อย่าเข้าใกล้ฉัน
0
ตอน
868
เข้าชม
152
ถูกใจ
2
ความคิดเห็น
0
เพิ่มลงคลัง

อย่าเข้าใกล้ฉัน

 

สุดซอยหลังมหาวิทยาลัย มีบ้านไม้สองชั้นหลังเก่าตั้งอยู่

บ้านหลังนี้ถูกปลูกขึ้นเมื่อราวๆยี่สิบหกปีก่อน โดยตาของเขา ท่านปลูกบ้านหลังนี้ไว้เพื่อยกให้เป็นที่พักแก่ลูกสาวคนโต ที่จากบ้านมาศึกษาเล่าเรียนในเมือง หลังลูกสาวคนโตของบ้าน หรือก็คือมารดาของเขาเรียนจบ บ้านก็ถูกทิ้งร้างไม่มีคนดูแลเป็นเวลานาน เนื่องจากแม่แต่งงานแล้วย้ายเข้าบ้านของครอบครัวฝั่งพ่อไป

ปัจจุบันตาของเขากลับมาดูแลบ้านหลังนี้อีกครั้ง หลังจากตากแดดตากฝนมาแล้วยี่สิบปี ภายในตัวบ้านถูกตกแต่งให้ร่วมสมัยที่สุดเท่าที่คนแก่อายุหกสิบหกปีจะนึกออก เพื่อเป็นบ้านเช่าสำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยที่ต้องการความเป็นส่วนตัว หรือพวกที่ต้องการแชร์ที่พักกับเพื่อนในราคาถูก ชั้นล่างประกอบไปด้วยโถงรับแขกเล็กๆ อันเป็นที่สถิตของโทรทัศน์เก่ายี่ห้อPhilips21 ซึ่งอายุมากกว่าเขาซักสองเท่าได้ ถัดไปทางซ้ายเป็นห้องครัว และห้องน้ำ ชั้นบนมีห้องนอนสองห้องกับห้องน้ำอีกหนึ่ง

 

พฤกษ์หลับตาลง เขาคุ้นเคยกับบ้านหลังนี้ไม่ใช่แค่เพราะเคยมาวิ่งเล่นตอนเด็กๆ แต่เป็นเพราะเพื่อนสนิทของเขา ‘เช่า’ บ้านหลังนี้อยู่ด้วย

ชายหนุ่มไขประตูเข้าไป ไอเย็นภายในบ้านพุ่งเข้าปะทะเนื้อตัวจนชะงัก เขาไม่เคยมาบ้านหลังนี้ตอนกลางคืนมาก่อน ไม่คิดว่าพอตกดึกแล้วอากาศจะเย็นขนาดนี้

เขาเปิดไฟ ภายในโถงรับแขกสว่างขึ้น กระนั้นบ้านทั้งหลังก็ยังเย็นยะเยือกไร้ชีวิตชีวา...ไม่มีใครอยู่ในบ้าน แน่ล่ะสิ พฤกษ์คิด ไม่มีใครอยู่ที่นี่มาสามวันแล้ว แต่ทั้งๆที่รู้อย่างนั้น ชายหนุ่มก็ยังอดมองไปรอบๆไม่ได้

ที่ฟูกหน้าทีวียังมีหนังสือเรียนวางอยู่สองสามเล่ม ผ้าม่านถูกเปิดไว้ แต่มีใครซักคนปิดหน้าต่างให้แล้ว...ยังไม่มีใครจัดการกับข้าวของภายในบ้าน เขามองไปเรื่อยๆจนสายตาไปสะดุดกับอะไรบางอย่างในครัว

 

ด้านในครัวที่แสงไฟสาดไปไม่ถึง พฤกษ์เหมือนจะเห็นอะไรตะคุ่มๆ คล้ายมีคนรื้อข้าวของบนชั้นวางแก้วอยู่ ชายหนุ่มขยับเข้าใกล้ด้วยความสงสัย ก่อนจะหน้าเปลี่ยนสี เขาส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา เมื่อสิ่งที่เห็นในครัวหันกลับมาสบตาเขา

 

“เดี๋ยวๆๆๆ อย่าเข้าใกล้ฉัน”

“...ฉันทำแบบนั้นอยู่”

“อย่าขยับเข้ามา!”

“พฤกษ์ แกเป็นคนเข้ามาในนี้เอง แล้วฉันก็ไม่ได้ขยับไปไหนด้วย”

พฤกษ์ลืมตาขึ้น หัวใจเต้นระรัว ขนอ่อนทุกเส้นในร่างกายพากันลุกพรึบพรับกับภาพที่เห็นตรงหน้า ‘อดีตเพื่อน’ ของเค้ากำลังยืนอยู่ในครัว ห่างจากชายหนุ่มไปสามสี่ก้าว สภาพไม่ต่างอะไรกับสามวันก่อน... ที่เธอนอนจมกองเลือดอยู่ในโถงบ้านเช่าแห่งนี้!

ดาริกาอยู่ในชุดนอนลายมิคกี้เมาส์สีขาวที่เปื้อนเป็นด่างดวง ผมยาวเคลียไหล่เปียกลู่ไปด้วยเลือดของเธอเองที่ไหลออกมาจากแผลถูกฟันที่ศีรษะและลำคอ ผิวซีดขาวเย็นชืดที่เขาเคยประคองตอนส่งโรงพยาบาลนั้น บัดนี้บวมอืดกลายเป็นสีเขียว และส่งกลิ่นเหม็นราวกับเนื้อเน่า

“แกตายแล้ว ตายไปแล้ว” พฤกษ์ถอยไปจนติดผนัง พูดย้ำประโยคเดิมติดๆขัดๆราวกับท่องบทสวดที่ไม่ชำนาญ

“ขอบใจที่บอก...แต่ได้ข่าวว่าเรื่องนั้นฉันรู้ก่อนแก” ผีสาวกลอกตาขึ้นฟ้า ยอมถอยห่างออกมานั่งบนโต๊ะกินข้าวแทน

“แกตายแล้ว” เขายังพูดประโยคเดิม “ทำไมไม่ไปผุดไปเกิด มาสิงอยู่ในบ้านแม่ฉันทำไม”

“ฉันไม่ได้มาสิงขอเถอะไอ้พฤกษ์ หลับตาแล้วตั้งสติซะ แกจะเห็นก็แต่สิ่งที่แกอยากเห็นเท่านั้น” พฤกษ์ไม่กล้าหลับตา ยอมรับเลยว่ากลัวจนแข็งเป็นหิน แต่หลังจากจ้องตากับดาริกาอยู่ครู่หนึ่ง อะไรบางอย่างในดวงตานั้นก็ทำให้สงบ...จนบังคับเปลือกตาตัวเองได้

ชายหนุ่มหลับตาลง พยายามสูดลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะ และทำหัวใจให้เต้นช้าลง แม้ว่ากลิ่นเนื้อเน่าจะทำเอาแทบสำลักก็ตาม ชั่วขณะหนึ่งเขาจึงเปิดเปลือกตา สิ่งที่เห็นทำเอารู้สึกตื๊อในอก บนโต๊ะกินข้าว มีหญิงสาวอายุ21ปี ในชุดนักศึกษา เธอมีผิวขาวเหลือง ผมยาวเคลียไหล่ สูงแค่153 เนื้อตัวสะอาดสะอ้าน ปราศจากคราบเลือด...

คือเพื่อนของเขา...

คือดาริกา ภักดีสกุล เมื่อสี่วันก่อน...ก่อนที่จะถูกโจรปล้นบ้าน และใช้มีดฟันจนตาย

แต่พอเขากระพริบตา ผู้หญิงตรงหน้าก็กลับมาใส่ชุดนอนเปื้อนเลือดเป็นดวงๆ คอมีรอยฟันเลือดอาบเหมือนเดิม

“เฮ้ย!” เขาร้องเสียงดัง ตกใจเพราะไม่ทันตั้งตัว

“ตกใจอะไรย่ะ ฉันตายแล้ว เป็นแค่พลังงานรูปแบบหนึ่งที่ลอยอยู่ตรงหน้าแก แกจะเห็นฉันเป็นแบบไหน มันขึ้นอยู่กับใจของแกเอง ถ้าใจไม่นิ่ง แกก็จะเห็นฉันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ที่พูดนี่เข้าใจใช่ไหม?” พฤกษ์พยักหน้าช้าๆ ทั้งที่สมองมึนงง ไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น

“เธอจะไม่ให้ฉันตกใจน่ะ มันเป็นไปไม่ได้หรอก แล้วตกลงเธอไม่ได้สิงอยู่ที่นี่?”

“แกก็รู้ ฉันพึ่งตายได้สี่วัน...ฉันมา‘เก็บรอยเท้า’” ขณะพูดเธอก็ยกมือสองข้างขึ้นมา ชูสองนิ้วและงอขึ้นลงแทนเครื่องหมายคำพูดไปด้วย

“อย่าเข้ามาใกล้ฉัน! หยุดอยู่ตรงนั้นไอ้ดา ขอเหอะ” พฤกษ์แทบจะตวาด เมื่อเห็นผีสาวลุกขึ้นลากขาที่ถูกทุบไปมา

“นี่ไอ้พฤกษ์ ฉันชักจะรำคาญแกแล้วนะ ฉันต้อง ‘เก็บรอยเท้า’ ทุกอย่างในบ้านหลังนี้ให้เสร็จก่อนเช้า ฉันไม่ว่างมานั่งให้แกจ้องจนตาถลนหรอกนะ”

แล้วเธอก็ไม่สนใจเขาอีก น่าแปลกมาก พฤกษ์เห็นดาริกา(ในร่างโชกเลือด)หยิบจับข้าวของในบ้าน ทีละอย่าง ก่อนจะใช้มือดึงอะไรบางอย่างคล้ายเส้นด้ายบางๆที่ติดมือออกมาจนขาด เขานั่งมองเธอ ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าแข็งเป็นหิน แต่สมองก็ยังประมวลสิ่งที่เห็น เขารู้สึกว่า มันคล้ายๆกับการตัดสายสัมพันธ์กับทุกอย่างที่ใช้จนคุ้นชิน ตัดเพื่อไม่ให้เหลือสายใยใดๆ ที่จะเชื่อมโลกเข้ากับเธอคนนี้ได้อีกต่อไป...

“ทำไมฉันถึงมองเห็นเธอนะ ฉันไม่เคยมองเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน” พฤกษ์เปรยขึ้นดูคล้ายรำพึงรำพันมากกว่าจะหาคำตอบ

“เพราะหนังสือที่นายยืมฉันไป ฉันยังไม่ได้เก็บรอยเท้ากับหนังสือเล่มนั้น พูดแล้วก็น่าน้อยใจจริงๆ นายไม่แม้แต่จะไปงานเผาศพฉัน” เขาเงียบ ไม่ได้บอกออกไป ว่าเขาไม่ไปเพราะไม่อยากยอมรับว่าเธอตายแล้วและแทบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ตอนที่แอบหยิบกระดุมนักศึกษาที่ตกอยู่มุมห้อง ใส่เข้ากระเป๋ากางเกงของตังเอง

          พรึบ!

“เฮ้ย!?!...โอ้ยยย อยากจะบ้าตาย!”ชายหนุ่มร้องขึ้น เป็นส่วนผสมของคนที่ขวัญเสียและหงุดหงิดไปพร้อมๆกัน เมื่ออยู่ๆไฟดวงเดียวในบ้านก็ดับลง

“เฮ้อ... อุตส่าห์จ่ายค่าไฟแล้วเชียว ฉันก็บอกแกแล้วว่าให้ มาซ้อม มาซ้อม เป็นไงล่ะ ขี้เกียจเอง หลอนเอง เดินมาเปิดไฟในครัวสิ หรือจะอยู่แบบมืดๆฮึ”

ชานหนุ่มเดินเลียบผนังมาเปิดไฟในครัว ดูสับสนในชีวิต กลัวก็กลัว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคุ้นเคยกับการบ่นในลักษณะนี้ดี เขาไม่รู้ว่าควรรู้สึกประหลาดใจกับเพื่อนตรงหน้าหรือไม่ ที่ความตายไม่ได้เปลี่ยนเธอไปจากเดิมเลย...

          “คืนนั้น...เธอรู้สึกยังไงบ้าง”เขาชวนเธอคุย แสงไฟที่สว่างขึ้นเพิ่มความอุ่นใจขึ้นได้มากโข

ดาริกาหันมาสนใจเขาแทนแก้วน้ำใบหนึ่งบนชั้นที่เธอกำลังดึงเส้นด้ายให้ขาด

“ความตายน่ะเหรอ?”

หญิงสาวถามขึ้น พลางเดินลากขาไปเปิดลิ้นชักใต้อ่างล้างจาน เพื่อดึงเส้นด้ายออกจากจานชามในนั้น

“เบาเหมือนปุยนุ่น ล่ะมั้ง” เธอหัวเราะเมื่อเห็นว่าเพื่อนทำหน้าประหลาด

“ทำไมย่ะ ถึงก่อนตายฉันจะเจ็บปวดทรมาน แต่ความตายน่ะ มันก็อย่างที่แกเห็นนี้แหละ”

“เขาว่ากันว่าคนตายมีเวลาเก็บรอยเท้าเจ็ดวัน”

“หึหึ ก็...ส่วนใหญ่จะทำเสร็จภายในเจ็ดวัน แต่ก็มีเหมือนกันที่ทำไม่เสร็จ ไอ้เรื่องแบบเนี้ยไม่มีใครเขาว่าอะไรกันหรอก แต่ถ้าทำไม่เสร็จ ก็ไปเกิดไม่ได้ ทำไม แกสนใจ?”  เพื่อนของเขาทำหน้ายุ่งยากใจก่อนจะกล่าวต่อ “ก็...พอตาย ก็ต้องไปทำเรื่องขอเกิด ฉันไม่เรื่องมากก็เลยสามารถไปเกิดได้เลยหลังเก็บรอยเท้าเสร็จ ก็เป็นลูกคนแถวนี้แหละ เธอพึ่งท้องได้หนึ่งเดือน”

“อย่างนั้นเหรอ...”

เขาพูดได้แค่นั้น นึกอะไรไม่ออกอีก

 

“มันก็เป็นคืนพบเพื่อนเก่าที่ดีอยู่หรอกนะ...”

ดาริกาพูดขึ้นหลังจากผ่านไปแล้วค่อนคืน ดูเหมือนเธอจะทำงานของเธอเสร็จแล้ว “แต่ทำไมนายยังนั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้มิทราบ”

เพื่อนของเขากลับมาอยู่ในชุดนักศึกษาและดูเป็นผู้เป็นคนอีกครั้ง ถึงตอนนี้พฤกษ์พึ่งจะรู้ตัว ว่านอกจากชุดนอนลายมิคกี้เมาส์นั้นแล้ว เขาก็แทบจะไม่มีความทรงจำของดาริกาในชุดไปรเวทอื่นเลย

“นั้นสินะ...งั้นฉันกลับล่ะ” พฤกษ์ยกมุมปากที่แข็งกระด้างขึ้นเป็นรอยยิ้มเล็กๆ เมื่อตัดสินใจได้อะไรๆก็ดูสว่างโล่ง “ถึงแกจะน่ากลัวมาก แต่ฉันก็ดีใจที่ได้มีโอกาสคุยกับแกอีก” เขาโบกมือให้หญิงสาวและหมุนตัวออกจากบ้านเช่าไป

 

พฤกษ์ปิดประตูลง ไล่อาการขาแข็งด้วยการแตะเท้าไปมา

เขากำลังจะถูกฆ่า เขารู้ตัวดี คุณเจี๊ยบแม่เลี้ยงของเขา ตอนพ่อแข็งแรงดีก็ดูโอเค ถึงแม้เธอจะไม่ชอบเขาเท่าไหร่แต่ก็ดีกับพ่ออยู่มาก แต่พอพ่อป่วย เธอก็เริ่มพูดจาแย่ๆกับเขา เมื่อวานนี้พฤกษ์ได้ยินคุณเจี๊ยบคุยโทรศัพท์กับใครบางคน บอกว่าให้ลงมือเลย ถึงเวลาที่ชายหนุ่มจะต้องออกไปจากส่วนแบ่งมรดกของเธอแล้ว เธอแนะนำแม้แต่อุปกรณ์ว่าควรเป็นปืน ทำให้เหมือนเป็นการฆ่าตัวตายเพราะเครียดเรื่องครอบครัวแน่นอนพฤกษ์ไม่คิดจะตายไปเปล่าๆ เขาจงใจเข้ามา ‘เยี่ยม’ บ้านเก่าของแม่ก็เพื่อล่อให้มีคนลงมือ

ตั้งแต่ได้ยินแม่เลี้ยงใจชั่วคุยโทรศัพท์ในวันนั้น เขาก็ไหว้วานตำรวจในพื้นที่คนหนึ่งให้ซุ้มรออยู่ในซอยนี้ ด้วยเงินสามพันบาทแล้ว ในคืนนี้เขากะว่า ต่อให้ตัวตายก็ต้องให้มีพยานรู้เห็นให้ได้ แต่หลังจากได้เจอดาริกา พฤกษ์ก็ตัดสินใจแล้ว สิ่งที่เขาต้องทำมีแค่ ‘อย่าตาย’

ชายหนุ่มยกยิ้ม ไม่นึกเลยว่าการเจอเพื่อนที่ตายไปแล้ว จะให้ความรู้สึกปลอดโปร่งอย่างนี้

แม้ในคืนที่อาจจะเป็นวันตายของเขา

ในคืนนี้

 

“ขอโทษเถอะนะ เราไม่รู้จักกัน แต่ฉันจำเป็นต้องให้เธอตายวันนี้” ชายแปลกหน้าคนหนึ่งพูดขึ้น เขาเข้ามาประชิดด้านหลังพฤกษ์ทันทีที่ชายหนุ่มเดินออกจากบ้านพฤกษ์ใจเต้นระรัว เขารู้ว่าจะไม่ถูกยิงในตำแหน่งที่ทำให้รู้ว่าเป็นการฆาตกรรม แต่กระนั้นขาสองข้างก็แทบจะออกวิ่งโดยไม่ฟังเจ้าของ

พฤกษ์สับศอกไปด้านหลัง ก่อนจะหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากับชายแปลกหน้า เขายื่นมือออกไปหวังจะผลักคนร้ายให้ล้มลง แต่ชายแปลกหน้ารู้ตัวก้าวถอยหลังก่อน พฤกษ์จึงเสียหลักล้มลงเสียเอง ระหว่างที่เขาหันกลับมาและเห็นปืนสั้นในมือคนร้าย ช่วงเวลาระหว่างความเป็นความตายนั้น พฤกษ์สติหลุด สมองว่างเปล่า เขาเลือกจะแหกปากตะโกนเรียกชื่อเพื่อนเก่าที่ตายไปแล้ว แทนที่จะเรียกชื่อนายตำรวจหนุ่ม ที่คงเผลอหลับอยู่ในโพรงหญ้าใกล้ๆบ้าน

“ดา!! ไอ้ดาโว้ยยยยย”

ชายแปลกหน้าชะงัก เมื่อได้ยินเขาตะโกนเรียกชื่อใครบางคน ประตูบ้านเปิดออกทั้งๆที่ไม่มีลมพัด เสียงประตูและจิ้งหรีดกรีดร้องสร้างความวังเวงขึ้นในอากาศ

“พฤกษ์ คนตายเปลี่ยนอะไรไม่ได้...คนที่เปลี่ยนได้ คือ คนเป็น” เธอยิ้มกว้าง(จนปากฉีกไปถึงรูหู) ก่อนจะชี้นิ้วมาที่กระเป๋ากางเกงของเขา

ชายหนุ่มเข้าใจความหมายในทันที เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบกระดุมนักศึกษาที่แอบเก็บไว้ออกมาขว้างเข้าใส่ชายแปลกหน้าที่หมายจะเอาชีวิตเขาชายตรงหน้าตกใจ เขาไม่เห็นว่าเหยื่อขว้างอะไรใส่เขา แต่ก็ยกมือขึ้นปักออกโดยอัตโนมัติ

“นี่ลุง! ปัดของๆคนอื่นแบบนี้ได้ยังไงกัน” เสียงไม่พอใจลอยมาจากหน้าประตูที่เปิดออก เขาถึงกับสะดุ้งกับน้ำเสียงเย็นยะเยือก ความหนาวจนขนหัวลุกแผ่ออกมาจากตัวบ้าน เขาพยายามบอกตัวเองว่าอาการทั้งหมดนี้เป็นเพราะเขาไม่คิดว่าจะมีใครอีกคนอยู่ในบ้าน แต่เมื่อหันปากกระบอกปืนไปที่หน้าบ้าน หวังจะเก็บพยานรู้เห็นไปซะทีเดียวกัน เขาก็เปลี่ยนจากอาการสะดุ้ง มา เป็น ช็อก!!!

ตลอดชีวิตการเป็นมือปืนรับจ้าง ยี่สิบกว่าปีของเขา เขาไม่เคยเจออะไรที่ใช้คำว่าน่ากลัวได้ชัดเจนขนาดนี้มาก่อน หน้าประตูบ้าน เขาเห็นหญิงสาวผมยาวจรดหัวเข่า ผิวซีดเหมือนศพจมน้ำ ดวงตาลึกโบ๋ ผิวเนื้อที่หน้าเปื่อยหลุดเหลือครึ่งเดียว เขาเห็นศพมาก็มาก สิ่งที่ทำให้เขากลัวไม่ใช่ร่างที่อยู่หน้าประตู แต่เป็นเสียงที่เปล่งออกมาจากคอ “ช่วยเก็บกระดุมให้หน่อยสิคะ”

“เหวอๆๆๆ อะไรกันเนี้ย! อย่าเข้ามาใกล้ฉัน! อย่าเข้ามานะโว้ย!”

 

ปัง! ปัง! ปัง! เสียงปืนดังขึ้นจนหมดรังเพลิง มือปืนรับจ้างทิ้งปืนล้มลุกคลุกคลานหนี แต่ไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่ ก็ถูกนายตำรวจที่โผล่ออกมาจากโพรงหญ้าข้างบ้านจับตัวไว้

“คุณพฤกษ์ เมื่อครู่คุณตะโกนเรียกใครครับ”

“ไม่ใช่ใครหรอกครับ ผมพยายามเบี่ยงเบนความสนใจของคนร้าย”

“แต่คนร้ายเหมือนเห็นอะไรบางอย่างในบ้านคุณ”

“ในบ้านไม่มีอะไรหรอก คุณตำรวจจะไปดูก็ได้ ถ้าเห็นอะไร ก็ช่วยบอกผมด้วยนะครับ”

นายตำรวจหนุ่มทำหน้าประหลาดใส่เขา ยิ้มเครียดๆ ยืนกรานว่าจะไม่ยอมเข้าไปดูอะไรในบ้านทั้งนั้น ก่อนจะโทรเรียกรถตำรวจของสน. ให้มาพาคนร้ายกลับไปสืบสวนต่อมือปืนรับจ้างกรีดร้องโหยหวนแทบจะกระโจนขึ้นรถตำรวจโดยไม่ต้องมีการบังคับใดๆ

“เขาดูกลัวมาก แกว่าเขาเห็นอะไร?” พฤกษ์ถามขึ้น เมื่อเหลือเขาอยู่หน้าบ้านเช่าแค่คนเดียว

“ไม่รู้สิ... หึหึ”

“อะไรกัน! นี้ไอ้ฤทธิ์มันถูกตำรวจจับแล้วงั้นเรอะ”

“เด็กแค่คนเดียว ไม่นึกว่ามือปืนระดับมันจะล้มเหลว เอาเถอะ บอกมันว่าอย่าให้เรื่องโยงมาถึงฉัน ฉันตกลงจะรับดูแลแม่ของมันให้...” พรทิพย์วางสาย รู้สึกหงุดหงิดไม่ได้ดังใจเมื่อเรื่องไม่เป็นไปอย่างที่คิด

แต่ก่อนที่จะได้คิดจัดการปัญหาอะไรต่อ สายตาก็เหลือบไปเห็นรถเก๋งคันเก่าของลูกเลี้ยง ที่น่าจะตายตั้งแต่เมื่อคืน ขับมาจอดในโรงรถ เธอสูดหายใจเข้าลึก ปรับอารมณ์ตัวเองจนดูแจ่มใส เธอจะให้เหยื่อรู้ตัวก่อนไม่ได้...

พรทิพย์เดินยิ้มแย้มมาจนถึงประตูโรงรถ เธอได้ยินลูกเลี้ยงพูดอะไรบางอย่างคนเดียว เธอขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจการพึมพำที่เหมือนบทสนทนาที่ไม่มีคนคุยตอบนั้น แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก

“แน่ใจนะว่าไม่เอา แกเคยชอบกินผัดเปรี้ยวหวานนิ...”

“เหลือของอีกเยอะไหมที่ต้องจัดการ...”

“...งั้นก็เหลือเวลาอีกไม่เยอะแล้วสิ...”

“เธอไม่เป็นห่วงชีวิตฉันหรือไง?...”

“เมื่อคืนคุณพฤกษ์ไปอยู่ไหนมาค่ะ ดิฉันเป็นห่วงแทบแย่”เธอโพล่งถามออกไปขัดจังหวะการพึมพำของลูกเลี้ยง

“ อ่อ...คุณเจี๊ยบ ผมไปเยี่ยมบ้านเก่าคุณแม่มาครับ มีของฝากมาให้คุณเจี๊ยบด้วย”

“บ้านเก่า? ที่ตอนนี้ปล่อยให้คนเช่าอยู่น่ะเหรอค่ะ” ชายหนุ่มพยักหน้า พลางยื่นกล่องกำมะหยี่เล็กๆคล้ายกล่องแหวนให้เธอ พรทิพย์รับไว้

เปิดดูข้างในก็พอว่า มีกระดุมนักศึกษาเม็ดหนึ่งอยู่

“อะไรกันค่ะ คุณพฤกษ์ กระดุมนี้...”

พรทิพย์หยิบกระดุมออกมาจากกล่อง

เธอเงยหน้าขึ้นพูดกับลูกเลี้ยงได้แค่ครึ่งประโยค ก็สังเกตเห็นว่ามีหญิงสาวผมยาว ยืนอยู่ข้างคนที่เธอสั่งฆ่าไปเมื่อวาน หญิงสาวคนนี้ เนื้อตัวเปื้อนเลือด ผิวคล้ำแห้งแข็งเหมือนตายมาแล้วหลายวัน เธอสบตาแม่เลี้ยงชั่วด้วยเบ้าตาลึกโบ๋ที่ปราศจากลูกนัยน์ตา แสยะยิ้มกว้างจนปากฉีกเห็นฟันแหลมคม

ดาริกาหันมามองหน้าเพื่อนชาย ก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาพรทิพย์

  “ไม่ต้องห่วงหรอกพฤกษ์ จะทำชีวิตแกให้ดีขึ้นนะ แค่สามวันก็พอเหลือเฟือแล้ว”

 

“อย่าเข้าใกล้ฉัน!! อย่าๆๆ กรี๊ดดดด”

 

 

 

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว