นทางของท่านยังไม่ถูกต้อง ยังไม่ชัดเจน”

ชายหนุ่มส่ายหน้า

“พอเถอะดาร์ริดา อย่าคิดทำให้ผมคล้อยตามคำพูดของท่าน หากท่านไม่รู้จักหัวใจผม” เขาสบตาเธออย่างไม่กริ่งเกรงว่าอีกฝ่ายจะร่ายมนตราใส่หรือไม่ “ท่านมีเส้นทางของท่าน ผมมีเส้นทางของผม ดังนั้นเส้นทางที่ถูกต้องที่สุดจึงไม่มีจริง”

ชายหนุ่มเอ่ยซ้ำคำของหญิงสาวเมื่อไม่กี่วันก่อน จะเรียกว่ายอกย้อนก็ใช่ จะแสดงว่ายอมรับเธอก็ใช่

ใบหน้ามุทะลุที่ทั้งสองมักกระทำต่ออีกฝ่าย บัดนี้เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนลง เหมือนยามที่ดาร์ริดาและมูร์อยู่ด้วยกัน

อันที่จริง ทุกครั้งที่ฝ่ายขาวและดำต้องพบกันในห้องประชุมที่ศาลากลาง ดาร์ริดาและซิเซโรมักสบตากัน เพราะนั่นเป็นช่วงเวลาเดียวเท่านั้นที่ซิเซโรยอมมองเธอ นั่นเป็นเหตุผลที่คำพูดของซิเซโรมีอิทธิพลต่อเธอนัก และนั่นเป็นสาเหตุที่ซิเซโรอยากจำแลงร่างเป็นมูร์

ความคิดที่จะต่อสู้เพื่อความถูกต้องและกำจัดความชั่วร้าย ล้วนมลายไปเมื่อมีความรัก

 

14

ยามเช้าในวันรุ่งขึ้น ซิเซโรกำลังเดินไปห้องทำงาน

เหล่าแกนนำอยู่ในนั้นตามปกติ แต่ที่ผิดแผกไป คือพวกเขามองมาทางซิเซโรด้วยดวงตาไม่ไว้วางใจ

“มีอะไร”

“เมื่อคืน มีคนใช้มนต์สะกดให้ผู้คุมคุกหลับใหล และดาร์ริดาก็หายตัวไป”

ซิเซโรตีหน้านิ่ง พร้อมถาม

“แล้วไง ตอนนี้ได้ข่าวคราวว่ายังไง ตามกลับมาได้ไหม”

“มีแต่ข้อสงสัยว่าคนที่พาตัวเธอไป คือท่านนั่นล่ะ ซิเซโร”

ชายหนุ่มตัวชาที่โดนจับได้ แต่ก็ยังคงความเยือกเย็นไว้

“อะไรทำให้พวกท่านคิดเช่นนั้น”

“เพราะพวกเราเกรงว่าท่านจะต้องมนต์ดอกไม้ของนาง จนกลายเป็นกบฏไปเสียแล้ว” พรรคพวกบอก “เราจะไม่พูดอะไรมาก ตอนนี้คนของเรากำลังไปที่ห้องของท่าน เพื่อไปดูให้เห็นกับตา”

ซิเซโรทำได้แต่ยืนนิ่ง ความรู้สึกกลัวโดนจับได้เกิดขึ้นในจิตใจ หาใช่ว่ากลัวตนเองจะโดนจับ แต่เป็นกลัวดาร์ริดาโดนจับมากกว่า

คนคุมขังรีบก้าวเข้ามาในห้อง พร้อมรายงานอย่างประหลาดใจ

“ไม่มีใครอยู่ในห้องของท่านซิเซโรครับ!”
            เหล่าแกนนำต่างหันไปคุยกันเองฮือฮา ซิเซโร่แอบโล่งอก ก่อนกล่าวเสียงดัง

“ผมไม่เข้าใจว่าพวกคุณทำอะไรกันอยู่ แทนที่จะจับผิดผม ไปหาทางจับตัวยัยนั่นแทนสิ คงหนีไปได้ไม่ไกลเท่าไรหรอก” เขาแสร้งดุอย่างโกรธเกรี้ยว “พวกท่านลอบกัดผมแบบนี้ คิดจะโค่นผมใช่ไหม!”

ถามตรงและน่าหวาดหวั่น ทำเอาคนในห้องรีบปฏิเสธพัลวัน จนสหายคนหนึ่งแสดงออกให้เห็นถึงความจงรักภักดีให้เห็นอย่างชัดเจน โดยการนั่งคุกเข่าข้างหนึ่ง พร้อมปฏิญาณตน

“ข้าพเจ้าจะภักดีต่อเซซิโรไปจนวันตาย” ว่าแล้วคนทั้งห้องก็ทำแบบเดียวกัน

บัดนี้ ซิเซโรได้ขึ้นเป็นผู้นำสูงสุดของนครตะวันย้อนแสงแล้ว

 

15

ยามสาย ซิเซโรรีบกลับห้อง

เขาสงสัยและกังวลเหลือเกินว่าดาร์ริดาหายไปไหน แต่ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไร เพราะคนระดับเธอย่อมหาทางหนีทีไล่ได้อยู่แล้ว

ชายหนุ่มหยุดอยู่ข้างเตียง พลางคิดถึงเมื่อคืน พลันนั้นดวงตาก็เห็นดอกไม้สีขาววางอยู่บนหมอน

ดอกไม้มนตรา...เพียงสัมผัสก็ได้ยินความคิดของอีกฝ่าย

เขาหลับตา ตั้งสมาธิ แล้วหยิบขึ้นมา...เสียงคุ้นหูลอดกระซิบหัวใจ

“เราอยู่ด้วยกันไม่ได้ หาใช่เพราะเราไม่รักกัน แต่มิตรภาพของเราได้ขาดสะบั้นลงเสียแล้ว”

ร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง พร้อมยกดอกไม้นั้นขึ้นกุมศีรษะ

พอกันที การต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจ เขาจะสร้างโลกที่ทุกคนได้รับความเสมอภาคอย่างแท้จริง! เพราะนั่นเป็นหนทางเดียวที่จะได้ผูกมิตรกับดาร์ริดาอีกครั้ง

อุดมการณ์ของซิเซโรได้เปลี่ยนไปแล้ว

 

16

ดาร์ริดาวิ่งหนีไปยังบ้านใต้ดิน อันเป็นสมาคมลับของกลุ่มที่เคยเป็นขุนนางมาก่อน

ที่ซ่อนตัวแห่งนี้สำรองไว้นานแล้ว ด้วยไม่อาจรู้ว่ากลุ่มตะวันย้อนแสงจะปฏิวัติสำเร็จเมื่อไร ภายในนี้มีพรรคพวกรู้จักหลงเหลือรอดเพียงสี่คนเท่านั้น ทั้งหมดวิ่งมากอดกันแน่น

“ดาร์ริดา โชคดีที่ปลอดภัย” ลูกสาวของมิคฮอลร้อง “เราจะทำยังไงกันดี”

ผู้ถูกถามลูบหลังปลอบโยนทุกคน พร้อมประกาศเจตนารมณ์ให้ทุกคนตั้งจิตมุ่งมั่นตาม

“เราจะต้องทวงทุกอย่างของเราคืนมา” เธอบอก “เราต้องตามหาและรวบรวมผู้คน แล้วสักวันหนึ่ง เราจะตีโต้คืน!”

ทุกคนเห็นด้วยและรู้สึกฮึกเหิมขึ้น ด้วยเดิมที คนเหล่านี้ก็ไม่คิดจะแบ่งอะไรให้ชาวตะวันย้อนแสงอยู่แล้ว

ถ้อยคำปลุกใจเหล่านั้น ดาร์ริดาเพียงโกหก อันที่จริง เธอเพียงคิดจะหลอกใช้ให้คนเหล่านี้รวมกำลังพลด้วยความมุ่งมั่นเท่านั้น พวกเขาต้องรักษาสภาพจิตไม่ให้ตกต่ำ เพื่อที่จะยังสามารถสร้างเวทมนต์มาใช้ในภายหลังได้

เป้าหมายที่แท้จริงของดาร์ริดา คือจะต้องทำให้ทุกคนเสมอภาคกัน คราวนี้ไม่ใช่เพียงวาทกรรมหลอกลวงให้ประชาชนยอมรับสภาพสังคมที่เป็นอยู่ได้ แต่นครที่ตะวันทอแสงให้ชาวเมืองทุกคนต้องมีจริง

เพราะนั่นเป็นหนทางเดียวที่เธอจะได้ผูกมิตรกับเซซิโรอีกครั้ง

อุดมการณ์ของดาร์ริดาได้เปลี่ยนไปแล้ว

 

 

 

 

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว