เล่ห์กลชลกร
0
ตอน
2.51K
เข้าชม
115
ถูกใจ
0
ความคิดเห็น
5
เพิ่มลงคลัง

สายฝนที่กระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย ทำให้หญิงสาวที่กำลังเดินถ่อมๆอยู่ตอนนี้รู้สึกเหมือนอยู่กลางป่าเขาลำเนาไพรมากกว่าอยู่ใจกลางมหานครเสียอีก เหตุใดฟ้าฝนจึงไม่ไปตกในท้องที่ที่ต้องการกันเล่า หญิงสาวนึกต่อว่าดินฟ้าอากาศพร้อมตัดสินใจเดินแกมวิ่งฝ่าสายฝนเบื้องหน้าไปด้วยความรู้สึกเหมือนคนสิ้นหวัง อับจนหนทางในการใช้ชีวิต

เธอกำลังตามข่าวของนักธุรกิจหนุ่ม คนที่ไร้ซึ่งข้อมูลใดๆ แม้กระทั่งภาพถ่ายก็หาแทบไม่ได้ ถ้าตามข่าวกันยากขนาดนั้น จะไปอยากรู้เรื่องของเขาทำไมกัน แต่เธอคงได้แค่คิด ในเมื่อเป็นนักข่าวก็ต้องทำตามหน้าที่ ไม่เว้นแม้แต่อาชีพอื่นๆล้วนแล้วแต่ต้องทำตามหน้าที่ของใครของมันกันทั้งนั้นเธอเองไม่กล้าแม้แต่จะย้อนถามหัวหน้ากองบรรณาธิการว่าทำไมต้องอยากรู้เรื่องของคุณ ‘ชลกร’ ด้วย คิดแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า ถอนใจเฮือกแข่งกับฝนห่ายักษ์ที่กระหน่ำตกลงมาไม่ขาดสาย

รถสีดำทรงยุโรปขนาดใหญ่ขับผ่านหน้าเธอไปด้วยความเร็วสูง นั่นไม่น่าเจ็บใจเท่ากับที่เหยียบน้ำบนท้องถนนจนมันกระเด็นใส่เธอ เปียกอย่างเดียวก็น่าสมเพชพออยู่แล้ว แต่ตอนนี้เธอสกปรกรวมไปด้วยนี่สิ ใครจะรับผิดชอบ

“เออ เอาเข้าไป ชีวิตฉันมันยังไม่ซวยพอใช่ไหม”

เพลินตาตะโกนไล่หลังตามไฟท้ายของรถคันนั้นไปด้วย ดีทว่าที่ที่เธอยืนอยู่คนไม่เยอะ เพราะหนีขึ้นรถโดยสารกันไปหมดแล้ว หญิงสาวจึงไม่ต้องกลัวว่าจะอายใครเขา ทิ้งท้ายด้วยการยกไม้ยกมือด่าไล่หลังไปอีกหลายชุด

ชายหนุ่มที่เบาะหลัง ในชุดลำลองเสื้อยืดสีขาว นั่งเหม่อมองวิวด้านนอกตัวรถ บอกคนขับเสียงเรียบแต่ทรงอำนาจ

“ไม่จอดดูเขาหน่อยเหรอ”

“ดูใครเหรอครับ”หนึ่งในสองคนที่ด้านหน้ารถถามด้วยเสียงสุภาพแบบทุกที

“คน...นั้นไง” ชลกรชี้มือไปทางด้านหลัง บอกว่าเขาหมายถึงใคร

ท่าทางของหญิงสาวคนนั้น คนที่กำลังเปียกฝน แถมยังโดนคนขับรถของเขาเหยียบน้ำใส่เมื่อครู่นี้ ดูน่าขันสำหรับชลกรยิ่งนัก จนทำให้ชายหนุ่มเผลอยิ้มน้อยๆออกมา แปลกใจว่าทำไมวันนี้เขายิ้มได้ง่ายดายกว่าทุกที เพราะตอนนี้มีแต่เรื่องเครียดๆจนยิ้มไม่ออกมาหลายวัน

“แต่ถ้าเราจอดดู พวกนักข่าวต้องตามมาจนทันแน่ๆเลยครับ ผมว่าเรารีบไปกันก่อนดีกว่า”

ตอนนี้คนสนิททั้งคู่กำลังพาผู้เป็นนายหลบจากนักข่าวสายแข็งที่ตามชลกรจนเจอ แล้วยังกัดไม่ปล่อย เพราะขับมอเตอร์ไซค์ตามมาติดๆแต่คนของเขาก็พาหลบหลีกได้ทัน

“ถ้าอย่างนั้นก็ไป”

ผู้เป็นนายบอกทั้งเลขาส่วนตัวและคนขับที่นั่งคู่กันอยู่ทางด้านหน้ารถถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย ทำไมใครๆต้องอยากรู้เรื่องราวในชีวิตของเขาด้วย

‘พวกนักข่าวนี่แหละตัวดีนัก’

ชลกรกำมือแน่น กระแทกหมัดลงที่เบาะข้างตัว เขาจะไม่มีวันญาติดีกับพวกนักข่าวที่วันๆจ้องแต่จะทำข่าวของชาวบ้าน คนพวกนี้ชอบทำนาบนหลังคน เขาคิดอยู่ในใจด้วยความเครียดแค้น

 

เมื่อปิดประตูรั้วด้านหน้าสนิท เพลินตาเดินเข้าบ้านสะบัดข้าวของที่เปียกน้ำออกแล้ววางไว้ข้างประตู เดินตรงเข้าไปอาบน้ำก่อนที่จะไม่สบายเอาเสียก่อน เรียบร้อยแล้ว เธอเห็นเพียงใจ นั่งรออยู่แล้วที่เก้าอี้บุนวมอายุพอๆกันกับคนนั่ง จึงถามน้องสาวที่นั่งเอี้ยมเฟี้ยมรออยู่

“ว่าไงน้องดา มีอะไรถึงมานั่งทำหน้าปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่ตรงนี้”

ถ้าเห็นเพียงใจมานั่งรอแบบนี้ รับรองได้ว่ามีเรื่องอะไรให้หญิงสาวผู้พี่ได้คิดหนักอีกเป็นแน่

“พี่เพลิน”

เพียงใจมองหน้าสวยหวานของพี่สาว นางงามนพมาศหลายสมัย ที่ผันตัวเองมาเป็นนักข่าวตามสายงานที่ร่ำเรียนมา จนสามารถหาเลี้ยงตัวเองและน้องอีกสองชีวิตแทนพ่อแม่ที่เสียชีวิตไปแล้วได้เป็นอย่างดี

“ว่าไงจ้ะ”

เพียงใจลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้ามาเกาะแขนพี่สาวไว้มั่น มองด้วยสายตาสับสน เม้มปากแน่น ชั่งใจอีกทีก่อนจะเอ่ยปากพูดออกไป

“น้องดาจะแต่งงานค่ะ”

“ว่าไงนะ!”

เพลินตาตะโกนถามเสียงหลง น้องสาวคนเดียวของเธอ บอกว่าจะแต่งงานทั้งๆที่ยังเรียนไม่จบเนี่ยนะ มันต้องมีอะไรแน่ๆ เธอชักปวดหัวขึ้นมาตงิดๆย้อนถามด้วยเสียงเคร่งเครียด

“น้องดาจะแต่งงาน จะแต่งกับใคร นี่เรายังเรียนไม่จบเลยนะ”

“พี่เพลิน น้องดาเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้ายแล้วนะคะ”

“ปีสุดท้ายก็ถือว่ายังเรียนไม่จบอยู่ดี แล้วใครคนไหนที่น้องดาคิดจะฝากชีวิตด้วย บอกพี่มาสิ”เพลินตาเอ็ดเป็นชุด แล้วบ่นต่อ “ลำพังตัวคนเดียวจะเลี้ยงตัวเองรอดหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย นี่อะไร จะแต่งงานแต่งการกันทั้งๆที่อายุยังไม่เบญจเพศ จะทำอะไรกินเลี้ยงชีพจ้ะ แล้วคนที่เราจะแต่งงานด้วยน่ะ เขาทำงานทำการอะไรหรือว่า...ยังเรียนอยู่เหมือนน้องดา”

“เขาเป็นเจ้าของบริษัทที่น้องดาไปฝึกงานด้วยค่ะ”

“เจ้าของบริษัท? ”

“ค่ะ เจ้าของบริษัท...”เพียงใจเอ่ยชื่อบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ดำเนินกิจการเรือสำราญที่อลังการที่สุดในภูมิภาคตอนนี้

“ดาจ๋า ดาฟังพี่นะ พี่ขอร้องให้ดาเรียนให้จบก่อนได้ไหม เรื่องนี้พี่ไม่อนุญาตไม่ว่ากรณีใดๆทั้งสิ้น”

“พี่เพลิน แต่ว่าน้องดารักเขานะคะ”เพียงใจบอกด้วยเสียงสั่นเครือ เพราะเธอรักผู้ชายคนนั้นจริงๆ

“ดารักเขา แล้วเขารักเรารึเปล่า”

เพียงใจก้มหน้างุด แม้จะมั่นใจว่าฝ่ายชายรักเธอจริง แต่คำถามนั่นสร้างความหวั่นไหวให้ไม่น้อย เพราะเธอเองเป็นอ่อนไหวง่ายแล้วยังหัวอ่อนอีก นี่แหละคือเหตุผลที่เพลินตากลัวว่าน้องสาวจะโดนหลอก

“เขาบอกว่ารักดาตั้งแต่แรกเห็นหน้า”

“บ้าไปแล้ว ไม่มีหรอกจ้ะน้องดา รักแรกพบอะไรนั่น มันมีแต่ในนิยาย พี่ว่าน้องดาอ่านนิยายมากไปแล้วนะ”

“พี่เพลินไม่เข้าใจหรอกค่ะ ก็พี่เพลินไม่เคยมีความรักนี่คะ”

“น้องดาอย่ามาเถียงพี่นะ”

“น้องดาไม่ได้เถียง น้องดาแค่อยากบอกให้พี่เพลินยอมรับดาบ้าง เท่านั้นเองค่ะ”

เพียงใจลุกขึ้นยืน เสียงที่ใช้เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ตาสวยหวานคลอไปด้วยหยาดน้ำเต็มเบ้าจนแทบหยดออกมาอยู่รอมร่อ พี่สาวไม่เคยเห็นเธอดีกว่าน้องชายอีกคนเลย “พี่เพลินปิดกั้นตัวเองคนเดียวก็พอ อย่ามาปิดกั้นน้องดาจากความรักนะคะ น้องดาขอร้อง”

เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเดินเข้ามาหาน้องสาว โอบบ่าลูบปลอบแล้วพาไปนั่งลงที่เก้าอี้ตัวเดิม

“ไหนเล่าให้พี่ฟังสิว่าไปรักกันได้ยังไง”

เพียงใจเล่าว่าเธอและเขาก็เกิดความรู้สึกคล้ายกันคือตกหลุมรักซึ่งกันและกันตั้งแต่วันแรกจนมากขึ้นเรื่อยๆถึงทุกวันนี้

และแล้ววันนี้เอง ที่เขาชวนเธอไปกินข้าว พร้อมสารภาพความในใจว่าหลงรักเธอตั้งแต่แรกเห็น ทั้งยังขอเธอแต่งงานอีกด้วย แน่นอนว่าเธอไม่ปฏิเสธ เพราะหลงรักเขาเช่นกัน

“นายคนนั้นน่ะ ชื่ออะไร”

“ทำไมคะ พี่เพลินจะเอาเขาไปเขียนข่าวเสียๆหายๆไม่ได้นะคะ”

“พี่รู้น่า บอกพี่มาว่าเขาชื่ออะไร”

“ไม่เอาค่ะ น้องดาบอกแค่นามสกุลอย่างเดียวดีกว่า เดี๋ยวพี่เพลินจะตกใจ” คนน้องชั่งใจอยู่ชั่วครู่ก่อนตอบ “ไพศาลศรณ์ ค่ะ ผู้บริหารของเครือ PSS พี่เพลินน่าจะรู้จักดี ว่าชื่อนี้มีธุรกิจอะไรบ้าง”

เพลินตาทวนนามสกุลในใจ นั่นมันนามสกุลนักธุรกิจลึกลับ คนที่หัวหน้าให้เธอตามข่าวเขาอยู่นี่นา ทำไมมารักกับน้องสาวของเธอได้

เพียงใจค้นหานามบัตรในกระเป๋าที่ชายคนรักให้ไว้ ก่อนจะนิ่วหน้าแล้วหยิบมันส่งให้เพลินตาดู เมื่อเห็นแล้วคนพี่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ทวนชื่อและนามสกุลอยู่ในใจ ใช่เลย นี่มันคนคนเดียวกับที่เธอตามหาข่าวเขาอยู่แน่นอน

ชลกร   ไพศาลศรณ์

“น้องดาอย่าเพิ่งแต่งเลยนะ พี่ขอร้องล่ะ เรียนรึก็ยังเรียนไม่จบ หรือว่า เรากับคุณอะไรนี่...เอิ่ม...เอ่อ...”เพลินตาแย้งเรื่องที่น่าหนักใจสำหรับเธอ แล้วมโนไปไกลว่าน้องอาจมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งแล้วกับชายคนนี้

“พี่เพลินบ้า น้องดารู้นะคะว่าพี่เพลินจะพูดอะไร น้องดาไม่ได้ใจง่ายแบบนั้นนะคะ”

“เฮ้อ...แล้วไป”คนถามถอนใจโล่งอก แล้วบอกต่อ “น้องดาสัญญากับพี่ก่อน ว่าน้องดาต้องเรียนให้จบ แล้วก็หางานทำให้เป็นหลักเป็นแหล่ง แล้วถ้าน้องดารักพี่ รักตัวเอง และรักเขามากพอ น้องดาต้องไม่ยอมทอดกายให้เขาจนกว่าจะแต่งงาน จดทะเบียนสมรสกันนะ...ได้ไหม”

“ค่ะ ดาสัญญา”

เพียงใจรับคำพี่สาวอย่างเข้าใจ

“ถ้าอย่างนั้นเรื่องแต่งงานนี่ผ่านไปก่อนนะ”เพลินตารีบสรุป “น้องดายังต้องเจอคนอีกเยอะ ยังต้องมีเรื่องราวอีกหลายอย่างในชีวิต อย่าเพิ่งตัดสินใจเลือกฝากชีวิตไว้กับใครตอนนี้เลย อย่างน้อยๆก็ดูๆกันไปก่อน สักสามปี ห้าปี ดีไหม”

เพียงใจพยักหน้า แอบผิดหวังเล็กน้อยที่พี่สาวไม่เห็นดีเห็นงามไปกับเธอด้วย

“ดีมากจ้ะน้องรัก ไปนอนไป แล้วนี่...พีนอนแล้วเหรอ” ผู้พี่ถามถึงน้องชายคนสุดท้องอีกคน

“นอนแล้วค่ะ เมื่อเย็นโดนฝนมา ได้ยินว่าคัดจมูก ดาเลยให้กินยาดักไว้ก่อน นี่คงหลับไปแล้วล่ะค่ะ”

“ดีแล้ว เราก็ไปนอนได้แล้วนะ พี่จะพักผ่อนเหมือนกัน”

เพียงใจพยักหน้า ยิ้มน้อยๆให้พี่สาวก่อนจะเดินไปที่ประตู แต่เมื่อนึกได้เธอหันกลับมาหาอีกครั้ง

“พี่เพลิน ดาว่าจะขอเงินทำทีสิสค่ะ”

ได้ยินจำนวนเงินแล้ว เพลินตาหัวแทบหมุนลมจะจับ เพราะตอนนี้เธอโดนพักงาน พักงานก็ไม่ต่างจากให้ออกจากงานเท่าไรนักในสายงานของเธอ เงินติดบัญชีก็มีไม่มาก แต่ก็แต่พยักหน้าแล้วยิ้มให้น้องสาว

“จ้ะ ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวพี่จัดการให้”

เพียงใจเดินเข้ามากอดเอวพี่สาว ซุกหน้ากับอกเหมือนทุกทีที่เคยทำ “ดารักพี่เพลินนะคะ”

“จ้ะ พี่ก็รักน้องดาเหมือนกัน”

ลับร่างของเพียงใจ หญิงสาวผู้พี่เดินไปหยิบมือถือในกระเป๋าออกมาโทรหาปลายสาย เพื่อนสมัยทำงานด้วยกันตั้งแต่เรียนจบมาใหม่ๆ แต่ตอนนี้หันไปของขายในอินเตอร์เน็ตแล้ว และรายได้ก็ดีเสียด้วย

“ริน พี่แกได้เลื่อนขั้นหรือยัง”เพลินตาถามถึงอาคม พี่ชายของปลายสายที่เริ่มต้นอาชีพจากพนักงานนวดจนไต่ระดับขึ้นมาเป็นถึงผู้จัดการสปาบนเรือของ PSS

“ไม่รู้สิ มีอะไรเหรอ” เพื่อนสาวคนสนิทถามจุดประสงค์ของอีกฝ่าย

“งานนวดนั่นน่ะใช่ที่อยู่บนเรือของเครือ PSS ใช่ไหมริน”

ใครจะไม่รู้จักกันเครือ ‘ไพศาลศรณ์’ หรือ PSS นั่น เพลินตาคิด

“ใช่ อย่าบอกนะว่าอยากเปลี่ยนอาชีพจากนักข่าวมาเป็นหมอนวด”ปลายสายร้องถามระคนแปลกใจ

เพลินตาตัดสินใจในนาทีนี้เอง “ฉันอยากได้งานนี้อ่ะริน มีทางช่วยฉันบ้างไหม”

 

เช้านี้ ชลกรเดินทางเข้ามาที่บริษัทในเครือ  PSS เพื่อเข้าประชุมกับหุ้นส่วน แต่ธุระที่สำคัญกว่านั้น จนทำให้ชายหนุ่มต้องขึ้นมาถึงที่นี่ นั่นต่างหากที่ชลกรร้อนใจ ทันทีที่ลิฟต์เปิดออก ชายหนุ่มเดินออกมาพร้อมบอดีการ์ดตรงเข้าไปยังห้องประธานทันที

“สวัสดีครับพี่กร”

คนที่นั่งอ่านเอกสารกับพนักงานอีกคน ลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงมาจับมือ โอบกอดชลกรแนบแน่นด้วยว่าห่างหายกันมานานร่วมปี เพราะต้องรับผิดชอบงานกันคนละส่วน

ชลัญธรเป็นน้องชายของเขา พี่น้องหัวปีท้ายปีคู่นี้ หน้าตาคล้ายคลึงกันจนบางคนที่ไม่คุ้นเคยทักว่าเป็นฝาแฝดออกบ่อย

“เรื่องที่โดนลอบยิงเป็นอย่างไรบ้างครับ”

ชลัญธรทักพี่ชายขึ้นมาเป็นเรื่องแรก เพราะชลกรค่อนข้างเก็บเนื้อเก็บตัว โดยจะคอยวางแผนทั้งหมดที่เบื้องหลัง ส่วนเบื้องหน้าชลัญธรจะเป็นคนจัดการเอง แต่ถึงกระนั้นก็ยังโดนลอบทำร้ายได้

ชลกรโดนลอบยิงขณะเดินทางเข้ากรุงเทพคราวที่แล้ว รู้ตัวว่าใครบงการ แต่ปล่อยไปเพราะคนบงการแค่อยากให้เขาและเมฆา คู่แข่งในการประมูลโครงการสาธารณูปโภคห้ำหั่นกันเอง โดยที่คนต้นเรื่องรอดูทั้งคู่ตีกัน เมื่อรู้แบบนี้แล้ว ชลกรเลือกที่จะนิ่งเอาไว้ แล้วหาทางจัดการวายร้ายนั่นในภายหลัง

“ได้ข่าวว่านอนโรงพยาบาลนาน จนไปปิ๊งรักคุณหมอเลยเหรอครับพี่ชาย”ชลัญธรหยอกเย้ายิ้มๆ แล้วเข้าเรื่อง“ผมมีโปรเจค พี่สนใจไหมครับ”

“ว่ามา”

“คืออย่างนี้ครับผมจะให้เอ๋เข้ามาคุมงานสปาในเครือทั้งหมดเลยพี่กรจะว่าอย่างไร”

“ดีนะ เอ๋ค่อนข้างอนุรักษ์นิยมเหมือนพี่ เอาความเป็นไทยเข้ามารวมในบรรยากาศและเซอร์วิสแบบไทย พี่ว่าก็เข้าท่านะ”

“นั่นไงเอ๋ ผมนึกแล้วว่าพี่กรต้องเห็นด้วย”

แม้จะใช้ชีวิตในเมืองนอกกว่าครึ่งชีวิต แต่ชลกรรักความเป็นไทย เขาชอบวิถีชีวิตแบบไทยๆ รวมไปถึงความเชื่อไทยๆ หรือไสยศาสตร์ บางคราวชลัญธรก็แซวว่าที่พี่ชายของตนรอดพ้นพวกสื่อและนักข่าวมาได้หลายต่อหลายครั้งอาจเป็นเพราะมี ‘ของดี’

ชลัญธรปรึกษาหารือกับเขาอยู่นาน จนพนักงานชายใจสาวที่นั่งอยู่ด้วย หลุดเสียงตกอกตกใจทันทีที่เห็นเวลา

“ว้าย! ตายแล้วฮ่า”

“เป็นอะไรคุณเอ๋”

“เอ๋ลืมไปเลย ว่าวันนี้มีเทสต์มือหมอนวดที่จะเอาลงเรือรอบใหม่เนี่ยสิคุณธร”

ผู้จัดการสปาตอบพร้อมมือไม้แสดงท่าทางไปด้วย “มัวแต่ชวนเอ๋คุยอยู่นั่น เอ๋ไปก่อนนะฮะ เอ...แต่ว่า คุณกรกับคุณธรไม่อยากลองนอนเป็นหุ่นให้หมอนวดเทสต์มือบ้างหรือฮะ”

เพราะความสนิทสนมที่มี ด้วยเรียนมารุ่นเดียวกันกับผู้บริหาร อาคม ผู้จัดการสปาชายข้ามเพศจึงกล้าถาม พร้อมส่งสายตาเชิญชวนให้ชายหนุ่มคนน้องที่ตนเองแอบปองใจมานาน แต่แล้วก็ต้องผิดหวัง

“มีเทสต์มือเหรอ ไม่ล่ะ”ชลกรปฏิเสธเพราะมีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้องคุยกับน้องชาย

“น่าสนแหะ ไปเตรียมห้องไปเอ๋ แล้วก็อย่าไปบอกคนสมัครล่ะ ว่าท่านประธานจะลงมาเป็นหุ่นเอง เดี๋ยวมือไม้อ่อนนวดไม่ถูก จะมาว่าผมไม่ได้นะ”ชลัญธรบอกยิ้มๆ

“เอาอย่างนั้นเลยนะคะ” อาคมจีบปากจีบคอ เดินฮัมเพลงห่างออกมา ลับร่างพนักงานหนุ่มที่ดูแลสาขาสปา เจ้าของห้องหว่านล้อมให้คนมาใหม่ไปเป็นหุ่นลองนวด

“ไปลองดูนะก่อนนะพี่กร ไม่เสียหายอะไรหรอกน่า”

“พี่บอกว่าไม่ไง”

ชลกรเดินหนีน้องชายไปนั่งที่เก้าอี้อีกด้านของห้อง ชลัญธรตามมานั่งขนาบข้าง บีบนวดต้นขาไปด้วย

“ผมรู้นะที่พี่กรขึ้นมาหาผมเนี่ย เพราะอะไร”

“รู้ก็ดีแล้ว”

“แต่...พี่ต้องลงไปเป็นหุ่นก่อน แล้วผมถึงจะคุยธุระด้วย”

ชลัญธรต่อรองพี่ชายของเขา ด้วยหน้าตาเจ้าเล่ห์อย่างที่คนมองเห็นแล้วอยากสะกิดด้วยเท้าสักป้าบ

 

เพลินตาใจเต้นตุ้มๆต่อมๆตื่นเต้นกับการทดสอบมืออย่างที่สุด เพราะไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน แต่เมื่อคิดไปคิดมา ก็พบว่าไม่มีอะไรต่างกันนักกับตอนที่เธอลงทุนไปร่ำเรียนมาจากโรงเรียนสอนนวด คิดได้อย่างนั้น หญิงสาวนั่งตัวตรง สูดหายใจเข้าลึกเพื่อลดความประหม่า นึกถึงแต่ว่าเธอต้องได้งานนวดที่นี่

“คุณเพลินตาค่ะ”

หญิงสาวหน้าห้องเรียกชื่อเธอให้เข้าไปทำการทดสอบทันที

เมื่อเดินเข้ามา เธอใจสั่นแปลกๆ ได้แต่สรุปกับตัวเองว่าเป็นอาการทั่วไปของคนมาสมัครงาน แต่เมื่อเข้ามาในห้องทดสอบ เธอเห็นร่างที่นอนรอบนเตียงในท่านอนคว่ำมีผ้าปิดไปทั้งตัว มองแล้วอดตื่นเต้นจนต้องสูดหายใจเข้าลึกๆเรียกความมั่นใจไม่ได้

“ถ้าพร้อมแล้วเชิญค่ะ”

เพลินตาเดินเข้าไปจัดการกับหุ่นที่นอนคว่ำให้เธอได้ทำการทดสอบ ทันทีที่วางมือลง หญิงสาวรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั่วแขน คงเพราะไม่เคยแตะต้องเนื้อตัวของชายคนใดมาก่อนในชีวิต

เธอลงมือนวดตามที่ได้ร่ำเรียนมา โดยไล่ลงน้ำหนักไปที่ต้นคอ ลงไปถึงบ่ากว้างของคนที่นอนคว่ำหน้าอยู่ เสียงคนที่นอนอยู่ครางงึมงำ

“อืม...”

จนเรียบร้อย หญิงสาวถอยออกมายืนคอยที่ปลายเตียง คนที่นอนเป็นหุ่นสะดุ้งตื่น เมื่อมือนุ่มนิ่มอุ่นและทรงพลังในความรู้สึกของเขาผละจากไป จนทำให้ชลกรอยากเห็นหน้า พอลุกขึ้นได้ ชลกรลืมตัวว่าตนเองอยู่ในชุดผ้าขนหนูที่คลุมแต่ท่อนขา เมื่อลงนอนมันคลายปมทันที และหลุดออกเผยให้เห็นกางเกงขาสั้นสีขาว เพลินตาอ้าปากค้าง ยกมือปิดปากแน่น เพราะเธอเห็นทั้งหมดนั่นมัน...

“เฮ้ย”

เสียงชลกรร้องขึ้นด้วยความตกใจ แล้วรีบย่อตัวไปตะครุบผ้าขึ้นมานุ่งใหม่อีกครั้ง

เพลินตาหันหลังหนี แต่ผู้จัดการสปาเปิดประตูเข้ามาพอดี ถามคนที่นอนเป็นหุ่น

“คุณกรให้ผ่านไหมคะ”

เพลินตามองตามสายตาของอาคม ทันทีที่สบตากับชายหนุ่มชีเปลือย หญิงสาวตาค้างนิ่ง ชายหนุ่มคนนี้สะกดเธอให้จ้องมองที่เขา ตาไม่กระพริบ สายตาทรงอำนาจนั่นดึงดูดได้อย่างมากมาย ทรงอำนาจพอๆกับเสียงที่เขาเปล่งออกมา

“อืมพอได้”

ชลกรพยักหน้าบอกว่าหมอนวดคนนี้พอไหว ฝีมืออาจไม่เท่าไร แต่หน้าที่สวยหวานแบบไทยๆกับ ปากอวบอิ่มนั่นทำให้เขาอยากรับขึ้นเรือไปด้วยอย่างไม่มีเงื่อนไข

“ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวจะโทรแจ้งผลอีกทีนะ”

อาคมบอก แต่พอเห็นเพลินตายังมองชายหนุ่มตาค้าง จึงออกปากอีกครั้ง คราวนี้เสียงของอาคมจึงดังขึ้นอีกเล็กน้อย

“เสร็จแล้ว ออกไปรอข้างนอกได้แล้วจ้า”

เพลินตาได้สติเธอรีบเดินออกมาโดยไว หลังประตูห้องนั้นปิดลง แม้จะพอลุ้นเรื่องงานนี้ จนไม่วายต้องพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์แต่ที่รู้ๆคนที่นอนเป็นหุ่นให้เธอนวดนั่น ได้ใจเธอไปเต็มๆ ทั้งที่เพียรบอกน้องว่ารักแรกไม่มีจริง ตอนนี้เธอชักเริ่มไม่มั่นใจเสียแล้ว

 

แรงสั่นในกระเป๋าเร่งเร้าให้เพลินตาหยิบมันออกมากดดู เห็นชื่อแล้วเธอรีบกดรับสายทันที หลังจากออกมาจากตึกสูงใหญ่ของ PSS

“เป็นไงมั่ง” ปลายสายเร่งถามด้วยความร้อนใจ นึกกังวลกลัวเพื่อนรักอย่างเพลินตาจะไม่ผ่านงานที่เงินดีๆแบบนี้

“ไม่รู้จะได้หรือเปล่า”

“ได้อยู่แล้วน่า...เอางี้แกบนเลยดีกว่า รำบนเรือนั่นแหละให้แม่ย่านางท่านดูนางนพมาศสิบสมัยอย่างแกทำได้อยู่แล้วเพลิน”

“ฮึ่ย มันดู...เอ่อ ตลกๆนะ...ไม่เอาหรอก”

“เชื่อฉัน เขาว่าแม่ย่านางท่านชอบดูนางรำ”

“ใครกันที่ว่า” เพลินตาแย้ง แต่เมื่อนึกแล้วว่างานนี้ใครที่จะช่วยเธอได้ จึงยอมบนบาน “ถ้าชอบ หนูจะรำให้ดูเลยเจ้าค่ะ จัดชุดใหญ่เลยเอ้า”บอกพร้อมพนมมือไหว้ท่วมหัว

 

หญิงสาวในชุดไทยสไบเฉียงสีเขียวตองอ่อน กำลังเดินวนเวียนบนกาบเรือ หาที่แก้บน เพราะดันทะลึ่ง บอกว่าจะรำถวายบนเรือทันทีที่ได้งานนี้ พอขึ้นเรือมาได้ หญิงสาวปีนขึ้นมาหาที่เหมาะๆแล้วจัดการทำพิธีแก้บน ยกมือไหว้ท่วมหัว บอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ลืมหยิบโทรศัพท์มือถือคุณภาพสูง ที่เธอลงทุนซื้อเก็บไว้ใช้ในงานข่าว เอามาโหลดเพลงใช้ประกอบการแก้บนในครั้งนี้ด้วย

‘นิ้ง...นิง...นอง...นอย’

เพลงขึ้นจนจบ กินเวลาไปหลายนาที ดีที่เธอดูตัวอย่างมาบ้างแล้วจากยูทูป ถึงจะผิดบ้างถูกบ้างแต่ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยมองข้ามไปอย่าถือโทษโกรธเธอเลย

 

 

เจสสิกาสาวต่างชาติ ตาและผมสีน้ำตาลอ่อนคนนี้ ขอเข้ามาคุยธุระขณะที่ชลกรอยู่ในเวลาส่วนตัว เมื่อเห็นว่าเป็นเรื่องงาน ชายหนุ่มพยักหน้าอนุญาตยอมให้แม้จะคุ้นเคยกันมากกว่าเรื่องงาน แต่ชลกรเป็นคนโลกส่วนตัวสูง เวลาไหนที่เขาต้องการเท่านั้น ผู้หญิงเหล่านี้ถึงจะเข้ามาในรัศมีได้ ไม่อย่างนั้นอย่าคิดอย่าคาดหวังอะไรกับเขาทั้งสิ้น ถ้าไม่อยากผิดหวัง รวมถึงเธอคนนี้ด้วย

ชายหนุ่มเจ้าของเรือสำราญในชุดกางเกงว่ายน้ำสีดำตัดกับผิวขาว กล้ามเนื้อไม่ถึงกับใหญ่โตมาก แต่ดูแล้วแข็งแกร่งกำยำน่าขย้ำ จนหุ้นส่วนสาวอย่างเจสสิกามองตาปรอย เธอชอบเขามากและชลกรรู้ข้อนี้ดี จึงยอมให้หญิงสาวนั่งเฝ้าที่เก้าอี้ริมสระน้ำ

เธอนั่งไขว้ขารอเขาที่ขอบสระ พอชลกรผุดตัวจากสระ เจสสิกาเดินเข้ามาหา คุยธุระได้ทันทีเพราะพอรู้นิสัยชายหนุ่มมาบ้างแล้ว

“กรคะ หุ้นที่คุณจะขายตกลงว่าอย่างไรคะ”

“ยังก่อนนะเจส ผมยังไม่ตัดสินใจตอนนี้”

เจสสิกาแสดงความผิดหวังไม่ปกปิด เมื่อเรื่องงานไม่ผ่าน อย่างน้อยก็ขอเรื่องส่วนตัวมาแทรกหน่อยก็แล้วกัน “เจสซี่เตรียมอะไรสนุกๆไว้รอที่ห้องแล้ว สนใจไหมคะ”

“คืนนี้...ผมไม่อยากสนุก เอาไว้ครั้งนี้ดีกว่านะ”

ชลกรบอกแล้วรับผ้าจากเธอ เดินจากไปไม่แลแม้แต่หางตา จนเกือบเข้าไปด้านในของเรือ พลันหูของเขาสะดุดเข้ากับเพลงบรรเลงที่แว่วมากับสายลม ไม่ได้นึกกลัวเพราะเขาชอบเสียงดนตรีแบบนี้ ไม่เชื่อเรื่องที่ตามองไม่เห็นอยู่แล้ว

ชายหนุ่มเดินตามเสียงมาเรื่อยๆจนเห็นสาวชุดไทยที่ร่ายรำเสร็จสิ้นพอดี เธอกำลังหยิบข้าวของเพื่อเตรียมกลับเข้าห้องพัก โชคดีที่หามุมเหมาะที่ปลอดผู้คนได้ ทำให้รำแก้บนได้โดยไม่มีใครผ่านมาเห็นเข้าเสียก่อน แต่พอหันกลับมา ตาประสานตากันกับชายหนุ่มคนนั้น ชลกรเองคิดไม่ถึงว่าจะเจอหญิงสาวคนนั้น ในสภาพนี้ ยังมีใครคิดแบบนี้อยู่อีกบนโลก สมัยนี้ยังมี ‘คนเล่นของ’อยู่อีกหรือ ใจกล้าถึงขนาดกล้าใส่ชุดไทยมาร่ายรำบนเรือของเขา

“เธอ...ใช่พนักงานของ PSS หรือเปล่า”

เพลินตามองชายหนุ่มคนในความทรงจำตาค้าง ก่อนจะก้มลงมองชุด แล้วตอบคำถามของเขา “ใช่ค่ะ”

“แล้วแต่งตัวแบบนี้ทำไม ทำงานแผนกไหน”

เขาเป็นหุ่นให้เธอนวดทดสอบไปเมื่อวันนั้น เพลินตาจำได้ เขาคงเป็นผู้จัดการแผนกไหนสักแผนกแน่ๆบนเรือลำนี้

“อ้อ พอดีฉันบนไว้น่ะค่ะ ว่าขอให้ได้งานนี้ ถ้าได้จะมารำแก้บน”

“อยากทำงานบนเรือขนาดนั้นเลยเหรอ”ชลกรเลิกคิ้วถาม เขาพอรู้มาบ้างว่าใครๆก็อยากเข้ามาทำงานกับ PSS แต่ไม่คิดว่าจะมีคนอยากทำงานขนาดเธอคนนี้มาก่อน

“ค่ะ”

“เข้าใจแล้วล่ะ งานบนเรือเงินดีใช่ไหม”

“เอ่อ...ค่ะ น่าจะดีค่ะ”

ยิ่งคุยยิ่งประหม่า เพลินตาค้อมหัว ขอตัวกลับห้อง ชลกรมองตามหลังหญิงสาวด้วยรอยยิ้มแบบที่ตนเองยังนึกแปลกใจ ผู้หญิงคนนี้ทำให้เขารู้สึกดีแบบแปลกๆ

 

วันต่อมา ลูกน้องบนเรือเข้ามารายงานเรื่องลูกค้าโวยวายว่าของมีค่าหายไป หลังเข้าไปใช้บริการในสปา ชลกรเรียกทุกคนที่เกี่ยวข้องเข้ามาสอบถามหนึ่งในนั้นมีหมอนวดสาว คนที่เขาเห็นเธอแต่งชุดไทยเมื่อคืนก่อนรวมอยู่ด้วย

เมื่อคุยกับทุกคนจนหมดแล้ว เหลือเธอเพียงคนเดียว ชลกรไม่ปักใจเชื่อว่าเธอจะเป็นคนเอาไป แต่ที่เรียกเอาไว้เพราะอะไรเขาก็บอกตัวเองไม่ได้ คงเพราะหน้าตานิ่งๆเรียบๆแบบที่เขาชอบมอง ปากอิ่มที่บางครั้งเม้มแน่นเหมือนกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่

“ชื่ออะไรนะเธอน่ะ”

“เพลินตาค่ะ”

ชลกรทวนชื่อของหญิงสาวตรงหน้าในใจ ‘เพลินตา’ อย่างนั้นเหรอ เหมาะสมจริงๆ เพราะเท่าที่เขาเห็น หน้าตาของเธอแม้ไม่ได้สวยโดดเด่น แต่มองแล้วเพลินตาสมชื่อ

ไม่รู้อะไรดลใจให้ชลกร ถามเธอออกไปเรื่องที่เป็นปัญหาอยู่ตอนนี้ ความจริงหน้าที่นี้ไม่ใช่ของเขาเลยสักนิด แต่ชลกรอยากคุยกับเธอ

“เพลินตา เธอหยิบของลูกค้าไปหรือเปล่า”

“ไม่ค่ะ ฉันไม่นิยมหยิบของใครที่ไม่ใช่ของๆฉัน”

“แต่หลักฐานหลายอย่างบอกว่าเธอเป็นคนที่น่าสงสัยที่สุดนะ”
        หลักฐานที่คนพูดพูดถึงเป็นแค่เพียงคำกล่าวหาจากลูกค้าเท่านั้น เพราะกล้องวงจรปิดไม่ติดแน่นอนในห้องนวด

“แต่ฉันไม่ได้เอาไปจริงๆนะคะ”

ทำไมถึงได้ซวยอย่างนี้ เพลินตาคิด เพราะนอกจากจะไม่ได้เอาของไปแล้ว เธอเกือบโดนตาแก่ตัณหากลับนั่นจับปล้ำเอาอีก ดีทว่าหนีออกมาได้ก่อน

ตอนนี้เธอชักไม่พอใจที่โดนกล่าวหาว่าเป็นหัวขโมย ทั้งๆที่หลักฐานอะไรๆก็ไม่มีทั้งนั้น กับแค่ ลูกค้ารายนั้นเข้ามานวดกับเธอเป็นคนสุดท้าย เลยเหมารวมว่าเธอเอาของไปอย่างนั้นหรือ มันไม่ยุติธรรมเลย แล้วเขาเป็นใครถึงมาซักไซ้จับผิดเธอแบบนี้

ผู้ต้องสงสัยยืนไหล่ห่อ คอตก ความกังวลก่อให้น้ำในตาค่อยคลอขึ้น จนชลกรออกปากให้เธอออกไปจากที่นี่

“เอาล่ะ ไปทำงานต่อเถอะ”

ชลกรบอกเสียงเรียบเมื่อเห็นสีหน้าของคนโดนซักที่เหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ

พอกลับเข้ามาทำงาน เพลินตาถามกับเพื่อนอีกคนที่โดนเรียกตัวไปคุยเรื่องของหาย ว่าผู้ชายคนที่เจ้ากี้เจ้าการคนนั้นเป็นใคร คนที่ซักเธอจนเธอเริ่มหงุดหงิด แล้วคำตอบได้รับกลับมาก็คือ

‘บอสใหญ่ในเครือ PSS’

‘หรือคนนี้ จะเป็นคนที่น้องสาวของเธอคิดจะฝากชีวิตด้วย’

เมื่อไม่แน่ใจเธอเดินไปรื้อของในกระเป๋านามบัตรที่น้องสาวให้ไว้ ชื่อตรงกันจนน่าใจหาย

โลกของเพลินตาหม่นลงในนาทีนั้นเอง เธอหลงรักชายคนเดียวกับน้องสาว ความคิดหลายสิ่งหลายอย่างประดังประเดเข้ามา ยังดีที่เธอยังถลำตัวไปไม่ลึก ไม่อย่างนั้นคงปวดใจมากกว่านี้

 

 

ชลกรออกมานั่งดื่มที่ริมสระน้ำบนดาดฟ้าของเรือ โดยมีเจสสิกาคลอเคลียอยู่ไม่ห่าง เมื่อเริ่มได้ที่ อารมณ์ดิบของทั้งสอง ก่อตัวขึ้นกระตุ้นให้ทั้งคู่โรมรันพันตูบนเก้าอี้ตัวเดียวกัน

แต่แสงสว่างวาบที่มุมหนึ่งบนดาดฟ้าของเรือสะดุดตาชลกร จนหมดอารมณ์ เขาดันตัวหญิงสาวคู่ขาออก แล้วเดินไปตามทิศทางที่ตนเองแน่ใจว่าเห็นแสงสว่างวาบทางทิศนั้น

‘หนอยแน่ นี่ขนาดว่าขอน้องสาวเธอแต่งงานยังไม่วายมั่วไม่เลิก เธอจะเอารูปพวกนี้ไปให้น้องสาวของเธอดู’ ... เพลินตานั่นเอง เธอออกมาเดินสูดอากาศเพราะนอนไม่หลับ จึงเห็นเข้าพอดี ด้วยวิญญาณนักข่าว อาชีพเก่าเข้าสิง เธอยกมือถือถ่ายภาพเก็บไว้ในนาทีนั้น แต่เพราะความรีบร้อน เธอลืมกดปิดแฟลชพอรู้ว่าคนในภาพเดินมา เธอเร้นตัวหนีกลับห้องโดยไว

จากที่เคยใจเต้นกับชายคนนั้น ตอนนี้กลายเป็นชิงชัง เธอจะเก็บภาพของเขาให้หมดทุกท่วงท่าอิริยาบถ แล้วเอาไปให้เพียงใจดู ว่าผู้ชายมีเงินไม่คิดจริงจังกับใครแบบที่เธอเคยเตือน เพื่อที่น้องสาวจะได้ไม่หลงผิด

เพลินตาเหม่อ กดดูภาพที่ได้มา โดยมีเพื่อนร่วมห้องเข้ามาหยุดยืนดูอยู่ทางด้านหลัง อีฟถามเธอด้วยสีหน้ากังวล

“ถ่ายรูปบอสทำไมกันน่ะ เพลิน”

เมื่อเพลินตาไม่ตอบ อีฟ เพื่อนร่วมห้องแต่ทำงานคนละแผนก รีบบอกอีกเรื่องที่คนในเครือ PSS ต้องรู้

“เธอไม่รู้เหรอ ว่าบอสไม่ชอบถ่ายรูป แล้วก็พวกนักข่าวทั้งหลายแหล่นั่นอีก”

“ทำไม นักข่าวไปทำอะไรให้เกลียดนักเกลียดหนา”

 

หลังจากคุยกัน อีฟเอาไปบอกคู่รักของเธอที่เป็นบอดีการ์ดคนหนึ่งของชลกร เธอและชายคนนั้นแอบคบหากันเมื่อไม่นานมานี้ บางคืนแวบไปนอนค้างที่ห้องอย่างคืนนี้เป็นต้น ทั้งคู่คบกันและคุยกันทุกเรื่อง รวมไปถึงเรื่องที่เพลินตาแอบถ่ายรูปของบอสไว้ด้วย อีฟบอกว่าเธอแอบเห็นบัตรนักข่าวในกระเป๋าของสาวร่วมห้อง อาจเป็นได้ที่เพลินตาจะปลอมตัวขึ้นมาสืบข่าวของชลกร

บอดีการ์ดคนนี้ เอาเรื่องที่ได้มาจากอีฟ นำมาบอกต่อกับชลกรอีกทอด รู้ดังนั้นเขาจึงให้ทุกคนจับตาดูหญิงสาวคนนี้ไปก่อน ชลกรไม่อยากเชื่อว่าผู้หญิงคนนั้นจะขึ้นมาบนเรือของเขาเพื่อหาข่าว แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เขาจะจัดการอย่างไรกับเธอดี

 

ลูกน้องทุกคนรู้ว่าชลกรเกลียดนักข่าว เพราะนักข่าวใหญ่โตคนหนึ่งเขียนข่าวบิดเบือนความจริง ทั้งยังให้คนตามถ่ายภาพของอดีตเลขาส่วนตัวที่เขาไปมีสัมพันธ์ด้วย หญิงสาวทนความอับอายไม่ไหวเมื่อท้องแล้วจึงเอาเด็กในท้องไปฝากไว้ยังบ้านเกิดของเธอ แล้วหลบหายไป ตามหาตัวแค่ไหนก็ไม่พบ เด็กคนดังกล่าวจะใช่ลูกของเขาหรือไม่ แต่ชลกรก็ให้อุปการะในทุกเรื่อง แม้ทางครอบครัวของเด็กชายจะพอมีฐานะ แต่เขาก็อยากให้ความช่วยเหลือ อย่างน้อยเด็กคนนั้นก็เกิดจากผู้หญิงคนหนึ่งที่จงรักภักดีกับชลกร แม้ไม่ได้รักมากพอจะเอามาเป็นคู่ชีวิตก็ตาม แต่เขารู้สึกดีด้วยกับหญิงสาวคนนั้น ‘อินทุอร’

 

ชลกรออกมานั่งรับลมกับสาวคนเดิมอีกครั้ง คราวนี้เขาให้บอดีการ์ดคอยสอดส่องดูว่าจะมีใครมาวุ่นวายกับเขาอีกหรือไม่ บางทีอาจเป็นคนที่สงสัยว่าจะเป็นนักข่าวคนนั้น

เพลินตาหลงกล เธอแอบหยิบเครื่องมือที่ติดตัวมาด้วยเก็บภาพของเขาเอาไว้จนพอใจ พอหันหลังตั้งท่าจะกลับห้อง จึงคิดว่าตนเองน่าจะพลาดเสียแล้วเพราะเห็นชายร่างสูงใหญ่สองคน บอดีการ์ดของเขาดักไว้ไม่ให้ไปไหน

ชลกรรับมือถือของเธอมาแล้วกดดู ปรากฏว่าในนั้นมีแต่ภาพที่เขากับเจสสิกาแทบทั้งสิ้น ชายหนุ่มเงยหน้าสบตาหญิงสาวคนเดียวในห้องนิ่งนานเค้นเสียงถามออกมา

“เธอถ่ายรูปฉันทำไมเพลินตา”

หญิงสาวเจ้าของชื่อยังยืนนิ่งเงียบไม่ยอมตอบ ใจหนึ่งคิดจะเปิดปากปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา แต่อีกใจบอกให้เธอเลี่ยงคำตอบไว้ก่อนเป็นดีที่สุด

“คุณไม่ชอบถ่ายรูปเหรอคะ”

นอกจากไม่ตอบคำถามเขาแล้ว เพลินตายังย้อนถามเขากลับด้วยหน้าตาใสแกล้งซื่อ

“ไปเก็บของๆเธอซะ”

“คุณจะไล่ฉันออก เพราะฉันถ่ายรูปของคุณเหรอคะ คุณบอส” เพลินตาร้อนรนถามออกไป ไม่รู้จะใช้สรรพนามไหนเรียกเขาดี

“ตอนนี้ยังไม่ไล่ออก แต่เธอต้องย้ายมาอยู่ในสายตาของฉันก่อน จะได้แน่ใจว่าเธอจะไม่ไปขโมยของใครอีก”ชลกรยกข้อกล่าวหาเก่ามากล่าวหาหญิงสาวตรงหน้าใหม่อีกครั้ง บอกต่อ “แล้วก็ห้ามถ่ายรูปฉันด้วย ถ้าฉันเห็นอีก เธอตกงานแน่”

เพลินตาเจ็บใจแต่พูดอะไรไม่ได้ มาหาว่าเธอเป็นหัวขโมยได้อย่างไรกัน ทั้งๆที่มันไม่เป็นความจริง

“ทำไมคะ แค่ถ่ายรูปมันจะอะไรนักหนา”

“ฉันไม่ชอบ”

ชลกรบอกเสียงเฉียบ แล้วสั่งให้บอดีการ์ดย้ายข้าวของเพลินตามาเก็บไว้ที่ห้องของเขา พร้อมตามเธอทุกฝีก้าว และจะหาทางปล่อยเธอลงจากเรือหากเธอยังดื้อรั้นฝืนคำสั่งของเขา

พอเขาเผลอ เพลินตาก็ยังดื้อแอบถ่ายภาพของเขา มีทั้งตอนที่เขาเหม่อ ภาพที่เขายิ้ม หัวเราะ แต่พอเจ้าตัวเห็น เขาจะฉวยไปดูทุกคราวไป แต่ไม่ยักกับโกรธ เมื่อเห็นภาพตัวเองในอิริยาบถต่างๆก็อดยิ้มขำตามไม่ได้

เขาถ่ายภาพของเธอบ้าง พอเผลอ เพลินตาแอบถ่ายภาพคู่ของเธอและเขา ไม่แม้แต่จะคิดแย่งของน้อง แต่เธออยากมีภาพความทรงจำบ้าง เท่านั้นเองยอมรับในใจเงียบๆว่าเธอหลงรักเจ้าของเรือเสียแล้ว

“เล่าเรื่องเธอให้ฟังบ้างสิ”

ชลกรบอกขณะนอนคว่ำหน้าให้หญิงสาวผู้ต้องสงสัยว่าเป็นทั้งขโมยและเป็นนักข่าว นวดที่ริมสระบนดาดฟ้าบนเรือของเขา ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆเกิดอยากรู้จักเธอขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“ฉันเป็นลูกสาวคนโตค่ะ”

“ฉันก็เป็นพี่ชายคนโต”ชลกรบอกยิ้มๆ

“ฉันมีน้องสาวหนึ่งคน น้องชายอีกหนึ่งคน”

“ฉันก็มีน้องชาย”

“จบค่ะ”

“เฮ้! ต่อสิ อย่างเช่นเธอเรียนจบอะไรมา ทำงานอะไรมาก่อน ก่อนที่จะได้งานที่นี่ อะไรพวกเนี้ย”

“แต่ฉันได้งานแล้วนะคะ”

ชลกรได้ยินแล้วอดขำไม่ได้ นี่เธอหาว่าเขาสัมภาษณ์เธอเข้าทำงานสินะ ชายหนุ่มดันตัวนอนตะแคงมองคนนวด ปั้นหน้าดุใส่

“ไม่เคยมีใครกล้าพูดแบบนี้กับฉันมาก่อนเลยนะ เธอคนแรกเลยเพลินตา”

มือที่นวดอยู่ชะงักค้างแล้วจงใจถามเขาออกไป“จะไล่ฉันออกไหมล่ะค่ะ”

“ไล่ออกแน่ ถ้าฉันรู้ว่าเธอเป็นนักข่าว”

คราวนี้คนพูดบอกโดยไม่มีรอยยิ้มใดๆปนมาทั้งสิ้น ให้รู้กันไปหากเธอเป็นนักข่าวจริงๆเขานี่แหละจะจัดการกับเธอเอง

แก้วไวน์ในมือของเจสสิกา ถูกวางลงข้างกายชลกรที่นอนอยู่ริมสระ หลายคืนแล้วที่ชายหนุ่มไม่แตะต้องเธอเลย คืนนี้จึงต้องใช้ยาที่เตรียมมาทั้งหมดใส่ให้เขา หวังจะจับคนอย่างชลกรให้ได้ ไม่ใช่ยาปลุกเซ็กที่นางร้ายชอบใช้กัน แต่เป็นแค่ยากล่อมประสาทให้ชายหนุ่มยอมเซ็นขายหุ้นให้เธอ นั่นต่างหากที่เธอต้องการ

“นี่ของคุณค่ะ กร”

เพลินตาผละออกจากชายหนุ่มที่นอนคว่ำหน้าอยู่ทันทีที่เห็นหญิงสาวแสนสวย ชาวต่างชาติคนที่เธอเคยเห็นใกล้ชิดกับเขา แต่ด้วยความไม่ตั้งใจ มือของเพลินตาเกี่ยวไปโดนแก้วเครื่องดื่มของเขาจนตกแตก

เจสสิกาเห็นดังนั้น เผลอตวาดด้วยความโมโหที่ยัยหมอนวดนี่ทำเสียแผน

“ทำไมเซ่อ ซุ่มซ่ามแบบนี้ แกรู้ไหมว่านี่เป็นแก้วสุดท้ายที่...”เจสสิกายั้งปากไว้ทัน เธอจะบอกให้ใครรู้ไม่ได้ว่า ทำไมแก้วนี้ถึงเป็นแก้วสุดท้าย

ชลกรนิ่วหน้า เพราะขวดไวน์ที่วางบนโต๊ะนั่นยังมีของเหลวชนิดเดียวกันมากกว่าครึ่ง

“ไม่เอาน่าเจส ไวน์ยังเหลืออีกตั้งค่อนขวด”

“แต่มัน...”เจสสิกาจะบอกได้อย่างไรว่าอยากให้ชลกรดื่มแค่แก้วนี้เท่านั้น

ชลกรเห็นดังนั้น สังหรณ์ใจแปลกๆ เขาคิดว่าเจสสิกากำลังวางแผนทำบางอย่างที่ไม่ดีกับเขาแน่นอน แต่ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร คิดไปว่าจะให้ลูกน้องเอาของเหลวส่วนที่หกไปตรวจดู หากเป็นอย่างที่คิด เขาจะได้หาทางจัดการกับผู้หญิงคนนี้ได้

“ออกไปก่อน เพลินตา”

เห็นแล้วหงุดหงิด เพลินตาคิดดังนั้นจึงรีบออกไป ปล่อยให้ทั้งคู่อยู่คุยธุระกันตามลำพัง เธอจะมีอาการไม่พอใจทำไม หากชลกรจะทำอะไรหรืออยู่ใกล้กับใคร เขาเป็นคนรักของน้องเธอนะ หญิงสาวคิดวุ่นวายในหัวสมอง

 

 

เย็นวันถัดมาบอดีการ์ดส่งข้อมูลว่าของเหลวมียากล่อมประสาทปนเปื้อน พร้อมกับส่งประวัติของหญิงสาวคนที่ชลกรให้ไปตามสืบ ชายหนุ่มไล่สายตาอ่านดูเงียบๆภายในห้อง พอรู้ข้อมูลมาว่าเธอคือใคร เขาเหวี่ยงเอกสารทิ้งอย่างไม่ใยดี

“ตามตัวมา ว่าใช่จริงไหม”

ชลกรพอหาหนทางได้ว่าเขาจะจัดการกับเจสสิกาอย่างไร แต่ผู้หญิงอีกคนนี่สิที่ทำให้เขาคิดหนัก

บอดีการ์ดหายไปไม่นาน คราวนี้ชายหนุ่มร่างใหญ่ลูกน้องของชลกรกลับมาพร้อมเพลินตา เจ้าของเรือไล่คนของเขาออกไปจากห้อง ก่อนจะสงบสติอารมณ์ถามหญิงสาวคนที่ทำให้เขาเดือดเป็นภูเขาไฟอยู่ตอนนี้

“เธอทำงานให้ใคร เพลินตา”

เพลินตาเงียบไปครู่ ชั่งใจว่าชลกรกำลังถามเธอเรื่องอะไรกันแน่ ก่อนจะตัดสินใจตอบออกไปว่า

“ก็ทำงานให้คุณไงคะ”

ดวงตาของเขาแทบจะแผดเผาหญิงสาวตรงหน้าให้มอดไหม้ ถามออกไปอีกรอบ“เธอเป็นนักข่าวใช่ไหม”

“คุณรู้ได้ยังไง”

เพลินตาเลิกคิ้วสูง ตอนนี้งงหนักว่าชายหนุ่มตรงหน้าถามวนไปมาทำไม ชลกรเดินเข้ามาหาเธอแล้วชูรูปที่ถูกแอบถ่ายทั้งหมดตรงหน้า

“เธอถ่ายรูปฉันทำไม เอาไปทำขายให้ใคร”

“ไม่ค่ะ ฉันไม่ได้ขายให้ใคร”

“อย่า...โก...หก”ชลกรเน้นสามคำให้คนฟังได้กลัว

“ฉันไม่ได้เป็นนักข่าว ...แล้วก็ไม่ได้เอาภาพคุณไปขายให้ใคร จริงๆนะคะ”

เพลินตาพูดเร็วปรื๋อด้วยความตกใจในท่าทางของชายหนุ่ม เพราะเธอไม่เคยเห็นเขาโกรธมาก่อน

“ถ้าอย่างนั้น เธอถ่ายรูปฉันไปทำไม”

เพลินตาเม้มปากแน่น ใช้ความคิดอย่างหนัก จะตอบเขาอย่างไรดี ให้เข้าตัวน้อยที่สุด เพราะเธอไม่ได้ถ่ายรูปเขาไปทำข่าว แต่จงใจถ่ายไปให้น้องสาวของเธอดู

ชลกรเข้ามายื้ออุปกรณ์ในมือ ตั้งใจจะทำลายทิ้งให้หมด แต่เพลินตากลัวเขาเห็นภาพที่เธอแอบถ่ายเขาโดยมีเธอทำท่าประหนึ่งเหมือน...อ่า แค่คิดก็เขินมากมาย

“คุณจะทำอะไร คุณบอส”

“เอามานี่ ฉันจะทำลายทิ้งให้หมด”

“อย่าค่ะของพวกนี้มันมีค่ากับฉันมาก”เธอหมายถึงอุปกรณ์ทั้งหมดที่อยู่ในมือเขา เพราะมันมาจากน้ำพักน้ำแรงของเธอทั้งนั้น

“ราคาสูงน่าดูใช่ไหม ภาพฉันเนี่ย”

คนที่เกลียดนักข่าวเข้าไส้ คว้ามือถือของเพลินตาออกมาได้แล้วจัดการเขวี้ยงทิ้ง ก่อนจะกระชากตัวเธอเข้ามากอดแน่น เค้นเสียงพูดด้วยความรู้สึกเดือดทะลุร้อยองศา

“รู้ใช่ไหมคุณนักข่าว ว่าผมเกลียดพวกคุณมากแค่ไหน”ชั่ววินาทีชลกรก้มลงแตะปากลงบนกลีบปากบางอวบอิ่มของคนในอ้อมกอด สัมผัสที่ได้หนักหน่วง รุนแรงและอัดอั้น

ปลายลิ้นอุ่นสอดแทรกเข้ามาค้นหาบางอย่างในปากของเธอ มันเร่าร้อนเรียกร้องมากขึ้นเรื่อยๆ

นานจนเพลินตาแทบขาดอากาศหายใจ เขาถึงยอมหยุดแล้วเคลื่อนหน้ามาซบนิ่งที่ซอกคอระหงของเธอ ใจดวงน้อยตีลังกาพลิกคว่ำพลิกหงายกับจูบสูบวิญญาณเมื่อครู่ ชลกรผลักเธอออกไปให้พ้น ท่าทีขัดจากเมื่อครู่ราวฟ้ากับเหว ตวาดเสียงกร้าว

“ออกไปจากเรือของฉัน”

เพลินตามึนงงไปหมด เธอเดินออกมาจากตรงนั้น มือถือของเธอถูกชลกรทำลายไปแล้วด้วย ได้ยินเสียงเข้มเฉียบขาดของเขาแว่วมาสั่งบอดีการ์ดให้เอาตัวเธอลงจากเรือไปพรุ่งนี้ แค่นี้เพลินตาก็พูดอะไรไม่ออก เธอผิดตั้งแต่คิดจะขึ้นมาบนนี้แต่แรกแล้ว

ทันทีที่เรือจอดส่งลูกค้าชุดเก่า พร้อมรับลูกค้าชุดใหม่ในวันนี้ เพลินตาก็เช่นกันเธอต้องลงจากเรือไปตามคำสั่งของเขา ความทรงจำที่เธอแอบเก็บไว้ถูกเขาทำลายจนหมดสิ้น

ชลกรหยิบมือถือขึ้นมาดึงการ์ดยังเสียบอยู่ออกมาดูรูปที่มี ตั้งใจจะลบมันทิ้งให้หมด แต่ภาพที่ปรากฏต่อสายตาของเขาจนทำให้ชายหนุ่มสะดุดลมหายใจ นั่นคือภาพสุดท้ายที่เธอทำปากยื่นใส่เขาขณะที่นั่งหันหลังอยู่ ชลกรซบหน้าลงกับมือ ทำไมต้องเป็นคนนี้แววตานิ่งๆปากอวบอิ่ม หน้าตาที่เหมือนไม่ใส่ใจอะไร แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกดีแทบทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้เธอ

 

ชลกรกลับขึ้นฝั่งก่อนถึงกำหนด จุดหมายคือต้องการแวะไปหาชลัญธรเพื่อขอเจอหน้าว่าที่น้องสะใภ้และครอบครัวของเธอ นั่นต่างหากที่เขาต้องการ

“ไหน ว่าที่น้องสะใภ้”ชลกรเอ่ยขึ้นทันทีที่เข้ามาในห้องของผู้บริหารระดับสูงชองเครือ PSS

“ใจร้อนจริงพี่ผม รอสักครู่นะครับ”

ชลัญธรโทรศัพท์เรียกว่าที่น้องสะใภ้มาให้พี่ชายได้ยลโฉม

“สวัสดีค่ะ คุณชลกร”หญิงสาวคนมาใหม่ รูปร่างหน้าตาหมดจด ท่าทางเรียบร้อยจนไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถมัดใจน้องชายของเขาได้ กระพุ่มมือยกไหว้ท่าทางกล้าๆกลัวๆ

“คุณเคินอะไรกัน เรียกพี่กรเหมือนนายธรสิ”

“เอ่อ...”เพียงใจอ้ำอึงไม่กล้าเรียก เพราะโดนชลัญธรไซโคมาเยอะว่าพี่ชายของเขาเป็นอย่างไร

“ไปเชื่ออะไรนายธร พี่ไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้นหรอกน่า” ชลกรโบกมือไม้ เมื่อเห็นเป็นเรื่องไร้สาระ แล้วถามต่อ “ตกลงว่าเราสองคนจะแต่งงานกันเมื่อไร”

“คงต้องรออีกสักพักน่ะครับ”ชลัญธรแบ่งรับแบ่งสู้ เพราะพี่สาวของเพียงใจแสดงท่าทีเหมือนจะไม่ยอมรับเขาเสียอย่างนั้น

“ที่พี่มานี่นะ อยากมากินข้าวกับน้องสะใภ้ และถ้าเป็นไปได้ พาครอบครัวน้องสะใภ้มาแนะนำให้พี่รู้จักบ้างก็น่าจะดีนะ”

“ได้ค่ะ ได้เลยค่ะน้องดาจะนัดพี่เพลินให้นะคะ”เพียงใจกุลีกุจอ ตื่นเต้นที่พี่ชายของคนรักไม่นึกรังเกียจเหมือนที่คาดเอาไว้ตั้งแต่ยังไม่ได้พบหน้ากัน แถมยังคุยเล่นใจดี ไม่เหมือนที่ชลัญธรบอกเลยสักนิด

ได้ยินแค่ชื่อ ตาของเขาก็วาววับขึ้นมาทันที คอยดูเถอะ เจอหน้ากันคราวนี้ เขาจะจัดการให้เธอทำข่าวเขาไม่ได้อีกเลยตลอดชีวิต

“พี่กรยอมรับน้องดาแล้วเหรอครับ”

“พูดเหมือนพี่เป็นพวกใจยักษ์ใจมารอย่างนั้นแหละ แกชอบใคร พี่จะไปขัดขวางทำไมแล้วนี่พวกแกจะแต่งกันเมื่อไร”

“พี่สาวของน้องดาให้เราลองคบกันไปก่อนครับ ฟังจากที่น้องดาบอก เหมือนกับพี่สาวเขาไม่ไว้ใจผมอย่างนั้นนะพี่”ชลัญธรกล้าพูดเพราะเพียงใจขออนุญาตออกไปจัดการงานต่อที่ห้องของเธอ ทั้งหมดเห็นว่าเป็นงานด่วนจึงไม่ได้รั้งไว้ เพราะอยู่คุยไปก็มีแต่เรื่องไม่เป็นเรื่อง

ชลกรเดินไปทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาเบดภายในห้อง ไขว้ขาพาดแขนตามความยาวของพนักพิง เอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบในแบบของเขา “ปล้ำเลยสิ”

“เอ้ย! พี่กร เกิดอะไรขึ้น ทำไมยุกันแบบนี้ล่ะครับ”

“เดี๋ยวก็อดหรอก”พี่ชายทำทีเป็นยุต่อ

ชลัญธรก็อายเป็นเหมือนกัน เขายกมือขึ้นเกาหน้าเกาตา แย้งพี่ชายเสียงอ่อย “พี่กรแนะนำอะไรแบบนั้นเล่าครับ”

ชลกรหรี่ตามองอีกคนด้วยสายตาประเมิน เขาผ่านสถานการณ์และผู้คนมามากมาย และที่คิดไว้นี่ก็ไม่น่าผิดพลาด

“อย่าบอกนะว่าแก...”

 

 

เพลินตาเพิ่งวางสายจากน้องสาว เพียงใจขอย้ายออกไปอยู่กับว่าที่สามี เธอยอมให้น้องไปอะไรที่เป็นความสุขของน้องเธอไม่อยากขัด ในเมื่อน้องสาวเรียนจบแล้ว และเข้าทำงานในเครือของ PSS อีกต่างหาก ไหนจะความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ที่เกินเลย จนพี่สาวอย่างเธอต้องยอมให้แต่งงานกันก่อนที่ท้องจะโตจนใส่ชุดเจ้าสาวไม่สวย ไม่มีอะไรให้เธอต้องกังวลใจอีกแล้ว เพลินตาคิด

หญิงสาวแหงนหน้ามองดูอาคารสูงเบื้องหน้า ด้วยหัวใจปวดร้าว จนยากจะเอื้อนเอ่ยเรื่องนี้กับใคร เย็นนี้เธอมีนัดกินข้าวกับว่าที่น้องเขยและน้องสาวในร้านอาหารชื่อดังข้างแห่งนี้

เมื่อเข้ามาถึงด้านใน เธอบอกชื่อแล้วเดินตามพนักงานเข้าไปด้านใน ความรู้สึกเจ็บปวดที่คิดว่ามันควรคลายลงไปบ้างแล้ว ปวดแปลบขึ้นมาอีกครั้ง ชายหนุ่มที่นั่งข้างน้องสาวกำลังเอียงศีรษะ เข้าไปฟังอะไรกันบางอย่างแบบส่วนตัว ที่คู่รักทั่วไปเขาปฏิบัติกัน ถึงทนดูไม่ได้ก็ต้องฝืนใจ ขาหนักแค่ไหนก็ต้องก้าวเดินไปให้ถึงโต๊ะตัวนั้น

สายตาคมของเขาปรายตามองมาที่เธอก่อนเป็นคนแรก ก่อนจะยกแขนขึ้นพาดที่ขอบเก้าอี้ตัวของหญิงสาวข้างกาย เรียกความสนใจให้อีกคนหันมองมาที่เธอ

“พี่เพลินมาแล้ว”

เพียงใจลุกขึ้นแล้วเดินมาจับจูงเธอให้ตามมานั่งที่โต๊ะ ถามเรื่องการเดินทางมาถึงที่ห้องอาหารนี้ เพราะน้องสาวแยกตัวออกมาอยู่ห้องชุดกับว่าที่สามีได้เดือนกว่าแล้ว

“พี่คงอยู่ไม่ได้นานนะน้องดา พี่มีนัดสัมภาษณ์คุณรัตนภูมิต่อน่ะจ้ะ”

เพลินตาบอกน้องสาวให้รู้ตารางงานที่ไม่แน่นอน นักข่าวอย่างเธอก็อย่างนี้ อีกเรื่องคือ เธอทนเห็นเขาและน้องสาวของเธอไม่ไหว ชายหนุ่มที่นั่งข้างน้องสาวของเธอเผลอบีบมือกับขอบเก้าอี้จนเห็นเส้นเลือดปูดโปนบนหลังมือของเขา บดกรามแน่นด้วยความโมโห

“ว้า...อยากให้พี่เพลินอยู่ทานข้าวด้วยกันจัง เลื่อนนัดไม่ได้เหรอคะ”

“ไม่ได้หรอกจ้ะ”

“มาทำไมกัน มาแป้บเดียวก็กลับ”

เสียงชายหนุ่มคนเดียวบนโต๊ะพูดแทรกขึ้นมา จนเพียงใจอดแปลกใจไม่ได้ ที่ชายหนุ่มแสนสุภาพใช้คำพูดแบบนี้กับพี่สาวของเธอ ทั้งๆที่ชายหนุ่มคนที่เป็นพี่ของว่าที่สามีในอนาคตออกจะสุภาพชนทุกครั้งที่ได้พบกัน

“ใช่ไหมครับ น้องดา แล้วนี่...พี่สาวน้องดาจะมางานแต่งด้วยไหม ถ้ามาแล้วรีบกลับแบบนี้ พี่ว่าไม่ต้องมาก็ได้มั้ง”

“เอ่อ...”

เพียงใจชักเริ่มอึดอัด เกิดอะไรขึ้นกับคุณชลกร พี่ชายของว่าที่สามี แล้วนี่ทำไมชลัญธรถึงไม่มาเสียที เพราะบรรยากาศตอนนี้มันอึดอัดจนคนกลางอย่างเธอเริ่มหวั่นใจจนบอกไม่ถูก

“ถ้าอย่างนั้นพี่กลับเลยดีกว่า ถือว่าพี่มาตามคำชวนของน้องดาและว่าที่สามีแล้ว ฝากน้องสาวด้วยนะคะ”

เพลินตาคว้ากระเป๋าสะพายขึ้นพาดบ่า ตั้งท่าจะเดินจากไป เพียงใจผุดลุกตาม เพราะพี่สาวยังไม่ได้เจอกับว่าที่สามีของเธอเลย ปากอ้าเตรียมค้านให้อยู่รอก่อน แต่ชลกรดึงให้นั่งลงแล้วเป็นฝ่ายเดินตามไป

“รีบมากเลยใช่ไหมคุณนักข่าว” เสียงทุ้มๆพูดตามหลังมา

เพลินตาไม่ตอบเธอรีบเดินให้ไกลจากเขา ไม่น่าเลย เธอจะยังมีหน้าไปมองใครได้ หากรู้ว่าเธอและน้องสาวหลงรักผู้ชายคนเดียวกัน

“หยุดเดี๋ยวนี้นะเพลินตา”

หญิงสาวคนที่ทำให้ชลกรวุ่นวายในหัวใจหยุดตามที่เขาบอกจริง เธอยืนนิ่งไม่หันมามองทางคนเรียก จนเขาต้องเดินมาหยุดที่ตรงหน้าของเธอ

“มีอะไรอีกคะคุณชลกร”

“กลับไปนั่งกินข้าวเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างงั้น ผมจะบอกเรื่องของเราให้น้องคุณรู้ทั้งหมด” ชลกรบอกเสียงเรียบ แววตาสีน้ำตาลเข้มวาวโรจน์จนน่ากลัว

“คุณจะพูดทำไม”

เพลินตาแย้งออกไปด้วยความเจ็บปวด เธอไม่น่าหาเรื่องใส่ตัวเลย ถ้าไม่เพราะอยากให้น้องสาวรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขา เธอคงไม่ดั้นด้นไปหาข่าวของชลกรแบบนี้

ชลัญธรเดินเข้ามาพอดี มองสองหนุ่มสาวที่ยืนคุยกันหน้าเครียด ทักพี่ชายขึ้นมาก่อนเป็นคนแรก

“พี่กร มีอะไรกันครับแล้วนี่ใช่พี่สาวของน้องดาหรือเปล่าครับ อย่าบอกนะว่าจะไม่ยอมให้น้องดาแต่งงานกับผม”

ทันทีที่ชลัญธรพูดจบ สีหน้าของเพลินตางงจนน่าขัน มองสองหนุ่มไปมา คนไหนกันคือเจ้าบ่าวของเพียงใจ แล้วชายคนนี้เล่าเขาเป็นใคร

“ผมชลัญธรครับ” ว่าที่น้องเขยของเพลินตารีบแนะนำตัว เหมือนรู้งาน “แล้วตกลงว่าคุยอะไรกันครับ หน้าตาเคร่งเครียดเชียว”

เมื่อไม่มีใครตอบอะไร ชลัญธรค่อมศีรษะแล้วเดินเข้าห้องอาหารไปอย่างรู้จังหวะ แม้ไม่แน่ใจว่าพี่ชายมายืนคุยกับพี่ภรรยาของตัวเองทำไม แต่สายตาที่เขาเห็นจากพี่ชายนั่น ทำให้ชลัญธรอยากยืดเวลาจัดงานแต่งงานออกไปก่อน บางทีอาจได้จัดพร้อมกันสองคู่

ชลกรยังมองใบหน้าของหญิงสาวตรงหน้านิ่ง นึกย้อนถึงวันที่โชคชะตาโยนเธอเข้ามาในชีวิต

“ทำไมต้องเป็นเธอด้วยนะ เพลินตา”

พูดจบเขาดึงเธอเข้ามากอดรัดแน่นจนหายใจแทบไม่ออก ไม่อยากผลักไสอ้อมกอดนี้สักนิด ชลกรดันตัวเธอออกพร้อมจ้องหน้าของเธอ

“เอาภาพความทรงจำของฉันคืนมา ถ้าเอาคืนมาไม่ได้ ก็ห้ามหายไปไหนอีก เข้าใจไหม”

เวลาไม่นานที่เขาและเธอได้ใกล้ชิดกัน ทำให้ชลกรกลัวความรู้สึกของในที่มันก่อตัวขึ้นมาแบบรวดเร็วจนน่าใจหาย เมื่อเขาไล่เธอให้ออกไปจากเขา หัวใจที่เคยเข้มแข็งเจ็บหน่วงรวดร้าวจนแทบทนไม่ได้ ตอนนี้เขาเองก็ไม่อยากยอมรับความจริงเรื่องนั้น หญิงสาวคนที่อยู่ตรงหน้านี้จะไม่สามารถทำให้เขารู้สึกแบบนั้นได้อีก เพราะเขาจะไม่มีวันให้เธอห่างจากกาย

เพลินตามองหน้าคนที่ทำให้เธอใจสั่นนิ่งนาน อมยิ้มน้อยๆก่อนจะพูดอะไรบางอย่าง

“ถ้าขอ...สัมภาษณ์หน่อย จะได้ไหมคะ”

 

 

จบ

*******************************

 

 

 

 

 

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว