Change the future
0
ตอน
1.05K
เข้าชม
139
ถูกใจ
2
ความคิดเห็น
0
เพิ่มลงคลัง

เรื่อง Change the future

“สวัสดี ผมคือคุณในอดีตเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ขอถามอะไรหน่อยสิ คุณเป็นนักบินอวกาศใช่ไหมครับ”

เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กน้อยเอ่ยทักทายผมประโยคแรกนับตั้งแต่ได้เจอหน้า เขาสวมชุดนักเรียนกางเกงสีน้ำเงิน ในมือถือหนังสือสารานุกรม “เรื่องดาราศาสตร์” เล่มโต หน้าปกรูปกาแลกซี่สีดำประดับไปด้วยกลุ่มดวงดาวน้อยใหญ่มากมาย ดวงตากลมโตที่จับจ้องมาที่ผมนั้นทอประกาย เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง

ส่วนผมมองภาพตรงหน้านิ่งไปประมาณ 30 วินาที พลางใช้สมองประมวลเรื่องราว จำได้ว่าเมื่อครู่ผมเพิ่งขับรถกลับมาถึงบ้าน จากนั้นก็ไขกุญแจ ถอดรองเท้า หิ้วกระเป๋าเอกสารตรงดิ่งขึ้นมาเก็บบนห้องนอนชั้นสอง พอเปิดประตูเข้ามาก็ ได้ยินเสียง ‘กุกกัก’ ดังมาจากตู้เสื้อผ้า ตอนนั้นผมคิดว่าคงเจอตีนแมวย่องเข้าบ้านแน่แล้ว แต่สิ่งที่กระโดดพรวดออกมาจากตู้ใบนั้นไม่ใช่ตีนแมวดังคาด หากแต่เป็นเด็กชายท่าทางไร้พิษภัย พร้อมร้องทักด้วยประโยคแปลกประหลาด

“คุณได้ยินไหมครับ ผมอายุสิบขวบและคือคุณในอดีตเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ตกลงคุณได้เป็นนักบินอวกาศไหมครับ” เขากระตุกขากางเกงผมพร้อมย้ำคำถามแสนประหลาดนั้นอีกครั้ง ผมรีบเรียกสติกลับมาเมื่อก้มมองก็พอกับแววตากลมโตของเด็กชายที่ช้อนขึ้นสบตาผมอย่างเว้าวอน อืม...อายุสิบปี บวกเพิ่มอีกยี่สิบเป็นสามสิบแป๊ะ เฮ้ย นี่มันอายุผมเลยนี่

“นะ...หนูมาจากไหน แล้วเข้ามาในนี้ได้ยังไง” ผมถามเขาทันที่ทีตั้งสติได้ แววตากลมโตนั้นฉายความดีใจออกมา ที่ผมหลุดจากภวังค์กลับมาพูดคุยโต้ตอบกับเขาเสียที

“มีนักวิทยาศาสตร์ใจดีคนหนึ่งส่งผมข้ามกาลเวลามา ด้วยเครื่องไทม์แมชชีนที่เขาประดิษฐ์ขึ้นเอง เขาบอกว่าเป็นรางวัลพิเศษสำหรับผมที่ตอบคำถามถูกในงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์ที่หอดูดาวประจำเมืองครับ” เขาตอบฉะฉานมาก แววตาไม่มีพิรุตเลยแม้แต่น้อย

ตัวเองจากอดีต ข้ามกาลเวลา ไทม์แมชชีน มีแต่คำศัพท์ที่เอาไปพูดที่ไหนคงมีคนหาว่าบ้าหรือประสาททั้งนั้น ผมยกมือนวดขมับทั้งสอง ถึงสิ่งที่ฟังมันยากจะเชื่อ แต่ผมก็อยากจะยืนยันบางสิ่งในแน่ใจเสียก่อน “ชื่ออะไรน่ะเรา”

“ภักร พชร ครับ” เขาตอบพลางจิ้มไปยังตัวอักษรสีน้ำเงินที่ปักอยู่บนอกเสื้อนักเรียนด้านซ้าย โป๊ะเชะ ชื่อเดียวกันเลย “เกิดวันที่เท่าไหร่ ปีอะไร”

“ 7 สิงหาคม พ.ศ.2627 ครับ” เขาตอบอย่างฉะฉานราวนักแก้วนกขุนทอง

ถูกต้องนั้นวันเกิดของผมเอง แถมปีเดียวกันด้วย ปัจจุบันนี้ปี พ.ศ. 2657 ผมอายุสามสิบปีพอดี...ไม่จริงน่า เขาคือผมจริง ๆ เหรอ แต่ก่อนจะปักใจเชื่อของพิสูจน์อีกอย่างหนึ่งก่อนเถอะ “ฉันมีแผลเป็นที่แขนข้างไหน เกิดจากอะไร”

เด็กชายนิ่วหน้าเล็กน้อยพอเจอคำถามนี้ เขาขมวดคิ้วยกแขนซ้ายของตนขึ้นมาพิจารณา “ตรงนี้เหรอ” เขาหันมาทางผมแล้วชี้ร่องหลุมตื้น ๆ สี่หลุม ตรงใต้ท้องแขน ซึ่งเคยเป็นร่องรอยของแผลฉกรรจ์เมื่อครั้งอดีต “แผลเป็นนี้ได้มาเพราะโดนหมากัด เมื่อตอนอายุ 8 ขวบไง คุณจำไม่ได้เหรอ” เขาเอียงคอด้วยความฉงน

ผมลองถกแขนเสื้อ ยกแขนขึ้นมาดูบ้าง ตรงใต้ท้องแขนผมมีรอยแผลเป็นหลุมตื้อ ๆ สี่หลุม จากการฝากคมเขี้ยวของสุนัขแม่ลูกอ่อน ตอนที่ผมไปยุ่งกับลูกของมันเมื่อตอนเด็ก ๆ ข้างเดียวกัน ตำแหน่งเดียวกับที่อยู่บนท้องแขนเด็กชาย หากแต่เลือนรางกว่า คงเพราะผ่านกาลเวลามานานกว่าสินะ ไม่อยากจะเชื่อ เด็กคนนี้คือผมจริง ๆ ด้วย

ผมทรุดกายลงบนพื้นพลางถอนหายใจอย่างอ่อนล้า ก่อนเงยหน้าไปสบตากับ “ภักรน้อย” ที่ยืนอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง คราวนี้ผมค่อนข้างแน่ใจแล้วแท้ ๆ แต่เด็กชายตรงหน้ากลับฉายแววลังเลขึ้นมาแทน

“แล้วคุณล่ะ ใช่ ภัทร พชร ตัวจริงรึเปล่า” ภักรน้อยเอียงคอพลางกอดหนังสือเล่มโตนั้นไว้แนบอก

“ใช่ ฉันนี่แหละ ภักร พชร” ผมยิ้มอย่างเป็นมิตร พลางล้วงกระเป๋าสตางค์แล้วหยิบบัตรประชาชนยื่นให้เขา

ภักรน้อยคว้าบัตรไป ก้มอ่านอ่านข้อความบนบัตรสี่เหลี่ยมเงียบ ๆ แล้วเงยหน้ามองผมด้วยแววตาเป็นประกาย “สุดยอด คุณคือผมในอนาคตจริง ๆ ด้วย” เขาชูบัตรขึ้นเหนือศีรษะแล้วกระโดดโลดเต้นไปรอบ ๆ ห้อง “สุดยอด ๆ ๆ ” จากนั้นก็วิ่งมามาหยุดอยู่ตรงหน้า พลางยื่นหน้ามาสำรวจรอบ ๆ ผมอย่างภูมิใจ

“ถ้าคุณคือผมในอนาคตจริง ๆ แล้วตกลงคุณได้เป็นนักบินอวกาศรึเปล่า” นับเป็นการถามย้ำครั้งที่สามของวันนี้ ซึ่งผมยังไม่ได้ให้คำถามเขาสักครั้ง นี่คงเป็นจุดประสงค์หลักของการมาเยือนครั้งนี้สินะ

ผมนั่งใช้แขนข้างหนึ่งยันร่างกายไว้กับพื้นพรมด้วยท่าทีสบาย ๆ ส่วนมืออีกข้างจรดนิ้วชี้ที่ใบหน้าของตน “ท่าทางฉันเมื่อนักบินอวกาศเหรอ”

พอผมตอบแบบนั้นเขาก็เหมือนจะได้สติกวาดตามองผมหัวจรดเท้า ก่อนผินมองไปรอบ ๆ ห้องที่มีเพียงตู้เสื้อผ้า เตียง และโต๊ะเขียนหนังสือตัวเล็ก ๆ ตามสไตล์ห้องนอนของชายวัยทำงานธรรมดา ๆ คนหนึ่งเท่านั้น

รอยยิ้มใบหน้าจางหาย ถูกแทนที่ด้วยอารมณ์แห่งความงุนงงและไม่เข้าใจ “มะ...ไม่ครับ” เสียงนั้นสั่นไหวราวกับจะร้องไห้ พลางกอดหนังสือเล่มโตในอ้อมอกไว้แน่น

ผมพยักหน้า เอื้อมมือไปลูบศีรษะนั้นอย่างอ่อนโยน “ฉันน่ะไม่ได้เป็นนักบินอวกาศอะไรนั่นหรอกโทษทีนะที่ทำให้ผิดหวัง”

“ทะ..ทำไม” เสียงเล็ก ๆ ที่พึมพำนั้นไหว ราวกับแก้วที่ค่อย ๆ ปริร้าว เขามองผมด้วยแววตาเว้าวอนซึ่งคลอไปด้วยน้ำตาเพื่อขอคำตอบ วินาทีนั้นราวมีก้อนสะอึกมาจุกที่ลำคอ ผมควรจะเอ่ยอะไร จะตอบอย่างไรดีเล่า เพื่อประคองไม่ให้หัวใจเด็กน้อยที่กำลังบอบช้ำไม่พังทลายไปเสียก่อน

“ผมจะไม่ได้เป็นนักบินอวกาศใช่ไหม” เสียงสั่นเครือที่เอ่ยถามนั้นดังก้องในโสตประสาท ฟังแล้วแสนเจ็บปวดรวดร้าวจับใจจนเผลอกัดริมฝีปากตนเองไม่รู้ตัว แม้ผมที่เคยผ่านจุดนั้นมาแล้วก็ยังรู้สึก...เจ็บ

“อย่าคิดแบบนั้นสิ” ผมปั้นยิ้มอันแสนอ่อนโยน ค่อย ๆ ยื่นมือออกไปหวังประคองมือเล็ก ๆ ที่บัดนี้กำแน่นด้วยอารมณ์แห่งความผิดหวังอันรุนแรง แต่ภักรน้อยกลับปัดมือทิ้งเต็มแรงราวรังเกียจแล้วก้าวถอยห่าง

“ผมจะไม่ได้เป็นนักบินอวกาศ” เสียงพึมพำสั่นเครือปนสะอื้นไห้ดังต่อเนื่องจากริมฝีปากเล็ก ๆ นั่น “ผมจะไม่ได้เป็นนักบินอวกาศ ผมจะไม่ได้เป็นนักบินอวกาศ” เขาเอ่ยประโยคเดิมซ้ำ ๆ ราวกับตอกย้ำตนเอง “ผมจะไม่ได้เป็นนักบินอวกาศ” มือนั้นบีบหนังสือเล่มโตในอ้อมแขนจนเริ่มเปลี่ยนสี ไม่ต่างจากมือของผมที่เผลอกำจนแน่นตามเขาเท่าไหร่นัก

ต้องหยุด ผมต้องหยุดเขาให้เลิกตอกย้ำตัวเองเดี๋ยวนี้ “อย่าด่วนสรุปสิ ในเมื่ออนาคตของนายยังมาไม่ถึงเลยนะ” ไม่รู้เหมือนกันว่าเสียงตอนที่เอ่ยประโยคนั้นออกไปสั่นไหวแค่ไหน แต่ผมก็พยายามปรับให้เป็นปกติที่สุด

“สถานที่ที่ผมอยู่ตอนนี้คือที่ไหนล่ะ ไม่ใช่อนาคตเหรอ” ดวงตาที่อาบไปด้วยหยาดน้ำตาแห่งความผิดหวังตวัดมาทางผมอย่างโกรธเคือง สองมือบีบหนังสือเล่มโตนั้นแน่ขึ้นอีก ทำเอาผมชะงักงันอีกครั้ง ให้ตายสิไม่ถนัดเรื่องการพูดให้กำลังใจใครอยู่แล้ว ยิ่งฝ่ายตรงข้ามคือตนเองในวัยเด็กแบบนี้ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ “มันก็ใช่แต่ นายเอาอะไรมาตัดสินน่ะว่าตัวเองจะไม่ได้เป็นนักบินอวกาศ”

“ก็ตัวคุณตอนนี้ไง!” ภักรน้อยแผดเสียงดังลั่น ปาหนังสือสารานุกรมเล่มโตที่เคยกอดอย่างหวงแหนใส่ผมเต็มแรง แล้วกระโจนพรวดไปทางประตู สมองผมขาวโพลนไปชั่วขณะ รู้ตัวอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงประตูบ้านข้างล่างถูกปิดดัง “โครม” ลั่นทั้งหลัง

เขาไปแล้ว จากไป พร้อมกับความฝันที่พังทลายลงไม่มีชิ้นดี ผมก้มมองหนังสือสารานุกรม “ว่าเรื่องดาราศาสตร์” เล่มโตที่ตกอยู่แทบเท้า พลางลูบศีรษะด้านที่โดนหนังสือกระแทกเมื่อครู่ เจ็บ...แต่คงไม่เท่าเขาที่รู้ว่าความฝันตนเองพังทลายตั้งแต่เขายังไม่ได้เริ่มด้วยซ้ำ

ทั้งที่ผมก็พยายามแล้วที่จะไม่ทำให้หัวใจอันแสนเปราะบางของเขา...ของตัวผมในวัยเยาว์ต้องแตกร้าว แต่ก็ไม่อาจทำได้ บางทีหัวใจของพวกเราอาจจะเปราะบางยิ่งกว่าแก้วเสียอีก ผมกระตุกยิ้มด้วยความขมขื่นก้มลงหยิบหนังที่ตัวผมทิ้งไว้ขึ้นมา

สันหนังสือมีรอยยับนิดหน่อยเพราะตกกระแทกพื้นเมื่อครู่ บวกกับน้ำหนักของหนังสือที่หนักเอาเรื่องอยู่ จึงไม่แปลกเลยที่ความเสียหายจะเด่นชัดขนาดนี้ ผมตะลึงกับหนักน้ำของหนังสือเล่มนี้ไม่น้อย เมื่อก่อนตัวผมแบกหนังสือหนักขนาดนี้ไปไหนมาไหนตลอดเลยงั้นเหรอ นับถือตนเองในวัยเยาว์จริง ๆ ที่ทุ่มเทให้กับความฝันอันแสนสวยงามขนาดนั้น

ทั้ง ๆ ที่ทุ่มเทมาตั้งนาน แต่กลับพังทลายลงในพริบตา ที่น่าเจ็บใจคือ ถูกทำลายด้วยฝีมือของผมเอง พอคิดได้เช่นนั้นสองมือก็เผลอบีบหนังสือในมือด้วยความเจ็บใจ เจ็บใจที่เขาต้องมารับรู้อนาคตอันน่าผิดหวังของตนรวดเร็วขนาดนี้

“อย่าด่วนสรุปสิ ในเมื่ออนาคตของนายยังมาไม่ถึงเลยนะ” คำพูดที่ผมใช้ปลอบโยนเด็กชายดังก้องในโสตประสาทอีกครั้ง ผมฉุกคิดแล้วมองไปรอบ ๆ ห้องนอน นี่คือสถานที่ของผมในปัจจุบัน แต่ไม่ใช่อนาคตของเขา อย่างน้อยก็เวลานี้ อนาคตของเขายังมาไม่ถึงเลยด้วยซ้ำ

ดวงตาตวัดไปทางหน้าต่างทันทีที่ตัดสินใจได้ อาคารรูปโดมหลังใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ภายนอกไม่ไกลจากบ้านผมนัก ที่นั่นคือสถานที่โปรดในวัยเด็ก ผมมักจะต้องไปขลุกศึกษาหาความรู้จำเป็นที่นั่นเสมอจนเกือบเหมือนบ้านหลังที่สอง “หอดูดาวประจำเมือง” ไงล่ะ

ผมกอดหนังสือแสนสำคัญของตนเองในวัยเยาว์ไว้ในอ้อมแขน ออกมุ่งหน้าไปตามหาเขา พร้อมกับภาวนาในใจ อย่างน้อยก็ขอให้อยู่ที่นั่นเหมือนทุกทีเถอะนะ ภักร พชร

ไม่นานผมก็มาถึงสถานที่อันแสนสำคัญในวัยเยาว์ เมื่อก่อนที่นี่เคยเป็นศูนย์ให้ความรู้ประจำชุมชนที่ใหม่ และทันสมัย แต่บัดนี้กลับเสื่อมโครมที่ตามกาลเวลาและขาดคนคอยดูแล พยายามมองหาพร้อมเงี่ยหูฟังสักพักก็ได้ยินเสียงสะอื้นไห้เล็ก ๆ ดังอยู่เหนือศีรษะ ที่แท้ก็อยู่ตรงจุดชมวิวนี่เอง

ผมเดินขึ้นบันไดที่ทอดตัวยาวเกือบครึ่งอาคาร ด้านบนสุดเป็นระเบียงกว้างเพื่อให้ประชาชนได้ขึ้นมาทำกิจกรรม เดิมทีส่วนนี้จัดทำไว้เพื่อเป็นจุดชมวิวในตอนกลางวัน ส่วนตอนกลางคืนเอาไว้กางอุปกรณ์เพื่อดูดาวได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่สถาปนิกวางแผนมาเป็นอย่างดี เนื่องจากอาคารนี้สร้างอยู่บนจุดภูมิศาสตร์ที่ค่อนข้างสูงพอสมควร

เมื่อได้กลับมาอีกครั้งก็ทำให้หวนนึกถึงบรรยากาศเก่า ๆ ตอนผมเด็ก ๆ ก็เคยมากางเต้นท์ดูดาวที่นี่บ่อย ๆ แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นผมก็แทบไม่ได้กลับมาเหยียบที่นี่อีกเลย

ในที่สุดผมก็หาเขาพบ ตัวผมในวัยเยาว์นั่งอยู่บนพื้นซุกใบหน้ากับเข่า ไหล่ที่สั่นเทิ้มและเสียงสะอื้นที่ดังแววมาพร้อมกับสายลม แสดงให้รู้ว่าเขากำลังร้องไห้อย่างหนัก

ผมสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อเรียกความมั่นใจ ก่อนสาวเท้าเข้าไปหาเขา “ภักร นายลืมของไว้นะ” ผมเอ่ยทำลายความเงียบพลางยื่นหนังสือเล่มโตไปยังร่างเล็ก ๆ ตรงหน้า นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเอ่ยชื่อเขานับตั้งแต่เจอกัน รู้สึกเหมือนกำลังเรียกตัวเองอยู่ยังไงไม่รู้

ร่างของภักรน้อยสะดุ้งเฮือก ก่อนจะค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมา ดวงตาของเขาอาบไปด้วยหยาดน้ำแห่งความผิดหวังจนผมรู้สึกผิดขึ้นมาจับใจ เมื่อรู้ว่าเป็นผมดวงตานั้นก็กลับแข็งกร้าว “อย่ามายุ่งกับผม” เขากล่าวเสียงแข็ง ก่อนจะก้มหน้าลงอีกครั้ง

“จะทิ้งนายไว้ตรงนี้คนเดียวได้ยังไงล่ะ นี้ก็เย็นมากแล้วด้วย” ผมทิ้งตัวนั่งข้าง ๆ เขา มองไหล่เบาะบางที่ยังสั่นเทิ้มอย่างลังเล ก่อนจะยื่นมือไปลูบศีรษะเล็ก ๆ นั้นเบา ๆ มืออีกข้างยัดหนังสือเล่มโตแสนสำคัญคืนที่หน้าตักเจ้าของ

ภักรน้อยก้มหน้านิ่งพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งก่อนดันมันคืนผม “ผมไม่เอาแล้ว จะเอาไปทิ้งที่ไหนก็เอาไปเถอะ”

จิตใจของเขาแย่กว่าที่ผมคาดไว้เสียอีก แต่คงโทษใครไม่ได้เพราะครึ่งหนึ่งมันคงเป็นความผิดของผมที่ไม่รักษาน้ำใจเฉลยเรื่องราวไปโดยไม่ทันคิด ริมฝีปากที่ถูกขบกัดด้วยความเจ็บใจแสบแปล๊บขึ้นมา หัวใจของเด็กน้อยช่างเปราะบางถึงเพียงนี้เชียวหรือ “ทำไมล่ะ ทั้งที่มันสำคัญมากไม่ใช่เหรอ เคยแบกมันไปไหนต่อด้วยกันตลอด แถมยังรักษาอย่างดีอีกด้วย มาโยนทิ้งง่าย ๆ แบบนี้ไม่เสียดายรึไง”

“ถ้าในอนาคตผมไม่ได้เป็นนักบินอวกาศก็ไม่มีประโยชน์ที่พกมันอีกแล้ว เหนื่อยเปล่า  พยายามไปก็เท่านั้น สู้อัจฉริยะอย่าง นิล อาร์มสตรง หรือ ยูริ กาการิน ไม่ได้หรอก” คำพร่างพรูจากภักรน้อยฟังราวกับคนเสียสติที่หมดสิ้นความหมายในชีวิต เขาร้องไห้จนตัวโยนก่อนเอ่ยประโยคที่เสียดแทงใจผมยิ่งนัก “ผมมันเพ้อเจ้อ”

เสียงร่ำไห้อันแสนเศร้าดังก้องกังวานไปทั่วโสตประสาท ผมมองเด็กชายที่อ่อนแรงด้วยความเศร้าใจ พลางเงยหน้ามองท้องฟ้ายามเย็นเพื่อกลบเกลื่อนน้ำตาที่คลอในดวงตา ท้องฟ้ายามนี้อาบไปด้วยแสงสีส้มเข้มของดวงอาทิตย์ที่ใกล้ลับขอบฟ้า ถ้าพูดให้ดูคือการหมุนรอบตัวเองของโลกทำให้จุดที่ผมกับภักรน้อยอยู่กำลังจะหันเข้าสู่ด้านที่เป็นเงามืดที่แสงจากดวงอาทิตย์ไม่อาจสาดส่องจึงทำให้เกิดเป็นเวลากลางคืน ก็เปรียบเมื่อกับโลกของภักรน้อยตอนนี้ที่จู่ ๆ ก็ถูกพลิกจุดยืนเข้าสู่มุมมืดกะทันหัน ทำให้สับสน หวาดกลัว โซเซ จนไม่อาจก้าวเดินต่อไปได้ แต่ความมืดนี้ไม่อาจอยู่ตลอดกาล หากโลกหมุนจุดที่พวกผมอยู่เข้าสู่ด้านมืดได้ โลกก็ต้องหมุนจุดนี่กลับไปบรรจบกับจุดที่มีแสงสว่างได้อีกครั้ง วันพรุ่งยังรอคอยทุกคนเสมอ เพียงแค่ตอนนี้ผมต้องช่วยให้ภักรน้อยรับมืดกับความมืดมิดนี้เพื่อรอดกลับไปสู่แสงสว่างในวันพรุ่งนี้ให้ได้

“นี่เป็นก้าวเล็ก ๆ ของมนุษย์คนหนึ่ง แต่ก็เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ชาติ” ผมพึมพำประโยคนี้ลอย ๆ คล้ายเอ่ยกับท้องฟ้าเบื้องบนถึงผมกำลังเงยหน้าจับจ้อง หากแต่เสียงนั้นจงใจให้ดังพอที่เด็กน้อยข้าง ๆ จะได้ยิน เสียงสะอื้นขาดหายคล้ายประโยคนั้นเข้าไปสะกิดใจดังคาด เพราะนี่คือคำคมของ นิล อาร์มสตรอง นักบินอวกาศคนแรกที่ได้ไปเหยีบดวงจันทร์ ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญผู้เป็นแรงบันดาลใจของเราทั้งคู่นั่นเอง

ผมเหลือบมองเขาเล็กน้อยและพบว่าเขาเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยความสนใจ ผมกระตุกยิ้มด้วยความพอใจ “มนุษย์ทุกคนล้วนมีก้าวเล็ก ๆ ของตนเองทั้งนั้น หากจะพัฒนาให้เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความพยายามของตนเอง” ตาผมประสานตากับแววตาเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาด้วยความจริงใจกว่าครั้งไหน ๆ  “นายก็เหมือนกัน ก้าวเล็ก ๆ ของนายเริ่มขึ้นแล้วตั้งแต่หยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา ถ้าโยนมันทิ้งก้าวเล็ก ๆ ของนายคงไม่อาจพัฒนาเติบโตจนพาไปสู่ฝันอันยิ่งใหญ่ได้หรอก” ผมผลักหนังสือกลับคืนไปหาเจ้าของอีกครั้ง คราวนี้เขามองมันอย่างมีนัยยิ่งกว่าเดิม

“แต่ผมไม่ใช่อัจฉริยะพยายามไปก็เท่านั้น” เขากล่าวกับผมด้วยเสียงสั่นเครือหากแต่ครั้งนี้มือนั้นกลับไม่ยอมปล่อยจากหนังสือเล่มสำคัญ

“โทมัส อัลวา เอดิสันกล่าวไว้ว่า อัจฉริยะเกิดจากแรงบันดาลใจ 1 เปอร์เซ็นต์ และอีก 99 เปอร์เซ็นต์ เกิดจากหยาดเหงื่อที่ลงมือทำนะ” คำคมนี้เป็นของบุคคลสำคัญอีกเช่นกัน แม้เขาไม่ใช่นักบินอวกาศแต่ก็เป็นนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะที่ให้กำเนิดสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ มากมาย “จะอัจฉริยะหรือคนธรรมดาหากพยายามไม่มากพอก็ไม่มีทางประสบความสำเร็จหรอก” ผมยิ้มแล้วผมลูบศีรษะเขาเบา ๆ อย่างเอ็นดู “นายน่ะมีแรงบันดาลใจเต็มร้อยอยู่แล้ว ขาดแต่ความพยายามเท่านั้น”

“ถ้าพยายามแล้วผมก็จะได้เป็นนักบินใช่ไหม” แววตาที่จ้องมองหนังสือพร้อมเอ่ยถามนั้นยังเจือไปด้วยความสับสน แต่นับว่าดีที่เขายอมกลับมาเปิดปากเอ่ยเรื่องนักบินอวกาศอีกครั้ง

“เรื่องนั้นฉันก็รับปากไม่ได้หรอก” ผมตอบพลางไหวไหล่ ภักรน้อยทำท่าจะแบะปากอีกครั้ง แต่ผมกลับยกนิ้วดันจมูกรั้น ๆ นั้นไว้เสียก่อน “สุดท้ายแล้วถึงไม่สำเร็จ แต่ก็ดีกว่าไม่ได้พยายามใช่ไหมล่ะ”

“งั้นความพยายามของผมก็สูญเปล่าน่ะสิ” เขาค้านเสียงอู้อี้ไปพลางซูดน้ำมูก ผมจึงควักผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋ากางเกงโป๊ะใส่หน้าเขา

“ไม่หรอก ฉันกล้ารับปากเลย ไม่มีความพยายามไหนสูญเปล่าสำหรับคนที่ได้ลองพยายามหรอกนะ มันจะต้องส่งผลกำไรบางอย่างให้นายแน่นนอน เอ้า สั่งน้ำมูกซะ” ภักรน้อยทำตามอย่างว่าง่าย จากนั้นก็ก้มหน้านิ่งคล้ายลังเล หากแต่เสียงซูดน้ำมูกไม่ถี่แล้วผมจึงสำทับอีกครั้ง “รู้ไหม สิ่งที่ทำให้ฉันเสียดายมาจนถึงวันนี้ คือตอนที่ฉันเลิกก้าวเดินตามความฝันกลางคัน เมื่อรู้ว่าตนเองมีอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่รออยู่นี่ล่ะ เพราะอย่างนั้นไม่ว่าอนาคตข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นฉันถึงอยากให้นายพยายาม”

“นักบงนักบินอะไรนั้น มันก็แค่ความฝันลม ๆ แล้ง ๆ ของเด็ก ๆ เท่านั้น รีบตื่นแหกตาดูโลกแห่งความเป็นจริงได้แล้ว” เสียงอันแสนดุดันที่ทำลายความฝันอันแสนสวยงามของผมจนยับเยิน ยังคงก้องกังวานในความทรงจำ ผมหลับตาพยายามสลัดเสียงนั้นออกจากหัว ประจวบเหมาะกับตอนที่มือเล็ก ๆ ของภักรน้อยยื่นมากระตุกแขนเสื้อผมพอดี

เมื่อเปิดตาก็ประสานกับสายตาเล็ก ๆ ที่จับจ้องมา ดวงตานั้นยังคงมีความทุกข์ใจและสับสน แต่ตอนนี้กับฉายแววห่วงใยปนมาอย่างชัดเจน “ตอนนี้คุณมีความสุขไหม ทุกข์ใจรึเปล่าที่ไม่ได้ทำตามความฝัน”

“เจ็บใจมากกว่า แต่ฉันก็มีความสุขดีนะ ถึงอาชีพที่ฉันทำตอนนี้จะไม่ใช่นักบินอวกาศแต่ก็ค่อนข้างใกล้เคียงไม่น้อย” ผมยิ้มพร้อมกับลูบศีรษะเล็ก ๆ นั่นอีกครั้ง แต่เขากลับมีท่าทีตื่นเต้นขึ้นมา

“คุณทำอาชีพอะไรเหรอ ดีกว่านักบินอวกาศไหม”

“ความลับ” ผมยิ้มแล้วยกนิ้วจรดลงบนริมฝีปาก “ไม่บอกหรอก ฉันอยากไม่ให้ปัจจุบันของฉันทำร้ายอนาคตของนายอีก”

เขาหน้าเจื่อนอีกครั้งเมื่อได้ยินคำตอบ มองหน้าผมสลับกับหนังสือเล่มโตในมือสักพักก่อนเอ่ยถาม“แล้ว...คุณยังอยากเป็นนักบินอวกาศอยู่รึเปล่า”

ผมหัวเราะเบา ๆ ในลำคอพลางหวนนึกถึงช่วงเวลาที่ตนเองยังเป็นเด็กชายผู้หลงใหล ท้องฟ้า และกลุ่มดาวนอกอวกาศจนถึงขนาดอยากออกไปสัมผัสมันด้วยตนเองสักครั้ง “แน่นอน มันเป็นความฝันอันดับหนึ่งของพวกเรานี่นา” ผมไม่ได้ใช้สรรพนามผิดแน่นอน นี่ไม่ใช่ความฝันผมเพียงคนเดียวอีกแล้ว แต่มันคือความฝันของเราทั้งสองคน แม้สำหรับผมฝันนั้นจะไม่มีวันเป็นจริง แต่มันก็เป็นสิ่งสวยงามที่ทำให้ผมได้เรียนรู้ความหมายของคำว่าพยายามเป็นครั้งแรก

“ถ้าอย่างนั้น” จู่ ๆ ภักรน้อยก็ผุดลุกขึ้นแล้วตะโกนเสียงดัง หากแต่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ “ผมก็จะลองพยายามสักตั้ง จะทำในสิ่งที่คนอย่าง ภักร พชร ในอีกยี่สิบปีทำไม่ได้ให้ดู” เขาส่งยิ้มยียวนมาทางผม พลางกอดหนังสือสำคัญไว้ในอ้อมกอดอย่างหวงแหนตามเดิม ทำให้ผมอดหมั่นไส้และดีใจไม่ได้

“ได้เลย แล้วฉันจะรอดูนะ ภักร พชร จูเนียร์” ผมยิ้มกว้างพร้อมกำมือชูนิ้วชี้กับนิ้วกลางให้เขาเป็นสัญลักษณ์แทนคำให้กำลังใจว่า “พยายามเข้านะ”

 

ผมกลับมาถึงบ้านตอนเกือบตีหนึ่งพอดี ค่ำคืนนั้นผมอยู่เป็นเพื่อนภักรน้อย เพื่อรอการข้ามเวลาสิ้นสุด เราพูดคุยกันเรื่องหมู่ดาวที่ทอประกายในคืนนั้นอย่างสนุกสนาน เขาทึ่งที่ผมยังมีความรู้เกี่ยวกับดาราศาสตร์มากมาย แม้จะเลิกล้มความตั้งใจที่จะเป็นนักบินอวกาศไปตอนอายุเท่าเขาแล้วก็ตาม จนกระทั่งถึงเวลาเที่ยงคืน ร่างของเขาก็ค่อย ๆ เลือนหายไปราวกับภาพลวงตา แม้เขาจะโอดครวญเพราะมีเรื่องที่อยากจะถามผมอีกมากมายก็ตาม แต่สีหน้าภักรน้อยตอนค่อย ๆ หายไปนั้นก็เต็มไปด้วยความมั่นใจ

ถึงแม้เขาจะอยู่กับผมได้จนถึงเช้าผมก็คงได้แต่ยิ้ม ไม่บอกอะไรเขามากกว่านั้น แม้ผมจะรู้ทุกอย่างก็ตาม รู้ว่าจากนี้อะไรจะเป็นช่วงเวลาที่ทำให้เขามีความสุขที่สุด เหนื่อยที่สุด ท้อแท้ที่สุด หรือเศร้าใจที่สุด ผมรู้แม้กระทั่งวันเวลาที่เขาจะข้ามกาลเวลาเพื่อมาพบผมที่นี่...

ผมเปิดประตูเข้าไปยังห้องทำงานซึ่งอยู่ชั้นล่าง ในห้องนั้นมีโต๊ะไม้ตัวใหญ่ ฝาผนังถูกปิดทับด้วยโปสเตอร์ดวงดาวและกาแลกซี่จนเกือบทั่วทั้งห้อง ทางฝั่งซ้ายติดกับโต๊ะทำงานเป็นที่ตั้งของตู้หนังสือขนาด 5 ชั้น ซึ่งมีหนังสือเรียงรายเป็นระเบียบ ผมไล่นิ้วไปตามสันหนังสือบนชั้น ก่อนจะมาหยุดที่สันหนังสือเล่มโตที่สุด ผมเกี่ยวนิ้วแล้วดึงหนังสือเล่มนั้นออกมา ประคองไว้ก่อนอ่านตัวอักษรที่ปรากฏบนปกด้วยรอยยิ้ม “สารานุกรมว่าด้วยเรื่องดาราศาสตร์” หน้าปกรูปกาแลกซี่สีดำประดับไปด้วยกลุ่มดวงดาวน้อยใหญ่มากมายอันแสนคุ้นตา ใช่แล้วนี้คือหนังสือเล่มเดียวกับที่ภักรน้อยถือติดมาในวันนี้ หากแต่กาลเวลาส่งผลให้หนังสือเล่มนี้สีซีดจางและเก่ากว่าอย่างเห็นได้ชัด

หนังสือเล่มนี้คือสิ่งเดียวที่เหลือรอดมาหลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น…

ครั้งหนึ่งในวัยเยาว์ผมเคยเป็นคน ร่าเริง ช่างจินตนาการและแน่วแน่กับความฝันไม่แพ้ภักรน้อยเลยแม้แต่น้อย ผมชอบเรื่องของจักรวาล และหมู่ดาวต่าง ๆ ถึงขนาดวาดฝันว่าอยากจะเป็นนักบินอวกาศเพื่อเดินทางไปสำรวจหมู่ดาวเหล่านั้นด้วยตนเอง ตั้งแต่นั้นทุกลมหายใจเข้าออกก็มีแต่เรื่องนักบินอวกาศ ผมมักจะพกหนังสือสารานุกรมเล่มยักษ์ซึ่งรบเร้าให้แม่ซื้อติดตัวไปไหนมาไหนด้วยเสมอ แม้น้ำหนักของมันจะมากเกินกว่าเด็กประถมจะพกพาได้สะดวกแต่ผมก็ไม่เคยคิดว่าเป็นภาระ และมีความสุขที่มีมันอยู่ข้างกายตลอดเวลา

แต่จุดพลิกพลันของผมเกิดขึ้นในวันนั้นเมื่อ 20 ปีก่อน วันที่หอดูดาวประจำเมืองจัดงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์ขึ้น หากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมก็คงไม่ตามชายแก่ใส่ชุดคลุมสีขาวที่อ้างว่าคนเองเป็นนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะที่สามารถประดิษฐ์เครื่องข้ามมิติเวลา หรือไทม์แมตชีนได้ไปหรอก ตอนแรกผมค่อนข้างลังเลที่ใช้งานเครื่องนั้น แต่พอเขาล่อผมด้วย สิทธิการข้ามเวลาเพื่อไปชื่นชมกับอนาคตของตนเองในอีกยี่สิบปีข้างหน้า ผมก็รีบตกลง เพราะหมายมั่นว่าคงได้ไปเจอตนเองในวัยผู้ใหญ่ ใส่ชุดนักบินอวกาศเต็มยศแน่นอน

ชายแก่ที่อ้างว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์พาผมเข้าไปนั่งในเครื่องทรงคล้ายแคปซูล ก่อนหน้านั้นเขาขอเลือดผมไปนิดหน่อย โดยอ้างว่าเพื่อใช้ดีเอ็นเอในเลือดผมเป็นสิ่งนำทางให้เครื่องไทม์แมชชีนส่งผม ไปหา ภักร พชร ในอีกยี่สิบปี ข้างหน้าได้ถูกต้องและแม่นยำ อีกทั้งยังกำชับว่าผมอยู่ในช่วงเวลานั้นได้ 24 ชั่วโมง เมื่อครบกำหนดแล้วผมจะถูกส่งตัวกลับมาเองโดยอัตโนมัติ   ขณะที่เครื่องเริ่มเดินผมก็กอดหนังสือสารานุกรมคู่กายไว้ด้วยใจอันตื่นเต้น ผมหวังจะเห็นภาพตนเองในวัยผู้ใหญ่ใส่ชุดนักบินอวกาศสุดเท่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น คงเพราะตัวผมแน่วแน่ในความฝันนี้มากจนไม่คิดเผื่อใจไว้เลยจนกระทั่ง...

เครื่องส่งผมถึงจุดหมาย ร่างกายผมปกคลุมด้วยบรรยากาศอันมืดมิด คับแคบ จนผมเผลอดีใจไปว่า ตัวผมวัยผู้ใหญ่คนอยู่บนสถานีอวกาศกำลังหรือไม่ก็อยู่บนยานอวกาศที่กำลังออกสำรวจกาแลกซี่อยู่แน่ ๆ แต่ที่น่าแปลกคือทำไมในอวกาศถึงมีผ้ากลิ่นเหม็นอับห้อยตามกดแรงโน้มถ่วง สิ่งของในอวกาศมันควรจะลอยเพราะไร้แรงโน้มถ่วงไม่ใช่เหรอ อีกอย่างผมยังได้ยินเสียงดนตรี ดังมาจากข้างนอกอีกด้วย

พอลองดันฝาผนังด้านหนึ่งปรากฏว่ามันขยับได้เล็กน้อย เมื่อฝาผนังแง้มเปิดพอให้แสงส่องลอดเข้ามาทำให้ผมมองสถานที่ตนเองนั่งอยู่ได้ชัดเจน ผมอยู่ในตู้เสื้อผ้าบนโลกไม่ใช่ในสถานีหรือยานอวกาศ ส่วนเสียงดนตรีที่ได้ยินนั้นคือเสียงจากโทรทัศน์ขนาดย่อมที่ตั้งอยู่กลางห้องอันแสนสกปรก เต็มไปด้วยเศษขยะมากมาย ทั้งถุงขนม ถุงอาหาร จานชามที่ยังไม่ได้ล้าง และกองเสื้อผ้าใช้แล้วขนาดมหึมาที่ยังไม่ได้ซัก กลิ่นเหม็นชวนอึดอัดพาคลื่นไส้ อบอวลไปทั่วทั้งห้องจนผมยกมืออุดจมูก

ภายในกองขยะนั้นจู่ ๆ มีสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่เคลื่อนไหวช้า ๆ  หากที่นี่คือสถานีอวกาศผมคงคิดว่าเจ้านั้นเป็นมนุษย์ต่างดาวหรือสัตว์ประหลาดอวกาศอย่างไม่ต้องสงสัย แต่สิ่งมีชีวิตที่อยู่ตรงหน้าผมคือมนุษย์ท่าทางสกปรกคนหนึ่ง จนผมแปะปากด้วยความรังเกียจ เขาท่าทางไม่เหมือนกับตัวผมในอนาคตที่วาดฝันไว้เลยแม้แต่น้อย สงสัยเครื่องคงทำงานผิดพลาดเสียแล้ว มันควรจะส่งผมไปหาตนเองในวัยผู้ใหญ่ซึ่งป่านนี้เขาควรจะอยู่ในอวกาศหรือองค์การนาซ่าที่อเมริกา ไม่ใช่สถานที่สกปรกเช่นนี้

ผมถอนหายใจเบา ๆ ด้วยความผิดหวัง พลางกอดหนังสือในมือแน่น ขึ้น มนุษย์คนนั้นทำให้ผมกลัวจนตัดสินใจว่าจะนั่งอยู่เงียบ ๆ ไม่ออกไปไหนจนกว่าจะครบ 24 ชั่วโมง เพราะคิดว่าถ้าเขาเจอตัวผมล่ะก็เขาอาจจะลงมือทำร้ายผมแน่ ๆ

ทั้งที่ตัดสินใจเช่นนั้น แต่จู่ ๆ ขาเจ้ากรรมก็ดันรู้สึกคันยุบยิบราวกับมีตัวอะไรมาไต่ที่ต้นขา มือผมตบเพี๊ยะลงไปไว้กว่าความคิดคว้าสิ่งแปลกปลอมไว้เต็มฝามือพอดี เมื่อนำมาส่องตรงแสงไฟผมก็ได้รู้ถึงสิ่งน่าสะพรึงที่อยู่ในอุ้งมือ มันคือสัตว์ที่ผมเกลียดและกลัวยิ่งกว่ามนุษย์ต่างดาวหรือสัตว์ประหลาดอวกาศเป็นไหน ๆ เพราะมันคือ... “หวา แมลงสาบ” ผมกรีดร้องสุดเสียงปล่อยเจ้าสิ่งน่าขยะแขยงออกจากมือราวกลับโดนของร้อน ตะเกียกตะกายล้มลุกคลุกคลานออกมาจากตู้เสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว จนลืมนึกไปว่าภายนอกก็มีสัตว์ประหลาดน่ากลัวรอผมอยู่เช่นกัน

“แกเข้ามาได้ยังไง” เสียงตวาดราวอัศนีบาตฟาดดังสนั่นเรียกสติผมกลับมาทันใด เมื่อเงยหน้าขึ้นดวงตาผมก็ประสานเข้ากับใบหน้าใบหน้าถมึงทึงเต็มไปด้วยหนวดเครารกรุงรังไม่ต่างสภาพห้อง เขามองผมด้วยความประหลาดก่อนตวาดก้องอีกครั้ง “ฉันถามว่าแกเข้ามาได้ยังไง เจ้าหัวขโมย”

ผมแทบไม่เชื่อหู ขะ...ขโมยเหรอ คำกล่าวหาแสนร้ายแรงนั้นทำเอาผมอยากร้องไห้ “ไม่ใช่นะ ผมไม่ใช่ขโมย”

เขาหัวเราะในลำคอ ก่อนชี้หน้าผม “คิดว่าฉันจะเชื่อเด็กขี้โกหกอย่างแกเหรอ”

“ไม่ใช่นะครับ คุณเข้าใจผิดแล้ว ผมกำลังตามตามหาคนอยู่ เขาชื่อภักร พชร คุณพอจะรู้จักเขาบ้างไหม” เสียงผมที่เอ่ยตอบไม่ต่างจากแขนและขาที่กำลังสั่นพั่บ ๆ แต่เขากลับหุบยิ้มแล้วมองหน้าผมอย่างฉงน

“เป็นขโมยที่รู้จักชื่อฉันซะด้วย แสดงว่าวางแผนมาอย่างดีสินะ” ผมแทบไม่เชื่อหูตนเอง เมื่อกี้เขาบอกว่ายังไงนะ

“คะ...คุณคือ ภักร พชร เหรอครับ” แม้จะถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ แต่ขณะเดียวกันผมกลับภาวนาขออย่าให้เขาตอบผมเลยว่า...

“ใช่ ฉันนี่แหละ ภักร พชร” ราวกับโดนแข็งฟาดเข้ากลางศีรษะจนสติผมพล่าเบลอ สองมือกระชับหนังสือเล่มโปรดแน่นอย่างลืมตัว ผู้ชายที่ผมนึกรังเกียจคือตัวผมในอนาคต...ไม่ ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ ๆ

“มานี่เจ้าหัวขโมย ฉันจะจับแกส่งตำรวจ” ขณะที่ผมกำลังสับสนเขาก็ฉวยโอกาสเข้ามาจับตัวผมไว้ บีบแขนผมอย่างแรงจนเจ็บ ผมพยายามขื่นตัวไว้ ร้องไห้และดิ้นรน แต่ก็ไร้ผลเพราะกำลังผมไม่อาจสู้ได้เลย “โอ๊ย ผมไม่ใช่ขโมย ผมชื่อ ภักร พชร คือคุณเมื่อยี่สิบปีก่อน มีนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งส่งผมมาหาคุณด้วยเครื่องไทม์แมชชีน ได้โปรดเชื่อผมเถอะ”

เมื่อเสียงอ้อนวอนจบ แรงฉุดกระชากจากที่ก็เบาลงหากแต่ยังไม่ยอมปล่อย คาดว่าเขาคงจะยอมเชื่อผมแล้วแน่ ๆ ผมก้มหน้ามองหนังสือในมือพลางหายใจหอบ แต่เสียงหัวเราะ หึ หึ ทุ้มต่ำในลำคออย่างเย้ยหยัน เรียกให้ผมเงยหน้าขึ้นไปมองเขาอีกครั้ง แล้วก็เขาฉีกยิ้มเย็นชา “เข้าใจแต่งเรื่องนี่ ถ้าไม่ได้มาขโมยแล้วที่ถืออยู่ในมือมันคืออะไร!” มือหนาและหยาบนั้นกระชากหนังสือในอ้อมอกออกไปโดยไม่ทันตั้งตัว

“นั่นของผม” ผมกรีดร้อง พยายามคว้าหนังสือกลับคืน แต่ไร้ผล เพราะเขาตัวสูงกว่าผมมาก อีกทั้งแขนข้างหนึ่งยังถูกจับไว้ด้วย มือนั้นออกแรงบีบแขนผมแรงขึ้นเรื่อย ๆ อันเป็นสัญญาณเตือนให้อยู่นิ่ง ๆ ยิ่งดิ้นรนก็ยิ่งเจ็บ

เขาหัวเราะอย่างชั่วร้ายพลางเปิดหนังสือด้วยมือเพียงข้างเดียว นิ้วที่กรีดกระดาษนั้นรุนแรงจนทำให้หน้ากระดาษที่ผมบรรจงถนอมมาตลอดยับยู่ยี่ “เป็นหัวขโมยที่รักเรียนดีนี่” เขาประชด ปิดหนังสือพลิกปกขึ้นมาอ่าน “สารานุกรมเรื่องดาราศาสตร์...” เสียงดุดันนั้นขาดห้วงก่อนจะเปลี่ยนเป็นพึมพำเบา ๆ พลางพลิกหนังสือของผมไปมา แววตาของเขาตกตะลึงราวกับเห็นสิ่งแปลกประหลาด “ไม่น่าเชื่อ ฉะ ฉันทิ้งไปแล้วนี่นา”

ผมได้ยินคำนั้นไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ แต่พอได้ยินคำว่า ทิ้ง ร่างกายผมก็เริ่มต่อต้านอย่างอัตโนมัติอีกครั้ง “นั่นมันของผม คุณทิ้งไม่ได้นะ”

“แกเอาหนังสือเล่มนี้มาจากไหน” เขาหันมาบีบแขนผมแรงขึ้น แล้วตะคอกเสียงดัง ท่าทางน่ากลัวยิ่งกว่ายักษ์เป็นร้อยพันเท่าทำให้ผมเริ่มสะอื้นอีกครั้ง “ผะ ผมให้แม่ซื้อให้ ฮึก ตอนไปร้านหนังสือที่หอดูดาวประจำเมืองไง ฮึก คุณจำไม่ได้เหรอ”

“หอดูดาว” เขาทวนคำอย่างเลื่อนลอย พลางมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วยกมือซ้ายมือซ้ายขึ้นกุมศีรษะทำให้ผมเห็นตำหนิตรงแขนข้างซ้ายอันเป็นเครื่องหมายยืนยันตัวตนของผมได้อย่างชัดเจน “ผมคือคุณที่เดินทางมาจากอดีตจริง ๆ นะ ไม่เชื่อดูนี่สิ” ผมดิ้นจนแขนซ้ายหลุดจากพันธนาการของมือใหญ่ที่กำลังสับสน “เราสองคนมีรอยแผลเป็นจากตอนโดนหมากัดที่เดียวกันเลย”

เมื่อเห็นแผลเป็นของผม เขาก็เผลอยกแขนขึ้นสัมผัสแผลเป็นของเขาบ้าง มันยังมีอยู่แม้จะจางไปบ้างแล้วก็ตาม ริมฝีปากหนาอ้างค้างชั่วครู่ก่อนพึมพำอย่างเลื่อยลอย “ไม่น่าเชื่อ ฉันกำลังฝันอยู่แน่ ๆ ” เขาปล่อยหนังสือลงพื้นแล้วมุ่งกลับไปหน้าโทรทัศน์ที่เปิดค้างอีกครั้ง “ต้องฝันไปแน่ ๆ” เสียงนั้นพึมพำกับตนเองราวกับคนเสียดสติก่อนคว้าขวดแก้วบรรจุน้ำสีคล้ำขึ้นมากระดกอึกใหญ่ กลิ่นนั้นทำให้ผมรู้ว่ามันคือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แน่นอน

ผมเก็บหนังสือสำคัญขึ้นมาแล้วมองเขาอย่างลังเล การที่เขาเลิกตอแยผมแล้วแสดงว่าเขาเชื่อ...เชื่อว่าผมเป็นความฝัน ถ้าเป็นแบบนี้ผมก็ไม่รู้น่ะสิว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวผมในอนาคต ผมราบรวมความกล้าค่อย ๆ ย่างก้าวเข้าไปหาเขาที่กระดกน้ำสีคล้ำราวกับดื่มน้ำเปล่าก่อนเอ่ยคำถามที่ค้างคาใจมานาน “คุณภักร” เสียงเรียกชื่อทำให้เขาหันมามองผมอีกครั้ง

“ยังไม่หายไปอีกเหรอเจ้าความฝัน” เสียงนั้นอ้อแอ้กว่าเดิม กลิ่นที่โชยจากริมฝีปากที่ขยับนั้นทำให้ผมแทบยกมือปิดจมูก

“ผมจะไม่ไปไหนจนกว่าจะได้รู้คำตอบครับ” ผมสูดลมหายใจเรียกความกล้าชั่วครู่ “ตกลงแล้วคุณได้เป็นบินอวกาศไหมครับ”

“อะไรนะ สัตว์ประหลาดเหรอ” เขาถามย้ำอีกครั้ง ท่าทางโงนเงนคาดว่าอีกไม่นานคงจะกลับลงไปนอนแผ่หลาบนพื้นแน่ ๆ

“นักบินอวกาศครับ ตกลงคุณได้เป็นนักบินอวกาศรึเปล่า” ผมย้ำพลางกระชับหนังสือในอ้อมกอดแน่ขึ้นไปอีก หัวใจผมเต้นรัวจนแทบกระดอนออกมาตอนเขาทำท่าครุ่นคิดแล้วบอกว่า

“ท่าทางฉันเหมือนนักบินอวกาศรึไงไอ้หนู” คำตอบของเขาทำเอาหัวใจผมแทบหยุดเต้น น้ำตาที่แห้งเหือดไปแล้วกลับมาคลอเบ้าอีกครั้ง “ลองมองไปรอบ ๆ สิ ข้าวของทั้งหมด ฉันทิ้งมันไปตั้งนานแล้ว หึนักบงนักบินอะไรนั้น มันก็แค่ความฝันลม ๆ แล้ง ๆ ของเด็ก ๆ เท่านั้น รีบตื่นแหกตาดูโลกแห่งความเป็นจริงได้แล้ว” เขาว่าพลางกระดกน้ำในขวดอีกหนึ่งอึกใหญ่

“นักบินอวกาศไม่ใช่ความฝันไร้สาระนะ มันเป็นจริงได้ ดูอย่างยูลิ กาการิน ที่เป็นนักบินอวกาศคนแรกสิ แล้วก็นิล อาร์มสตรองด้วย ทุกคนเท่จะตาย คุณไม่อยากเท่อย่างเขาบ้างเหรอ” ไม่รู้ว่าความกลัวจางหายไปตอนไหนรู้ตัวอีกทีผมก็ยืนตะโกนใส่เขาราวกลับคนเสียสติแล้ว “ทำไมคุณถึงไม่พยายามล่ะ ในเมื่อนักบินอวกาศเป็นความฝันของพวกเราไม่ใช่เหรอ ถ้าอย่างนั้น...”

“หุบปาก” เขาตวาดดังลั่น ปาขวดเหล้าลงพื้นทำให้ผมปิดปากเงียบด้วยความตกใจ เขาหันมาคว้าไหล่ผมไว้แล้วค่อย ๆ เขย่า “หยุดพูดเรื่องนี้ได้ซะที ฉันลืมมันไปแล้ว ละทิ้งมันไปตั้งนานแสนนานแล้ว ตื่นซะที แกลองมองดูความจริงสิ นักบินอวกาศมันก็แค่ความฝันของเด็ก ๆ ต่อให้วาดฝันสวยหรูแค่ไหน มันก็ไกลเกินเอื้อม ไม่วันไปถึงหรอก เข้าใจรึเปล่า” พูดจบเขาก็ผลักผมออกเบา ๆ แต่ก็มากพอที่จะทำให้ร่างกายอันไร้เรี่ยวแรงของผมล้มลงได้ เขาทรุดร่างหมอบลงกับพื้นแล้วร้องไห้เสียงดัง ผิดกับผมที่พยายามกลั้นเสียงสะอื้นไห้หากแต่น้ำตายังไหลไม่หยุด

ไม่ไหว ผมไม่อาจทนเห็นตนเองในสภาพนี้ได้อีกแล้ว สองขาที่เคยไร้เรี่ยวแรงค่อย ๆ ลุกขึ้นได้อีกครั้ง รู้ตัวอีกที ผมก็วิ่งออกมาจากบ้านหลังนั้นแล้ว ผมหอบหนังสือแสนรักติดมาด้วย ทั้งที่เป็นหนังสือเล่มเดิมไม่มีสิ่งใดแปลงเปลี่ยนแต่ผมกลับรู้สึกว่าครานี้มันช่างหนักแสนหนักเหลือเกิน ผมวิ่งและวิ่ง มาจนถึงหอดูดาวประจำเมืองอันเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมด ผมหมดเรี่ยวแรงทรุดกายลงร้องไห้เพียงลำพังจนกระทั่งครบ 24 ชั่วโมง ผมก็กลับมายังห้วงเวลาเดิมตามที่นักวิทยาศาสตร์แจ้งไว้

เมื่อกลับมาถึงบ้านพร้อมดวงใจที่แตกสลาย ผมจัดการดึงรูปภาพและโปสเตอร์ทั้งหมดที่เกี่ยวกับนักบินอวกาศทิ้งทั้งหมด หากไร้ผลก็ไม่มีค่าที่จะพยายามอีก เสียเวลาเปล่า ผมร้องไห้ขณะฉีกโปสเตอร์นิลอาร์มสตรองที่เคยหวงมากที่สุดโยนลงถังขยะ ผมทิ้งทุกอย่าง จนกระทั่งมาถึงหนังสือสารานุกรมแสนรัก ที่ต่อให้ทำใจเท่าไหร่ก็ไม่อาจตัดใจได้ ผมจึงตัดสินใจเก็บมันไว้ในส่วนลึกที่สุดของห้องแทน

วันคืนผันผ่าน แม้ผมจะล้มเลิกความพยายามจะเป็นนักบินอวกาศแล้ว แต่กลับค้นพบว่าตนเองยังรักและชื่นชอบเรื่องราวด้านดาราศาสตร์ไม่เสื่อมคลาย นั่นทำให้ผมกลับไปค้นหนังสือเล่มนี้ออกมาอีกครั้ง ผมจำความรู้สึกตอนจับมันอีกครั้งได้ดี ซึ่งเป็นความรู้สึกที่เหมือนจะเบาแต่ก็ยังมีน้ำหนัก หากพยายามไม่พอผมก็คงจะปล่อยมันร่วงหล่นลงอีกครั้งได้ทุกเมื่อ

ผมใช้ชีวิตโดยมีภาพตัวผมในอนาคตตามหลอกหลอน ไม่ว่าจะผ่านไปนานสักเท่าไหร่ก็ไม่อาจลบเลือนได้ และเตรียมทำใจตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้วว่าสักวันผมคงจะตกอยู่ในสภาพนั้นเป็นแน่ แต่ทุกครั้งที่ผมจะทำอะไรออกนอนลู่นอกทางหัวสมองผมจะเผลอนึกไปถึงท่าทางอันน่าอดสู่อันติดตานั้นเสมอ ส่งผลให้ผมขยะแขยงและนึกรังเกียจสภาพเช่นนั้นจนไม่กล้าแตะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อีก

ชีวิตผมดำเนินมาเรื่อย ๆ จนใกล้ย่างเข้าวันครบรอบปีที่ยี่สิบแห่งการเยือนอนาคต แล้วผมก็ได้ค้นพบอีกครั้งว่า ชีวิตผมตอนนี้ไม่มีวี่แววที่จะเป็นเหมือนตัวผมในอนาคตประสบแต่อย่างใด ผมไม่ติดเหล้า ไม่ทำตัวสกปรก ห้องยังสะอาดสะอ้าน อีกทั้งยังมีการงานที่มั่นคงที่มั่นคงซึ่งผมได้ใช้ความรู้ด้านดาราศาสตร์ที่ศึกษามาได้อย่างเต็มที่...อนาคตเปลี่ยนไปแล้ว

เหมือนเป็นโชคชะตาหรือฟ้ากลั่นแกล้งที่ทำให้ผมได้เดินทางไปพบ เขาที่เหมือนจะล้มเหลวในชีวิตทุกอย่าง แม้เขาจะทำลายความฝันอันแสนสวยงามของผมจนยับเยิน แต่ขณะเดียวก็กลับทิ้งบทเรียนอันล้ำค่าไว้ให้ผมใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท และอาจเรียกว่าประสบความสำเร็จจนทุกวันนี้

ตอนนั้นผมมองปฏิทินแล้วตัดสินใจอีกครั้ง หากคราวนี้ผมได้เจอกับตนเองในวัยเยาว์ที่ข้ามกาลเวลามาจากอดีตเพื่อพิสูจน์ความฝันอันยิ่งใหญ่ของเขาล่ะก็ ผมจะไม่ทำสิ่งผิดพลาดอย่างที่ตนเองเคยประสบอีกเด็ดขาด ผมจะไม่ดับไฟแห่งฝันของเขา แต่จะสื่อให้เขาเข้าใจว่า ‘ไม่มีสิ่งใดที่พยายามแล้วไม่สำเร็จ ตราบใดที่มีฝันก็ยอมทำให้มนุษย์มีจุดหมาย’ แต่ผมคงไม่ปกปิดความจริงเรื่องที่ผมไม่ได้เป็นนักบินอวกาศแก่เขา เพราะนี่จะช่วยให้เขาเดินตามความฝันอย่างไม่ประมาท

 

ผมมองภาพตนเองในวัยสิบขวบที่ยืนยิ้มแป้นพลางกอดหนังสือเล่มโตไว้ในอ้อมอก ซึ่งติดอยู่บนฝาผนัง พลางกอดหนังสือท่าเดียวกับเขา อนาคตของหน้าจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับตัวเขาแล้ว แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นขอให้เขาแน่วแน่กับหนทางเลือก “พยายามเข้านะ ภักร พชร จูเนียร์” ผมเอ่ยพลางคลี่ยิ้มเด็กชายให้ในภาพเช่นกัน

 

-จบ-

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว