เธอชื่อพรมจันทร์
0
ตอน
760
เข้าชม
75
ถูกใจ
2
ความคิดเห็น
0
เพิ่มลงคลัง

บ้านหลังนั้นตั้งอยู่ไม่ไกลจากวัดเท่าไหร่นัก เป็นบ้านไม้หลังเล็กๆ ยกสูงจากพื้น เช้าๆแม่เฒ่าคนหนึ่งจะเดินถือกระติบข้าวไปยืนรอพระสงฆ์ที่หน้าบ้านเธอ เธอจะรอพระสงฆ์มาบิณฑบาตในทุกวัน ยามฝนตกแกก็จะมายืนอยู่ตรงนั้น แต่ถือร่มนะครับเพราะถ้ายืนตัวเปล่าได้เปียกแน่ๆ

บ้านกับวัดห่างกันแค่ห้าสิบเมตร ผมงงว่าทำไมแกไม่ไปวัดเสียเลยละ ไปทุกวันก็ได้ ไปวันละสิบยี่สิบรอบก็ได้ แกก็บอกผมว่า “พระสงฆ์ต้องบิณฑบาต เราต้องใส่บาตร ถ้าพระสงฆ์ไม่บิณฑบาตเราก็ไม่ใส่บาตร ถ้าพระสงฆ์ไม่รู้จักหน้าที่ก็ไม่ต้องมีพระ” ผมงงยิ้มไม่ออกแล้วถามกลับไปอีก

“เอ้าแล้วการใส่บาตรเป็นหน้าที่ไหม”

“ไม่รู้ แล้วมันไปหนักตรงไหนของแก”

 

เธอชื่อพรมจันทร์ เป็นคนนครพนม ลูกอีสานโดยกำเนิด อาชีพทำนา ปลูกข้าวกิน ขายข้าวกิน ปั้นข้าวเหนียวกิน ทำปลาร้ากิน และไม่เคยไปไหนไกลนอกจากไปฉี่ใส่ถนนกลางเมืองกรุง นั่นคือสถานที่ๆไกลที่สุดในการเดินทางของชีวิตยาย และสิ่งที่แกภาคภูมิใจมาก แกบอกใครต่อใครว่า “กรุงเทพยายไปขี้ใส่มาแล้ว”

แกบอกผมในวันที่สายลมละเมอหายไปช้าๆ ว่ากรุงเทพ “งดงาม”... เมืองทั้งเมืองเหมือนมันจะขายแต่รถ เพราะมองไปทางไหนก็เห็นแต่รถเต็มไปหมด มองหาทุ่งนาก็ไม่มี”

“ยายถูกหลอกไปไหมอ้า”ผมถามยิ้มๆ

“ไอ้หลานบ้า! หลอกที่ไหน เขามาชวนไปเที่ยว ไปทอดผ้าป่ากัน เขาบอกว่า ใครไม่เคยไปไหว้อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเขาจะพาไปไหว้ ตอนนี้คนมาไหว้กันเต็มไปหมด”ยายว่า

“นั่นแหล่ะเขาหลอกเต็มๆ”ผมย้ำอีกรอบ แกเมินหน้าหนีไปอีกทาง ฉีกยิ้มบนใบหน้าสองมือพัน

หมากพลูแล้วเอาเข้าปากกุบกับๆ น้ำหมากไหลเป็นทาง ปากเยิ้มแดง แกเอาหลังมือเช็ดเบาๆ แดงไปทั้งเสื้อ ผมยื่นผ้าให้ แกไม่รับส่ายหน้าเบาๆ

“เช็ดปากก่อนไหม น้ำหมากเปื้อนปากเยิ้มเสื้อหมดแล้ว”

“เช็ดทำไม ยังไงมึงก็ซัก”

“แล้วยายไปแบบนั้นเขาหลอกไปกันหรอกใครเขาทำแบบนั้นกัน เขาไปประท้วงเรื่องเกี่ยวกับการเมืองไหมยาย”

“หลอกที่ไหน เขาบอกว่า คนไทยต้องไปไหวอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ต้องเอาผ้าป่าไป ก็เหมือนไป

ไหว้พระธาตุพนมไง คนมาจากทั่วสารทิศแห่มากันหมด ใครก็อยากไปกราบไหว้กัน”แววตาฉายความภาคภูมิใจ

“แกไปไหว้มายังละ”แกถามผมยิ้มๆ

“ยัง! ใครเขาทำกันแบบนั้นเล่ายายก็”ผมว่า

“เค้าไหวก้นทั้งนั้นกูไปเห็นมาแล้ว มึงนี่ไม่รู้จักของสูงของต่ำ ถ้ามึงไม่มีอนุสาวรีย์มึงจะเอาหน้าไปไว้ไหน”

“รู้ครับยาย แต่เค้าไม่ไหว้กัน อนุสาวรีย์ไม่เหมือนพระธาตุพนมสักนิด งั้นยายไปถึงไม่เอาแผ่นทองไปปิดที่อนุสาวรีย์เลยละ”ผมย้อน ท้าแก

“มึงนะมันบ้า ลบหลู่ของสูง ...อย่าคิดว่ากูไม่ทำ กูไปทำมาแล้ว เอาทองไปปิดกับจุดธูปไหว้เลยละ”

 

ตอนนั้น สมัยเขาประท้วงเรื่องอะไรกันไม่รู้ แกบอก เค้ามาชวนไปเที่ยวอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยก็เลยไปกับเขา

“เขาเอารถมารับที่หมู่บ้านเลยนะบักหำน้อย”แกเรียกผมแบบนั้นมานานหละ “หำน้อย” แต่ที่จริงมันไม่น้อยนะครับ

“รถที่เขาเอามามีสองประตู สีส้มแป๊ด หน้าต่างเพี้ยบ ยายนึกว่ารถไฟ”

“ปลื้มไหมละเขาหลอกไปประท้วงนะยาย หลอกกันทั้งหมู่บ้าน”ผมยังยืนยันสิ่งที่ยายไม่รู้

“ปลื้มมากเลยหำน้อย เขาเอารถมาเป็นสิบๆคันเลยนะขบวนบุญเลยนะมึง พอยายขึ้นไปบนรถนะ โอ้พี่น้องมากันเพี้ยบ คนเฒ่าคนแก่ทั้งนั้น ถามคนนั้นคนนี้ก็บอกว่า พี่น้องจะพาไปกรุงเทพ ตื่นเต้นกันทั้งหมดเพราะบนรถไม่เคยมีใครเคยไปกรุงเทพมาก่อน บอกว่าจะไปไหว้อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เอาผ้าป่าไปลงกลางกรุงเทพ”แกย้ำเสียงตื่นเต้น เคี้ยวหมากภูมิใจ

“ใครเค้าทำกันแบบนั้นยาย ถูกหลอกเต็มๆ”

“คนอย่างกูไม่มีใครมาหลอกได้หรอก นอกจากลูกหลาน”

“เอ้าๆไม่หลอกก็ไม่หลอก แล้วไงต่อ”ผมถามเข้าเรื่องอีกหน ไม่อยากขัดแกล่ะ

“โอ้ยนั่งรถกันมันเลย ไม่ถึงสักทีทุกคนสนุกมาก หันไปดูเพื่อนข้างๆหลับหมด!

“เอ้า แล้วยายทำไง”

“หลับ”

.............

“ก็หลับนะ เพื่อนหลับไม่หลับก็ไม่ได้”ยายว่าเคี้ยวหมากคางยวนหมดละ

“ทำไมหละ”

“ไม่หลับไม่ได้หรอก เดี๋ยวเสียเปรียบเพื่อน”ยายว่า ผมขำ

“พอไปนะหำน้อย เขาพาเดินไปบนถนน เค้าบอกว่าคนเยอะหน่อย เพราะคนเอาผ้าป่ามาลงวันเดียวกันพอดี ยายก็ปลื้มใจมาก คนมากมายก่ายกองเยอะแยะเป็นแสนๆมาจากทั่วสารทิศเขาคงมางานผ้าป่าเหมือนเราแน่ๆ เกิดมาไม่เคยเห็นคนเยอะแยะแบบนี้ อนุสาวรีย์คงจะมีคนศรัทธามากมายเลยเน๊าะ บางคนเดินถือธงชาติไทย เอาผ้าโพกหัว ใส่เสื้อเหมือนกันเกือบหมด ตำรวจยืนคุมแถวให้อย่างดี แต่ละคนหน้าตาดุดัน พวกนั้นมีขวดน้ำมีผ้าปิดปาก เขาก็ยื่นเอาให้ยายนะ แต่ยายบอกว่ายายมีแล้ว ยายไม่จำเป็นต้องใช้ ไหว้อนุสาวรีย์ ยายไหว้ด้วยธูปเทียนและดอกไม้ ขอแค่ยืมไฟจุดเทียนกับธูปก็พอ”

 

ยายจันทร์อายุ 85 ปี ใช้ชีวิตในผืนแผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์ ผิวบนใบหน้าเหี่ยวก้านราวกับเปลือกไม้ เสียแต่งดงามยามต้องแสงและน่ากลัวยามไร้แสง

ยายจันทร์เป็นคนน่ารัก อัธยาศัยดีมาก เพื่อนๆลูกหลานรักแกทุกคน ตอนผมอยู่ทางภาคใต้ไม่ได้กลับบ้าน ก็จะโทรหายายทุกวัน เมื่อก่อนผมไปเป็นทหารที่ภาคใต้ ข่าวการสู้รบกันระหว่างทหารและแนวร่วมทำให้ยายเป็นห่วง ว่างๆก็เลยโทรหายายคุยกันตามประสาลูกหลาน

“ยาย...สวัสดีครับ นี่ผมนะครับ”ผมกล่าวสวัสดีทักทายยายผ่านทางโทรศัพท์

“อื้ม สวัสดี”ยายตอบ

“อยู่ไหนครับ กินข้าวยัง ผมสบายดีนะ ตอนนี้ผมอยู่ที่นราธิวาสนะ”ผมก็พูดไป แกก็เงียบฟัง

“อ้อ แล้วเมื่อไหร่จะเรียนจบละ เรียนวาดภาพเหรอ”แกถามมาในสาย

“อ้อครับ เรียนจบนานแล้ว ตอนนี้เป็นทหารอยู่ครับ อยู่ที่นราธิวาสครับ”

“อ้อ โคราชฝนตกเรอะ เรียนจบแล้วก็ดีจะได้กลับบ้าน”ยายพูดตอบมาในสาย

“เปล่าๆ ผมเป็นทหารที่นราธิวาสยาย เรียนจบนานแล้ว”

“อ้อ ขวัญกับเรียมเรอะยายเคยดูสมัยเป็นสาวๆหนังกลางแปลงอะ จำได้ๆ”ยายตอบ

“ไม่ใช่นี่ผมนะ ผมไงหลานยายไง ไอ้เณศนะไอ้เณศ  หลานยายไง ที่มาเป็นทหารที่นราธิวาสครับยาย จำได้ไหม”ผมถามเริ่มหัวเสียละ

“อ้อๆ เณศเรอะๆ จะพาไปเที่ยวหนองหารที่จังหวัดอุดรธานีเหรอ อยากไปๆงั้นมารับยายนะเณศนะ”ยายตอบรับ

“ยายคุยกับใครอยู่นี่”ผมย้อนถามเพราะคำถามกับคำตอบคนละเรื่องเสียแล้ว

“คุยกับมึงไง แล้วมึงอยู่ไหนนี่ กินข้าวยัง”ยายถามผมกลับบ้าง

“อ้อครับ อยู่นราธิวาสครับยาย กินข้าวแล้ว แต่ไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่ของเดิมๆทหารกินอะไรง่ายๆ”

“อยู่หนองหารก็ดีซิ น้ำท่าดี ปลาเยอะ ยังงี้มึงก็มีกินตลอด  ดีแล้วละ อยากกลับบ้านก็ขี่รถรับจ้างมาเลยเดี๋ยวยายรอ”

…………………….

อายุที่มากขึ้น ทำให้ยายละเลือนหรือผมที่เลือนรางไปจากความรู้สึกของยาย วันเวลาพ้นผ่าน ผมลาออกจากการเป็นทหารที่สามจังหวัดและเดินทางกลับบ้าน เรื่องราวของผมกับยายยังงดงามเสมอ ภาพวันเวลาเก่าๆย้อนรอยกลับมาตามทาง ห้วงคำนึง มักย้อนรอยให้เราคิดถึงเรื่องราวเก่าๆเสมอๆ

“ยายครับทำไมปลามีคีบและมีหาง”ผมถามยายในครั้งหนึ่งสมัยเป็นเด็กอายุสักสิบขวบกว่า ลงไปนาหาปลาหาปูกับยาย

“ปลามีคีบมีหางเอาไว้ว่ายน้ำเล่น”ยายตอบ

ผมถามเดินนำหน้ายายไปบนคันหน้ามุ่งหน้าไปยังลำห้วย เพื่อตกยอและช้อนกระซือ(กระซือคืออุปกรณ์อย่างหนึ่งคล้ายสวิงแต่เป็นไม้ไผ่สานมีลักษณะเป็นรูปทรงกรวยสามเหลี่ยมเอาไว้ช้อนลูกปลา กุ้งตามริมฝั่งน้ำ)

“มันว่ายน้ำจริงๆไม่ได้เรอะ”ผมถาม

“มันก็ว่ายจริงๆนะหำน้อย ถ้าไม่มีคีบมีหางมันจะว่ายในน้ำได้ไง”

“เอ้า! ปลาไหลไม่มีคีบกับหางแบบปลามันยังว่ายได้เลย”ผมว่า งงๆ

“นั่นมันเป็นปลาไหล มันเลยว่ายน้ำได้ไง” ยายตอบ

“แล้วถ้างั้นหอยไม่มีหาง ปูก็ไม่มีหางทำไมมันว่ายน้ำได้”

ยายเงียบไม่มีเสียงใดๆตอบมา ผมเดินนำหน้าไปพัก หันไปดู เห็นยายหยุดเดินแล้วนั่งลงข้างริมนา ผมเลยเดินย้อนกลับไปหายายที่มุมคันนา

“ยายทำอะไรครับ ทำไมหยุดอยู่ตรงนี้”ผมนั่งลงข้างๆยาย

“จุ๊ๆ จุ๊ๆ” ยายเอามือจุ๊ๆที่ปาก “อย่าเสียงดังไปเดี๋ยวมันหนีไปนะ”ยายว่าชี้ไปที่รูปู

“ยายทำอะไรเหรอครับ”ผมถามตื่นเต้น อยากรู้ว่ายายจะทำอะไรกับปูในรูนั่น

เรานั่งดูปูในรูปนั่น ครู่ใหญ่ มันโผล่มาช้าๆ แล้วผุบเข้าผุบออก  เดี๋ยวผุบเดี๋ยวมา เดี๋ยวมาเดี๋ยวผุบเหมือนหยอกกับเรา สายลมยามสายพัดผ่านไปสบายๆ

“ยายครับ เราดูอะไรครับ”

“มาแล้วๆ รอมันออกมาจากรูแป๊บนะยายจะถามมันให้”

ผมเอ่ยกระซิบเบาๆกลัวปูในรูจะไม่ออกมา“ถามอะไรเรอะครับคุณยาย”

“จะถามมันว่า มันไม่มีหาง ทำไมมันว่ายน้ำได้”

.......................................

 

ณ ริมห้วย เราสองคนช้อนกระซือด้วยกัน เราได้กุ้ง ได้หอย ได้ปูลูกปลาซิวเยอะแยะในข้อง ใกล้เที่ยงยายก็ชวนไปนั่งกินข้าวกันใต้ร่มไม้ เราขึ้นมานั่งใต้ร่มกระบกใหญ่มากต้นหนึ่ง ข้างๆมีโพนจอมปลวก ข้าวเหนียวคนละปั้นสองปั้นกับแจ่วบอง ลมเย็นยามเที่ยงพัดมาสบายอุราฉ่ำปอด ต้นข้าวในนากำลังตั้งท้องแตกรวงเขียวไปทั้งทุ่งนาสุดลูกหูลูกตา

“เองรู้ไหมเมื่อก่อน ตากับยายมานั่งจีบกันที่นี่ เองรู้ไหมต้นกระบกนี่แหล่ะที่ตามาเก็บเอาไปผ่าและคั่วให้เองกิน เองรู้ไหมห้วยนี่แหล่ะที่ตาให้เองขี่คอข้ามห้วยลงนา”ยายนึก เล่าเรื่องราวในอดีตให้ผมฟัง

“เองรู้ไหม เมื่อก่อนบ้านเราอยู่ตรงนี้”ยายบอก ผมเคี้ยวข้าวในปาก

“ไม่รู้ครับยาย ผมเกิดไม่ทัน ผมเพิ่งอายุสิบขวบเองครับ” สิ้นคำตอบ ยายก็เงียบไป

“เล่าต่อสิยาย ผมฟังอยู่”

“ฮึ กูไม่เล่าละ เล่าให้มึงฟังก็เท่านั้นไปเล่าให้กุ้งหอยปูปลาฟังดีกว่า”

“แล้วผมจะรู้เรื่องเรอะยาย”

“ช่างหัวมึง กุ้งหอยปูปลาไม่โง่”

“แต่ครูที่โรงเรียนเคยสอนครับว่า คนโง่เท่านั้นที่คุยกับกุ้งหอยปูปลา”

“เองกำลังว่ายายโง่”

“ผมไม่ได้ว่ายายโง่สักนิด ผมบอกว่าคนที่คุยกับกุ้งหอยปูปลานะ..คนโง่”ผมยืนยัน

“ยายนี่ไงคุยกับกุ้งหอยปูปลา”

“เอ้าเรอะ! งั้นผมไม่ว่ายายละ ถือว่าเมื่อกี้ไม่ได้พูดนะครับ”

ยายทำท่าเก็บข้าวเหนียวคืนห่อ กุลีกุจอลุกจากที่เรานั่งอยู่

“ยายผมยังไม่อิ่มเลยนะ ยายเก็บทำไม แล้วยายจะไปไหน”

“ไม่อิ่มเรื่องของมึงยายจะกลับละ”ยายว่าเก็บสัมภาระ ออกอาการแง่งอนอย่างเห็นได้ชัด

“ไหนยายบอกว่าเราจะมาหาปลาค่ำๆค่อยกลับ เราได้ปลานิดเดียวเองนะ”

“ช่างมัน ไม่ต้องหาละกุ้งหอยปูปลา ยายรีบ”

“รีบไปไหนยายวันนี้วันหยุด ผมไม่ได้ไปโรงเรียนสักหน่อย”

“ไปโรงเรียนของเอ็งไง”

 

วันเวลาผ่านไปผมกับยายสนิทสนมกันมากกว่าลูกหลานคนอื่นๆรถแล่นผ่านตัวเมืองแต่ละจังหวัดไปตามห้วงเวลาที่ความเร็วของรถจะเคลื่อนที่ได้ ระหว่างการเดินทางผมมองไปตามทุ่งนากว้างไกล คิดถึงภาพที่เคยเดินตามก้นยายไปหาแมง หาจักจั่น  หาจิ้งหรีด ที่ป่านาโคก ป่าโคกนี่แหล่ะคือตลาดแห่งชีวิตของชาวนาชาวไร่ชาวอีสานเพราะที่ป่าโคกมีอาหารสารพัด ทั้งแมลงที่กินได้ เห็ด ผักหวาน ผักป่า และที่สำคัญชาวบ้านก็จะมาตัดไม้ที่พอเหมาะไปใช้สอยได้ด้วย

“นี่ๆมาดูนี่ นี่คือขวยจี่หล่อนะ(ขวยคือดินที่พูนขึ้นมากองกันอยู่เกิดจากการที่สัตว์บางชนิดขุดขึ้นมากองกันไว้ บ่งบอกว่าเป็นสัตว์ชนิดไหนทำไว้  ...ส่วนจี่หล่อ คือ จี้โป่ม หรือจิ้งหรีดตัวใหญ่ๆ  ผมจะอธิบายยังไงดีนะ จี้โป่มก็คือจิ้งหรีด จิ้งหรีดก็คือจี้โป่ม ละไว้ในฐานที่เข้าใจนะครับ คนแถวๆทางภาคอีสานจะรู้จักครับ เฮ้อ!...

“นี่ๆมาดูนี่มะ เห็นไหมนี่มันขึ้นขวยแล้วตัวใหญ่แน่ๆเลย”ยายบอกนั่งยองๆ เอาผ้าถุงเคียนไปรอบเอว แล้วเอาเสียมขนาดฝ่ามือยาย ขุดลงไปทีละน้อยๆ

“จี่หล่อมันมีสองรูนะรู้ไหมหำน้อย”

“ครับยาย”ผมตอบ ดูยายสาธิตวิธีการขุด

“เราต้องขุดลึกแค่ไหนยาย”

“ไม่ลึกเท่าไหร่หรอก ไอ้พวกนี้ตัวใหญ่ๆทั้งนั้น ถ้าเห็นรูจำไว้นะ มันจะโผล่หัวออกมาเรารีบเอานิ้วแหย่เข้าไปจับมันออกจากรูเลย นั่นแหล่ะง่ายสุดแล้ว”

“ครับยาย”ผมตอบ  ดูวิธีการขุดจี่หล่อของยาย สักพักเข้าใจและรู้แล้วว่าจี่หล่อมีรูจริงกับรูหลอก       รูจริงของมันจะลึกคดเคี้ยว รูหลอกจะเล็กๆ มีเศษหญ้าหลอกเราให้ขุดดินฝั่งอีกทาง ผมนั่งดูจนเข้าใจและเริ่มต้นขุดขวยจี่หล่อไปเรื่อยๆ

“ได้แล้วยาย ได้แล้วๆ”ผมดีใจมาก มันเป็นจิ้งหรีดตัวแรกที่ผมขุดเองกับมือ ผมเอานิ้วโป้งกับนิ้วชี้จับมันแรงๆชูให้ยายดู

“เก่งๆหำน้อยของยาย เก่งๆ เอาอีกๆ”ยายว่า ปากแดงเยิ้มไปด้วยน้ำหมากเหมือนยายกินเป็ดมาทั้งตัว ยายกับผมก็ขุดไปเรื่อยๆ

“ยายผมเห็นอีกรูแล้ว มีหนวดโผล่มาล่อด้วยยาย” ผมมองมันช้าๆหนวดมันยาวออกมาเหนือปากรู ผมย่องไปช้าๆ คิดในใจว่า ได้ตัวนี้เยี่ยมเลย ไม่ต้องออกแรงขุดให้เสียแรง ดูสิออกมาชูหนวดหลอกล่อเราด้วย ผมย่องไปอีกด้านคิดว่ายังไงมันก็ไม่เห็น

ผมเอานิ้วโป้งกับนิ้วชี้ห่อเป็นตัวยู ย่องเข้าไป ย่องเข้าไป ย่องเข้าไปใกล้ๆ คุกเข่าลงและโน้มตัวเอาศอกแนบกับดิน หนวดมันยังชูส่ายไปส่ายมาเหมือนเรดาหาทิศทาง ทันทีทันใด ผมเอามือตะปบที่หนวดมัน มันหลุดหลบเข้ารู ผมไม่รอช้าเอานิ้วแหย่เข้าไปในรู

“เอ้อะ!!!!!!!! ผมร้องลั่นทุ่งสุดดิ้นขาดใจเมื่อจิ้งหรีดตัวที่ว่ากัดที่นิ้วผม

“ยายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย  จิ้งหรีดกัดผม โอ้ยๆๆๆๆยายๆๆ ยายมันกัดผม”ผมตระโกนลั่นทุ่งอีกหลายรอบเรียกหายายลั่นทุ่งนา สิ่งที่ติดนิ้วขึ้นมา จิ้งหรีดตัวนั้นยาวมากสีส้มแดงเป็นไฟ มีขาเป็นร้อยห้อยติดนิ้ว

“ยายจิ้งหรีดกัดผมๆๆ”

 

รถแล่นไปบนถนน ผมนั่งคิดแล้วขำถึงเรื่องราวระหว่างผมกับยายเสมอ ข่าวตะขาบกัดผมจนต้องนอนหยอดข้าวต้มดังไปทั่วหมู่บ้าน ผมถูกจิ้งหรีดมีขาเป็นร้อยกัด ยายคอยนั่งเช็ดตัวให้เพราะผมอาการแย่หน่อย ตาพูดข้างๆผมตลอดเลยว่า ยายเสียใจมากที่ปล่อยให้ตะขาบกัดหลาน ยายจะเสียใจแค่ไหนก็ตาม ผมไม่ได้ยินเสียงตาว่ายายสักคำ ตากลับบอกยายและคอยปลอบยายตลอดเวลามันดังก้องอยู่ข้างหูผม

“หลานโดนกัดไม่เป็นไรก็ดีแล้ว แกจะโทษตัวเองทำไมยายจันทร์ หลานจะได้มีบทเรียนไงว่า ต่อไปจะเอานิ้วแหย่รูไหนต้องดูก่อนว่าในรูคือจิ้งหรีด! ตะขาบ! หรือหอยมีขน...”

 

ในป่าโคกมักมีเรื่องราวมากมายให้ผมจดจำพอนึกถึงทีไรก็อดหัวเราะไม่ได้ ผมเดินตามยายไปตลาดแห่งชีวิตหรือป่าโคกอีกครั้ง หลายคนในยุคนั้นถ้าเห็นแม่เฒ่ากับหลานเดินหาปูหาปลาตามคันนานั่นอาจจะเป็นผมก็ได้

“โกรธยายไหมที่โดนจิ้งหรีดร้อยขากัด”ยายว่าน้ำเสียงสลด

“ไม่โกรธเลยครับยาย  ผมจะจำเอาไว้ว่า บางรูไม่ควรเข้าไปยุ่งกับมัน รูไหนที่ดูแล้วปากทางเข้ามันลื่นๆเงาๆอย่าได้เอานิ้วแหย่เด็ดขาด และรูไหนที่มีขวยขึ้นปิดปากรูนั่นคือจิ้งหรีด ยายครับตอนผมนอนเจ็บอยู่ ผมได้ยินเสียงตาพูดกับยายหลายรอบจะถามไม่ได้ถามสักทีครับ”ผมว่า และถามยายในสิ่งที่อยากรู้

“ถามอะไรเรอะ เองไม่โกรธยายจริงนะ”

“ไม่โกรธยายเลยครับ”

“แล้วเองจะถามอะไรละ”ยายว่านำหน้า ผมเดินตามหลัง

“อยากรู้ครับที่ตาบอกยายว่า ต่อไปจะเอานิ้วแหย่รูไหนต้องดูก่อนว่าในรูคือจิ้งหรีด! ตะขาบ! หรือหอยมีขน...ไงครับ”ผมว่า ยายหยุดหันมามองงงๆ

“แล้วตรงไหนที่เองจะถาม”

“หอยมีขน คือ อะไรครับ ถ้าเราจะแหย่แล้วต้องคิดก่อน คืออะไร”

“ทะลึ่งไหมละไอ้หำน้อย”ยายว่ายิ้มๆ

“อะไรคือทะลึ่งละยาย”ผมถาม

“หอยมีขน!.. มันเดินได้ เยิ้มได้ หดได้ บีบได้ เอานิ้วแหย่ได้และเอานิ้วออกได้ ลิ้นเลียก็ได้ ดูดก้ได้ ขายได้ ไม่ขายก็ได้ มันคือของวิเศษ”ยายอธิบาย

“โอ้โหยายมันวิเศษแบบนั้นเลยเหรอ ผมอยากเห็นแล้วสิยาย จะไปหาดูได้ที่ไหนครับยาย”ผมถามยายเดินนำหน้าหัวเราะคิกๆๆ

“ตอนนี้เองยังดูไม่ได้ หอยมีขนหรือหอยบางชนิดต้องรอโตก่อนค่อยไปหาดูเอาเอง”ยายบอก

“แต่ผมอยากรู้นี่นา”

“ตอนนี้ไม่ใช่หน้าของมัน มันไม่มาเดินเล่นแถวนี้หรอก มันอยู่ในที่ลึกลับ คนโตๆเขาจะหาเจอ แต่เด็กคงหายากมากต้องโตก่อน”ยายบอก

“หน้าตามันเป็นยังไงครับยาย ผมอยากเห็น! ผมอยากเห็น! ยายพาผมไปหาหน่อยนะ ไอ้หอยมีขนนี่”ผมคะยั้นคะยอ วิ่งไปเกาะที่แขนยาย

“ไอ้เด็กบ้า ยายบอกแล้วไงว่า ต้องโตกว่านี้ก่อน ไอ้หอยนี่มันลึกลับมาก มันไม่ออกมาโชว์ตัวง่ายๆหรอก”ยายอธิบายทำน้ำเสียงลึกลับ หันซ้ายหันขวา

“ยายเคยเห็นไหมครับ หอยมีขน”ผมว่า พูดเสียงกระซิบกระซาบกลัวใครได้ยิน

“เคยสิ เห็นทุกวันแหล่ะตอนอาบน้ำนะ มันจะออกมาให้ยายเห็นประจำๆ แต่เด็กๆมันจะไม่มาให้เห็นหรอก รู้ไหมว่าหอยมีขน ถ้ามันออกมานะมันจะกินตับเด็กเป็นอาหาร”ยายว่าเสียงตื่นเต้น

“เหรอครับ ว้าแย่จัง งั้นรอผมโตก่อนใช่ไหมถึงจะเห็นไอ้หอยมีขนที่ยายว่า”ผมทำหน้าเซ็ง

“ใช่ๆ รอโตก่อนนะค่อยไปหาดูเอาเองนะ เดี๋ยวเองก็หาเจอ พอเจอแล้วเดี๋ยวก็อยากดูดอยากเลียเองแหล่ะ”ยายบอก

“หอยมีขนนี่เขาเอามาทำไงกินครับยาย”ผมสงสัยมากๆแล้วสิ

“มันมีวิธีกินหลายอย่างโตมาเอ็งจะเข้าใจเอง”ยายบอกเราเดินผ่านชาวบ้านสี่ห้าคนที่กำลังนั่งทำงานอยู่แถวนั้น

“งั้นวันไหนที่ผมเจอหอยมีขนผมจะกลับมาบอกยายนะ อยากรู้เหมือนกันไอ้หอยมีขนนี่มันจะอร่อยแค่ไหน แบบนี้ต้องรีบโต ผมจะได้ชิมเร็วๆ”

“ยายครับแล้วแบบนี้ ตาเคยกินไหมครับหอยมีขน”ผมถามเสียงดังลั่นทุ่งขณะที่ยายเดินห่างออกไป ยายชะงักหันซ้ายหันขวา เห็นชาวบ้านยิ้มๆให้แก

“ตาเอ็งกินมัน ดูดมันทุกวันจนเยิ้มเหี่ยวแห้งหมดแล้วไอ้หอยมีขนนะ”“

 

 

ผมมักจะสนุกสนานใช้ชีวิตวัยเด็กกับยายและถูกตาพร่ำสอนเรื่องราวของการใช้ชีวิตในท้องไร่ท้องนา ตามประสาคนป่าคนทุ่ง มันคือวิถีชีวิตของ “ลูกอีสาน” ถึงจะเดินทางไปอยู่ใต้สุด เหนือสุดหรืออีกขอบฝั่งของโลกจะมุมไหนๆเลือดในกายก็เป็นอีสานตลอดยี่สิบชั่วโมง การใช้ชีวิตมักเป็นแง่เงาของเราเสมอและมันจะบ่งบอกรากเหง้าว่าพื้นเพเรามาจากไหน ผมไม่เคยอายใครและข่มใครว่าเติบโตมาจากท้องไร่เทือกสวนไร่นา

ผมกลับมาบ้านในขณะมีอายุ 36 ปี จากยายไปอยู่ภาคใต้ตอนบนตั้งแต่อายุยี่สิบต้นๆและลงไปอยู่ใต้สุดนราธิวาสตอนอายุสามสิบใช้ชีวิตเป็นรั้วของชาติเสียนาน กลับมาบ้านคำแรกที่ยายถามตอนเห็นหน้า “กลับมาบ้านถูกอยู่เหรอ” คำถามแบบนี้ไม่ได้ทำให้เราน้อยใจ แต่คนถามกับมีน้ำใสๆไหลออกมาจากขอบตา มันเป็นธรรมดาสามัญของความผูกพัน

“ผมกลับมาแล้วยาย ยายสบายดีไหม”ผมกอดยายในอ้อมแขน วันนี้ยายแก่ไปเยอะ ทุกอย่างเปลี่ยนไป แต่ปากยายยังแดงเราะเคี้ยวหมากฉ่ำไปหมด

“ยายแก่ไปเยอะนะ”ผมว่า มองหน้ายายยิ้มๆ

“แก่ซิไม่ใช่อิฐใช่ปูนจะได้อยู่ยงคงกะพัน”นั่นโดนไปอีกดอกละ

“ดูสิหน้ายายตีนกาเพี้ยบเลยนะ”ผมแซว

“รุ่นนี้เขาเรียกรุ่นเปลือกไม้แล้ว จะอยู่นานอีกกี่ปีก็ไม่รู้”ยายว่าเบาๆ

“คนอื่นไปไหนกันหมดแล้วยาย ยายแสง ยายลี ยายแก้ว ยายตู่”ผมถามหาเพื่อนๆแกที่ผมเคยไปดำนาด้วย เที่ยวเล่นตอนไปติดจักจั่น หาจิ้งหรีดกัน

“ไปหมดแล้วกลับบ้านเก่า”ยายตอบ

“โอ้ กลับยังไงละยายซื้อตั๋วกลับไปรถไฟเรอะ”ผมแซวๆ

“ซท้อตั๋วมั้ง แกอยากไปไหมละ เดี๋ยวยายไปหาตั๋วรถไฟผีให้”

“ฮึ! เอาเลยๆ ผมยังอยากใช้ชีวิตอีกนานๆแล้วยายละ ซื้อตั๋วยังละ”ผมว่า

“ยายว่าถ้ามึงจะมากวนยายแบบนี้ มึงไปโดนยิงตายที่ภาคใต้ดีกว่านะ”

สิ้นเสียงยายเราก็หัวเราะขำกันกลิ้ง

 

คืนนั้นผมไปนอนพักกับยาย เรานอนคุยกัน ฟ้ากระจ่างดาว ยายจันทร์เป็นแม่ของแม่ผมและเป็นแม่ของป้าๆอีกหลายคน และแกยังมีผัวเป็นตาผมด้วย อื้มครับก็ธรรมดาคนจะมีผัวไม่มีผัวเรื่องของเขา แต่นี่แกมีผัวคือตาของผม  และผมก็บอกยายไปด้วยว่า “หอยมีขนผมตามหาเจอนานแล้วนะยาย กินไปแล้วหลายหอยเสียด้วยสิ”

หลังจากที่ตาเสียไปสักประมาณ 15 ปีที่ผ่านมายายจันทร์แกก็ใช้ชีวิตของแกไปเรื่อย ลูกเต้าก็มาเยี่ยมแกบ้าง ตามประสาคนบ้านนอกคอกนา ยายก็คนจนธรรมดาๆครับ ยายจันทร์มีที่ทางไม่เยอะเท่าไหร่พอได้ทำกินให้คนอื่นเช่าทำนาบ้าง เพาะปลูกผักตามฤดูกาลบ้าง ผมเคยถามยายว่า “ยายเราเป็นชาวนาเราจะรวยไหม”

“ชาวนาไม่รวยหรอกแต่ไม่อดตาย เรามีข้าวกิน มีน้ำใช้ มีกุ้งหอยปูปลาในท้องไร่ท้องนา มีผักมีพืชเลี้ยงปากท้องกลัวอะไร” มันเป็นคำตอบของยายจริงๆ

“ปีนี้ยายได้ข้าวเยอะไหมครับ”ผมถามยาย

“หกพันกระสอบเอง ได้น้อยกว่าปีก่อนๆเกือบสามเท่า”ยายตอบผมหันหน้ามามองยิ้มๆ

“ยายยังจนอยู่ไหม”ผมถามแหงนหน้ามองฟ้า

“ก็ยังจนเหมือนเดิม คนอื่นไม่เคยมาหลอกยายได้หรอก นอกจากลูกหลาน ฮาๆๆๆ ทำไมไม่รู้นะยายก็จนแบบนี้อายุจะเก้าสิบแล้วก็ยังถูกลูกหลานหลอกอยู่ได้”ยายบ่น

“ยายจะทำไงต่อไป ถ้ายายจนอยู่แบบนี้”ผมถาม

“ก็อยู่ไปแบบนี้ เองรู้ไหมไหที่อยู่ใต้เตียงนอนยาย ยายยังฝังเอาไว้อยู่นะ ฮาๆๆๆๆ ไม่มีใครรู้หรอกนอกจากเอง จำได้ไหมที่ยายเล่าให้เองฟังเมื่อก่อนไงว่า ยายเก็บเงินไว้ในไห”ยายเล่าเบาๆบอกกับผม

“ครับจำได้ๆ”

“มันยังอยู่เหมือนเดิมเลย เงินเต็มทุกไห ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร”ยายบอก

“ได้กี่ไหแล้วยาย ไม่ใช่สองสามไหเองเรอะ”

“ไม่กี่ไหหรอก คนจนๆจะหาเงินได้จากไหนเล่า”ยายว่า

“กี่ไหแล้วยาย”ผมถามไม่ได้สนใจว่าแกจะตอบไม่ตอบ

“เกือบสองร้อยไหแล้วมั้ง”ยายตอบ ผมหยุดคิดหันขวับมามองยาย

“สองร้อยไหเหรอครับ!

“อื้ม! เกินด้วยมั้ง สามร้อยหรือเปล่าก็ไม่รู้”ยายตอบ

“ที่จริงน่าจะได้สักสามสี่ร้อยไหได้นะ แต่ยายคนจนๆไม่มีปัญญาเก็บหรอกเงินได้เท่านี้ก็พอแล้วเนาะ”ยายว่า ผมอึ้ง

“นี่ยายไม่จนหรอกแบบนี้ คนที่ว่ารวยๆยังมีน้อยกว่ายายอีก ผมถามจริงเถอะ ตอนนี้ยายมีที่ดินกี่ไร่แล้วละ ที่บอกจนๆนี่ถึงไหมครับสามสิบไร่นา”ผมถามยายนับนิ้ว

“ถ้าจำไม่ผิดสามพันเจ็ดหรือสามพันแปดได้มั้ง”ยายตอบ

“อะไรคือสามพันเจ็ดหรือสามพันแปดครับยาย”

“ที่นาของยาย”

 

ในความเป็นคนจน สามัญของผมกับยาย ยายจันทร์ทำนาได้ข้าวปีละหกพันกระสอบยายบอกว่าปีก่อนๆได้ข้าวมากเป็นสามถึงสี่เท่า แกบอกว่าแกจนแต่มีที่นาเป็นพันๆไร่ ผมมองฟ้าเห็นฟ้า มองดาวเห็นดาว

“มีแต่คนบอกว่ายายรวย”ยายว่า

“แต่เขาไม่รู้หรอกว่ากว่าจะรวยต้องผ่านอะไรมาบ้าง ตั้งแต่ยายเป็นสาวจนวันนี้ยายก็กินข้าวเท่าที่เคยกิน ไปวัดเท่าที่เคยไป ไปนาเหมือนที่เคยไป หาอาหารหากุ้งหอยปูปลามากินเท่าที่จะพอเพียง ขายข้าวได้ก็เก็บเงินใส่ไหไว้บ้าง เอาไปฝากเข้าธนาคารบ้าง ใครเดือดร้อนมาก็ซื้อที่นาเขา ก็ทำแบบนี้มาตลอด ไม่ได้เคยเดือดร้อนอะไรเลย ไม่รู้หรอกว่ารวยคืออะไร ซื้อนาหนึ่งไร่ปีนี้พอทำนาข้าวก็เพิ่ม ขายไปก้ได้เงินเพิ่ม ปีต่อมาเขาขายอีกสิบยี่สิบไร่ก็ซื้ออีก พอทำนาเงินก็เพิ่มขึ้น ได้เงิน ได้ข้าว ได้ที่ดินสะสมมาเรื่อย เต็มไปหมด จำไม่ได้แล้วว่าเยอะแค่ไหน”นั่นคือคำตอบของยายกับการใช้ชีวิต

 

ยายจันทร์จะตื่นมาแต่เช้าตีสามตีสี่อย่างที่แกเคยตื่น ผมเคยถามยาย “ทำไมยายจะตื่นมาอะไรแต่ก่อนไก่โห่เหนื่อยไหมตื่นแบบนี้มาตั้งแต่ผมเกิด”

“เรื่องของยาย ไม่ได้ไปเหยียบตีนใครนี่หว่า” นั่นคือคำตอบของแก

เรายืนใส่บาตรด้วยกัน นานแค่ไหนแล้วที่ผมไม่ได้กลับมายืนเคียงข้างยายจันทร์ของผม

“ยายพระสงฆ์ตอนนี้เยอะไหมที่วัดอะครับ”ผมถาม

“ก็เยอะอยู่นะ หกเจ็ดรูปได้มั้ง ทำไมเรอะแกจะทำอะไรกับพระสงฆ์องค์เจ้าละ”ยายถามยิ้มๆ

“บ้ายาย ผมจะทำอะไรแค่ถามดูเฉยๆ”

“ผียังหลอกพระเณรในวัดเหมือนสมัยผมไหมยาย”ผมถาม เพราะตอนเด็กเคยโดนผีหลอกมาแล้วฮาๆ

“ผีไม่หลอกแล้วเดี๋ยวนี้ แต่มีอยู่ๆ วันก่อนพระถูกหลอกหัวโก๋นหมดนะ ไม่นานมานี้”ยายบอกนึกทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อไม่นานให้ฟัง

“ฟังๆ ยายเล่าเลยๆ ผีหลอกใครแล้วเป็นไงบ้าง”ผมตื่นเต้น

“เดือนที่แล้วพระเณรถูกหลอกกันทั้งวัดเลย ดังไปทั้งหมู่บ้าน”ยายเริ่มต้นเรื่อง

“คืนนั้นฝนตกหนักมาก ยายก็อยู่บนบ้านนี่แหล่ะ เองเห็นไหมจากวัดมานี่นิดเดียวเอว”ยายว่าชี้ไปที่ทางเข้าวัด

“เห็นกุฎินั่นไหม”

“ครับยาย”

“คืนนั้นยายนั่งเคี้ยวหมากหน้าบ้าน สองทุ่มได้มั้งลมแรง เมฆหนา ห่าฝนลูกใหญ่พัดวียอดไม้ไปมาไม่ยอมหยุด ลูกเห็บก็ตก...

“ยายได้ยินเสียงดังมาจากกุฎิลั่นวัดแข่งเสียงฝนเลย”ยายเล่าตื่นเต้นมากๆ

“ใครทำอะไรหรือยายครับ”ผมถามลุ้นเรื่องราวที่เกิดขึ้น

“พระวิ่งมาที่บ้านเรา กระโดดขึ้นไปบนบ้านเลยละ มาทีละรูปๆ เต็มชานบ้านไปหมด”

“คงเฮี้ยนน่าดู”ผมว่าตื่นเต้นด้วย

“นั่งสั่นกันระนาวเลย สักพักยายก็ถามพวกพระเณรว่าโดนอะไรมา เพราะแต่ละคนจีบงจีวรหลุดหลุ่ยหมด”

“สงสัยผีเฮี้ยนอย่างแรง วิ่งกันตาหลุด!ผมคิดแบบนั้น

“แล้วพระเณรเจออะไรมาละยาย”ผมถามตื่นเต้นและอยากรู้ว่าหน้าตาของผีเป็นยังไง

“พระหำๆครับ พระหำครับยาย พระหำ”เณรน้อยรูปหนึ่งบอกยาย ยายก็ตื่นเต้นด้วยลุ้นระทึก

“พระหำเป็นอะไร”ยายทำท่าเลียนน้ำเสียงเหมือนเณร แววตาตื่นตระหนก

“พระหำเป็นอะไร”ยายทำเสียงล้อเลียนอีกครั้ง

“พระหำเป็นกระเทยครับยาย แกแก้ผ้าวิ่งเข้ามาในห้องพวกเรา ลงกลอนแล้วปล้ำพวกเราในห้องครับยาย......

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว