กล้าม
0
ตอน
989
เข้าชม
79
ถูกใจ
3
ความคิดเห็น
0
เพิ่มลงคลัง

 

รู้ไหม ความกังวลใจของชายหนุ่มรูปหล่อ หน้าตาดี มีกล้ามคืออะไร?

ก็กังวลเรื่อง…

 

“เฮ้ย กล้ามเนี่ย…มันลดขนาดยังไงเหรอ?”

พรวด!! พ่อหนุ่มแว่นเจ้าของฉายาเจ้าพ่อตุ๊กตาพ่นนมสตรอว์เบอร์รี่ใส่หน้าคนถาม นอกจากจะไม่ขอโทษยังไม่สนใจนมสีชมพูที่กำลังไหลเหยิ้มไปทั่วหน้า(เกือบ)เหี้ยมของเพื่อนสนิทอีกด้วย

เกิดมาเกือบจะครบนักกษัตรอีกรอบแล้ว มันกลับถามว่าลดกล้ามทำยังไง ทำไมถึงไม่ถามตั้งแต่เมื่อสิบปีที่แล้ว “มาถามอะไรเอาตอนนี้เล่า” โตตัวจะเท่าช้างม้าวัวควายผสมกันอยู่แล้ว ต่อให้โด๊ปมันฝรั่งทอดทุกวันกล้ามก็ไม่ลดลงหรอก โดยเฉพาะกับนักกีฬาดีกรีเหรียญทองจังหวัดที่เมื่อก่อนนอกจากวิ่ง วิดพื้น ซิกอัพทุกวันวันละสามสิบรอบแล้วก็คิดอย่างอื่นไม่เป็น มนัสเอามือก่ายหน้าผากอย่างจนปัญญา

“ควรขอบคุณแฟนนายดีไหมที่ช่วยทำให้นายเริ่มเป็นผู้เป็นคนมากขึ้น”

“อย่ามาว่าแฟนฉัน”

“โทษๆ ลืมไป นางเป็นเทพธิดาบนหิ้งในห้องนายไปแล้วนิ”

“จริงจังหน่อย” กันย์เริ่มขึ้นเสียงสูง ก่อนจะกดลงต่ำพยายามบิวอารมณ์ให้มนัสกลัวเต็มที่ “บอกมาไอ้เนิร์ดคลั่งตุ๊กตา ทำยังไงถึงจะลดกล้ามได้”

มนัสกรอกตาไปมา “อย่างแรก ฉันไม่ได้เล่นตุ๊กตา เขาเรียกว่าฟิกเกอร์เว้ย!”

เขาหยิบซองกระดาษทิชชู่โยนให้กันย์ “อย่างที่สอง คิดยังไงถึงจะมาลดกล้าม นายเป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอว่าอยากเล่นกล้ามเหมือนพวกนักมวยปล้ำ แล้วไหงตอนนี้ถึงอยากลด กล้ามนะเฟ้ยไม่ใช่ไขมัน จู่ๆ บอกให้ลด มันทำได้ที่ไหนกัน”

ไม่ว่าจะมองมุมไหน กันย์ที่ทั้งฮอตและป๊อปจนได้ขึ้นทำเนียบสิบสุดยอดชายหนุ่มประจำมหาวิทยาลัยด้วยกล้ามแขน กล้ามขาสวยๆ ไม่รวมซิกแพ็คที่ผู้หญิงเห็นละลาย ผู้ชายมองเป็นอิจฉา ทั้งที่เจ้าตัวใช่เวลาหลายปีเพื่อสร้างและทะนุทนอมกล้ามโตๆ ของตัวเองจนมนัสแอบคิดว่าเพื่อนเขาต้องขอกล้ามแต่งงานเข้าสักวันหนึ่งแน่ ตอนนี้กลับมานั่งตีหน้าเครียดบอกว่าไม่อยากได้กล้ามแล้ว สิ่งเดียวที่เด็กเนิร์ดพอจะคิดออกก็มีแค่ยายมะปราง แฟนรุ่นน้องสุดที่รักของกันย์

ที่จริงมะปรางอายุเท่ากับพวกเขา แต่ซิ่วมาหนึ่งปีจึงเรียนกับพวกรุ่นน้อง ไม่ใช่คนสวยอะไรมาก แต่นับว่าน่ารักพอตัว เมื่อต้นปีที่แล้วไม่รู้โดนยายนั่นเป่าอะไรใส่หูมา กันย์ถึงกับยอมพลีกายถวายหัวขนาดนี้

หรือว่าจะโดนมนต์ดำ?

“แต่ฉันต้องลดให้ได้เฟ้ย! ในฐานะเพื่อน นายจะไม่ช่วยเพื่อนหน่อยรึไง ไอ้เนิร์ด!”

“ไม่ได้เนิร์ดเฟ้ย! เขาเรียกว่าเท่สไตส์หนุ่มแว่น กำลังฮอตอยู่ไม่รู้รึไง!” มนัสเถียงกลับ “แล้วกล้ามน่ะมันเป็นก้อนเนื้อ รู้จักไหมก้อนเนื้อ พวกกล้ามเนื้อแดง กล้ามเนื้อลาย กล้ามเนื้อขาว! แล้วนายเคยเห็นก้อนเนื้อละลายน้ำไหมเล่า! ไขมันก็ว่าไปอย่าง ต่อให้ฉลาดฟ้าประทานแบบไอสไตน์ก็ทำไม่ได้ภายในคืนเดียวหรอกเว้ย!”

“งั้นก็ฉลาดกว่าไอสไตน์สิ ไอ้บ้า!”

“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำน่ะ ไอ้บ้ากว่า!”

เพื่อนหน้าตาเหี้ยมๆ ท่าทางอย่างกับนักเลงโตกระแทกหน้าผากลงพื้นโต๊ะ จากนั้นขยี้ผมตัวเองจนยุ่งเหยิงก่อนจะหยุดไปเหมือนคอมพิวเตอร์ถูกชัตดาวน์ มนัสตีหน้าเรียบจ้องไปเรื่อยๆ อีกไม่นานศพนายกันย์ก็คงฟื้นคืนชีพอย่างที่เป็นมาตลอด เพราะไอ้หมอนี่ตายยากยิ่งกว่าแมลงสาบ ถึงจะเถียงเขาแพ้เป็นร้อยรอบมันก็ไม่เข็ด น่าจับไปเล่นซีรี่ย์วอคกิ้ง—ติ๊ดดดด—จริงๆ

กันย์ฟื้นคืนชีพช้าๆ พนมสองมือตรงอก ไหว้สวยงามประหนึ่งนางงามจักรวาล

“ขอร้องล่ะครับ คุณมนัสที่เคารพ กรุณาบอกวิธีลดกล้ามให้ข้าน้อยด้วยเถิด”

มนัสใช้กล่องนมเปล่าๆ เคาะหัว “ถ้ายังฟังภาษาคนไม่รู้เรื่อง เดี๋ยจับไปเรียนก.ไก่ถึงฮ.นกฮูกใหม่ตั้งแต่อนุบาลเลย ดีไหมล่ะ?” เขาเท้าคางมองเพื่อนที่ยังเป็นรูปปั้นเทวดาพนมมือไม่เปลี่ยน ท่าทางจริงจังจนนึกสงสารผู้ให้กำเนิด ควรจะอธิบายให้ฟังยังไงดีว่าต่อให้ตายกล้ามมันก็ใช่จะลดได้ง่ายๆ มนัสถอนหายใจ “แล้วคิดยังไง จู่ๆ ถึงได้อยากลดกล้ามขึ้นมาล่ะ พ่อกล้ามปู?”

“เพราะ…”

กริ๊งงง! ถ้าเป็นนิยายรักกุ๊กกิ๊กในโรงเรียน คงไม่แคล้วมีเสียงออดดังเสียดแทงใจ เสียดายที่เรื่องนี้เป็นนิยายของหนุ่มกล้ามกลัดกลุ้มกับโอตาคุหน้าตาเกือบดีที่นั่งบื้อไม่มีอะไรทำอยู่ในสวนไม้หินอ่อนเพราะอาจารย์ยกเซ็ตคาบบ่ายทั้งคาบ ชีวิตมหาลัยมีเรื่องกลุ้มใจเยอะ พอถึงช่วงว่างเลยต้องระบายความกลุ้มอกกลุ้มใจก่อนที่จะไม่มีเวลาได้ทำ

ชีวิตวัยรุ่นมันก็อย่างนี่แหละ โดยเฉพาะหนุ่มๆ ในนิยายเรื่องนี้

“เพราะมะปรางบอกว่าดาราเกาหลีน่ารัก อยากไปงานคอนเสิร์ต”

“…”

โลจิกหรือ Logic ที่แปลว่าตรรกะ ลอยอยู่เต็มหน้ามนัสพร้อมเครื่องหมายสงสัย อยากถามใจจะขาดว่าตรรกะมีปัญหาเหรอหรือว่าโดนมนต์ดำจนหน้ามืดตามัวไปแล้ว

“นั่นมันปัญหาบ้าอะไรฟร่ะ!!?”

ปั่ก! กล่องพลาสติกลายน้องวัวยิ้มแป้นสีชมพูหวาน หลับตาแลบลิ้นเพิ่มความน่ารักน่าชังที่พวกโอตาคุเรียกว่าโมเอะเข้าไปพุ่งเข้าใส่กลางกบาลเพื่อนที่ท่าทางตอนนี้หลักตรรกะขั้นพื้นฐานจะโดนกัดกร่อนเป็นโพรงเหมือนก้อนชีสไปแล้ว

“นายกำลังจะบอกว่าเพราะมะปรางชมว่าดาราเกาหลีน่ารัก เพราะมะปรางอยากไปงานคอนเสิร์ตดาราเกาหลี นายถึงขนาดอยากลดกล้ามตัวเองเพื่อจะได้เหมือนพวกดาราเกาหลีเลยเหรอ!?”

กันย์หลุบตาต่ำ “ก็…ใช่”

ไม่นะ สมองเพื่อนเขามีปัญหาแน่ๆ ยายแม่มดมะปรางต้องกำลังร่ายมนต์ดำไม่ก็กำลังล้างสมองหรือทำทั้งสองอย่างกับกันย์! แต่อีกทฤษฎีหนึ่งก็คือ…มันบื้อไปเอง

“แต่ยายนั่นยังไม่ได้บอกเลยว่าอยากให้นายเป็นเหมือนพวกนั้นไม่ใช่เหรอ?”

เขามองเพื่อนที่เมื่อก่อนแสนจะภูมิใจในกล้ามที่มีขนาดใหญ่กว่าหัวเขาเองเสียอีก ตอนเข้ามหาวิทยาลัยใหม่ๆ หมอนี่เที่ยวไปเบ่งกล้ามอวดคนนู้นคนนี้ไปทั่ว สีผิวก็แทนแบบแมนๆ ไม่นับหน้าตาออกแนวโหด โฉด ชั่วอย่างกับโจรแต่ก็หล่อเหลือร้ายยิ่งกว่าพระเอกฮอลลีวูด อีกอย่างเขาว่าเพื่อนเขาไม่ได้บื้อขนาดนั้น หรือว่านี่คือพลังแห่งรัก!?

“ก็เขาชอบ ก็ต้องแปลว่าเขาอยากให้ฉันเป็นแบบนั้นเหมือนกันสิ!”

“นายนี่มัน…!?” โง่ บ้า บื้อหรือปัญญาอ่อน ถึงกับด่าไม่ถูกทีเดียว

“ยังไงฉันก็จะต้องลดกล้ามกับขนาดตัวลงให้ได้!” กันย์กล่าวอย่างจริงจัง ถึงจะเป็นความปราถนามันออกจะ –ละไว้ในฐานที่เข้าใจ— ไปหน่อย แต่เห็นเพื่อนจริงจังกับเรื่องอื่นนอกจากฟิตร่างกายไปวันๆ ก็อดเอาใจช่วยไม่ได้

หนุ่มแว่นเปลี่ยนท่านั่งเป็นท่ากอดอกแทน “ฉันละซาบซึ้งถึงทรวงกับความรักของนายจริงๆ” มนัสเสยตามองกันย์ซึ่งนั่งอยู่อีกฝั่ง “แต่อะไรที่เปลี่ยนไม่ได้มันก็คือเปลี่ยนไม่ได้”

ปัง!!

“ฉันผิดหวังกับนายจริงๆ ทั้งที่คิดว่าเราเป็นเพื่อนกันแท้ๆ”นักกีฬาเผยสีหน้าผิดหวังแกมเจ็บปวดนิดๆ แล้วเดินจากไป มนัสถึงกับนั่งตาค้าง อ้าปากหวอ นี่มันยิ่งกว่าปรากฎการณ์ฝนอุกกาบาตพุ่งชนโลกซะอีก นี่เขาโดนกันย์งอนเหรอ!? เอาจริงดิ!? แถมยังน้อยอกน้อยใจเพราะเรื่องงี่เง่าที่ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้ซะด้วย

“ถ้าจะตามืดบอดขนาดนี้ แล้วหมอนั่นจะมาเรียนคณะวิทยาศาสตร์ไปทำไมเนี่ย?” เขาควักนมสตอร์เบอร์รี่สำรองขึ้นมา แอบนึกเสียดายตอนมันพุ่งออกจากปาก นึกเสียดายยิ่งกว่าตอนไปเปื้อนหน้ากันย์ที่กำลังเหี้ยมได้ที หลอดดูดสีขาวเจาะเข้าตรงจุด มนัสดื่มนมด้วยอารมณ์กึ่งๆ ไม่สบายใจก่อนเดินจากไป

 

ไปไหนล่ะ?

ก็กลับมาที่หอล่ะสิ

แล้วถ้าถามว่าใครเป็นรูมเมทล่ะก็…

กล่องนมสีชมพูกล่องที่สองลอยละลิ่วเข้าถังขยะตรงมุมห้องพอดิบพอดี เพื่อนรวมห้องที่กำลังนอนฟังเพลงอย่างสบายใจวิดพื้นอยู่บนเตียงไม้ที่ฟูกถูกวางกองอยู่ข้างๆพลางเปิดอ่านนิตยสารไปด้วย

ใช่ วิดพื้นอยู่บนเตียงไม้ไร้ฟูก

หรือนี่จะเป็นหนึ่งในวิธีลดกล้ามของมัน?

“เฮ้ย กันย์”

ไร้เสียงตอบรับ

“กันย์ กันย์”

ไร้ซึ่งสัญญาณเหมือนเก่า

“กันย์! กันย์! โว้ย! ไอ้กล้ามข้าวต้มมัด!!”

“ใครบอกว่ากล้ามข้าวต้มมัด!” หูฟังถูกกระชากสายแทบขาด โชคดีที่เป็นหูฟังราคาตัวละ 199 บาทตามท้องตลาดไม่ใช่ยี่ห้อตัวอักษรย่อบีที่มีราคาหลักพันหลักหมื่น แบบนั้นมนัสต้องน้ำตาไหลตายแน่ กันย์ในชุดเสื้อกล้ามโชว์สัดส่วนสวยๆ อย่างนักกีฬากำลังฟังเพลง น้ำตาคลอเบ้า

“นี่นายเศร้าขนาดร้องไห้เลยเหรอ?”

“ทำหน้าแบบนั้นหมายความว่าไง?”

“ก็กำลังคิดว่านายนี่งี่เง่าไร้ทางเยียวยาแล้วยังไงล่ะ”

“เฮอะ!”

แล้วเจ้าหนุ่มกล้ามโตก็พลิกไปอีกทาง สร้างโลกส่วนตัวครอบประหนึ่งโลงกระจกแก้วของยายสโนว์ไวท์ตอนนอนรอจุมพิตอยู่กลางป่า

“มีใครเคยบอกไหมว่านายมันโคตรสาวน้อยจริงๆ” อยากรู้นักว่ามะปรางทนคบกับเจ้ายักษ์กล้ามโตนี่ได้ยังไง ถึงจะไม่ได้อวยยายนั้นมากมายแต่มนัสเชื่อว่าเธอหาได้ดีกว่านี้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นแฟนที่มีสติมากกว่านี้แน่ๆ มนัสฟันธง!

“มี นายไง”

“นี่นายยังงอนฉันอยู่อีกเหรอ?” เพราะพูดโดยไม่ยอมสบตา เห็นแล้วอยากเข้าไปถีบสักเปรี้ยงจริงเชียว จะอะไรมากมายกับเรื่องกล้ามโต? หรือว่าดาราเกาหลีไม่มีกล้ามรึไง “มั่นใจในตัวเองหน่อยสิ ไอ้เรื่องมีกล้ามหรือไม่มีกล้ามฉันว่าไม่เห็นจะเกี่ยวกับการเป็นแฟนมะปรางเลยนะ”

“เกี่ยวสิ คนโสดอย่างนายจะไปเข้าใจอะไร”

โป๊ก!! ชายร่างโตร้องโวยวาย “ทำบ้าอะไรของนาย มนัส! มันเจ็บนะ!”

“กำปั้นจากคนโสดไงเล่า ไอ้กล้ามปูข้าวต้มมัด!”

มนัสเลี่ยงตัวเดินไปอีกทาง ก่อนทิ้งตัวลงบนเตียงนอน ส่วนกระเป๋าสะพายก็เหวี่ยงไปอีกทางชนกับประตูดังปัง! มือคว้าซองหมากฝรั่งข้างๆ แกะเปลือกออกแล้วโยนเข้าปากเคี้ยวเสียงดังจั๊บๆ

ที่จริงกันย์กับมนัสเป็นเพื่อนข้างบ้าน รู้จักมักจี่มาตั้งแต่เด็ก เรียนที่เดียวกัน มหาวิทยาลัยก็สอบเข้าที่เดียวกัน คณะเดียวกัน คิดดูสิ เพราะเป็นเพื่อนตั้งแต่ยังหัดตั้งไข่ มนัสต้องทนฟังเพื่อนบ้ากล้ามเนื้อบ่นว่าวันนี้ต้องออกกำลังกายเท่านี้ๆ วิ่งเท่านี้ วิดพื้นเท่านี้ แล้วยังต้องมาช่วยเอาสายวัดวัดกล้ามแขนกล้ามขาพร้อมจดค่าตัวเลขลงบันทึกสมุดทุกวัน ต้องเป็นธุระเดินไปซื้อน้ำยานวดทุกเดือน มิหนำซ้ำเวลากันย์ฟิตหุ่น เขายังต้องไปนั่งเฝ้า เพราะอีกฝ่ายจะงอแงถ้าต้อง(อวดกล้าม)อยู่คนเดียว

พอเข้าสู่ช่วงชีวิตวัยรุ่น นอกจากเป็นกระสอบทรายให้กันย์ซ้อมท่ามวยปล้ำ จดเลคเชอร์ให้แล้วยังต้องวิ่งวุ่นตามล้างตามเช็คความน่าเอน็ดอนาถเวลาเพื่อนเบ่งกล้ามโชว์พลังต่อหน้าสาวๆ จนแฟนพวกหล่อนจะยกพวกพร้อมไม้หน้าสามมาตีให้ตาย! เป็นเพื่อนกับหมอนี่มีแต่ขาดทุน ดีที่เรื่องนี้ไม่วาย ไม่งั้นพวกเขาต้องมาจักกะดึ๊ยๆ ตั้งแต่สมัยมัธยมต้น แต่ก็เพราะไม่วายเนี่ยแหละ ถึงได้มานั่งปวดหัวกับกล้ามที่กันย์พยายามสร้างแทบเป็นแทบตาย(โดยมีมนัสเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนหลักแบบบีบบังคับ)

“ถ้ากล้ามหายไปแล้ว นายไม่เสียดายบ้างรึไง?”

กันย์ที่กำลังยกดัมเบลหันมา “สำหรับฉัน มะปรางเป็นที่หนึ่ง”

“แต่ยายนั้นก็ไม่ได้บอกว่าอยากให้นายเป็นเหมือนดาราเกาหลีนี่?”

“ก็มะปรางบอกว่าชอบดาราเกาหลี แปลว่าถ้าฉันเหมือนพวกนั้น มะปรางก็ต้องชอบฉันมากขึ้นด้วยสิ” คนตอบแอบหน้าแดง มนัสพ่นลม จะว่าตลกก็ใช่ตรรกะวิบัติก็ไม่ผิด ถึงผู้หญิงจะชอบพวกดาราแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเธออยากแต่งงานกับพวกนั้นจริงๆ สักหน่อย

“นี่มนัส”

“อะไร?”

“ถ้าหน้ามันศัลฯได้ แกว่ากล้ามมันจะศัลฯได้บ้างไหม?”

“…”

“…”

หนุ่มโอตาคุที่กำลังเริ่มเคลิ้มไปกับฟิกเกอร์ข้างเตียง หลุดพรวดพราดขึ้นมา “สมองนายต่างหากที่สมควรถูกศัลยกรรม! รอยหยักมีไว้ประดับรึไง ฉันจะไปฟ้องอาจารย์ชีวะฯ ว่านายมันพวกสอนหูซ้ายทะลุหูขวา!”

“ก็ถามเผื่อมันศัลฯได้!”

“มันจะไปทำได้ยังไง แล่กล้ามเนื้อออกไปรึไง!?”

“แบบเนื้อวัวน่ะนะ ก็เข้าท่าดีนิ” กันย์ลูบคางพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดตัวเอง ขณะที่มนัสชักอยากจะร้องกรี๊ดให้ดังไปถึงดาวอังคาร

“โว้ย! ประสาทกลับ! ประสาทกลับ! ประสาทกลับ!”

มนัสหยิบหมอนขึ้นมาแล้วกระหนำทุบลงเตียงไม่ยั้งทั้งยังกรีดร้องอย่างกับมีใครเสียเพียงเพราะกำลังพยายามไม่ระบายอารมณ์โกรธใส่เพื่อนที่สติสตังไม่สมบูรณ์(อีกต่อไป)

 

แฮ่ก แฮ่ก หลังจากกระหนำทุบจนเหนื่อย(เหงื่อไหล) กันย์นั่งมองอยู่บนเตียง เขารู้ว่าปล่อยไปสักพักประเดี๋ยวภูเขาไฟก็สงบ รูมเมทผู้เป็นโอตาคุคงถึงเวลาที่จะเปิดเผยสกิลนั้นแล้วสินะ มนัสขยับกรอบแว่นพลันปรากฎแสงวิ้ง มุมปากระบายกว้างอย่างกับตัวร้าย ไม่สิ เหมือนตัวร้ายสุดๆ ต่างหาก

“ถ้าอย่างนั้นฉันจะช่วยนายก็ได้”

“จริงเหรอ!?” กันย์กระเด้งตัวขึ้นไปหามนัส คุกเข่ากุมมือมองด้วยสายตาประหนึ่งการ์ตูนสาวน้อยหวานแหววที่มีนัยน์ตาเป็นประกายระยิบระยับผิดมนุษย์

“แน่นอน หึหึ ขอแค่สามนาทีเท่านั้น…”

 

…สามนาทีผ่านไป ไวดั่งโกหก…

 

“เห็นไหมเท่านี้ก็เรียบร้อย ไม่มีกล้ามเลย” ดวงตาสีดำค้างแข็ง ไม่อยากจะเชื่อตอนนี้เขาไม่มีกล้ามแล้วจริงๆ เสียด้วย ชายผิวเข้มกลายเป็นหนุ่มหุ่นเพรียวบางประหนึ่งดาราเกาหลี ทว่ายังคงผิวแทนสีเข้มและใบหน้าหล่อเหลาอย่างโหดเหี้ยม …กำลังยืนฉีกยิ้มละลายใจอยู่ข้างๆ มะปราง

“…”

“เห็นไหม ฉันมันอัจฉริยะ”

“ใช่…” กันย์เว้นช่วงพูด “บอกตรงๆ ฉันนี่ทึ้งกับโปรแกรมโฟโต้ชอปมากเลย ไอ้บ้ามนัส!”

“เฮ้ย! อย่าทำอะไรเล็ปบี้ของฉันนะเว้ย!” เล็ปบี้ที่ว่าก็คือชื่อเลปท็อปสุดรักสุดห่วงของมนัสเพราะมันเต็มไปด้วยโด…การ์ตูนมากมายที่เขาบากบั่นตามเซฟตามเก็บตลอดหลายปีที่ผ่านมา ตอนนี้รูมเมททั้งสองกำลังพพยายามยื้อแย่งเครื่องคอมตัวน้อย(?) ไปมาอย่างกับเด็กประถมแย่งแตะฟุตบอลกันอีรุงตุงนัง

“ก็ไม่มีกล้ามแล้วไง!”

“เอานอกจอสิ นอกจอ!”

 

ทันใดนั้น!

เพล้ง! พะเล้ง พะเล้ง พะเล้ง พะเล้ง…

เสียงหน้าจอแตกกระจายเมื่อประทบลงพื้น จังหวะเดี๋ยวกับดวงใจที่ค่อยๆ หยุดเต้น รูม่านตาเบิกกว้าง สองมือไขว้คว้าหาเจ้าเทคโนโลยีที่ตกลงบนบพื้นตามแรงโน้มถ่วง เสียงเพล้งสะท้อนดังกังวานราวกับไม่มีจุดสิ้นสุด มนัสผละออกจากกันย์ โน้มตัวเข้าหาเครื่องคอมเพื่อนรักที่ไม่มีวันหาใครมาเทียบได้

ไม่ ไม่ ไม่ ไม่… เขาร้องเสียงสะท้อนไม่แพ้เสียงเพล้ง หยาดน้ำตาคลอเบ้าก่อนค่อยๆ ไหลออกมา มือบางลูบไปตามสัมผัสโลหะของเพื่อนรัก เขาโอบกอดมันอย่างอาลัยอาวรณ์ ปากกู่ร้องตะโกนพร่ำเพ้อหาเพื่อนที่จากไปอย่างสงบ

“กลับมา มะอ้า มะอ้า มะอ้า มะอ้า…” แล้วเสียงคร่ำครวญก็เงียบไป

 

กลับมาสู่ความเป็นจริง

“แงๆ เลปบี้น้อยของฉัน กลับมานะ กลับมา! แงๆ”

“ร้องเป็นเผาเต่าไปได้ กะอีกแค่ตกลงบนเตียงแค่นั้นเอง” อีกฝ่ายยืนแคะหูอย่างไม่ใยดี มนัสถึงกับหันควับมาทั้งน้ำตา “ถึงจะเป็นเตียง! แต่หน้าจอเลปบี้แตกนะเฟ้ย!”

“ไม่ใช่ไอ้นั้นมันเป็นสติ๊กเกอร์ที่นายติดไปเองเรอะ!?”

“ละ…” จริงสิ ลืมไปเลยว่าติดสติ๊กเกอร์ไว้หลอกชาวบ้าน มนัสคิด “แล้วเสียงดังเพล้ง พะเล้ง พะเล้ง พะเล้งล่ะ!?”

“มันมีที่ไหนเล่า! ไปหาหมอหูไป๊!”

อ้าวเหรอ มนัสหน้าเสียแต่เมื่อหน้าแตกแล้ว ก็ต้องแถให้ถึงที่สุด

“มะ ไม่รับมุกเลย นายมันพวกไม่รับมุก! ระวังมะปรางจะเลิกกับนายเพราะนายไม่รับมุก!”

“อย่ามาแช่งกันสิ!”

มนัสทิ้งศพเลปบี้ไว้มันเตียง หันไปคว้าคอเสื้ออีกฝ่ายพื่อดึงเข้ามาใกล้ๆ “ถามจริงเถอะ นายจะเปลี่ยนตัวเองไปทำไม ไม่ใช่เพราะไอ้กล้ามบ้าบอที่ใหญ่อย่างกับภูเขานี่เหรอที่นายทั้งพยายามฟิตร่างกายตัวเองแทบตายทั้งลากฉันเข้าไปช่วยนายฟิตจนเกือบตายไปกับนายอีกคน!”

“ถึงจะเป็นเรื่องที่ชอบ แต่ถ้าคนที่เราชอบไม่ชอบ เราก็ต้องอยากเปลี่ยนสิ!”

“นายกำลังจะบอกว่าต่อให้มะปรางขอให้นายเลิกออกกำลังกายไปตลอดชีวิต นายก็ยอมรึไง!?”

พลัน ดวงตาสีดำสั่นวูบเล็กน้อย

“กะ ก็คงทำล่ะมั้ง?”

พอเพื่อนพูดแบบนั้นใส่ มนัสถึงกับของขึ้น สลัดคราบโอตาคุเจ้าพ่อฟิกเกอร์ชั่วขณะแล้วสวมวิญญาณเพื่อนแมนๆ แสนดี

“กันย์ ฉันจะบอกอะไรให้ การที่เราอยากเปลี่ยนตัวเองเพื่อคนที่เรารักมันเป็นเรื่องดีก็จริง แต่ถึงขนาดต้องเลิกเป็นตัวเอง มันงี่เง่าเกินไป! จริงอยู่ที่ดาราเกาหลีมันหล่อ เท่แถมยังป๊อป แต่นายเคยถามมะปรางจริงๆ รึเปล่าว่าเธออยากมีแฟนหุ่นเพรียวบางแบบนั้น ฉันจะบอกให้อีกอย่างในโลกโอตาคุน่ะ สำหรับโอตาคุสาววายแล้ว หนุ่มพลังK หรือพวกที่มีกล้ามเยอะๆ ก็เป็นหนึ่งในสายได้รับความนิยมไม่แพ้โชตะ(เด็กผู้ชาย)กับโอจิค่อน(คุณลุง) นะ! ดังนั้นเลิกบอกว่าจะเปลี่ยนแบบไร้ตรรกะอย่างนี้สักทีเถอะ เห็นแล้วมันงี่เง่าเกินทน!”

“มนัส…” กันย์มองด้วยความซาบซึ้ง ถึงจะเป็นชายหนุ่มอกสามศอก กล้ามโตเหมือนภูเขาแถมใหญ่กว่าหัวเพื่อนรักเสียอีก แต่เขาเป็นคนอารมณ์อ่อนไหวง่ายนะ “ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจประโยคสุดท้ายเท่าไร โดยเฉพาะเรื่องอะไรเคไม่เค แต่นายพูดถูก!” ทั้งสองกุมมือกันแน่น หากฉากหลังเป็นฉากพระอาทิตย์อัสดงยามเย็น คงจะได้บรรยากาศความเข้าใจระหว่างลูกผู้ชายที่สมบูรณ์กว่านี้

“จะกล้ามเล็ก กล้ามโต กล้ามปูหรือกล้ามข้าวต้มมัด ถ้ามะปรางไม่ชอบนาย มันก็ไม่ใช่ตัวนาย แล้วทำไมนายต้องไปทุ่มเทกับคนที่เขาไม่ชอบนายที่ตัวตนล่ะ เพื่อนรัก”

“จริงด้วย ไม่ว่าจะกล้ามเนื้อแดง กล้ามเนื้อลายหรือกล้ามเนื้อขาวต่างก็มีความสำคัญทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นฉันก็ไม่ใช่ฉัน นายพูดถูก เพื่อนรัก”

“เพื่อนรัก”

“เพื่อนรัก”

“เพื่อนรัก!”

“เพื่อนรัก!”

“เพื่อนรัก!!”

“เพื่อนรัก!!”

ปัง! ปะอัง ปะอัง ปะอัง ปะอัง…

ตรงบานประตูซึ่งเปิดกว้าง ปรากฏร่างของสาว(เหลือ)น้อยในชุดนอนกระโปรงสีชมพู ใบหน้ากำลังมาร์กด้วยมาร์กหน้าสีเขียวอ่อน เผยเพียงดวงตาที่กำลังทมึงมองและริมฝีปากเคลือบริมสติกสีแดงสด

“คะ คุณผู้คุมหอ…” ทั้งสองเอ่ยพร้อมกัน หัวเราะพร้อมกัน และ

“รู้ไหมว่านี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว เสียงดังกันอยู่ได้ ไอ้เด็กไร้มารยาท! ย๊ากก!”

…ถึงฆาตพร้อมกัน…

 

เช้าวันรุ่งขึ้น กันย์มีนัดกับมะปรางไปเที่ยวห้าง ปล่อยให้มนัสที่มีฝ่ารอยฝ่ามือสีแดงแสดงถึงเรื่องเลวร้ายเมื่อวาน เหม่อมองฟ้าตรงไม้หินอ่อนโต๊ะเดิมกับนมรสสตรอว์เบอร์รี่ยี่ห้อเดิม

“เมฆตรงนั้นเป็นรูปสาวใส่บิกินี่ ส่วนตรงนู้นเป็นรูปสาวน้อยกำลังโบกมือให้ ส่วนตรงนั้นสาวน้อยกำลังปิดกระโปรงด้วยความเขินอาย”

เสียงเพลงดังขึ้นขัดจังหวะ เป็นเพลงภาษาญี่ปุ่นที่ร้องโดยโวคา –ติ๊ดดด— มนัสล้วงหยิบไอโฟนมาจากกระเป๋ากางเกง เบอร์ซึ่งโชว์อยู่ไม่ใช่ของใครอื่น

“ว่าไง กันย์มีไรเหรอ มะปรางเลิกกับแกแล้ว?”

“เปล่า”

“แล้วทำเสียงระริกเหมือนกำลังร้องไห้ทำไมล่ะ หรือว่ามะปรางกำลังจะบอกเลิกกับแก”

สูด!! คงเป็นเสียงคนปลายสายสูดน้ำหมูกตัวเองแรงๆ

“เลิกพูดว่าบอกเลิกหรือกำลังจะบอกเลิกได้แล้ว!”

มนัสสะดุ้ง “ขอโทษๆ แซวเล่นน้า มีอะไรเหรอ?”

กันย์เงียบอยู่นาน ฝ่ายมนัสกำลังคิดพิจารณาว่าเกิดอะไรขึ้น “หรือว่ามะปรางอยากให้นายหุ่นแบบดาราเกาหลีจริงๆ”

“ไม่ใช่หรอก ฉันถามมะปรางแล้ว เขาบอกว่าเป็นอย่างนี้ก็ดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนหรอก ได้เป็นแฟนกับกันย์เหมือนมีรปภ.อยู่ข้างตัวตลอดเวลา รู้สึกปลอดภัยดี”

ยายแม่มด เธอกำลังหลอกคบกับเพื่อนฉันเพราะความปลอดภัยส่วนตัวใช่ไหม มนัสคิด

“แต่ว่า แต่ว่า…”

“ว่าอะไรเล่า อย่ามาอ้ำๆ อึ้งๆ นายไม่พูดฉันจะช่วยนายได้รึไง ไอ้เพื่อนรัก?”

“มนัส” น้ำเสียงซาบซึ้งดังจากคนปลายสาย “คือเรื่องที่มะปรางอยากไปดูคอนเสิร์ตน่ะ เขาจะให้ฉันจ่ายค่าตั๋วให้ แต่ตอนนี้เงินไม่พอ ถ้านายจะให้ฉันยืม…”

ติ๊ด!

ปุ่มสีแดงลูกศรสีแดงปรากฏขึ้นด้านบนหน้าจอ มนัสเลื่อนจากซ้ายไปขวาอย่างไม่ลังเลก่อนจะเก็บมันเข้ากระเป๋าแล้วเหม่อมองท้องฟ้าไปพลางดื่มนมสตรอว์เบอร์รี่ของโปรดไปพลาง

“เมฆก้อนนั้นเป็นรูปสาวน้อยกำลังหกล้มแล้วกางเกงในโผล่ ส่วนรูปนู้น…”

 

จบ

 

เรื่อง กล้าม

 

รู้ไหม ความกังวลใจของชายหนุ่มรูปหล่อ หน้าตาดี มีกล้ามคืออะไร?

ก็กังวลเรื่อง…

 

“เฮ้ย กล้ามเนี่ย…มันลดขนาดยังไงเหรอ?”

พรวด!! พ่อหนุ่มแว่นเจ้าของฉายาเจ้าพ่อตุ๊กตาพ่นนมสตรอว์เบอร์รี่ใส่หน้าคนถาม นอกจากจะไม่ขอโทษยังไม่สนใจนมสีชมพูที่กำลังไหลเหยิ้มไปทั่วหน้า(เกือบ)เหี้ยมของเพื่อนสนิทอีกด้วย

เกิดมาเกือบจะครบนักกษัตรอีกรอบแล้ว มันกลับถามว่าลดกล้ามทำยังไง ทำไมถึงไม่ถามตั้งแต่เมื่อสิบปีที่แล้ว “มาถามอะไรเอาตอนนี้เล่า” โตตัวจะเท่าช้างม้าวัวควายผสมกันอยู่แล้ว ต่อให้โด๊ปมันฝรั่งทอดทุกวันกล้ามก็ไม่ลดลงหรอก โดยเฉพาะกับนักกีฬาดีกรีเหรียญทองจังหวัดที่เมื่อก่อนนอกจากวิ่ง วิดพื้น ซิกอัพทุกวันวันละสามสิบรอบแล้วก็คิดอย่างอื่นไม่เป็น มนัสเอามือก่ายหน้าผากอย่างจนปัญญา

“ควรขอบคุณแฟนนายดีไหมที่ช่วยทำให้นายเริ่มเป็นผู้เป็นคนมากขึ้น”

“อย่ามาว่าแฟนฉัน”

“โทษๆ ลืมไป นางเป็นเทพธิดาบนหิ้งในห้องนายไปแล้วนิ”

“จริงจังหน่อย” กันย์เริ่มขึ้นเสียงสูง ก่อนจะกดลงต่ำพยายามบิวอารมณ์ให้มนัสกลัวเต็มที่ “บอกมาไอ้เนิร์ดคลั่งตุ๊กตา ทำยังไงถึงจะลดกล้ามได้”

มนัสกรอกตาไปมา “อย่างแรก ฉันไม่ได้เล่นตุ๊กตา เขาเรียกว่าฟิกเกอร์เว้ย!”

เขาหยิบซองกระดาษทิชชู่โยนให้กันย์ “อย่างที่สอง คิดยังไงถึงจะมาลดกล้าม นายเป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอว่าอยากเล่นกล้ามเหมือนพวกนักมวยปล้ำ แล้วไหงตอนนี้ถึงอยากลด กล้ามนะเฟ้ยไม่ใช่ไขมัน จู่ๆ บอกให้ลด มันทำได้ที่ไหนกัน”

ไม่ว่าจะมองมุมไหน กันย์ที่ทั้งฮอตและป๊อปจนได้ขึ้นทำเนียบสิบสุดยอดชายหนุ่มประจำมหาวิทยาลัยด้วยกล้ามแขน กล้ามขาสวยๆ ไม่รวมซิกแพ็คที่ผู้หญิงเห็นละลาย ผู้ชายมองเป็นอิจฉา ทั้งที่เจ้าตัวใช่เวลาหลายปีเพื่อสร้างและทะนุทนอมกล้ามโตๆ ของตัวเองจนมนัสแอบคิดว่าเพื่อนเขาต้องขอกล้ามแต่งงานเข้าสักวันหนึ่งแน่ ตอนนี้กลับมานั่งตีหน้าเครียดบอกว่าไม่อยากได้กล้ามแล้ว สิ่งเดียวที่เด็กเนิร์ดพอจะคิดออกก็มีแค่ยายมะปราง แฟนรุ่นน้องสุดที่รักของกันย์

ที่จริงมะปรางอายุเท่ากับพวกเขา แต่ซิ่วมาหนึ่งปีจึงเรียนกับพวกรุ่นน้อง ไม่ใช่คนสวยอะไรมาก แต่นับว่าน่ารักพอตัว เมื่อต้นปีที่แล้วไม่รู้โดนยายนั่นเป่าอะไรใส่หูมา กันย์ถึงกับยอมพลีกายถวายหัวขนาดนี้

หรือว่าจะโดนมนต์ดำ?

“แต่ฉันต้องลดให้ได้เฟ้ย! ในฐานะเพื่อน นายจะไม่ช่วยเพื่อนหน่อยรึไง ไอ้เนิร์ด!”

“ไม่ได้เนิร์ดเฟ้ย! เขาเรียกว่าเท่สไตส์หนุ่มแว่น กำลังฮอตอยู่ไม่รู้รึไง!” มนัสเถียงกลับ “แล้วกล้ามน่ะมันเป็นก้อนเนื้อ รู้จักไหมก้อนเนื้อ พวกกล้ามเนื้อแดง กล้ามเนื้อลาย กล้ามเนื้อขาว! แล้วนายเคยเห็นก้อนเนื้อละลายน้ำไหมเล่า! ไขมันก็ว่าไปอย่าง ต่อให้ฉลาดฟ้าประทานแบบไอสไตน์ก็ทำไม่ได้ภายในคืนเดียวหรอกเว้ย!”

“งั้นก็ฉลาดกว่าไอสไตน์สิ ไอ้บ้า!”

“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำน่ะ ไอ้บ้ากว่า!”

เพื่อนหน้าตาเหี้ยมๆ ท่าทางอย่างกับนักเลงโตกระแทกหน้าผากลงพื้นโต๊ะ จากนั้นขยี้ผมตัวเองจนยุ่งเหยิงก่อนจะหยุดไปเหมือนคอมพิวเตอร์ถูกชัตดาวน์ มนัสตีหน้าเรียบจ้องไปเรื่อยๆ อีกไม่นานศพนายกันย์ก็คงฟื้นคืนชีพอย่างที่เป็นมาตลอด เพราะไอ้หมอนี่ตายยากยิ่งกว่าแมลงสาบ ถึงจะเถียงเขาแพ้เป็นร้อยรอบมันก็ไม่เข็ด น่าจับไปเล่นซีรี่ย์วอคกิ้ง—ติ๊ดดดด—จริงๆ

กันย์ฟื้นคืนชีพช้าๆ พนมสองมือตรงอก ไหว้สวยงามประหนึ่งนางงามจักรวาล

“ขอร้องล่ะครับ คุณมนัสที่เคารพ กรุณาบอกวิธีลดกล้ามให้ข้าน้อยด้วยเถิด”

มนัสใช้กล่องนมเปล่าๆ เคาะหัว “ถ้ายังฟังภาษาคนไม่รู้เรื่อง เดี๋ยจับไปเรียนก.ไก่ถึงฮ.นกฮูกใหม่ตั้งแต่อนุบาลเลย ดีไหมล่ะ?” เขาเท้าคางมองเพื่อนที่ยังเป็นรูปปั้นเทวดาพนมมือไม่เปลี่ยน ท่าทางจริงจังจนนึกสงสารผู้ให้กำเนิด ควรจะอธิบายให้ฟังยังไงดีว่าต่อให้ตายกล้ามมันก็ใช่จะลดได้ง่ายๆ มนัสถอนหายใจ “แล้วคิดยังไง จู่ๆ ถึงได้อยากลดกล้ามขึ้นมาล่ะ พ่อกล้ามปู?”

“เพราะ…”

กริ๊งงง! ถ้าเป็นนิยายรักกุ๊กกิ๊กในโรงเรียน คงไม่แคล้วมีเสียงออดดังเสียดแทงใจ เสียดายที่เรื่องนี้เป็นนิยายของหนุ่มกล้ามกลัดกลุ้มกับโอตาคุหน้าตาเกือบดีที่นั่งบื้อไม่มีอะไรทำอยู่ในสวนไม้หินอ่อนเพราะอาจารย์ยกเซ็ตคาบบ่ายทั้งคาบ ชีวิตมหาลัยมีเรื่องกลุ้มใจเยอะ พอถึงช่วงว่างเลยต้องระบายความกลุ้มอกกลุ้มใจก่อนที่จะไม่มีเวลาได้ทำ

ชีวิตวัยรุ่นมันก็อย่างนี่แหละ โดยเฉพาะหนุ่มๆ ในนิยายเรื่องนี้

“เพราะมะปรางบอกว่าดาราเกาหลีน่ารัก อยากไปงานคอนเสิร์ต”

“…”

โลจิกหรือ Logic ที่แปลว่าตรรกะ ลอยอยู่เต็มหน้ามนัสพร้อมเครื่องหมายสงสัย อยากถามใจจะขาดว่าตรรกะมีปัญหาเหรอหรือว่าโดนมนต์ดำจนหน้ามืดตามัวไปแล้ว

“นั่นมันปัญหาบ้าอะไรฟร่ะ!!?”

ปั่ก! กล่องพลาสติกลายน้องวัวยิ้มแป้นสีชมพูหวาน หลับตาแลบลิ้นเพิ่มความน่ารักน่าชังที่พวกโอตาคุเรียกว่าโมเอะเข้าไปพุ่งเข้าใส่กลางกบาลเพื่อนที่ท่าทางตอนนี้หลักตรรกะขั้นพื้นฐานจะโดนกัดกร่อนเป็นโพรงเหมือนก้อนชีสไปแล้ว

“นายกำลังจะบอกว่าเพราะมะปรางชมว่าดาราเกาหลีน่ารัก เพราะมะปรางอยากไปงานคอนเสิร์ตดาราเกาหลี นายถึงขนาดอยากลดกล้ามตัวเองเพื่อจะได้เหมือนพวกดาราเกาหลีเลยเหรอ!?”

กันย์หลุบตาต่ำ “ก็…ใช่”

ไม่นะ สมองเพื่อนเขามีปัญหาแน่ๆ ยายแม่มดมะปรางต้องกำลังร่ายมนต์ดำไม่ก็กำลังล้างสมองหรือทำทั้งสองอย่างกับกันย์! แต่อีกทฤษฎีหนึ่งก็คือ…มันบื้อไปเอง

“แต่ยายนั่นยังไม่ได้บอกเลยว่าอยากให้นายเป็นเหมือนพวกนั้นไม่ใช่เหรอ?”

เขามองเพื่อนที่เมื่อก่อนแสนจะภูมิใจในกล้ามที่มีขนาดใหญ่กว่าหัวเขาเองเสียอีก ตอนเข้ามหาวิทยาลัยใหม่ๆ หมอนี่เที่ยวไปเบ่งกล้ามอวดคนนู้นคนนี้ไปทั่ว สีผิวก็แทนแบบแมนๆ ไม่นับหน้าตาออกแนวโหด โฉด ชั่วอย่างกับโจรแต่ก็หล่อเหลือร้ายยิ่งกว่าพระเอกฮอลลีวูด อีกอย่างเขาว่าเพื่อนเขาไม่ได้บื้อขนาดนั้น หรือว่านี่คือพลังแห่งรัก!?

“ก็เขาชอบ ก็ต้องแปลว่าเขาอยากให้ฉันเป็นแบบนั้นเหมือนกันสิ!”

“นายนี่มัน…!?” โง่ บ้า บื้อหรือปัญญาอ่อน ถึงกับด่าไม่ถูกทีเดียว

“ยังไงฉันก็จะต้องลดกล้ามกับขนาดตัวลงให้ได้!” กันย์กล่าวอย่างจริงจัง ถึงจะเป็นความปราถนามันออกจะ –ละไว้ในฐานที่เข้าใจ— ไปหน่อย แต่เห็นเพื่อนจริงจังกับเรื่องอื่นนอกจากฟิตร่างกายไปวันๆ ก็อดเอาใจช่วยไม่ได้

หนุ่มแว่นเปลี่ยนท่านั่งเป็นท่ากอดอกแทน “ฉันละซาบซึ้งถึงทรวงกับความรักของนายจริงๆ” มนัสเสยตามองกันย์ซึ่งนั่งอยู่อีกฝั่ง “แต่อะไรที่เปลี่ยนไม่ได้มันก็คือเปลี่ยนไม่ได้”

ปัง!!

“ฉันผิดหวังกับนายจริงๆ ทั้งที่คิดว่าเราเป็นเพื่อนกันแท้ๆ”นักกีฬาเผยสีหน้าผิดหวังแกมเจ็บปวดนิดๆ แล้วเดินจากไป มนัสถึงกับนั่งตาค้าง อ้าปากหวอ นี่มันยิ่งกว่าปรากฎการณ์ฝนอุกกาบาตพุ่งชนโลกซะอีก นี่เขาโดนกันย์งอนเหรอ!? เอาจริงดิ!? แถมยังน้อยอกน้อยใจเพราะเรื่องงี่เง่าที่ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้ซะด้วย

“ถ้าจะตามืดบอดขนาดนี้ แล้วหมอนั่นจะมาเรียนคณะวิทยาศาสตร์ไปทำไมเนี่ย?” เขาควักนมสตอร์เบอร์รี่สำรองขึ้นมา แอบนึกเสียดายตอนมันพุ่งออกจากปาก นึกเสียดายยิ่งกว่าตอนไปเปื้อนหน้ากันย์ที่กำลังเหี้ยมได้ที หลอดดูดสีขาวเจาะเข้าตรงจุด มนัสดื่มนมด้วยอารมณ์กึ่งๆ ไม่สบายใจก่อนเดินจากไป

 

ไปไหนล่ะ?

ก็กลับมาที่หอล่ะสิ

แล้วถ้าถามว่าใครเป็นรูมเมทล่ะก็…

กล่องนมสีชมพูกล่องที่สองลอยละลิ่วเข้าถังขยะตรงมุมห้องพอดิบพอดี เพื่อนรวมห้องที่กำลังนอนฟังเพลงอย่างสบายใจวิดพื้นอยู่บนเตียงไม้ที่ฟูกถูกวางกองอยู่ข้างๆพลางเปิดอ่านนิตยสารไปด้วย

ใช่ วิดพื้นอยู่บนเตียงไม้ไร้ฟูก

หรือนี่จะเป็นหนึ่งในวิธีลดกล้ามของมัน?

“เฮ้ย กันย์”

ไร้เสียงตอบรับ

“กันย์ กันย์”

ไร้ซึ่งสัญญาณเหมือนเก่า

“กันย์! กันย์! โว้ย! ไอ้กล้ามข้าวต้มมัด!!”

“ใครบอกว่ากล้ามข้าวต้มมัด!” หูฟังถูกกระชากสายแทบขาด โชคดีที่เป็นหูฟังราคาตัวละ 199 บาทตามท้องตลาดไม่ใช่ยี่ห้อตัวอักษรย่อบีที่มีราคาหลักพันหลักหมื่น แบบนั้นมนัสต้องน้ำตาไหลตายแน่ กันย์ในชุดเสื้อกล้ามโชว์สัดส่วนสวยๆ อย่างนักกีฬากำลังฟังเพลง น้ำตาคลอเบ้า

“นี่นายเศร้าขนาดร้องไห้เลยเหรอ?”

“ทำหน้าแบบนั้นหมายความว่าไง?”

“ก็กำลังคิดว่านายนี่งี่เง่าไร้ทางเยียวยาแล้วยังไงล่ะ”

“เฮอะ!”

แล้วเจ้าหนุ่มกล้ามโตก็พลิกไปอีกทาง สร้างโลกส่วนตัวครอบประหนึ่งโลงกระจกแก้วของยายสโนว์ไวท์ตอนนอนรอจุมพิตอยู่กลางป่า

“มีใครเคยบอกไหมว่านายมันโคตรสาวน้อยจริงๆ” อยากรู้นักว่ามะปรางทนคบกับเจ้ายักษ์กล้ามโตนี่ได้ยังไง ถึงจะไม่ได้อวยยายนั้นมากมายแต่มนัสเชื่อว่าเธอหาได้ดีกว่านี้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นแฟนที่มีสติมากกว่านี้แน่ๆ มนัสฟันธง!

“มี นายไง”

“นี่นายยังงอนฉันอยู่อีกเหรอ?” เพราะพูดโดยไม่ยอมสบตา เห็นแล้วอยากเข้าไปถีบสักเปรี้ยงจริงเชียว จะอะไรมากมายกับเรื่องกล้ามโต? หรือว่าดาราเกาหลีไม่มีกล้ามรึไง “มั่นใจในตัวเองหน่อยสิ ไอ้เรื่องมีกล้ามหรือไม่มีกล้ามฉันว่าไม่เห็นจะเกี่ยวกับการเป็นแฟนมะปรางเลยนะ”

“เกี่ยวสิ คนโสดอย่างนายจะไปเข้าใจอะไร”

โป๊ก!! ชายร่างโตร้องโวยวาย “ทำบ้าอะไรของนาย มนัส! มันเจ็บนะ!”

“กำปั้นจากคนโสดไงเล่า ไอ้กล้ามปูข้าวต้มมัด!”

มนัสเลี่ยงตัวเดินไปอีกทาง ก่อนทิ้งตัวลงบนเตียงนอน ส่วนกระเป๋าสะพายก็เหวี่ยงไปอีกทางชนกับประตูดังปัง! มือคว้าซองหมากฝรั่งข้างๆ แกะเปลือกออกแล้วโยนเข้าปากเคี้ยวเสียงดังจั๊บๆ

ที่จริงกันย์กับมนัสเป็นเพื่อนข้างบ้าน รู้จักมักจี่มาตั้งแต่เด็ก เรียนที่เดียวกัน มหาวิทยาลัยก็สอบเข้าที่เดียวกัน คณะเดียวกัน คิดดูสิ เพราะเป็นเพื่อนตั้งแต่ยังหัดตั้งไข่ มนัสต้องทนฟังเพื่อนบ้ากล้ามเนื้อบ่นว่าวันนี้ต้องออกกำลังกายเท่านี้ๆ วิ่งเท่านี้ วิดพื้นเท่านี้ แล้วยังต้องมาช่วยเอาสายวัดวัดกล้ามแขนกล้ามขาพร้อมจดค่าตัวเลขลงบันทึกสมุดทุกวัน ต้องเป็นธุระเดินไปซื้อน้ำยานวดทุกเดือน มิหนำซ้ำเวลากันย์ฟิตหุ่น เขายังต้องไปนั่งเฝ้า เพราะอีกฝ่ายจะงอแงถ้าต้อง(อวดกล้าม)อยู่คนเดียว

พอเข้าสู่ช่วงชีวิตวัยรุ่น นอกจากเป็นกระสอบทรายให้กันย์ซ้อมท่ามวยปล้ำ จดเลคเชอร์ให้แล้วยังต้องวิ่งวุ่นตามล้างตามเช็คความน่าเอน็ดอนาถเวลาเพื่อนเบ่งกล้ามโชว์พลังต่อหน้าสาวๆ จนแฟนพวกหล่อนจะยกพวกพร้อมไม้หน้าสามมาตีให้ตาย! เป็นเพื่อนกับหมอนี่มีแต่ขาดทุน ดีที่เรื่องนี้ไม่วาย ไม่งั้นพวกเขาต้องมาจักกะดึ๊ยๆ ตั้งแต่สมัยมัธยมต้น แต่ก็เพราะไม่วายเนี่ยแหละ ถึงได้มานั่งปวดหัวกับกล้ามที่กันย์พยายามสร้างแทบเป็นแทบตาย(โดยมีมนัสเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนหลักแบบบีบบังคับ)

“ถ้ากล้ามหายไปแล้ว นายไม่เสียดายบ้างรึไง?”

กันย์ที่กำลังยกดัมเบลหันมา “สำหรับฉัน มะปรางเป็นที่หนึ่ง”

“แต่ยายนั้นก็ไม่ได้บอกว่าอยากให้นายเป็นเหมือนดาราเกาหลีนี่?”

“ก็มะปรางบอกว่าชอบดาราเกาหลี แปลว่าถ้าฉันเหมือนพวกนั้น มะปรางก็ต้องชอบฉันมากขึ้นด้วยสิ” คนตอบแอบหน้าแดง มนัสพ่นลม จะว่าตลกก็ใช่ตรรกะวิบัติก็ไม่ผิด ถึงผู้หญิงจะชอบพวกดาราแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเธออยากแต่งงานกับพวกนั้นจริงๆ สักหน่อย

“นี่มนัส”

“อะไร?”

“ถ้าหน้ามันศัลฯได้ แกว่ากล้ามมันจะศัลฯได้บ้างไหม?”

“…”

“…”

หนุ่มโอตาคุที่กำลังเริ่มเคลิ้มไปกับฟิกเกอร์ข้างเตียง หลุดพรวดพราดขึ้นมา “สมองนายต่างหากที่สมควรถูกศัลยกรรม! รอยหยักมีไว้ประดับรึไง ฉันจะไปฟ้องอาจารย์ชีวะฯ ว่านายมันพวกสอนหูซ้ายทะลุหูขวา!”

“ก็ถามเผื่อมันศัลฯได้!”

“มันจะไปทำได้ยังไง แล่กล้ามเนื้อออกไปรึไง!?”

“แบบเนื้อวัวน่ะนะ ก็เข้าท่าดีนิ” กันย์ลูบคางพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดตัวเอง ขณะที่มนัสชักอยากจะร้องกรี๊ดให้ดังไปถึงดาวอังคาร

“โว้ย! ประสาทกลับ! ประสาทกลับ! ประสาทกลับ!”

มนัสหยิบหมอนขึ้นมาแล้วกระหนำทุบลงเตียงไม่ยั้งทั้งยังกรีดร้องอย่างกับมีใครเสียเพียงเพราะกำลังพยายามไม่ระบายอารมณ์โกรธใส่เพื่อนที่สติสตังไม่สมบูรณ์(อีกต่อไป)

 

แฮ่ก แฮ่ก หลังจากกระหนำทุบจนเหนื่อย(เหงื่อไหล) กันย์นั่งมองอยู่บนเตียง เขารู้ว่าปล่อยไปสักพักประเดี๋ยวภูเขาไฟก็สงบ รูมเมทผู้เป็นโอตาคุคงถึงเวลาที่จะเปิดเผยสกิลนั้นแล้วสินะ มนัสขยับกรอบแว่นพลันปรากฎแสงวิ้ง มุมปากระบายกว้างอย่างกับตัวร้าย ไม่สิ เหมือนตัวร้ายสุดๆ ต่างหาก

“ถ้าอย่างนั้นฉันจะช่วยนายก็ได้”

“จริงเหรอ!?” กันย์กระเด้งตัวขึ้นไปหามนัส คุกเข่ากุมมือมองด้วยสายตาประหนึ่งการ์ตูนสาวน้อยหวานแหววที่มีนัยน์ตาเป็นประกายระยิบระยับผิดมนุษย์

“แน่นอน หึหึ ขอแค่สามนาทีเท่านั้น…”

 

…สามนาทีผ่านไป ไวดั่งโกหก…

 

“เห็นไหมเท่านี้ก็เรียบร้อย ไม่มีกล้ามเลย” ดวงตาสีดำค้างแข็ง ไม่อยากจะเชื่อตอนนี้เขาไม่มีกล้ามแล้วจริงๆ เสียด้วย ชายผิวเข้มกลายเป็นหนุ่มหุ่นเพรียวบางประหนึ่งดาราเกาหลี ทว่ายังคงผิวแทนสีเข้มและใบหน้าหล่อเหลาอย่างโหดเหี้ยม …กำลังยืนฉีกยิ้มละลายใจอยู่ข้างๆ มะปราง

“…”

“เห็นไหม ฉันมันอัจฉริยะ”

“ใช่…” กันย์เว้นช่วงพูด “บอกตรงๆ ฉันนี่ทึ้งกับโปรแกรมโฟโต้ชอปมากเลย ไอ้บ้ามนัส!”

“เฮ้ย! อย่าทำอะไรเล็ปบี้ของฉันนะเว้ย!” เล็ปบี้ที่ว่าก็คือชื่อเลปท็อปสุดรักสุดห่วงของมนัสเพราะมันเต็มไปด้วยโด…การ์ตูนมากมายที่เขาบากบั่นตามเซฟตามเก็บตลอดหลายปีที่ผ่านมา ตอนนี้รูมเมททั้งสองกำลังพพยายามยื้อแย่งเครื่องคอมตัวน้อย(?) ไปมาอย่างกับเด็กประถมแย่งแตะฟุตบอลกันอีรุงตุงนัง

“ก็ไม่มีกล้ามแล้วไง!”

“เอานอกจอสิ นอกจอ!”

 

ทันใดนั้น!

เพล้ง! พะเล้ง พะเล้ง พะเล้ง พะเล้ง…

เสียงหน้าจอแตกกระจายเมื่อประทบลงพื้น จังหวะเดี๋ยวกับดวงใจที่ค่อยๆ หยุดเต้น รูม่านตาเบิกกว้าง สองมือไขว้คว้าหาเจ้าเทคโนโลยีที่ตกลงบนบพื้นตามแรงโน้มถ่วง เสียงเพล้งสะท้อนดังกังวานราวกับไม่มีจุดสิ้นสุด มนัสผละออกจากกันย์ โน้มตัวเข้าหาเครื่องคอมเพื่อนรักที่ไม่มีวันหาใครมาเทียบได้

ไม่ ไม่ ไม่ ไม่… เขาร้องเสียงสะท้อนไม่แพ้เสียงเพล้ง หยาดน้ำตาคลอเบ้าก่อนค่อยๆ ไหลออกมา มือบางลูบไปตามสัมผัสโลหะของเพื่อนรัก เขาโอบกอดมันอย่างอาลัยอาวรณ์ ปากกู่ร้องตะโกนพร่ำเพ้อหาเพื่อนที่จากไปอย่างสงบ

“กลับมา มะอ้า มะอ้า มะอ้า มะอ้า…” แล้วเสียงคร่ำครวญก็เงียบไป

 

กลับมาสู่ความเป็นจริง

“แงๆ เลปบี้น้อยของฉัน กลับมานะ กลับมา! แงๆ”

“ร้องเป็นเผาเต่าไปได้ กะอีกแค่ตกลงบนเตียงแค่นั้นเอง” อีกฝ่ายยืนแคะหูอย่างไม่ใยดี มนัสถึงกับหันควับมาทั้งน้ำตา “ถึงจะเป็นเตียง! แต่หน้าจอเลปบี้แตกนะเฟ้ย!”

“ไม่ใช่ไอ้นั้นมันเป็นสติ๊กเกอร์ที่นายติดไปเองเรอะ!?”

“ละ…” จริงสิ ลืมไปเลยว่าติดสติ๊กเกอร์ไว้หลอกชาวบ้าน มนัสคิด “แล้วเสียงดังเพล้ง พะเล้ง พะเล้ง พะเล้งล่ะ!?”

“มันมีที่ไหนเล่า! ไปหาหมอหูไป๊!”

อ้าวเหรอ มนัสหน้าเสียแต่เมื่อหน้าแตกแล้ว ก็ต้องแถให้ถึงที่สุด

“มะ ไม่รับมุกเลย นายมันพวกไม่รับมุก! ระวังมะปรางจะเลิกกับนายเพราะนายไม่รับมุก!”

“อย่ามาแช่งกันสิ!”

มนัสทิ้งศพเลปบี้ไว้มันเตียง หันไปคว้าคอเสื้ออีกฝ่ายพื่อดึงเข้ามาใกล้ๆ “ถามจริงเถอะ นายจะเปลี่ยนตัวเองไปทำไม ไม่ใช่เพราะไอ้กล้ามบ้าบอที่ใหญ่อย่างกับภูเขานี่เหรอที่นายทั้งพยายามฟิตร่างกายตัวเองแทบตายทั้งลากฉันเข้าไปช่วยนายฟิตจนเกือบตายไปกับนายอีกคน!”

“ถึงจะเป็นเรื่องที่ชอบ แต่ถ้าคนที่เราชอบไม่ชอบ เราก็ต้องอยากเปลี่ยนสิ!”

“นายกำลังจะบอกว่าต่อให้มะปรางขอให้นายเลิกออกกำลังกายไปตลอดชีวิต นายก็ยอมรึไง!?”

พลัน ดวงตาสีดำสั่นวูบเล็กน้อย

“กะ ก็คงทำล่ะมั้ง?”

พอเพื่อนพูดแบบนั้นใส่ มนัสถึงกับของขึ้น สลัดคราบโอตาคุเจ้าพ่อฟิกเกอร์ชั่วขณะแล้วสวมวิญญาณเพื่อนแมนๆ แสนดี

“กันย์ ฉันจะบอกอะไรให้ การที่เราอยากเปลี่ยนตัวเองเพื่อคนที่เรารักมันเป็นเรื่องดีก็จริง แต่ถึงขนาดต้องเลิกเป็นตัวเอง มันงี่เง่าเกินไป! จริงอยู่ที่ดาราเกาหลีมันหล่อ เท่แถมยังป๊อป แต่นายเคยถามมะปรางจริงๆ รึเปล่าว่าเธออยากมีแฟนหุ่นเพรียวบางแบบนั้น ฉันจะบอกให้อีกอย่างในโลกโอตาคุน่ะ สำหรับโอตาคุสาววายแล้ว หนุ่มพลังK หรือพวกที่มีกล้ามเยอะๆ ก็เป็นหนึ่งในสายได้รับความนิยมไม่แพ้โชตะ(เด็กผู้ชาย)กับโอจิค่อน(คุณลุง) นะ! ดังนั้นเลิกบอกว่าจะเปลี่ยนแบบไร้ตรรกะอย่างนี้สักทีเถอะ เห็นแล้วมันงี่เง่าเกินทน!”

“มนัส…” กันย์มองด้วยความซาบซึ้ง ถึงจะเป็นชายหนุ่มอกสามศอก กล้ามโตเหมือนภูเขาแถมใหญ่กว่าหัวเพื่อนรักเสียอีก แต่เขาเป็นคนอารมณ์อ่อนไหวง่ายนะ “ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจประโยคสุดท้ายเท่าไร โดยเฉพาะเรื่องอะไรเคไม่เค แต่นายพูดถูก!” ทั้งสองกุมมือกันแน่น หากฉากหลังเป็นฉากพระอาทิตย์อัสดงยามเย็น คงจะได้บรรยากาศความเข้าใจระหว่างลูกผู้ชายที่สมบูรณ์กว่านี้

“จะกล้ามเล็ก กล้ามโต กล้ามปูหรือกล้ามข้าวต้มมัด ถ้ามะปรางไม่ชอบนาย มันก็ไม่ใช่ตัวนาย แล้วทำไมนายต้องไปทุ่มเทกับคนที่เขาไม่ชอบนายที่ตัวตนล่ะ เพื่อนรัก”

“จริงด้วย ไม่ว่าจะกล้ามเนื้อแดง กล้ามเนื้อลายหรือกล้ามเนื้อขาวต่างก็มีความสำคัญทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นฉันก็ไม่ใช่ฉัน นายพูดถูก เพื่อนรัก”

“เพื่อนรัก”

“เพื่อนรัก”

“เพื่อนรัก!”

“เพื่อนรัก!”

“เพื่อนรัก!!”

“เพื่อนรัก!!”

ปัง! ปะอัง ปะอัง ปะอัง ปะอัง…

ตรงบานประตูซึ่งเปิดกว้าง ปรากฏร่างของสาว(เหลือ)น้อยในชุดนอนกระโปรงสีชมพู ใบหน้ากำลังมาร์กด้วยมาร์กหน้าสีเขียวอ่อน เผยเพียงดวงตาที่กำลังทมึงมองและริมฝีปากเคลือบริมสติกสีแดงสด

“คะ คุณผู้คุมหอ…” ทั้งสองเอ่ยพร้อมกัน หัวเราะพร้อมกัน และ

“รู้ไหมว่านี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว เสียงดังกันอยู่ได้ ไอ้เด็กไร้มารยาท! ย๊ากก!”

…ถึงฆาตพร้อมกัน…

 

เช้าวันรุ่งขึ้น กันย์มีนัดกับมะปรางไปเที่ยวห้าง ปล่อยให้มนัสที่มีฝ่ารอยฝ่ามือสีแดงแสดงถึงเรื่องเลวร้ายเมื่อวาน เหม่อมองฟ้าตรงไม้หินอ่อนโต๊ะเดิมกับนมรสสตรอว์เบอร์รี่ยี่ห้อเดิม

“เมฆตรงนั้นเป็นรูปสาวใส่บิกินี่ ส่วนตรงนู้นเป็นรูปสาวน้อยกำลังโบกมือให้ ส่วนตรงนั้นสาวน้อยกำลังปิดกระโปรงด้วยความเขินอาย”

เสียงเพลงดังขึ้นขัดจังหวะ เป็นเพลงภาษาญี่ปุ่นที่ร้องโดยโวคา –ติ๊ดดด— มนัสล้วงหยิบไอโฟนมาจากกระเป๋ากางเกง เบอร์ซึ่งโชว์อยู่ไม่ใช่ของใครอื่น

“ว่าไง กันย์มีไรเหรอ มะปรางเลิกกับแกแล้ว?”

“เปล่า”

“แล้วทำเสียงระริกเหมือนกำลังร้องไห้ทำไมล่ะ หรือว่ามะปรางกำลังจะบอกเลิกกับแก”

สูด!! คงเป็นเสียงคนปลายสายสูดน้ำหมูกตัวเองแรงๆ

“เลิกพูดว่าบอกเลิกหรือกำลังจะบอกเลิกได้แล้ว!”

มนัสสะดุ้ง “ขอโทษๆ แซวเล่นน้า มีอะไรเหรอ?”

กันย์เงียบอยู่นาน ฝ่ายมนัสกำลังคิดพิจารณาว่าเกิดอะไรขึ้น “หรือว่ามะปรางอยากให้นายหุ่นแบบดาราเกาหลีจริงๆ”

“ไม่ใช่หรอก ฉันถามมะปรางแล้ว เขาบอกว่าเป็นอย่างนี้ก็ดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนหรอก ได้เป็นแฟนกับกันย์เหมือนมีรปภ.อยู่ข้างตัวตลอดเวลา รู้สึกปลอดภัยดี”

ยายแม่มด เธอกำลังหลอกคบกับเพื่อนฉันเพราะความปลอดภัยส่วนตัวใช่ไหม มนัสคิด

“แต่ว่า แต่ว่า…”

“ว่าอะไรเล่า อย่ามาอ้ำๆ อึ้งๆ นายไม่พูดฉันจะช่วยนายได้รึไง ไอ้เพื่อนรัก?”

“มนัส” น้ำเสียงซาบซึ้งดังจากคนปลายสาย “คือเรื่องที่มะปรางอยากไปดูคอนเสิร์ตน่ะ เขาจะให้ฉันจ่ายค่าตั๋วให้ แต่ตอนนี้เงินไม่พอ ถ้านายจะให้ฉันยืม…”

ติ๊ด!

ปุ่มสีแดงลูกศรสีแดงปรากฏขึ้นด้านบนหน้าจอ มนัสเลื่อนจากซ้ายไปขวาอย่างไม่ลังเลก่อนจะเก็บมันเข้ากระเป๋าแล้วเหม่อมองท้องฟ้าไปพลางดื่มนมสตรอว์เบอร์รี่ของโปรดไปพลาง

“เมฆก้อนนั้นเป็นรูปสาวน้อยกำลังหกล้มแล้วกางเกงในโผล่ ส่วนรูปนู้น…”

 

จบ

 

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว