window of love
0
ตอน
2.02K
เข้าชม
139
ถูกใจ
0
ความคิดเห็น
0
เพิ่มลงคลัง

กราบสวัสดีทุกท่าน

 

ประการแรก เรื่องสั้นที่ท่านกำลังจะได้อ่านขณะนี้ อยู่ในหมวดประเภทชายรักชาย  ซึ่งคิดว่าท่านที่กดเข้ามารับชมคงจะทราบดีอยู่แล้ว

 

หากว่าท่านไม่ทราบและได้เกิดทะเล่อทะล่ากดเข้ามาดูชมโปรดกดปิดไปแล้วถือว่าเรานั้นไม่เคยได้พบพานกันมาก่อน

 

ประการต่อมา เรื่องสั้นเรื่องนี้  เคยจัดพิมพ์มาแล้วในฉบับฟิคชั่น ซึ่งมีนักร้องนำเป็นตัวละครเอก  หากว่าท่านใดเคยอ่านมาก่อนแล้ว โปรดเข้าใจได้ว่านี่มิใช่การลอกเลียนแบบผลงานแต่อย่างใด

 

เนื่องในโอกาสอันดีที่ได้สมัครเข้ามาสู่เวปธันวลัยเป็นวันแรก  จึงได้นำเรื่องสั้นอ่อนหวานละมุนใจมาฝากนักอ่านทุกท่านเป็นของขวัญกลางดึกเช่นนี้

 

ดั่งที่แจ้งแล้วว่าเรื่องสั้นนี้ เดิมทีเขียนในแบบฉบับฟิคชั่นที่ใช้นักร้องนำจากวงดนตรีหนึ่งเป็นตัวเอก

 

ณ ตอนนี้มีความคิดว่าเห็นทีเราจะลองเขียนนิยายวายดูบ้าง แต่เวล่ำเวลามันช่างจำกัดจำเขี่ยเสียเหลือเกิน  หากเราจะนั่งมะงุมมะงาหราเขียนเรื่องใหม่  คงต้องใช้เวลาอีกอักโข

 

เราจึงดำริว่าควรจะนำเรื่องที่เรามีอยู่แล้ว  มาลองแปลงบทเปลี่ยนตัวละครดูเสียใหม่  แต่คงอรรถรสความเป็นวายชนิดชายรักชายไว้ได้เต็มเปี่ยม จึงได้นึกถึงเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก  ค่าที่เป็นเรื่องสั้นอ่อนละมุน  อุ่นหัวใจ

 

ในฉบับฟิคชั่นนั้นเป็นเรื่องสั้นตอนเดียวจบ  ไม่มีตอนต่อ  แต่ในฉบับนิยายวายนั้น  อาจจะมีตอนต่อตามมาก็เป็นได้  สักตอนหรือสองตอน

 

จึงขอฝาก นักเขียนหนุ่มกรดล  และหนุ่มน้อยหลังบานหน้าต่างสีขาวที่ชื่อภากร  ไว้ในใจของทุกท่าน

 

ในฐานะนักเขียนหน้าใหม่  ดิฉันมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะรับฟังทุกความคิดเห็น และความรู้สึกของทุกท่านที่มีต่อเรื่องสั้นเรื่องนี้

 

 

หวังว่าทุกท่านจะชอบและมีความสุขไปกับหน้าต่างแห่งรักนี่นะคะ

 

 

White Window

 

หน้าต่างกระจกใสกรอบสีขาวบานนั้น

กรดลเฝ้ามองมาไม่รู้กี่วันแล้ว วันนี้หน้าต่างบานนั้นปิดสนิท  ผ้าม่านหนาหนักถูกรวบไว้เหลือเพียงม่านพรางตาผืนบางเบาที่ไม่อาจปิดกั้นห้องนั้นจากสายตาของคนนอก  มันเงียบ...ไร้การเคลื่อนไหวของผู้ที่อาศัยอยู่ภายใน

“ไปไหนนะ...”

กรดล  หรือกร นึกสงสัยระหว่างนั่งชิดริมหน้าต่าง  มือใหญ่  นิ้วเรียวยาวที่ปกติแสนจะคล่องแคล่วเวลาทำงาน  ขณะนี้มันกลับค้างเติ่งชะงักงันอยู่เหนือแป้นพิมพ์ของคอมพิวเตอร์  หนุ่มตัวโต  ผิวขาวจัดใบหน้าคมเข้มสลัดศีรษะไล่ความหงุดหงิดใจก่อนจะลุกไปหาเครื่องดื่มมาคลายอารมณ์  จิบโคล่าไปครึ่งกระป๋องแล้วกลับมานั่งที่เดิม

อีกครั้งที่มือสองข้างวางค้างไว้บนแป้นพิมพ์  กดก๊อกแก๊กไปได้สองสามตัวอักษรแล้วก็ลบทิ้งก่อนเริ่มพิมพ์ใหม่อีกหน  แล้วก็ลบมันทิ้งไปอีก  วนเวียนอยู่หลายครั้งหลายหนจนท้ายที่สุดก็ตัดสินใจเลิกทำงาน  เขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้หนังตัวใหญ่หลับตาผ่อนคลายจิตใจ

ในห้องสี่เหลี่ยมขนาดกลางความบันเทิงอย่างเดียวที่เขาชื่นชอบคือเสียงเพลง  กรดลไม่ชอบดูโทรทัศน์เพราะเปลืองเวลาการทำงาน  ถ้าอยากติดตามข่าวสารเขาเลือกที่จะอ่านเอาจากหนังสือพิมพ์หรือท่องโลกอินเทอร์เน็ตเท่านั้น

ชายหนุ่มกดรีโมตเปิดเพลงคลาสสิกจากเครื่องเสียงขนาดย่อมในห้อง  เขาชอบเสียงไวโอลินหวีดหวานยามทอดทำนองอ่อนเอื้อนราวสายน้ำเย็นไหลผ่านโขดหินลดเลี้ยวสาดเซาะลงมาชั้นต่อชั้น

กรดลเอนหลังพิงพนักโซฟา  อาชีพของเขาทำเงินได้ดีแม้ไม่ได้มากชนิดล้นฟ้าแต่มันก็ทำให้มีความสุขในการใช้ชีวิต  ห้องพักที่อาศัยอยู่เป็นห้องพักกลางเก่ากลางใหม่ไม่ใหญ่โตหรูหรา  แต่ก็เรียบโก้ในแบบที่เขาชอบ  ห้องสีน้ำตาลอาจจะดูเข้มขลังไปบ้างสำหรับใครอื่น แต่สำหรับเขา  สีเปลือกไม้เช่นนี้ทำให้เขารู้สึกสงบ  ใบห้องกว้างเรียบโล่งตกแต่งสไตล์มินิมอล  เน้นแนวคิดน้อยคือมาก  มีเฟอร์นิเจอร์แค่ที่จำเป็น  โต๊ะทำงานตัวใหญ่  ไฟสีนวลส่องสว่าง  ผ้าม่านสีครีม  เตียงใหญ่ในห้องนอน  และตู้เสื้อผ้าสีครีม  ทุกอย่างเรียบง่าย  แต่มีความงามในแบบของมัน   แม้ไม่ได้มีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครันแต่ก็พอเพียงกับการใช้ชีวิต  คนเราจะต้องการของใช้มากมายไปไย ในเมื่อในความเป็นจริงแล้ว  คุณก็ใช้เฉพาะแต่ของที่จำเป็นก็เท่านั้น   กรชอบแกล้งบอกใครต่อใครว่าอยู่ชั้นเพนท์เฮาส์  แหม มันดูหรูหราพิลึก  แต่ความเป็นจริงแล้ว  เขาเพียงแค่อยู่บนชั้นสูงสุดของอพารท์เมนต์กลางเก่ากลางใหม่แห่งนี้ก็เท่านั้น

ชีวิตของเขาเรียบง่ายมันเรียบง่ายเหลือเกินจนติดจะน่าเบื่อด้วยซ้ำ  ชายหนุ่มยกโคล่าขึ้นจิบอีกอึกหนึ่งก่อนจะหยิบหนังสือที่วางอยู่ข้างโต๊ะขึ้นมาอ่าน โดยมากก็เป็นบทกวีหรือหนังสือแปล   เขาดื่มด่ำไปกับตัวอักษรปล่อยจิตใจให้เพลิดเพลินไปกับความงดงามแห่งบทกวีที่ขับกล่อมไปพร้อมกันกับเสียงไวโอลินแว่วหวาน

ในความเรียบง่ายแบบนี้ เขาพึงพอใจมันมาตลอด

จนกระทั่งวันหนึ่ง

วันที่หน้าต่างสีขาวบานนั้นถูกเปิดออก

ภากร  หรือภา เด็กหนุ่มที่เพิ่งจะสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำในภาคเหนือ  เขาเป็นหนุ่มน้อยผิวขาวละเมียด  ใบหน้าอ่อนเยาว์  สดใส  มีรอยยิ้มยั่วเย้าเจิดจรัส  ดวงตาเป็นประกายสุกใส  ดั่งคนที่มองโลกอย่างสวยงาม  ภากรปาดเหงื่อที่หน้าผากมนเล็กน้อย  จากความเหนื่อยอ่อนที่ต้องขนกระเป๋าหลายใบขึ้นมาจากชั้นล่าง  ดีที่มีรถเข็นคันใหญ่  และคุณรปภ. หน้าดุแต่ใจดี  ช่วยขนของขึ้นรถมาให้  ไม่อย่างนั้น  เขาได้หลังหักตายก่อนพอดี

เขาย้ายเข้ามาอยู่ในอพาร์ตเม้นท์หรูหราราคาแพงที่สร้างตระหง่านอยู่ท่ามกลางชุมชนแออัดรอบข้าง  ดูแตกต่างประหลาดตาอย่างน่าขันยามเมื่อมองจากภายนอก  ที่อพาร์ตเมนท์หรูหราแห่งนี้มาอยู่ท่ามกลางแหล่งซ่อมซ่อรอบข้าง   แต่ภากรก็ไม่สนใจ  เขาชอบที่นี่  ค่าที่มันราคาไม่แพงเกินไปนัก  และใกล้กับที่ทำงานของเขา  มันช่วยประหยัดเวลาเดินทางในเมืองหลวงที่มีการจราจรจอแจแบบนี้ได้ไปมากโข

เด็กหนุ่มเปิดประตูห้องสีแดงสดออก  เขาชอบนักสีสันสดใสเช่นนี้ มันแจ่มจรัสเจิดจ้าสร้างความชื่นบานในชีวิต   กระเป๋าเดินทางใบแล้วใบเล่าถูกลำเลียงเข้ามาไว้ในห้องมันจัดแยกไปตามส่วนต่างๆ ทั้งห้องนอน ห้องรับแขก และห้องน้ำ  ภากรจัดเรียงข้าวของอย่างเพลิดเพลินชีวิตอิสระจากครอบครัวทำให้เขารู้สึกว่าทุกอย่างมันช่างตื่นเต้นเสียเหลือเกิน เด็กหนุ่มเปิดเพลงดังสนั่นทำนองเพลงเร่งเร้ารัวเร็วทำให้เขาอดไม่ได้ต้องโยกกายตาม

ภากรร้องเพลงไป เก็บของไปอย่างมีความสุขชีวิตของเขากำลังจะเริ่มต้น งานใหม่ เพื่อนใหม่  โลกทั้งโลกนี้เป็นของเขา เด็กหนุ่มเดินเข้าไปยังห้องนอนสีขาวขนาดกว้างขวางพอดูเตียงขนาดใหญ่ตั้งอยู่มุมห้องตรงด้านข้างของห้องนอนมีหน้าต่างขนาดใหญ่หนึ่งบานปิดสนิทอยู่  ภากรฮัมเพลงในลำคอ เขาไม่ค่อยชอบความอุดอู้ในห้องนี้เลย

เด็กหนุ่มเดินตรงไปยังบานหน้าต่างนั้น ออกแรงดันมันเบาๆบานหน้าต่างใหญ่โตก็เปิดออกอย่างง่ายดายแสงอาทิตย์อันอบอุ่นสาดส่องเข้ามาในห้องสีขาวสร้างความสว่างเจิดจ้าให้กับห้องนอนห้องใหม่ของเขา

เด็กหนุ่มยิ้ม มันเป็นยิ้มที่แย้มรับให้กับคนทั้งโลก

“เดี๋ยวค่อยหาผ้าม่านมาใส่ก็แล้วกัน  เอ๊ะตรงนี้มีระเบียงเล็กๆด้วย ดีจังหาต้นไม้มาปลูกน่าจะดี” ภากรรำพึงเบาๆ กับตัวเองก่อนจะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แล้วเดินเข้าไปจัดของในห้องต่อจนเรียบร้อย

ปล่อยบานหน้าต่างสีขาวนั้นเปิดอ้าเพื่อรับความสดใสใหม่ให้กับชีวิต

กรดลเดินวนกลับไปดูที่หน้าต่างบานเดิมอีกครั้งแล้วก็ต้องถอนหายใจอีกหน  เด็กคนนั้นหายไปไหนกันนะเด็กผู้ชายที่เปลี่ยนสีผมแทบจะทุกเดือนกี่เดือนกันแล้วที่เขาเห็นเด็กหนุ่มคนเดิมเดินออกมารดน้ำต้นไม้กระถางเล็กๆที่ริมหน้าต่างสีขาวเขาเฝ้าดูปากอิ่มนั้นขยับขึ้นลงเจรจาอยู่กับบรรดามวลดอกไม้เล็กจิ๋วสีสันสดใส  แม้ไม่ได้ยินเสียงจำนรรจาแต่จากอากัปกิริยาน่าดูชมเหล่านั้นก็เพียงพอแล้วที่จะเรียกรอยยิ้มให้เขาได้ในแต่ละวัน

บางวันในยามเช้า  ช่วงเวลาแห่งความเร่งรีบของคนกรุง  เขาจะเห็นเด็กหนุ่มรีบร้อนแต่งตัวเพื่อออกไปทำงาน  คนตัวเล็กจะวิ่งตึงตังไปรอบ ๆ ห้อง  บางครั้งก็ใส่แค่กางเกงในตัวเดียววิ่งร่อนหาเสื้อผ้าใส่จนครบ กรดลหัวเราะกับภาพที่เห็นเหล่านั้นทุกที

บางคราวเขาจะเห็นเด็กหนุ่มใส่หูฟังเดินวนไปมาร้องเพลงอยู่คนเดียวเป็นที่เพลินใจ  ก่อนภาพนั้นจะหายไปเมื่อเด็กหนุ่มเจ้าของห้องเดินลับมุมหน้าต่างไปอยู่ในจุดที่เขามองไม่เห็น

กรดลนึกอยากให้หน้าต่างสีขาวบานนั้นมันขยายขนาดให้เต็มฝาผนังทั้งด้านเสียเหลือเกิน

ภากรรดน้ำต้นไม้ไปพร้อมกับร้องเพลงคลอไปด้วยเบาๆ  เขาอาศัยอยู่บนชั้นหกของอพาร์ตเม้นท์จากห้องรับแขกเมื่อเปิดประตูระเบียงออกไปก็จะเห็นวิวสวนสาธารณะให้ผ่อนคลายอารมณ์ได้บ้าง แต่แย่หน่อยก็คือวิวฝั่งห้องนอนที่ไม่ดีเอาเสียเลยมันติดกับอาคารหอพักอีกแห่งหนึ่ง  ระยะไม่ได้ห่างกันมากนักแต่ไม่ถึงกับใกล้เสียจนชะโงกคุยกันได้

แต่ถึงยังไงภากรก็ไม่ชอบอยู่ดี

เขาไม่ชอบความมืดหม่นอึมครึมของมันเลยผนังปูนเปลือยนั้นมันคงดูดีกว่านี้ถ้าจะรู้จักบูรณะซ่อมแซมมันบ้างหรืออย่างน้อยทาสีทับก็ยังดีแต่นี่เล่นปล่อยให้ดูเก่าซ่อมซ่อเหมือนอาคารผีสิงไปได้

ยิ่งดูยิ่งขนลุกเป็นที่สุด ภากรรดน้ำต้นไม้จนเสร็จ ก่อนจะปิดบานหน้าต่างกระจกลง

“แย่จริง ยังไม่ได้ซื้อผ้าม่านเลย ไว้พรุ่งนี้ค่อยไปซื้อก็แล้วกัน”

ภากรผิวปากก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไปแต่งตัว

กรดลเสพติดหน้าต่างบานนั้นเสียแล้ว

เขาเสพติดละครชีวิต ที่ฉายผ่านหน้าต่างสีขาวบานใหญ่  ละครที่มีตัวเอกเป็นเด็กหนุ่มตัวเล็กผิวขาวจัดคนนั้นเข้าให้จนถอนตัวไม่ขึ้น

ชายหนุ่มลากโต๊ะทำงานมาไว้ที่ริมหน้าต่างเพื่อที่จะไม่ต้องเดินมาแอบดูบ่อยๆ เขาจิบกาแฟระหว่างนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน เหลือบแลสายตามองไปยังเด็กหนุ่มในห้องนั้นบานหน้าต่างสีขาวยังคงเปิดอ้า ดอกไม้ดอกเล็กปลิวไหวตามแรงลมพัดหวิว

มันหวิววาบไม่แพ้ภาพในห้อง

กรดลแทบสำลักกาแฟเมื่อเห็นเด็กหนุ่มเจ้าของห้องปลดผ้าขนหนูออกจากตัวแล้วเดินเปลือยกายโทงๆ ชายหนุ่มเบือนหน้าหนีทันที หาใช่รังเกียจหากแต่รู้สึกอับอายแทนเจ้าของร่างกายนัก

แม้แวบเดียวเขาก็รับรู้ได้ว่า ผิวกายนั้นขาวละเอียดขนาดไหน เอวคอดบอบบางราวกับจะหักได้หากถูกกอดรัดแรงๆ เพียงหน

เขาอดคิดไม่ได้ว่าผู้ชายผอมบางเช่นนั้นจะมีคนรักเป็นผู้หญิงได้อย่างไรในเมื่อเจ้าตัวดูสวยงามสะโอดสะองกว่าหญิงสาวหลายคนที่เขาเคยพบเจอ

ชายหนุ่มเหลือบแลไปยังหน้าต่างสีขาวนั้นอีกหนเจ้าของห้องยังคงเดินนวยนาดอยู่ในห้องทั้งที่มีเพียงกางเกงชั้นในตัวเดียวปกปิดกาย

เป็นครั้งแรกที่เขานึกอยากให้หน้าต่างสีขาวบานนั้นปิดเสีย

จะได้ไม่มีใครเห็นอย่างที่เขาเห็น

คำตอบที่ว่า เด็กหนุ่มเจ้าของห้องนั้น มีคนรักเป็นหญิงหรือชายกระจ่างใจกรดลในอีกไม่กี่วันต่อมา

กลางดึกของคืนวันพระจันทร์เดือนมืดเขานั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะข้างหน้าต่างตัวเดิม  พยายามห้ามใจไม่ให้เหลือบแลไปยังหน้าต่างสีขาวบานนั้นอีกแต่ก็ห้ามได้ยากเหลือเกิน   เขาแทบจะชะเง้อคอมองเมื่อเห็นแสงไฟจากห้องฝั่งตรงข้ามสว่างขึ้นพร้อมกับการปรากฏกายของชายคนอื่นที่ไม่ใช่เด็กหนุ่มเจ้าของห้อง  กรดลขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ไม่นานคนที่เขาเฝ้ารอก็เดินตามเข้ามา   ใบหน้าอ่อนใสนั้นแต่งยิ้มเช่นเดิม แต่มันไม่ใช่ยิ้มแย้มสดใสอย่างที่เขาเห็นทุกวัน

ภาษากวีเขาเรียกว่าอย่างไรเล่า

.....ยิ้มยั่วเย้าเว้าวอนหวาน.....

กรดลนึกด่าความสามารถทางกวีอันน้อยนิดของตนเองขึ้นมาทันที  เพราะยิ้มที่เขาเห็นแต้มแต่งอยู่บนกลีบปากสีลิ้นจี่จิ้มลิ้มมันยั่วเย้า เว้าวอน งามวังเวงใจชายหนุ่มอย่างเขานัก  งามเสียจนเขาไม่อาจสรรคำขึ้นมาบรรรยายมันได้ทันท่วงที

ชายหนุ่มเผลอไผลไปกับรอยยิ้มนั้นเช่นกันดวงตาสีเข้มจ้องมองเพลินหากแต่ได้สติอีกทีเมื่อรู้สึกว่าบางอย่างเริ่มแปลกไป

แขนเรียวของเด็กหนุ่มโน้มคอชายข้างกายลงมาชิด

กลีบปากทั้งคู่ประกบกัน

กรดลรู้สึกราวกับรับรู้ถึงรสจูบนั้นไปด้วยชายหนุ่มเบือนหน้าหนีทันที พลางดึงผ้าม่านปิดลงเพราะไม่อยากรับรู้ภาพจากหน้าต่างสีขาวบานนั้นอีก

ดูเหมือนละครชีวิตที่เขาเฝ้ารอดูมาตลอดวันนี้คงไม่สนุกเท่าไหร่

ชายหนุ่มถอนใจเขากลับไปนั่งลงตรงที่โต๊ะทำงานเหมือนเดิม

นิ้วมือพร่างพรมลงไปบนแป้นพิมพ์นั้นไม่คล่องไวดังเก่า

วันที่เท่าไหร่แล้วนะเขาไม่เห็นเด็กคนนั้นมานานเท่าไหร่แล้ว กรดลถอนหายใจ ลุกขึ้นจากโซฟาหลังจากอ่านหนังสือจบไปตามที่ต้องการนับตั้งแต่วันที่เขาเห็นเด็กหนุ่มคนนั้นพาคู่รักเพศเดียวกันมาที่ห้องเขาก็ไม่กล้าเสี่ยงมองผ่านหน้าต่างสีขาวบานนั้นอีกเลยแต่หลายหนก็อดไม่ได้ที่จะมองผ่านหน้าต่างบานนั้นเข้าไปหาตัวละครที่โลดแล่นอยู่ในห้อง

เขายังชอบมองเวลามือเล็กพรมรดน้ำต้นไม้   เริ่มแรกเขาเห็นเด็กหนุ่ม ใช้วิธีจุ่มนิ้วมือลงในแก้วน้ำแล้วสะบัดพรมใส่ต้นไม้อย่างเบามือ ต่อมาจึงเริ่มซื้อกระบอกฉีดน้ำเล็กๆมาไว้พรมน้ำให้ต้นไม้เหล่านั้น

เขาชอบเห็นปากจิ้มลิ้มสีสด ยิ้มหัวกับดอกไม้ในวันที่อารมณ์ดี เด็กหนุ่มคนนั้นจะร้องเพลงกล่อมอารมณ์ให้ดอกไม้ใบจิ๋วแต่ในวันที่เศร้าโศกก็ดูเหมือนว่าเจ้าของห้องก็ร้องไห้กับต้นไม้ได้เหมือนกัน

เขาอยากเข้าไปปลอบเหลือเกิน

กรดลเอนหลังกับโต๊ะทำงาน  เขาเบื่อที่จะถามตัวเองว่ากี่วันแล้ว ในเมื่อเขารู้คำตอบดี จะไม่รู้ได้อย่างไรในเมื่อนั่งนับมันทุกวัน วันนี้ก็ห้าวันเข้าไปแล้วที่ไม่เห็นเจ้าของห้องนั้น เจ้าของบานหน้าต่างสีขาว  ไม่เห็นมือเล็กๆ ทำหน้าที่พร่างพรมน้ำให้ต้นไม้จิ๋วที่ริมหน้าต่าง  ไม่เห็นปากอิ่มยิ้มสดใสเจิดจ้าดังเดิม

กรดลถอนหายใจความสดใสของบานหน้าต่างสีขาวดูจะเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เขารู้สึกมีชีวิตชีวาหรือละครโรงเล็กของเขากำลังจะปิดฉากลงเด็กหนุ่มคนนั้นอาจจะย้ายไปอยู่ที่อื่นหรือจะย้ายไปอยู่กับคนรักหนุ่มคนนั้นแล้วหนอ

นิ้วมือใหญ่พรมลงบนเครื่องคอมพิวเตอร์อีกหน  เขาปล่อยหัวใจปลดสมองจากเรื่องที่กางกั้นความคิด  แล้วเริ่มพิมพ์ทุกอย่างที่ใจต้องการ  หลายเดือนผ่านมานี่ความสดใสของหน้าต่างสีขาวบานนั้นถูกเขาถ่ายทอดลงมาเป็นตัวอักษร

เขาสร้างตัวละครที่สดใสเจิดจ้าอย่างที่เขาอยากให้เป็น   สร้างชายหนุ่มที่เคร่งขรึมมีชีวิตน่าเบื่อหน่าย  เสกสรรตัวบท ฉาก และบทสนทนาให้เป็นไปตามใจ

กรดลกำหนดทุกอย่างให้เป็นไปตามที่หวังจะให้เป็น   การพบกันที่น่าตื่นเต้น การตกหลุมรักที่แสนหวาน อุปสรรคสุดขมขื่นและความรักความมั่นใจที่ตัวละครเอกมีให้แก่กันจนก้าวข้ามอุปสรรคทั้งหลายไปได้

ในโลกแห่งนวนิยายนั้นทุกอย่างเป็นได้จริงเสมอ

เรื่องของหนุ่มน้อยหน้าต่างสีขาว กับ นักเขียนหนุ่มในตึกเก่าๆ มันก็น่าจะเป็นจริงได้เหมือนกัน

แม้จะผ่านแค่ตัวอักษรก็ตาม

วันหนึ่งกลางฤดูร้อน  เมื่อเขาทำงานทุกอย่างเสร็จสิ้น  กรดลสวมรองเท้าผ้าใบคู่เก่งหอบหิ้วกระเป๋าคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กคู่ใจออกมาจากห้องด้วย  วันนี้เป็นวันส่งงานเขาอยากไปถึงสำนักพิมพ์ให้เร็วกว่าปกติเสียหน่อย  ก่อนจะปิดประตูลงก็ยังอดไม่ได้ต้องหันกลับไปมองหน้าต่างสีขาวบานนั้นผ้าม่านเนื้อบางยังปิดสนิทเหมือนเดิม  ดอกไม้ใบจิ๋วจ้อยพวกนั้นมันดูไม่สดใสเหมือนเก่าเมื่อไม่มีรอยยิ้มจากเจ้าของห้องมาช่วยแต่งแต้ม

“ช่างเถอะ” ชายหนุ่มสะบัดหัวก่อนจะออกเดินทางไปยังสำนักพิมพ์

เขาเป็นนักเขียนขายดีผลงานติดอันดับหนึ่งในสิบของสำนักพิมพ์เสมอ กรดลไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุใดจึงมาลงเอยกับอาชีพนี้   รู้แต่เพียงว่าเขาชอบใช้เวลายามค่ำมืดนั่งลงหน้าคอมพิวเตอร์เครื่องเก่าพร่างนิ้วพรมพิมพ์เรื่องราวต่าง ๆ ลงมาเป็นบทความ จากบทความสั้นๆ  เริ่มร้อยเรียงเป็นเรื่องสั้นหลากหลายลงเผยแพร่ในบล๊อกส่วนตัว   และเริ่มเสนองานเขียนให้กับบรรดาสำนักพิมพ์ทั้งหลายไม่นานผลงานก็เริ่มเป็นที่รู้จัก   เขาเริ่มต้นเขียนนิยายขนาดยาวสร้างตัวละครหลายต่อหลายตัวให้ออกมาโลดแล่นผ่านความงามละมุนละไมของตัวอักษร

มันอบอุ่นละลายใจผู้อ่าน ตัวอักษรของเขานั้นทรงพลังนักมันดึงให้ผู้ที่กวาดสายตาอ่านต้องหยุดชะงักและสาปให้ผู้อ่านนั้นมึนเมาหลงใหลกับความงดงามแห่งสำนวนภาษาที่เลือกใช้

มันหลอมดวงใจผู้อ่านทุกคน บิดขยี้ แล้วปลุกปั้นปลอบใจสร้างรอยยิ้มสดใสทั้งหยาดน้ำตาทำทุกอย่างให้เป็นไปตามที่เขาลากปากกาจะให้เป็น หากแต่ใครจะล่วงรู้เล่าว่าในเบื้องลึกจิตใจผู้เขียนนั้นเปลี่ยวเหงาขนาดไหน

ปลายปากกาจรดสรรอักขระทำให้ทุกตัวละครสมหวังหากแต่ในชีวิตจริงของเขาแล้วนั้นไม่เคยได้ประสบความหวานชื่นอย่างที่เฝ้าเสกสรรให้ผู้อื่นเป็น

มันก็ยังคงอ้างว้างเปลี่ยวเปล่าอยู่ทุกวัน

ยิ่งเขาทุ่มเทกับการเขียนเท่าไหร่ โลกแห่งความจริงก็ดูจะห่างไกลจากเขาไปเท่านั้น  หรือบางทีหน้าต่างสีขาวบานนั้นคงเป็นเพียงความสุขที่ทำได้แค่เพียงจินตนาการถึงเท่านั้น

หาใช่ความจริงที่เขาจะไขว่คว้ามาได้

“คุณกรดลครับ ผมเป็นบรรณาธิการคนใหม่ชื่อภากร ยินดีที่ได้ร่วมงานด้วยครับ” เด็กหนุ่มข้างหน้าโค้งตัวให้เขา

กรดลยืนชะงักอยู่กับที่ข้าวของที่ถือมาในมือแทบร่วงหลุดหล่นจากมือเขาโค้งตัวตอบก่อนจะพยักหน้าให้อย่างเงียบขรึม ชายหนุ่มส่งผลงานในมือให้คุณบรรณาธิการคนใหม่ มันถูกพิมพ์เป็นต้นฉบับขนาดเอสี่เพื่อให้ง่ายต่อการอ่านหากผลงานชิ้นนี้ผ่านการพิจารณา ก็จะได้ส่งผลงานที่อยู่ในไฟล์คอมพิวเตอร์ให้สำนักพิมพ์เพื่อจัดพิมพ์ต่อไป

เป็นครั้งแรกที่กรดลไม่อยากให้งานของเขาถูกตีพิมพ์  ไม่อยากให้ใครได้อ่านมัน

“คุณหายไปนานเลย บรรดานักอ่านบ่นถึงผลงานของคุณกันใหญ่” ปากอิ่มสีลิ้นจี่นั้นเอ่ยวาจากรดลได้แต่ยืนเบื้อใบ้เฝ้ามองดวงหน้าหวานที่อยู่ใกล้กว่าที่เขาเคยเห็น

ยิ่งชวนพิศ ยิ้มพริ้มเพรา ยิ่งยั่วเย้า เร้าโหยหา

ชายหนุ่มผงกหัวรับคำ ค่อย ๆ นั่งลงตรงเก้าอี้ด้านหน้าของบรรณาธิการคนใหม่

“เรื่องนี้เป็นยังไงบ้างครับ” ภากรเริ่มพลิกต้นฉบับดูเขามีหน้าที่อ่านบทนำ พิจารณาความเหมาะสมในการเผยแพร่แต่กรดลเป็นนักเขียนขายดีของสำนักพิมพ์งานนี้ก็คงได้รับการตีพิมพ์อีกตามเคย

เขาเฝ้ารอคำตอบจากนักเขียนหนุ่มตรงหน้าหากแต่ที่ได้รับกลับมาคือความเงียบงันใบหน้าหล่อเหลานั้นยังไม่แสดงความรู้สึกใดดวงตาคมเข้มจับจ้องบนดวงหน้าของเขา มันไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัดหากแต่ตรงกันข้ามแวววาวไหวริกในแก้วตานั้นราวกับจะบอกความตื่นเต้นภายในใจชายหนุ่ม ปากบางหยักไม่แย้มยิ้มมันเผยอออกเพียงนิดราวกับจะอ้างเอ่ยถามบางอย่างที่ค้างคาในใจภากรยิ้มบางเบากับภาพที่เห็น

“เห็นหลายคนบอกว่าคุณพูดน้อย ผมไม่คิดว่าจะน้อยขนาดนี้” ภากรพูดกลั้วหัวเราะ ก่อนจะก้มลงอ่านบทนำคร่าวๆ

กรดลอยากจะกระชากต้นฉบับนั้นกลับคืนมาเหลือเกิน  มือใหญ่กำเกร็งอยู่บนหน้าตักชายหนุ่มได้แต่มองบรรณาธิการหนุ่มน้อยนั้นตั้งอกตั้งใจอ่านผลงานของเขา

‘ได้โปรด ขอให้เป็นเพียงคนที่หน้าเหมือนกันเท่านั้นเถอะ’เขาวิงวอนในใจ

นานกว่าอึดใจกว่าบรรณาธิการหนุ่มจะเงยหน้าขึ้นมาจากผลงานของเขา ดวงตากลมใสจ้องมอง พร้อมความกังขาในใจ

“เรื่องนี้ดูเหลือเชื่อนะครับการที่คนสองคนจะตกหลุมรักกันผ่านบานหน้าต่างซ้ำยังเป็นการตกหลุมรักข้างเดียวเสียด้วย”ภากรยิ้มบางเบา

ยิ้มด้วยปากอิ่มสีลิ้นจี่ชื่นชูใจเช่นนั้น

“ผมก็คิดว่ามันเหลือเชื่อ” กรดลตอบกลับเสียงเบานุ่ม เขาก้มหน้าหลบสายตาสดใสของคนตรงหน้า

เหมือนแสงอาทิตย์เหลือเกิน สดใสเจิดจ้าน่าหลงใหล แต่ไม่อาจจับต้อง

“นั่นสิครับ แต่มันโรแมนติกมาก ผมชอบนะครับชอบการบรรยายความรู้สึกของการหลงรักข้างเดียวการเฝ้าหวังรอคอยว่าเมื่อไหร่บานหน้าต่างนั้นจะเปิดออกจนวันที่ทั้งคู่สบสายตากันและกันเป็นครั้งแรก”

ในตอนนั้นเองที่กรดลเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาคู่คมโศกสบเข้ากับประกายตาแจ่มจ้า

ราวกับทั้งคู่เห็นกันและกันเป็นครั้งแรก

กรดลไร้คำจะกล่าวพูดตลกเหลือเกินอาชีพของเขานั้นขายถ้อยคำและตัวอักษร ขายคำหวานฉ่ำหัวใจหากแต่ในตอนนี้เขากลับไร้วาจาใดจะเอื้อนเอ่ย ได้แต่พยักหน้ารับเบาๆ

“แล้วผมจะติดต่อกลับไปนะครับ” ภากรสรุปก่อนจะลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นกรดลทำท่าจะเดินออกจากห้องชายหนุ่มโค้งตัวรับคำหันหลังกลับทันที

คุณบรรณาธิการจะรู้รึเปล่าหนอ

ว่าเรื่องราวที่ร้อยเรียงออกมาเป็นสายธารแห่งอักษร หน้าต่างสีขาวที่เขาเฝ้ามองทุกวัน

มันเป็นเรื่องของตัวเขาเอง

กรดลครุ่นคำนึงอยู่ในใจระหว่างเดินออกจากห้องทำงานของบรรณาธิการคนใหม่

“วันนี้ผมจะกลับไปรดน้ำต้นไม้นะครับดูเหมือนว่ามีคนเป็นห่วงมันมากกว่าผมเสียอีก” เสียงเล็กเบาหวานดังขึ้นจากเบื้องหลัง

กรดลตัวชาวาบ

หน้าต่างสีขาวบานนั้น

ได้แต่หวังว่ามันคงเปิดให้เขาตลอดกาล

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

แถมพก

“รู้ตอนไหนว่าเป็นเรื่องของคุณ” กรดลถามภากรระหว่างที่ทั้งคู่ออกมาเดินเล่นกันในสวนสาธารณะตอนเช้าตรู่  ภากรมีงานอดิเรกคือช่วยพาหมาตัวโตของเจ้าของอพาร์ตเมนต์ออกมาเดินเล่นตอนเช้าก่อนออกไปทำงาน

ตอนนี้เขารู้ชื่อเด็กหนุ่มคนนั้นแล้ว

ภากร

ดวงตะวันอันสดใสของเขา

ภากรหัวเราะเสียงใส มือเล็กกระตุกสายจูงหมาให้เดินช้าลงหน่อย เจ้าหมาตัวนี้ยิ่งโตแรงยิ่งเยอะ

“ก็รู้ตั้งแต่บานหน้าต่างสีขาวกับตึกฝั่งตรงข้ามทึบทึมแล้วครับ เอะใจอยู่บ้างมาชัดเจนเอาตอนที่รดน้ำต้นไม้ กับแก้ผ้าวิ่งรอบห้องนี่ละ” ภากรยิ้มขัดเขิน

“แอบดูผมมานานเท่าไหร่กัน” ภากรหันไปถามบ้าง กรดลอมยิ้มอยู่ในใบหน้าหล่อเหลา

“ก็ ห้าหกเดือน ตั้งแต่คุณย้ายเข้ามา”

“ผมก็เลยกลายเป็นตัวละครของคุณไปเลยงั้นสิ” ภากรพูดยิ้มๆ

“ก็อย่างนั้นละครับ” กรดลหัวเราะเพื่อกลบเกลื่อนความขัดเขินในใจ

“ในเรื่องมีฉากจูบกันในสวนสาธารณะด้วยนะครับ” ภากรหันมาเอียงคอมองผู้ชายตัวสูงข้างๆ

“อยากให้เป็นจริงหรือไง”กรดลขยับตัวเข้าใกล้คนตัวเล็กอีกนิด มือใหญ่ช่วยดึงรั้งสายจูงสุนัขให้อยู่นิ่ง

“บางทีก็อยากเป็นนางเอกในนิยายบ้าง” ภากรอมยิ้มกระซิบตอบ

กรดลหัวเราะเบาๆ มือใหญ่รั้งราวเอวบางเข้ามาชิด ก่อนจะก้มลงจูบพวงแก้มอิ่มเต็ม

“นี่มันหอมแก้ม” ภากรประท้วง ช้อนตาขึ้นมองคุณนักเขียนที่ชอบทำหน้าเคร่งขรึมตลอด

“ก็ในเรื่อง จูบ มันเก็บไว้จูบกันสองคน .....ในห้อง......ตอนปิดหน้าต่างแล้ว” ชายหนุ่มกระซิบตอบก่อนจะโอบเอวภากรให้ก้าวเดินต่อไป

“แต่ชีวิตจริง ผมอยากให้จูบตรงนี้นี่ครับ” ภากรร้องงอแง

กลีบปากสีลิ้นจี่ที่กรดลเฝ้ามองมาตลอดเผยอแย้มยิ้ม ไม่นานนักเขาก็ก้มลงเคล้าคลึงมันตามใจเจ้าของ

ภากรตอบรับจูบอ่อนหวานนั้นอย่างยินดีมือใหญ่เกี่ยวกุมมือเล็กไว้มั่น มันประสานกันแน่นสองคนผละออกจากรสจูบหวานหอมก่อนจะสบสายตาเข้าหากัน

หน้าต่างสีขาวบานนั้น อาจจะปิดลงในวันที่ฝนตก ลมพายุพัดแรง

แต่หน้าต่างหัวใจของทั้งคู่ จะเปิดออกให้แก่กันตลอดกาล

 

FIN.

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว