คืนชีพ
0
ตอน
6.32K
เข้าชม
1.37K
ถูกใจ
0
ความคิดเห็น
0
เพิ่มลงคลัง

 

คืนชีพ

 

เวลาราวเที่ยงคืน...

 

ทรงพลตื่นขึ้นพร้อมลมหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะพบอะไรบางอย่างห่อหุ้มทั้งใบหน้าและร่างของเขาจนมิด  ชายหนุ่มตะเกียกตะกายหาทางออก พลางหายใจถี่ๆด้วยความแตกตื่นว่าอากาศจะหมด กระนั้นแขนขาของเขากลับขยับได้ไม่มากนักในพื้นที่อันจำกัดนั้น สัญชาตญาณการเอาตัวรอดส่งผลให้สารอะดรีนาลีน[1]พุ่งพล่านไปทั่วร่างของเขาจนหัวใจสูบฉีดเลือดอย่างเร็วและแรง พร้อมกับพลกำลังของเขาที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

ระหว่างที่เขาดิ้นไปมาอย่างคลุ้มคลั่งนั้นเอง ร่างของเขาก็พลันร่วงลงมาจากความสูงระดับหนึ่ง ไหล่ของเขากระแทกกับพื้นอันเย็นเฉียบอย่างจังจนเขาร้องโอดครวญและกลิ้งไปมาอย่างเจ็บปวด

“ปล่อยกู!” เขาตะโกน “จับกูมาทำไม?”

ไม่มีคำตอบกลับมา ทรงพลถูกทิ้งให้อยู่ภายในพันธนาการนั้นต่อไปอย่างเดียวดาย

“มีด...มีด...”

ชายหนุ่มพยายามเอื้อมมือที่สั่นเทาไปค้นในกระเป๋ากางเกงเพื่อหามีดพกของตัวเองด้วยความหวัง แต่ก็ต้องแปลกใจ เมื่อรู้ว่ากระเป๋ากางเกงทั้งสองข้างนั้นกลับว่างเปล่า

“บ้าเอ๊ย!” เขาสบถ “โดนปล้นแหงๆเลย”

จากนั้น ทรงพลก็เริ่มเหงื่อแตกด้วยความกลัว ในขณะที่สมองเร่งประมวลความคิดหาทางรอด ทุกวินาทีที่ผ่านอาจเป็นช่วงเวลาตัดสินความเป็นความตาย

“จริงสิ...”

ทันใดนั้น ทรงพลก็เคลื่อนมือที่ยังสั่นเทานั้นขึ้นไปสัมผัสติ่งหู ก่อนจะดึงเอาต่างหูรูปวงตะขอเหล็กออกมาด้วยความโล่งใจ แล้วใช้มันเจาะรูทะลุแผ่นห่อหุ้มตรงหน้าอย่างไม่รอช้า

ไม่นาน แสงสว่างก็ส่องลอดผ่านเข้ามาทีละรูสองรูพร้อมความหวังและเมื่อรูมีขนาดใหญ่พอให้นิ้วลอดได้ เขาก็ออกแรงฉีกแผ่นห่อหุ้มจนขาดกว้างออก พลางยื่นปากและจมูกออกมาสูดอากาศภายนอกเหมือนกับคนที่เพิ่งจะพ้นเหนือน้ำ ก่อนจะพบว่าสิ่งที่ห่อหุ้มตัวเขาไว้ก็คือถุงศพพลาสติกสีดำนั่นเอง

เมื่อพาตัวเองออกมาจากถุงศพได้แล้ว ทรงพลก็พบตัวเองอยู่ในสภาพเท้าเปล่า ไร้ซึ่งเครื่องประดับ เสื้อยืดของเขาถูกตัดขาดกลางอก และปรากฏรอยแดง ๒ รอยบริเวณยอดอกและใต้ราวนมซ้าย และทุกครั้งที่หน้าอกของเขาขยับ มันจะเจ็บแปลบหนักกว่ารอยฟกช้ำที่หัวไหล่ของเขาเสียอีก ใบหน้าผิวคล้ำพร้อมหนวดเคราเริ่มถอดสีด้วยความกังวล

“อะไรวะเนี่ย...?” เขาพึมพำ ขณะมองดูร่องรอยเหล่านั้นด้วยความฉงน

จากนั้น ทรงพลก็พินิจมองไปรอบตัว ด้านข้างของเขามีเตียงเหล็กเปล่าที่เขาเพิ่งกลิ้งตกลงมา ในขณะที่โดยรอบเป็นห้องสี่เหลี่ยมผนังสีขาวซึ่งมีเตียงเหล็กที่ใช้วางถุงศพอีก ๔ เตียง เรียงรายกันอย่างไม่เป็นระเบียบ อุณหภูมิภายในห้องนั้นเย็นเฉียบ พร้อมกับกลิ่นเหม็นอับที่คละคลุ้งจนเขาเริ่มคลื่นไส้ ด้านหลังของเขามีประตูติดกระจกสี่เหลี่ยมใส แต่เมื่อเขาพยายามจะเปิดมันออก ก็พบว่ามันล็อก แม้จะพยายามทุบประตูและตะโกนดังเท่าไร ก็ไม่มีใครมาช่วยเขา

“บ้าฉิบ!” เขาสบถอีกครั้ง พยายามใช้ความโกรธข่มความกลัว ในขณะที่ตัวเองกำลังเดินไปรอบๆเพื่อค้นหาทางออก แต่ผนังทั้ง ๔ ด้านเป็นกำแพงหนาทึบ มีเพียงช่องตะแกรงระบายลมซึ่งอยู่ชิดติดเพดาน แต่มันก็มีขนาดเล็กเกินกว่าที่ตัวเขาจะลอดออกไปได้ ถึงตอนนี้ ห้องนี้ได้เป็นห้องปิดตายที่สมบูรณ์แบบแล้ว

“ไม่จริงน่า...” เขาเริ่มพึมพำกับตัวเองด้วยอาการปากสั่น พลางเอาแขนโอบร่างกายที่กำลังสั่นเทิ้มด้วยความหนาวเหน็บ สายตาทอดมองผ่านกรอบกระจกตรงประตู ซึ่งปรากฏระเบียงทางเดินสีขาวที่ทอดยาวไปยังประตูอีกบานหนึ่ง ใกล้ๆประตูนั้น มีโต๊ะทำงานไม้พร้อมโคมไฟตั้งโต๊ะ ในขณะที่ตรงผนังมีกระดานขาวที่ตีตารางด้วยหมึกสีแดง แม้จะไกลเกินกว่าจะอ่านได้ แต่ทรงพลก็อนุมานได้น่าจะเป็นรายชื่อคน...หรือคนตาย...

“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่วะ...?” ทรงพลยังถามตัวเองด้วยความสงสัย แต่ทันใดนั้น เขาก็สังเกตเห็นรอยแผลฟกช้ำบนหน้าผากตัวเองจากเงาสะท้อนรางๆบนกระจก เมื่อลองลูบรอยนั่นดู ศีรษะของเขาก็ปวดระบมในทันที

จากนั้น เขาก็นั่งพักเอาแรง พร้อมสู้กับความหนาวเย็นภายในห้อง ในใจ พยายามนึกถึงสิ่งสุดท้ายที่เขาจำได้ในช่วงเวลาก่อนหน้านี้

 

***

 

เวลา ๒๑.๐๐ น. (ราว ๓ ชั่วโมงก่อน)...

 

รถขับเคลื่อนสี่ล้อทรงสูงที่ไม่มีป้ายทะเบียนทะยานฝ่าเข้ามาในแนวพงหญ้าที่มืดทึบและเปล่าเปลี่ยว ชายสองคนเปิดประตูกระโดดลงจากรถอย่างเร่งรีบ ก่อนจะอ้อมไปยังบริเวณท้ายรถ ด้วยใบหน้าอันชุ่มเหงื่อ

“ไอ้จ๊อบ!” ทรงพลตะโกนสั่งเพื่อนร่วมทีม “มึงไปเอารถอีกคันมา เร็ว!”

ปิติ หรือ จ๊อบ ผงกหัวรับคำสั่ง ก่อนจะปลีกตัวออกไปยังใต้ต้นไม้อีกต้นห่างอยู่ออกไป ๓-๔ เมตร ซึ่งมีรถเก๋งสีดำจอดรออยู่ ในขณะที่ทรงพลกำลังง่วนกับการขนถุงบรรจุธนบัตรจำนวน ๖ ถุงใหญ่ลงจากรถ มูลค่าทั้งหมดไม่ต่ำกว่า ๖๐ ล้านบาท

แม้จะเป็นเพียงการปล้นรถขนเงินธนาคารครั้งแรก แต่ผลกลับดีเกินคาด ทรงพลและพวกอีก ๒ คนถืออาวุธสงครามครบมือแล้วเข้าไปขู่หน่วยคุ้มกัน แล้วใช้เวลาไม่กี่วินาทีเข้าไปขนถุงเงินจากในตัวรถเกราะกันกระสุน

แต่แล้ว ในเสี้ยววินาทีที่พวกโจรเผลอ พนักงานประจำรถขนเงินคนหนึ่งก็ชักปืนออกมายิงแสกหน้าใส่ลูกทีมคนหนึ่งของทรงพล ตามมาด้วยการเปิดฉากยิงใส่กันสนั่นเกือบครึ่งนาที สุดท้าย พวกหน่วยคุ้มกันตายเรียบ เหลือเพียงทรงพลและปิติที่เชิดเงินหนีไปได้อย่างลอยนวล

ต่อมาไม่นาน ปิติก็ขับรถเก๋งสีดำอีกคันมาจอดเทียบ พลางเปิดฝากระโปรงหลังอย่างรู้หน้าที่ ก่อนจะไปช่วยทรงพลขนถุงเงินโยนเข้าใส่ท้ายรถอย่างรีบเร่ง

“เดี๋ยวกูขับเอง” ทรงพลบอกปิติ หลังปิดกระโปรงท้ายรถ “ไปกันได้แล้ว”

หลังเปลี่ยนยานพาหนะเสร็จ ทรงพลก็ขับรถลัดเลาะพงหญ้าอันมืดและรกทึบอย่างชำนาญ โดยไม่จำเป็นต้องเปิดไฟหน้ารถ จนในที่สุด รถเก๋งก็มาโผล่ที่ขอบถนนใหญ่ในแถบชานเมือง ปิติเปล่งเสียงดีใจ พร้อมกับชูมือขึ้นด้วยความโล่งอก เส้นทางหนีของพวกเขารออยู่ตรงหน้าแล้ว

“เจ๋งไปเลย พี่พล” ปิติพูด “เรารอดแล้ว”

ทรงพลยิ้มที่มุมปากอย่างพอใจ ขณะขับรถไปตามเส้นทางที่ตรงยาวสุดลูกหูลูกตา จากถนนเส้นนี้มีทางแยกไปจังหวัดอื่นกว่าสิบเส้นทาง ซึ่งพวกตำรวจคงตามกลิ่นพวกเขาได้ยากโดยเฉพาะหลังจากที่พวกเขาเปลี่ยนยานพาหนะแล้ว กระนั้น การจะขนอาวุธสงครามทั้งหมดติดรถเก๋งไปด้วยก็ดูจะสะดุดตาเกินไป ทรงพลจึงต้องจำใจทิ้งพวกมันไว้ในรถคันเดิมที่ถูกทิ้งไปและเหน็บแต่ปืนพกมาแค่กระบอกเดียว แม้จะเสียดายอยู่บ้าง แต่ด้วยเงินที่หามาได้ ก็คงทำให้พวกเขาสบายไปทั้งชีวิต จนไม่ต้องออกปล้นอีกเลยก็ได้

“หิวข้าวเหรอ พี่?” ปิติอดถามไม่ได้ เมื่อเห็นมือของทรงพลสั่นเทา ขณะกำพวงมาลัยรถ

“เปล่า” ทรงพลพยายามพูดกลบเกลื่อน พลางแสร้งเอามือเช็ดคราบเหงื่อไคลตามซอกคอ รอยสักรูปงูเห่าดำขดตัวคล้ายเครื่องหมายปรัศนีบนหลังมือขวาดูจะสร้างความขลังให้กับมือปืนมากประสบการณ์ แต่มันไม่ได้ช่วยให้อาการมือสั่นของเขาดีขึ้นเลย

ที่จริงแล้ว ทรงพลมีอาการมือสั่นนั้นมาได้เกือบปีแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นหนัก เวลาที่เขาเครียด หรือ ตื่นเต้น นับเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับมิจฉาชีพอย่างเขา เพราะช่วงหลัง ทุกครั้งที่จับปืนและลั่นไก อาการดังกล่าวจะทำให้กระสุนพลาดเป้าอยู่บ่อยครั้ง จนฝีมือเขาเริ่มตก จนเป็นที่รู้กันในแวดวงซุ้มมือปืน

ไม่กี่เดือนมานี้ หลังทนกับอาการนั้นอยู่นาน เขาจึงตัดสินใจไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษา ก่อนจะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น “อาการสั่นทางกรรมพันธุ์” ซึ่งจะถูกกระตุ้นด้วยอารมณ์ที่แปรปรวน เหมือนกับกรณีของเขา โดยปัจจุบัน ยังไม่มียารักษาให้หายขาด มีเพียงยาบรรเทาอาการไม่ให้เป็นหนักขึ้นเท่านั้น

จากนั้น หลังกินยา อาการสั่นของเขาก็ทุเลาลงบ้าง แต่เมื่อไรก็ตามที่เขาพยายามจะสังหารเป้าหมาย มือเจ้ากรรมก็จะสั่น ทำให้กระบอกปืนไหวจนเขาตั้งศูนย์ยิงไม่ได้ เหยื่อจึงรอดตายหวุดหวิดไปแล้วหลายราย ค่าแรงของเขาตกฮวบในทันใด พร้อมๆกับงานที่เริ่มหดหาย จนเขาต้องรีบคิดหาอาชีพเสริม และได้สบโอกาสมาปล้นรถขนเงินในครั้งนี้

“เอาลูกอมหน่อยมั้ย พี่?” ปิติถามด้วยความเป็นห่วง พลางเอามือซุกกระเป๋ากางเกง เมื่อเห็นว่าอาการสั่นนั้นยังไม่หาย

“ไม่ต้อง!” ทรงพลตะคอกกลบเกลื่อน “กูไม่เป็นไร”

แต่เมื่อไม่สามารถซ่อนอาการได้ ทรงพลจึงหยิบขวดเหล้าทรงเหลี่ยมแบนออกมาจากกระเป๋าเสื้อด้านใน แล้วกระเดือกเหล้าเข้าไป ๒-๓ อึก ที่ผ่านมา แอลกอฮอล์ช่วยผ่อนคลายเขาได้บ้างและทำให้อาการไม่เป็นหนัก แต่หลายครั้ง แพทย์มักไม่แนะนำ เพราะมันจะส่งผลให้ยาออกฤทธิ์มากขึ้น จนเกิดผลข้างเคียง

“จากนี้ จะเอาไงต่อดี พี่? ไอ้ต๋องมันก็ตายไปแล้ว” ปิติพูดถึงเพื่อนร่วมทีมที่ถูกยิงตาย ขณะออกปล้น “ส่วนแบ่งของมัน เราจะแบ่งกันยังไงดี?”

“ไม่ยาก” ทรงพลตอบอย่างง่ายๆ “ไอ้ต๋องเป็นคนของกู มันตาย ส่วนแบ่งก็ตกเป็นของกูสิ”

“อ้าว” ปิติหันหน้ามาพูดกับทรงพลด้วยความแปลกใจ “ไหงงั้นล่ะ พี่? แบบนี้พี่ก็ได้ตั้ง ๗๐ ส่วนผมได้แค่ ๓๐ เท่าเดิมเองสิ”

“มึงอย่าเรื่องมากได้มั้ย? ถ้าไม่มีกู มึงจะมีโอกาสเห็นเงินล้านเหรอ?”

ปิติพูดไม่ออก การแบ่งเปอร์เซนต์ที่ไม่ยุติธรรมทำให้ความเคารพต่อตัวทรงพลพลันหายไปในพริบตา จนทั้งคู่เริ่มมองหน้ากันไม่ติด ดั่งสุภาษิตที่ว่า “ไม่มีสัจจะในหมู่โจร”

“ผมขอสัก ๔๐” ปิติพูดลอยๆขึ้นมา หลังเงียบเสียงไปนาน

“มึงว่าไงนะ?” ทรงพลถามด้วยน้ำเสียงเคืองๆ

“ยังไงๆ วันนี้ ผมก็มาเสี่ยงตายกับพี่ ผมควรได้ค่าเหนื่อยเพิ่มบ้าง” ปิติเริ่มลำเลิก

“ไอ้จ๊อบ! มึงจะเอาอะไรนักหนาวะ? ที่มึงได้ก็เกือบ ๒๐ ล้านแล้วนะเว้ย!”

“ถ้าพี่ไม่ยอม ผมก็จะแฉพี่” ปิติท้าทายอย่างคึกคะนอง

“มึงว่าไงนะ?”

“ถึงผมจะเป็นแค่มือใหม่ แต่ผมรู้ว่าพี่มีชื่อเสียงในซุ้มมือปืนมานานแล้ว ถ้าผมให้เบาะแสกับตำรวจ มีเหรอจะจับพี่ไม่ได้?”

“นี่ มึงขู่กูเหรอ?”

“ก็เออสิวะ!” ปิติกล่าวอย่างผยอง “ตำรวจเขาไม่มาสนตัวเล็กๆอย่างกูหรอก เพราะกูไม่เคยมีประวัติอาชญากรรม ไม่เหมือนมึง ประวัติยาวเป็นหางว่าว แถมเข้าๆออกๆคุกมาตั้งหลาย...”

ปัง!

ทรงพลลั่นไกปืนผ่านใต้รักแร้ซ้ายด้วยอาการบันดาลโทสะ กระสุนเจาะกะโหลกซ้ายด้านบนของปิติ ก่อนจะทะลุกระจกประตูเป็นรู พร้อมกับเศษกะโหลกและเลือดที่สาดกระเซ็นเลอะทั่วบานกระจก ศีรษะของปิติกระแทกไปด้านหลังตามแรงกระสุน ก่อนที่เขาจะล้มฟุบตรงหน้าคอนโซลรถอย่างแน่นิ่ง พร้อมกับเลือดที่ไหลนองเต็มเสื้อผ้าและเบาะรถ

จากนั้น ทรงพลก็เหยียบเบรคในทันที จนหน้าคะมำ มือที่จับกระบอกปืนสั่นสะท้านจากอารมณ์โกรธและกลัวที่ผสมปนเปกัน ใบหน้าของฆาตกรซีดเผือด พร้อมกับเหงื่อที่ผุดเต็มใบหน้า

ที่จริง เขาแค่จะยกปืนขึ้นมาขู่ให้ปิติเงียบเท่านั้น แต่เพราะอาการมือสั่นเดิม ทำให้นิ้วของเขาไปเหนี่ยวไกปืนโดยไม่ตั้งใจ

“กูขอโทษว่ะ ไอ้จ๊อบ” ทรงพลพูดเบาๆ ก่อนจะเอื้อมมืออันสั่นเทานั้นไปเปิดประตูฝั่งผู้โดยสาร แล้วออกแรงผลักร่างของปิติออกไปยังพงหญ้าด้านนอกรถ

จากนั้น เขาก็รีบบึ่งรถหนีไปท่ามกลางความมืดมิดของค่ำคืนนั้น

 

***

 

เสียงล้อเลื่อนจากภายนอกห้องทำให้ทรงพลหันกลับไปมองกระจกตรงประตู ก่อนจะเห็นใครบางคนกำลังปิดประตูจากอีกฝั่ง โดยมีเตียงเข็นและศพในถุงพลาสติกสีดำนอนอยู่

ทรงพลรีบหลบไปข้างๆ โดยพิงหลังชิดติดผนัง เสียงฝีเท้าและเสียงล้อเลื่อนดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ สายตาของเขาจับจ้องไปที่ประตู เพียงแค่มันถูกคลายล็อกเท่านั้น อิสรภาพก็จะเป็นของเขา

          หลังเสียงไขกุญแจดังขึ้น ประตูก็พลันเปิดออก เตียงเหล็กถูกเข็นเข้ามาด้วยชายร่างท้วมในชุดเครื่องแบบสีฟ้า ทรงพลไม่รอช้ารีบกระโจนเข้าไปรัดคอชายคนนั้นโดยไม่ทันตั้งตัว จนเขาเบิกนัยน์ตากว้างด้วยความตกใจสุดขีด

“มึงขังกูไว้ทำไม?” ทรงพลถาม แต่เมื่อเห็นชายคนนั้นก็ได้แต่ไอคอกแคก เขาจึงคลายแขนที่โอบรัดลงเล็กน้อย

“ย...อย่า...ฆ่าผมเลย” ชายคนนั้นพูด พลางพนมมือไหว้ “อยากได้อะไร เดี๋ยวผมกรวดน้ำไปให้”

“เฮ้ย! มึงจะบ้าเหรอ กูยังไม่ตาย”

แต่ชายคนนั้นเอาแต่ส่ายหัวไปมา

“ไม่จริงหรอก” เขาบอกทรงพล “ถึงผมเพิ่งมาเฝ้าห้องดับจิตได้ไม่นาน แต่ผมไม่เคยเห็นศพไหนลุกขึ้นได้มาก่อนเลย ไปที่ชอบๆเถอะนะ พี่”

“ก็บอกแล้วไงว่ากูยังไม่ตาย!”

“ไม่ตายได้ไงเล่า?” พนักงานห้องดับจิตหน้าใหม่เถียง “หมอเขาปั๊มหัวใจพี่ตั้งเกือบชั่วโมง แถมช็อตไฟฟ้าหัวใจตั้งหลายรอบ พี่ก็ไม่ฟื้น จนสุดท้าย ก็ประกาศว่าพี่ตายแล้ว เลยให้ผมเข็นศพพี่มาไว้ที่นี่ไงล่ะ”

จากนั้น ทรงพลก็เหลือบมองดูรอยช้ำบนหน้าอกตัวเอง  ที่แท้ มันเป็นรอยกดจากการปั๊มหัวใจและการช็อตไฟฟ้านี่เอง

แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังรู้สึกพิศวงงงงวยกับเรื่องที่เกิดขึ้น เขาตายไปแล้วตอนไหน? นี่เป็นความฝันหรือความจริง? หรือพนักงานคนนี้แค่ปั่นหัวเขาเล่น?

เขาพยายามนึกทบทวนถึงเหตุการณ์ที่ขาดหายไปในสมองของเขา ยิ่งคิด เขาก็ยิ่งปวดหัว แต่มันก็ไม่มีวิธีอื่นอีกแล้ว

 

คราบเลือดยังคงเลอะติดกระจกและคอนโซลหน้ารถ จนทำให้จิตใจของทรงพลยังคงว้าวุ่นกับการฆาตกรรมที่ตัวเองก่อ ความเครียดและความกลัวทำให้อาการมือสั่นนั้นกำเริบหนัก จนเขาแทบจะจับพวงมาลัยรถให้อยู่นิ่งไม่ได้

“โธ่เว้ย!”

เขารีบหยุดรถอย่างหัวเสีย ก่อนจะอัดยาแก้อาการมือสั่นไปอีก ๓ เม็ด แล้วกรอกเหล้าเข้าปากจนหมดขวด พลางโยนขวดทิ้งไปข้างตัว

ระหว่างที่รอให้ยาออกฤทธิ์ไม่นาน มือของเขาก็เริ่มสั่นน้อยลง ในขณะที่ตัวเขาเองก็เริ่มผ่อนคลายอารมณ์ลงได้บ้าง

“หยุดซะที...”

จากนั้น เขาก็รีบเช็ดคราบเลือดในรถด้วยผ้าขี้ริ้วจากท้ายรถ แล้วจึงทิ้งมันลงข้างทางเพื่อทำลายหลักฐาน เมื่อไร้สิ่งกวนใจ เขาก็กลับมาจับพวงมาลัยในมือด้วยความมั่นใจอีกครั้งและออกรถไปพร้อมรอยยิ้มอย่างผู้ชนะ

ตัวเลขบนแผงหน้าปัดความเร็วยังคงสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามความคึกคะนองของคนขับที่เริ่มมึนเมา ในขณะที่สายตาของเขาเริ่มพร่ามัว สติสัมปชัญญะเริ่มขาดหาย และหัวใจที่เริ่มเต้นช้าลงๆไปเรื่อยๆ...

เสียงบีบแตรจากรถคันอื่นทำให้เขาสะดุ้งตื่นจากภวังค์และรีบหักพวงมาลัยรถ เพื่อออกจากเลนที่คร่อมอยู่ แม้จะรู้ตัวว่าดื่มเหล้าไปมาก แต่เขาก็ไม่เคยเมาง่ายขนาดนี้มาก่อน  บางครั้ง เขาสามารถดื่มเหล้าไปยันสว่างโดยที่ไม่ง่วงเลยแม้แต่น้อย

แต่คราวนี้ มันเหมือนกับว่าเขากำลังสูญเสียการควบคุมการทำงานของอวัยวะต่างๆ ราวกับว่าสมองของเขาไม่ยอมสั่งงาน  แม้เขาจะพยายามฝืนลืมตา แต่หนังตามันก็หนักเต็มที  ในใจลึกๆ เขาตระหนักแล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติกำลังเกิดขึ้นกับร่างกายของเขา

“ต้อง...จอด...”

เท้าของเขาที่เหยียบเบรคเริ่มรู้สึกเบาหวิว มือไม้ที่กำพวงมาลัยรถเริ่มอ่อนแรง ภาพถนนตรงหน้าเริ่มเลือนราง ก่อนที่ทุกอย่างจะถูกความมืดกลืนกิน...

โครม! ตึง!

รถยนต์ของทรงพลพุ่งชนต้นไม้ข้างทางอย่างจัง จนกระโปรงหน้ารถบุบบู้บี้และมีควันขาวลอยขึ้นจากในเครื่องยนต์ที่เสียหาย กระจกหน้าและกระจกประตูแตกร้าว โดยที่ภายในปรากฏถุงลมนิรภัยสีขาวที่แฟบลงหลังรองรับการกระแทกจากกะโหลกของทรงพล ซึ่งบัดนี้กำลังนั่งคอพับคาพวงมาลัยรถ พร้อมด้วยเลือดที่ไหลอาบหน้า อย่างแน่นิ่ง...

 

หน่วยกู้ภัยรีบย้ายร่างอันไร้สติของทรงพลบนเปลหามสีส้มไปยังเตียงเข็น ก่อนจะดันเตียงนั้นเข้าไปในห้องฉุกเฉินอย่างรีบร้อน แพทย์และพยาบาลอีก ๓-๔ คนเข้ามาตรวจชีพจรและใช้กรรไกรตัดผ่ากลางเสื้อยืดของเขา พลางติดอุปกรณ์วัดการเต้นของหัวใจอย่างรวดเร็ว

“คลำชีพจรไม่ได้เลยค่ะ หมอ” พยาบาลคนหนึ่งร้องบอกแพทย์ ในขณะที่กราฟคลื่นไฟฟ้าหัวใจเป็นเส้นตรง

“ซีพีอาร์[2]!” แพทย์คนนั้นตะโกนบอก

สิ้นคำสั่งนั้น พนักงานคนหนึ่งก็ขึ้นคร่อมร่างของทรงพล แล้วใช้สันมือที่ประสานกันนั้นกดลงตรงกลางอกอย่างต่อเนื่อง สายน้ำเกลือถูกแทงเข้าเส้นเลือดที่ทั้งสองมือ หน้ากากกับถุงลมทรงรีที่ต่อกับท่อออกซิเจนถูกใช้ครอบปากและจมูกของเขา ในขณะที่แพทย์กำลังใช้ไฟฉายส่องดูรูม่านตาที่แน่นิ่งของเขา

หลังจากหมุนเวียนการกู้ชีวิตไปได้ ๓ รอบ กราฟหัวใจเริ่มแสดงเส้นหยึกหยักไปมาอย่างไม่เป็นจังหวะ แพทย์คนนั้นมองการเปลี่ยนแปลงนั้นด้วยนัยน์ตาเบิกกว้าง ก่อนจะออกคำสั่งใหม่

“เตรียมเครื่องดีฟิบ[3]”

พยาบาลข้างๆบีบเจลสีฟ้าใส่แผ่นโลหะตรงมือจับทั้งสองของเครื่องกระตุ้นหัวใจอย่างรู้หน้าที่ ก่อนจะยื่นมันให้แพทย์โดยพลัน

“๒๐๐ จูลส์[4]”

หน้าปัดพลังงานถูกหมุนไปที่เลข ๒๐๐ ก่อนที่แพทย์จะกดปุ่มชาร์ตไฟในมือ ในเวลาไม่กี่วินาที เครื่องก็ส่งเสียงดังเป็นสัญญาณว่าพร้อมปล่อยกระแสไฟฟ้าแล้ว

“หนึ่ง! ถอย” แพทย์ขาน ทุกคนรอบตัวถอยห่างออกจากเตียง “สอง! ถอย” ตัวแพทย์เองถอยตัวเองออกจากเตียง ในขณะที่สองมือนั้นนาบแผ่นโลหะตรงยอดอกและใต้ราวนมซ้ายของทรงพล “สาม!”

หลังจากกดปุ่ม ร่างของทรงพลก็กระตุกขึ้นเหนือเตียงเล็กน้อย ตามกระแสไฟฟ้าที่กระตุ้นกล้ามเนื้อให้หดตัว ก่อนจะทิ้งตัวลงอีกครั้ง  แพทย์คนนั้นหันไปมองกราฟคลื่นไฟฟ้าหัวใจที่ยังมีลักษณะเดิม

“๒๕๐ จูลส์”

พลังงานไฟฟ้าถูกปรับขึ้น ขบวนการทุกอย่างดำเนินไปอีกครั้ง แต่กระนั้น กราฟคลื่นไฟฟ้าหัวใจนั้นก็ยังไม่กลับมาเป็นปกติ

“๓๐๐ จูลส์”

ทรงพลถูกช็อตด้วยกระแสไฟฟ้าซ้ำ แต่คราวนี้ กราฟคลื่นไฟฟ้าหัวใจกลับมาเป็นเส้นตรงอีกครั้ง

“ซีพีอาร์!”

วงจรการกู้ชีวิตหมุนเวียนไปนานราวครึ่งชั่วโมง ก็ยังไม่มีวี่แววว่าหัวใจของทรงพลจะกลับมาเต้นได้อีก แพทย์ทำการวัดสัญญาณชีพเพื่อความแน่ใจเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะประกาศเวลาเสียชีวิตอย่างเป็นทางการ

บุคลากรในโรงพยาบาลเริ่มแยกย้ายกลับไปทำงานอื่นต่อ เหลือเพียงพนักงานกู้ภัยไม่กี่คนที่กำลังนำร่างของทรงพลยัดใส่ถุงซิปสีดำ ก่อนจะส่งไปยังห้องดับจิตที่อยู่หลังโรงพยาบาล...

 

แล้วเขาก็คืนชีพขึ้นมา...จากขุมนรกเช่นนั้นหรือ...?

 

หากทรงพลเจียดเวลาอ่านฉลากยาอย่างละเอียดอีกสักหน่อย เขาก็จะรู้ว่ายาแก้มือสั่นที่เขาใช้นั้นมีผลข้างเคียงที่ทำให้หัวใจเต้นช้าลง และด้วยปริมาณยาที่กินเข้าไปนั้นมากกว่าที่แพทย์แนะนำหลายเท่า ประกอบกับการดื่มเหล้าหนัก ผลข้างเคียงนี้จึงยิ่งเด่นชัด จนหัวใจเขาหยุดทำงานชั่วคราวและสลบไสลไประหว่างขับรถ  แม้จะได้รับการกระตุ้นจากกระแสไฟฟ้ามากเท่าไร เขาก็ไม่ฟื้น

แต่เมื่อเวลาผ่านไป ยาก็เริ่มหมดฤทธิ์ หัวใจของเขาก็กลับมาเต้น จนเขาหายใจได้อีกครั้งหนึ่ง  แม้จะเป็นโอกาสเพียงหนึ่งในล้าน แต่เขาก็รอดมาได้อย่างเหลือเชื่อ  ฟ้าคงลิขิตให้ชะตาของเขายังไม่ขาดในวันนี้

 

ทรงพลเริ่มระลึกเรื่องราวได้คร่าวๆ ในขณะที่แขนของเขายังล็อกคอพนักงานคนนั้นอยู่ แม้จะไม่แจ่มแจ้งทั้งหมด แต่เขาก็ไม่ได้ติดใจอะไรนัก เพราะสิ่งที่เขาต้องการยังคงรอเขาอยู่ข้างนอกห้องนั้น

“ของของกูอยู่ไหน?” ทรงพลถามต่อ

“ตรงลิ้นชักนอกห้อง...”

เขาไม่รอช้าและกระชากคอเสื้อพนักงานคนนั้นไปตามระเบียงนอกห้องเก็บศพ อุณหภูมิที่อุ่นขึ้นทำให้เขาลดอาการมือสั่นและขนลุกลงได้บ้างและยิ่งทำให้เขาควบคุมกล้ามเนื้อมัดต่างๆได้ดีขึ้น

“มึงนำไป” เขายอมปล่อยคอพนักงานคนนั้น “อย่าตุกติกนะ มึง”

พนักงานห้องดับจิตผู้น่าสงสารเดินหดหัวด้วยความกลัวไปยังโต๊ะทำงานที่อยู่สุดทางเดิน ตรงผนังใกล้ๆมีตู้เหล็กทรงสี่เหลี่ยมซึ่งมีลิ้นชักมากมายพร้อมหมายเลขกำกับ  เขาเข้าไปไขกุญแจลิ้นชักอันหนึ่งตามคำสั่ง ก่อนที่จะดึงถุงพลาสติกที่ใส่รองเท้า กระเป๋าเงิน มีดพก และปืนของทรงพลออกมา  ทรงพลไม่รอช้ารีบฉกถุงนั้นมาแล้วเทข้าวของทั้งหมดลงกับโต๊ะไม้ข้างตัว

เขารีบสวมรองเท้าและเก็บกระเป๋าเงินและมีดพกเข้าไปในกระเป๋ากางเกง แต่เมื่อจะเอื้อมไปหยิบปืน พนักงานคนนั้นก็เข้ามาคว้ามันไป โดยที่ทรงพลไม่ได้ตั้งตัว

“อย่าเข้ามานะ...” พนักงานคนนั้นยืนถือปืนชี้มาที่ทรงพลด้วยอาการสั่นกลัว ในขณะที่ทรงพลได้แต่ยืนอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง

“ไม่เอาน่า...” ทรงพลยกมือทั้งสองขึ้น พลางแสยะยิ้มอย่างไม่หวั่นไหว “แกจะกล้าฆ่าคนจริงๆเหรอ?”

ทรงพลค่อยๆขยับเท้าเข้าไปหาพนักงานคนนั้นก้าวหนึ่ง

“บอกว่าอย่าเข้ามา!” พนักงานคนนั้นขู่ พร้อมยื่นปากกระบอกปืนออกไป

ในเสี้ยววินาทีนั้น ทรงพลรวบมือที่กำปืนนั้นไว้แน่น ก่อนจะออกแรงบิดข้อมือจนปืนร่วงออกจากมือพนักงานคนนั้นจนเขาร้องด้วยความเจ็บปวด

จากนั้น มือปืนผู้ช่ำชองก็ล้วงมือไปหยิบมีดพกในกระเป๋ากางเกง ปลายมีดอันแหลมคมถูกตวัดออกมาจากด้าม ก่อนที่จะพุ่งเข้าเสียบท้องของพนักงานผู้โชคร้าย เลือดกระเซ็นเปื้อนร่างของทรงพลและเปรอะเปื้อนเสื้อของเหยื่อ ซึ่งพยายามเกาะแขนของทรงพลไว้อย่างไร้ทางสู้ สายตาของเขาจ้องมองฆาตกรราวกับจะวิงวอนขอชีวิต แต่แววตาของทรงพลกลับมีแต่ความเย็นชา ไร้ซึ่งความรู้สึกผิดกับบาปที่ได้กระทำ

“มึงแส่หาเรื่องเองนะ” ทรงพลพูด

หลังจากนั้น ทรงพลก็ชักมีดออกมาแทงเหยื่อซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสียงร้องของความเจ็บปวดค่อยๆแผ่วเบาลงๆ และค่อยๆถูกแทนที่ด้วยเสียงสำลักเลือดที่ไหลท้นมาถึงคอหอย  มือไม้ของเขาเริ่มอ่อนเปลี้ย เข่าทั้งสองเริ่มทรุด ก่อนที่ทรงพลจะปล่อยร่างของเขาลงนอนจมกองเลือดบนพื้นอย่างไม่สะทกสะท้าน

หลังการฆาตกรรมอันเลือดเย็น ทรงพลกวาดสายตามองรอบๆ ก่อนจะสังเกตเห็นตู้เสื้อผ้าตั้งอยู่ตรงข้ามกับโต๊ะทำงานนั้น  เขารีบเดินไปเปิดตู้แล้วหยิบเอาเสื้อผ้าชุดเครื่องแบบลักษณะเดียวกับที่พนักงานสวมใส่ ออกมาเปลี่ยนแทนเสื้อผ้าเก่าที่โชกเลือดอย่างรีบเร่ง พร้อมกับเหน็บปืนและมีดพกไว้ที่เอว  แต่เมื่อสังเกตเห็นเงาตัวเองในกระจกที่ตรงฝาตู้ เขาก็ตกใจไม่น้อยที่เห็นแผลฉีกขาดตรงหน้าผากยังมีเลือดไหลซิบๆออกมาอยู่

“บ้าจริง!”

เขาควานหาผ้าขนหนูเล็กในตู้ออกมาพันคาดหน้าผากเพื่อปกปิดแผลอย่างลวกๆ ก่อนจะหวนกลับไปยังช่องเก็บศพเพื่อเข็นเตียงพร้อมถุงศพที่เพิ่งห่อร่างของเขาออกมา  ฆาตกรเลือดเย็นยัดศพบนพื้นใส่ถุงศพที่ขาดนั้น แล้วจึงยกมันขึ้นมาวางบนเตียงเข็น  และเมื่อเช็ดคราบเลือดบนพื้นเสร็จ เขาก็เข็นเตียงศพนั้นกลับเข้าไปอยู่ในห้องเย็นเพื่อเป็นการอำพรางศพ

“จากนี้...ต้องหารถให้เจอ...”

ทรงพลในชุดเครื่องแบบพนักงานเปิดประตูออกจากห้องดับจิตไปโดยมีถุงเงินที่ขโมยมาเป็นเป้าหมายต่อไป

 

หลังเดินวนเวียนอย่างคนหลงทางอยู่พักหนึ่ง ทรงพลก็พาตัวเองมาถึงบริเวณลานจอดรถในโรงพยาบาลจนได้  เขากวาดสายตาไปโดยรอบเพื่อพิจารณาหายานพาหนะที่เขาจะขโมยไปตระเวนหาถุงเงินที่ต้องการ แต่ทันใดนั้น ก็มีมือๆหนึ่งมาแตะทางด้านหลังจนเขาสะดุ้ง มือคว้าด้ามปืนที่ซ่อนอยู่ในชายเสื้อโดยอัตโนมัติ

“สวัสดีครับ” ชายหนุ่มวัยรุ่นในชุดเครื่องแบบหน่วยกู้ภัยกล่าวกับทรงพล “ผมหาตัวพี่ตั้งนาน มาทำอะไรที่นี่ครับ?”

ทรงพลค่อยๆปล่อยมือจากด้ามปืน ในใจอนุมานว่าชายคนนี้คงเข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นพนักงานห้องดับจิต

“มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ?” ทรงพลถามหยั่งเชิง

“อ้อ ก็ตอนที่พี่รับศพล่าสุดไป พี่ลืมเซ็นชื่อน่ะครับ” ชายหนุ่มคนนั้นบอก พลางยื่นกระดาษเอกสารบนคลิปบอร์ดมาให้

ทรงพลรับเอกสารมาดูด้วยสายตาเลิ่กลั่ก ก่อนจะตวัดข้อมือเซ็นไปอย่างลวกๆ แล้วจึงยื่นมันคืนให้ชายหนุ่มคนนั้น

“ขอบคุณนะครับ”

“เดี๋ยวครับ” ทรงพลตัดสินใจเรียกเขา “พอจะรู้มั้ยครับว่ารถที่ถูกชนจนคนขับเพิ่งตายไปคืนนี้ ตอนนี้อยู่ที่ไหนครับ?”

“รถชน? ที่คนตายชื่อ ทรง...อะไรสักอย่างใช่มั้ยครับ?”

“ครับ ใช่ครับ” ทรงพลรีบขานรับอย่างรวดเร็ว

“รถถูกลากไปไว้แถวโรงพักใกล้ๆนี้แล้วครับ” ชายหนุ่มคนนั้นพูด “กันชนหน้าเนี่ยเละเทะมากเลย”

“แล้ว...ท้ายรถล่ะครับ” ทรงพลถามต่อ

“ท้ายรถเหรอครับ? ก็ดูโอเคอยู่นะครับตอนที่ผมเห็น ทำไมเหรอครับ?”

“อ้อ ไม่มีอะไรครับ”

ทรงพลถอนหายใจเฮือกใหญ่ เมื่อได้รู้ว่าตำรวจยังไม่พบถุงเงิน  แต่ถ้าช้ากว่านี้ ก็อาจจะไม่ทันกาลเหมือนกัน  ขั้นต่อไป เขาต้องรีบขนถุงเงินพวกนั้นออกมา แล้วหนีไปให้ไกลที่สุด

“แต่...เอ...” หนุ่มนักกู้ภัยหันมาทางทรงพลอีกครั้ง สายตาเหลือบไปมองมือของทรงพลอย่างสงสัยใคร่รู้ “ผมเหมือนเคยเห็นรอยสักนั่นที่ไหนน้า...?”

ทรงพลเหลือบไปมองรอยสักรูปงูเห่าดำบนหลังมือขวา ก่อนจะรีบซ่อนมือไว้ด้านหลังอย่างมีพิรุธ อาการมือสั่นกลับมาในทันที ในที่หัวใจของเขาก็เริ่มเต้นระรัว

“งูเห่า...” หนุ่มขี้สงสัยนึกย้อน ก่อนจะมองหน้าทรงพลตรงๆ “พี่...คือคนที่ตายในรถนี่!”

ทรงพลชักปืนออกมายิงแสกหน้าหนุ่มผู้โชคร้าย ทันทีที่เขานึกออก  จากนั้น ก็มีเสียงผู้คนตะโกนโหวกเหวกมาจากในโรงพยาบาล พร้อมกับเงาคนที่ออกมาดูเหตุการณ์ตรงหน้าต่างและทางเดิน  ฆาตกรต่อเนื่องหันซ้ายหันขวาด้วยอาการมือสั่นเป็นทวีคูณ ก่อนจะเห็นรถกู้ภัยคันใหม่วิ่งเลี้ยวเข้ามาในโรงพยาบาลด้วยความเร็วสูง เพื่อมาส่งคนเจ็บอีกราย

ในเสี้ยววินาทีนั้น ทรงพลตัดสินใจออกไปยืนขวางกลางถนนด้วยสัญชาตญาณเอาตัวรอด พลางยิงปืนขึ้นฟ้าขู่สองนัด  รถกู้ภัยเบรคกระทันหันจนได้ยินเสียงล้อรถเสียดสีกับพื้นถนนดังมาแต่ไกล จนในที่สุดมันก็มาหยุดต่อหน้าเขา ห่างไปไม่กี่เมตร

เขาเดินจ้ำไปยังประตูรถคนขับโดยมีปากกระบอกปืนเล็งไปที่กระจกรถตลอดเวลา เมื่อเปิดประตูออก เขาก็เห็นชายในชุดเครื่องแบบกู้ภัยนั่งยกมือขึ้นภายในรถแล้ว

“ออกไป!”

สิ้นคำสั่งนั้น หน่วยกู้ภัยทั้งหมดรีบลงจากทั้งหน้ารถและหลังรถ ทิ้งผู้บาดเจ็บไว้กับฆาตกรผู้บ้าคลั่งอย่างไร้ทางเลือก  ทรงพลรีบขึ้นไปสตาร์ทรถใหม่ ก่อนจะหมุนรถกลับหัว ๑๘๐ องศากลางถนน แล้วมุ่งสู่สถานีตำรวจที่เป็นจุดหมายในทันที

 

***

 

ลานกว้างหลังสถานีตำรวจเป็นสถานที่เก็บยานพาหนะหลากหลายประเภท ทั้งพวกที่เสียหายจากอุบัติเหตุ พวกที่จอดในที่ที่ไม่ได้รับอนุญาต และ พวกที่ถูกอาชญากรนำไปใช้ก่อคดีต่างๆ  ท่ามกลางความมืดและเงียบสงัดนั้น มันจึงดูเหมือนสุสานยานพาหนะก็ไม่ปาน

โดยรอบบริเวณนั้นมีรั้วตาข่ายเหล็กกั้น ในขณะที่ประตูหน้านั้นถูกล็อกด้วยโซ่และแม่กุญแจดอกใหญ่ กระนั้น ที่นั่นกลับไม่มีตำรวจนายใดมาเฝ้ายาม เพราะที่ผ่านมา ยังไม่เคยมีโจรหน้าไหนเข้ามาขโมยยานพาหนะที่ถูกยึดมาก่อน จึงเป็นโอกาสเหมาะสำหรับทรงพลที่จะได้เข้าไปหารถยนต์ของเขาได้อย่างสะดวก

หลังจอดรถกู้ภัยที่จี้มาไว้ข้างๆรั้วตาข่ายเหล็กแล้ว ทรงพลก็ใช้ปืนยิงแม่กุญแจนั้นจนแตกหัก ก่อนจะดึงโซ่ที่คล้องประตูออก แล้วจึงเดินเข้าไปหารถยนต์ของเขาอย่างร้อนใจ

“อยู่ไหนๆ...?”

หลังตระเวณหาอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็สังเกตเห็นซากรถยนต์สีดำที่กระจังหน้าและกระโปรงรถพังยับเยิน จนอ่านเลขทะเบียนบนแผ่นไม่ได้  เขาอ้อมไปดูทางด้านหลังรถ ก่อนจะอุทานด้วยความดีใจ เมื่อเห็นเลขทะเบียนรถของเขาเอง

“เงินๆ...”

เขาใช้กุญแจไขเปิดกระโปรงท้ายรถที่ยังไม่เสียหาย ก่อนจะพบถุงเงินที่ขโมยมาทั้งหมดยังอยู่ดีทุกประการ

“มันต้องอย่างนี้สิ!”

ทรงพลขนถุงเงินเหล่านั้นด้วยนัยน์ตาลุกวาว แต่ด้วยจำนวนเงินอันมหาศาล ทำให้เขาต้องใช้เวลาขนราว ๓-๔ เที่ยว เขาเปิดท้ายรถกู้ภัยแล้วโยนถุงเงินเข้าไปกองทับเหยื่อผู้บาดเจ็บอย่างไม่เหลียวแล ในใจของเขาตอนนั้นเต็มไปด้วยความโลภที่บดบังตา

“กูรวยแล้วๆ...”

มโนภาพแห่งความหลุ่มหลงทำให้เขาเร่งขนถุงเงินเหล่านั้นออกจากรถยนต์คันนั้นโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่เมื่อขนถุงเงินชุดสุดท้ายเข้าใส่ท้ายรถกู้ภัย เขาก็หยุดนั่งพักตรงท้ายรถ พลางหายใจหอบด้วยอาการเหงื่อแตก

“ฟ้าเข้าข้างกูแล้ว” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงระรื่น “ให้กูคืนชีพ แล้วยังให้กูได้รวย กูมันโชคดีจริงๆ ฮ่าฮ่า...”

แต่ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงถุงเงินขยับ และเมื่อหันไปมอง เขาก็เห็นเหยื่อผู้บาดเจ็บใต้กองถุงเงินค่อยๆชันตัวขึ้นมา

“เกะกะจริงโว้ย” เขาบ่น “ลากออกไปนอกรถดีกว่า”

ทรงพลเข้าไปดึงขาของคนคนนั้นออกมาจากท้ายรถได้ครึ่งตัว ก็ต้องตกตะลึงในภาพที่เห็น...หน้าของชายที่กำลังจ้องมาที่เขา...คือหน้าของปิติที่มีรูกระสุนบนหน้าผากซ้าย!

“ไม่...” ทรงพลพูดด้วยอาการสั่นสะท้านไปทั้งตัว ความกลัวซึมซาบไปทั่วทุกรูขุมขน “ม...มึง...ตายไปแล้วนี่...”

“มึง...ฆ่ากู” ปิติพูดด้วยสายตาเคียดแค้น “ไอ้ชาติชั่ว”

ทรงพลรีบเอื้อมมือไปหยิบปืนที่เอว แต่ด้วยอาการมือสั่นสะท้าน ทำให้นิ้วของเขาจับปืนได้ไม่ถนัดนัก อีกด้านหนึ่ง ปิติกลับชูปืนขึ้นมาเล็งหน้าอกของเขาอย่างไม่หวั่นไหว

“ไม่...”

ปัง! ปัง! ปัง!

กระสุนวิ่งทะลวงตัดขั้วหัวใจและปอดของทรงพลจนเขาล้มหงายหลังและตายคาที่...

ไม่มีการฟื้นคืนชีพสำหรับคนชั่วอย่างเขาอีกแล้ว

 

สำหรับปิติ ถือเป็นปาฏิหารย์ที่ลูกกระสุนทะลวงผ่านกะโหลกศีรษะ แต่เฉียดเนื้อสมองไปอย่างฉิวเฉียด  หากทรงพลไม่ได้มีอาการมือสั่นและเล็งเป้าได้แม่นกว่านี้ เขาคงตายไปนานแล้ว

แต่อาการกระทบกระเทือนทางสมองนั้นก็ทำให้ปิติหมดสติไปพักใหญ่ เมื่อมารู้สึกตัวอีกที เขาก็กระเสือกกระสนออกมาขอความช่วยเหลือจากพงหญ้าข้างทาง  จากนั้น หน่วยกู้ภัยก็รีบรุดมาที่เกิดเหตุตามที่พลเมืองดีได้แจ้ง ก่อนที่สติของเขาจะเริ่มหลุดลอยไปอีกครั้งระหว่างนำส่ง และเมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็พบตัวเองนอนอยู่ใต้กองถุงเงิน พร้อมกับได้ยินเสียงอดีตหัวหน้าทีมปล้นที่หักหลังเขาอย่างไม่น่าอภัย

แม้จะงัวเงียอยู่บ้าง แต่ความแค้นที่ฝังใจก็ทำให้เขามีสติมากพอที่จะจับปืนและยิงคู่อริที่กำลังสั่นเทาได้อย่างสบาย

มันเป็นการฟื้นคืนชีพที่ทรงพลไม่เคยคาดคิดมาก่อน

          ปิติมองถุงเงินรอบตัวด้วยสีหน้าพอใจเป็นที่สุด  สุดท้ายแล้ว คนที่จะได้ครอบครองเงินมหาศาลนี้ก็เหลือแค่เขาเพียงคนเดียว

“กูรวยแล้ว...”

ปิติออกมาปิดประตูท้ายรถ แล้วก็ขับรถกู้ภัยออกไป ในใจคิดว่าจะหาที่ซ่อนเงินทั้งหมดเอาไว้ก่อน  หลังจากรักษาตัวจนหายดี แล้วค่อยมาเอาคืนทีหลัง

 

บนถนนเปลี่ยวที่ไร้แสงไฟ ปิติขับรถกู้ภัยวนออกมานอกเมือง ด้วยความหวังว่าจะหาทำเลแถวชายป่าเพื่อขุดดินแล้วฝังถุงเงินเอาไว้

ท่ามกลางความมืดมิด เขาหันไปมองรอบข้างที่มีแมกไม้เหมือนกันไปหมด ภาพถนนเริ่มเบลอไปกับภาพป่า  ทุกสิ่งรอบตัวเขาหมุนติ้วจนเขาเวียนหัวและคลื่นไส้...

สติของเขาเริ่มรางเลือน มือที่ควบคุมพวงมาลัยเริ่มอ่อนเปลี้ยจนตัวรถส่ายไปมาอย่างไม่รู้ทิศทาง...

และแล้ว ทุกอย่างก็ดำมืดลง...

โครม!

          รถกู้ภัยเสียหลักพลิกคว่ำหลายตลบ ก่อนจะกระแทกเข้ากับขอบข้างทาง  เครื่องยนต์ลุกไหม้พร้อมกับหยดน้ำมันที่รั่วไหลออกมา

ตูม!

          ไฟลุกท่วมรถทั้งคัน พร้อมกับเผาร่างคนขับและถุงเงินทั้งหมดจนมอดไหม้ ไม่มีเหลือ...

ทุกอย่างสูญสลายสู่เถ้าธุลี...

 

หากปิติไม่โลภและคิดถึงตัวเองมากกว่านี้ เขาก็คงรีบมาโรงพยาบาล ก่อนที่อาการเลือดออกในสมองจะเกิดขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการวิงเวียนศีรษะบ้านหมุน คลื่นไส้ ภาพเบลอ หมดสติ และ เสียชีวิตในที่สุด  แต่เขาก็เหมือนทรงพล ถูกกิเลสบังตาจนมองไม่เห็นว่าสิ่งใดควรหรือไม่ควร จนกรรมนั้นก็ตามมาสนองเขาเหมือนเงาตามตัว

 

สุดท้ายแล้ว ก็ไม่มีการฟื้นคืนชีพซ้ำสองสำหรับเขาเช่นกัน

 

 

 

[1] อะดรีนาลิน (adrenaline) เป็น ฮอร์โมนหรือสารเคมีถูกหลั่งจากต่อมหมวกไต ในช่วงเวลาคับขันหรือตึงเครียด ทำให้หัวใจเต้นเร็วและตื่นตัวกับสถานการณ์นั้นๆ

[2] CPR (Cardiopulmonary Resuscitation) คือกระบวนการกู้ชีวิตที่ใช้สันมือทั้งสองข้างประสานกันแล้วกดลงบริเวณกลางอก เหนือลิ้นปี่ขึ้นมาราว ๒ นิ้ว เป็นจังหวะที่เร็วและแรง เพื่อให้การไหลเวียนของเลือดยังคงอยู่ ใช้ในกรณีที่หัวใจหยุดเต้น

[3] Defibrillator คือเครื่องกระตุกหัวใจด้วยไฟฟ้า ใช้ในกรณีที่หัวใจห้องล่างเต้นแบบผิดจังหวะ (ventricular fibrillation) เป็นต้น

[4] Jules เป็นหน่วยของพลังงานในทางฟิสิกส์ ซึ่งสำหรับเครื่องกระตุกหัวใจทั่วไปจะส่งกระแสไฟฟ้าได้สูงสุดถึง ๓๖๐ จูลส์

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว