สวัสดีครับ ผม "ประกายไฟ" อายุ 23 ปี เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกในชีวิตของผมในงานเขียน ฝากด้วยนะครับ ติชม หรือ แนะนำ ได้เลยนะครับ

"เมื่ออาจารย์หญิง 1 คน  กับ นักศึกษาปี่ที่ 3 อีก 4คน ต้องเดินทางไปทำงาน ในวันปิดเทอม แต่หารู้ไม่ว่าการไปทำงานของพวกเขาในครั้งนี้ ทำให้พวกเขาทั้ง 5 คนได้รู้ความลับอะไรหลายอย่าง และ ยังทำให้พวกเขา ทั้ง 5 ไม่ได้กลับมาศึกษา และ มาสอน อีกต่อไป"

ตอนที่ 1.ล้อหมุน สู่ เรือดำ

 

มหาลัยปิดเทอมแล้ว แต่ยังมีนักศึกษากลุ่มหนึ่งยังต้อง เดินทางไปทำงานนอกเวลาเรียน นักศึกษากลุ่มนี้ เป็นนักศึกษา ปี่ที่ 3 ที่ศึกษาเกี่ยวกับ ธรรมชาติ ป่าไม้ พรรณไม้ ต่างๆ

 

มีกันอยู่ 4 คน ชาย 3 หญิง 1 มีนาย ซอฟ นาย เอ็กซ์ นาย เป้ และ ชมพู่ ทั้งหมดเป็นเพื่อนกันอยู่ห้องเดียวกันทั้งหมด แถม ยังมีบุคลิกที่ขี้เล่นเหมือนกันทั้งหมดอีกด้วย สี่คนนี้ได้เดินทางมาจากบ้าน และ ที่พักของตนเอง และ มารวมกันที่มหาลัยแห่งนี้ เพื่อมาตามนัด ของ อาจารย์หญิง ท่านหนึ่ง ทั้งหมดใส่ชุดตามสบาย ไม่ได้ใส่ชุดนักศึกษา

 

มีชื่อว่า อาจารย์นก อาจารย์ผู้ใจดี อาจารย์นก เดินทางมาถึงทีหลัง นักศึกษา ทั้ง 4 คน ทั้งที่เป็นคนนัด อาจารย์นกได้ขับรถเข้ามาจากถนนใหญ่ เลี้ยวเข้ามาในประตูมหาลัย ที่มีนักศึกษา 4 คน กำลังนั่งรอคอย อยู่ตรงบริเวณด้านล่างตึกที่ 1

 

อาจารย์นกได้ขับรถเข้ามา แล้ว มาจอดตรง ข้างๆ โต๊ะหินอ่อน ที่นักศึกษากำลังนั่งรอ เธออยู่

 

“ขอโทษๆๆ อาจารย์ขอโทษที เมื่อคืนอาจารย์ ดูทีวี จนลืมดูเวลาไปหน่อย ขอโทษทีนะเด็กๆ”

 

เธอเปิดประตูรถออกมา และ รีบลงมาขอโทษ เหล่านักศึกษาที่กำลังนั่งรอเธออยู่

 

“ไม่เป็นไร ครับ/ค่ะ อาจารย์”

 

“จะช้าจะเร็วยังไง เราก็ต้องมีอาจารย์เป็นผู้นำในการเดินทางในครั้งนี้อยู่ดี ค่ะ”

 

นักศึกษาไม่ถือโทษโกรธ อาจารย์ของตน

 

“ถ้าอย่างงั้นเราออกเดินทางกันเลยดีกว่า เพราะมันสายมากแล้ว”

 

“ครับ/ค่ะ”

 

ทั้ง 5 คนก้าวขึ้นรถเก๋งสีขาว คันใหญ่ และ ออกเดินทางไปยังจุดหมาย ที่หารู้ไม่ว่า นี่คือการออกเดินทางครั้งสุดท้ายในชีวิตของพวกเขาทั้งหมด

 

จุดหมายที่ทั้งหมด ตั้งใจไว้ก็คือ ป่าแห่งหนึ่ง เพื่อที่จะไปสำรวจดู กล้วยไม้ ในป่า เพื่อดูว่า มีกี่ชนิดกี่สายพันธุ์ และ บันทึก เพื่อใช้ในการศึกษา

 

 

 

.

อาจารย์นก ได้นัด คนขับเรือ ที่จะทำหน้าที่พาพวกเขาไปที่ป่าแห่งนี้ ได้นัดไว้ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำแห่งหนึ่ง

 

เมื่อทั้ง 5 เดินทางมาถึงจุดนัดพบ ก็ได้พบกับ คนขับเรือ สวมเสื้อยืดสีขาว กางเกงขาสั้นลายดอก รองเท้าแตะ และ หมวกสาน ยืนโบกมือโบกไม้ ให้สัญญาณ กับ อาจารย์นก ว่ามาถึงจุดนัดพบแล้ว

 

ทั้ง 5 ได้ฝากรถไว้ที่ร้านอาหารแห่งนี้ และ เดินไปทานอาหาร กัน ในร้านอาหาร จนเสร็จสับ ก็ได้เดิน มาหา คนขับเรือ ที่นั่งรออยู่ในเรือ บริเวณ ลิมตลิ่ง ของแม่น้ำ แห่งนี้

 

แม่น้ำสายนี้ เป็นแม่น้ำ ที่ทั้ง 5 ต้องใช้เดินทางไปยังป่าที่ไปต้องสำรวจ กล้วยไม้ ที่อยู่ไกลจากจุดนัดพบพอสมควร

 

“แท็กๆๆๆๆ ครืน!!”

 

เครื่องเรือถูกสตาทร์ขึ้น เรือค่อยๆเคลื่อนห่างออกไปจากลิมตลิ่ง ไปตามแม่น้ำสายนี้ โดยมุ่งไปทางใต้ เพื่อยังป่าจุดหมายที่ตั้งไว้

 

เรือแล่นไปตามแม่น้ำ เรื่อยๆ ไม่รีบร้อน โดยมีทั้งหมด 6 คน บนเรือ โดยมีอาจารย์นก นั่งอยู่ทางที่นั่งที่ติดกับกราบขวาของเรือ ที่นั่งเป็นลักษณะที่นั่งยาวตอนเดียว อาจารย์นก นั่งอยู่ด้านในสุด ไกล้ๆกับ คนขับเรือ ที่กำลังยืนบังคับเรืออยู่ ด้านหลัง เรือนี้เป็นเรือโดยสารขนาดไม่ใหญ่นัก มีที่นั่งตอนยาว สองที่นั่ง ติดกับกราบของเรือทั้งสองข้าง และ ใช้เครื่องยนต์ขนาดใหญ่มีเพลายาวออกไปตรงปลายเป็นใบพัด เป็นตัวขับเคลื่อนให้เรือวิ่งไปได้ และมีที่จับยาวๆ ตรงตัวเครื่อง เพื่อ ให้คนขับเรือได้บังคับทิศทางตามต้องการ และ มีหลังคา กันแดด กันฝน ถัดจากอาจารย์นก ขึ้นไปเป็น ชมพู่ และ นายเอ็กซ์ ฝั่งที่นั่งซ้ายเป็นของนาย นายซอฟ กับ นายเป้ สองคน

 

เรือค่อยๆแล่นไปความเร็วพอประมาณ ท้องฟ้าไร้แสงแดด มีลมพัดไปพัดมาตลอดเวลา ไร้อากาศที่ร้อนอบอ้าว เรือแล่นมาเรื่อย จนมองเห็นปากทางเข้าป่า ที่นำไม้มาปักดิน มาร์กเอาไว้ มาร์กอันนี้ อาจารย์นก ได้นำมาปักไว้ก่อนหน้านี้ เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา

 

เรือจอดเทียบกับลิมตลิ่ง ทั้งหมดเดินลงจากเรือ ขึ้นไปบนตลิ่ง โดยสั่งให้คนขับเรือ รออยู่ที่นี่ จนกว่าพวกเขาจะกลับมา

 

“ไป พวกเรา”

 

อาจารย์นก เดินนำขบวน นักศึกษาทั้ง 4 คน เดินเข้าไปในป่าที่มีทางเดิน ที่ถูกทำไว้แล้วเมื่ออาทิตย์ก่อนเช่นเดียวกับไม้มาร์กจุด พวกเขาเดินเท้าเข้าไป ประมาณ 500 เมตร ก็พบกับ กล้วยไม้หลายชนิด และ ทำการตรวจสอบ ตรวจดู และ จดบันทึก

 

เมื่อเสร็จสิ้น ทั้ง 5 ได้เดินกับมายังเรือ โดยสาร ลำเก่า โดยใช้เวลาไปประมาณ 1ชั่วโมง จนฟ้ามืด เพราะตอนนี้ เป็นเวลา 1 ทุ่มตรงแล้ว และ ยังมีฝนตกพรำๆ ฟ้าร้องเป็นระยะๆ อีกด้วย

 

คนขับเรือจุดระเบิดเครื่องยนต์ แล้ว แล่นเรือกลับย้อนกลับไปทางเก่า ด้วยความเร็วสูงเนื่องจาก สภาพอากาศ และ เวลา ในตอนนั้น บังคับต้องให้ทำแบบนี้

 

เรือแล่นกลับขึ้นเหนือ ไปเรื่อยๆ ปกติ แต่ทันใดนั้น หลังจากที่เรือแล่นออกมาจากลิ่มตลิ่ง มาประมาณ 1 กิโลเมตร ฝนที่ตกพรำๆกลายเป็นหนักขึ้น ฟ้าร้องดังขึ้น และ มีลมกรรโชกแรง มันมีความแรงจนเรือ ไม่สามารถแล่นขึ้นต่อไปได้ เพราะลมแรงที่สวนทางมาจากทางเหนือ แถมอากาศยังหนาวขึ้นอีกด้วย

 

ทำให้คนขับเรือ ไม่สามารถ ขับเรือที่สวนกับลมแรงมหาศาล นี้ได้ ต่อไป คนขับเรือต้องหันหัวเรือกับลงไปทางทิศใต้ ทางเดิม เพื่อตั้งหลัก และ หาวิธีเพื่อที่จะกลับไปส่งพวกเขาทั้ง 5 ที่ร้านอาหารที่ได้ฝากรถเอาไว้

 

“เป็นอะไรไป คนขับเรือ?”

 

“ลมมันสวนมาแรงมาก ผมไม่สามารถขับเรือกลับไปทางเดิมได้ เราต้องหาทางกลับ ทางอื่น ครับ!”

 

“ยังไงก็แล้วแต่ ต้องพาพวกเรากลับไปให้ได้นะ!”

 

“รับทราบ ครับ!”

 

เสร็จสิ้นการสนทนา ตกลง ระหว่างอาจารย์นก และ คนขับเรือ ก็ได้มุ่งหน้าเรือ ลงใต้ต่อไปเรื่อยๆ จนมาถึงจุดเดิม นั้นก็คือ จุดมาร์ก ที่อยู่หน้าปากทางเข้าป่า ที่ทั้ง 5 ได้เข้าไปสำรวจเมื่อ 30 นาที ที่ผ่านมา

 

เรือยังคงมุ่งต่อไปเรื่อยๆ เหมือนไม่มีจุดหมาย จนทั้ง 6 คนมองเห็นหมอกสีดำสนิท อยู่ด้านหน้าของพวกเขา ประมาณ 50 เมตร อาจจะเป็นควันหรืออะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่ทำให้พวกเขาทั้ง 6 ต้องลดละ ที่จะหาทางกลับบ้าน

 

เรือแล่นทะลุผ่านหมอกสีดำ เข้าไป ทุกอย่างดำมืดไปหมด มองอะไรไม่เห็น จนเรือแล่นผ่านออกจากหมอกออกมา จากแม่น้ำ ที่มีขนาดปกติ ทั่วไป กลับกลายเป็น แม่น้ำสายยาว ที่กว้างใหญ่ไพศาล

 

แม่น้ำสายนี้ คือ แม่น้ำมณี อันเลื่องชื่อ สำหรับพวกนักธุรกิจขนส่ง และ พวกลูกเรือขนส่ง มันมีความกว้างถึง 400 เมตร จากลิมตลิ่ง ถึงอีก ลิมตลิ่ง ยาวไกลสุดลูกหูลูกตา เหมือนไม่มีที่สิ้นสุด สองข้างแม่น้ำ ปกคลุมไปด้วยป่าเขาลำเนาไพร ที่ยาวไกลสุกลูกหูลูกตา เหมือนกัน

 

ทุกอย่างในตอนนี้ ทำได้แค่ อึ้งกับอึ้ง ไม่น่าเชื่อว่าจะมีอะไรแบบนี้ เกิดขึ้นกับพวกเขาทั้ง 6 คน เมื่อหันหลังกลับไปมอง จากหมอกสีดำ กลายเป็นแม่น้ำ สายเดียวกัน ที่มองไม่เห็นจุดจบ ปลายแม่น้ำ

 

 

ทุกคนยังอยู่ในอาการตกใจ และ ช็อค กับสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าพวกเขา แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เรือยังคงต้องแล่น ต่อไปเรื่อยๆ เพื่อหาทางกลับบ้าน

 

ฝนยังคงตกหนักเหมือนเดิม ฟ้าร้องดังเป็นระยะๆ ทันไดนั้นก็ได้มีแสงไฟสว่างจ้า ส่องมายังเรือของทั้ง 6 คน ขณะที่กำลังแล่นเรือลงใต้

 

มันเป็นไฟสปอร์ตไลท์ดวงใหญ่ที่ส่องมาจากเรือลำหนึ่ง ที่ตามหลังพวกเขามา แสงไฟส่องผ่าทะลุสายฝน ส่องมายังเรือโดยสาร คนเรือได้หยุดเรือ และ โบกไม้โบกมือไปมา เหมือนจะขอความช่วยเหลือ ทั้ง 5 คนก็ทำเหมือนกัน ถึงจะมองไม่ชัดว่าเป็นเรืออะไร เนื่องจากแสงไฟที่ส่องเข้าตาพวกเขา แสงไฟส่องมาที่พวกเขาทั้ง 6 พร้อมกับ ใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้ม แต่หารู้ไม่ว่า ยิ้มนี้เป็นยิ้มครั้งสุดท้ายของพวกเขา

 

แสงไฟขยับ เข้ามาเรื่อยๆ และ เบี่ยงออกไปทางซ้าย จนทำให้ วิสัยทัศน์ ของทั้ง 6 ชัดเจนขึ้น ภาพที่เห็นก็ต้องทำให้พวกเขา อึ้งอีกครั้ง

 

เพราะภาพที่เห็นต่อหน้านั้น เป็น เรือเหล็กยักษ์ สีดำสนิททั้งลำ มันมีอยู่ ทั้งหมด 4 ชั้น ห้องโดยสารขนาดใหญ่ 3 ชั้น และ ชั้นที่ 4 เป็นห้องของพลขับ หรือ กัปตัน

 

มันมีขนาดสูงใหญ่มหึมา บวกกับสีดำสนิท ทั้งลำ ทำให้มันดูน่ากลัว และ น่าขนลุกเป็นอย่างมาก แถม ยังติดตั้ง อาวุธสงคราม อยู่รอบๆตัวเรือ ทั้ง 4 ทิศ ของทั้ง 4 ชั้น รวมชั้นล่างสุดของเรือ แต่ไม่รวมห้องของพลขับ มีทั้งปืนยิงจรวด อาร์พีจี เซเว่น และ ปืนกลหนัก กระสุนยาวเป็นหางว่าว ที่ติดติดยึดแน่นไว้กับเสาเหล็ก และ สามารถหันไปหันมาได้ทุกทิศทาง และ ยังมีธงสีดำล้วนไร้รวดลาย โบกสบัดไปมาอยู่ด้านท้ายของเรือ มันค่อยๆแล่นขึ้นมาทางซ้าย ของเรือโดยสาร

 

“แกร๊ง!”

 

เสียงของตะขอเหล็ก 4 ง่าม ขนาดใหญ่ ถูกเขวี้ยง ลงมาจาก เรือเหล็กยักษ์สีดำ และ มาเกี่ยวตรงบริเวณด้านหน้าของเรือ และ ลากเรือโดยสาร เข้าไปหามัน จนกราบซ้ายที่เป็นไม้ ของเรือโดยสารกระแทก กับ กาบขวาที่เป็นเหล็ก ของเรือยักษ์ เข้าอย่างจัง

 

ทุกอย่างสงบนิ่ง ได้ไม่นาน ก็มีชาย ศรีษะโล้น เต็มไปด้วยยันต์ อักขระอักษร สีดำ สวมเสื้อยืดแขนยาวสีดำไร้ลวดลาย กางเกงยีนส์สีดำ รองเท้าผ้าใบสีขาวล้วน ลายสักอักขระอักษร ยาวจากศรีษะ ลงมาจนถึงปลายนิ้วทั้ง 10 นิ้ว อายุประมาณ 40 ปี ได้นำบันไดไม้ อันหนึ่ง พาดลงมาในเรือโดยสาร เพื่อใช้เป็น สะพานเดินลงมายังเรือโดยสาร

 

ชายผู้นี้ เดินลงมาจากเรือยักษ์เหล็กสีดำ พร้อมสพาย อาวุธสงคราม เอ เค สีสิบเจ็ด จ่อปลายกระบอกปืนมาที่ พวกเขาทั้ง 6 คน

 

“ยกมือขึ้น ยกมือขึ้น ท่าไม่ทำตามกูยิงไส้แตกแน่!!”

 

 

คำขู่ตะโกนดังลั่นกลางแม่น้ำ ทำให้ทั้ง 6 เกิดความหวาดกลัว จึงต้องทำตาม

 

สิ้นเสียงคำขู่ตะโกน ชายผู้หนึ่งท่าทางดูเด็ดขาด เดินลงมาจากสะพานไม้ ที่ชายคนแรกได้ทำไว้ ผมยาวประบ่า โพกหัวด้วยผ้าบางสีดำล้วนไร้ลวดลาย หน้าตา คมเข้ม มีหนวด แต่ไม่มีเครา มีต่างหูทองแท้ทรงกลม ห้อยอยู่ที่ติ่งหู ข้างละอัน สวมเสื้อยืดแขนสั้นสีดำ กางเกงยีนส์สีดำ รองเท้าผ้าใบสีขาวล้วน อายุ 24 ปี

 

ชายหนุ่มผู้นี้ คือ นายแต้มสิงห์ เป็นหัวหน้ากลุ่มโจรสลัด สีนิล แห่งลุ่มแม่น้ำมณี คนปัจจุบัน แต้มสิงห์ได้รับช่วงการเป็นหัวหน้า ต่อจากพ่อของเขา ที่ได้เสียชีวิตไป

 

“มีกี่คน?”

 

“มีทั้งหมด 6 คน เป็น ชาย 4 หญิง 2 ครับ!”

 

“พวกมึงทั้ง 6 ตัว เดินตามกูขึ้นมา...”

จากเสียงฝนที่ตกรุนแรง กลายเป็นเสียงน้ำหยด จากเสียงฟ้าผ่า กลายเป็นเสียงนกกระจิบร้อง จากสายตาที่แจ่มชัด กลายเป็นพร่ามัว จากกล้ามเนื้อที่แข็งแรง กลับกลายเป็นอ่อนแรง ทุกอย่างของทั้ง 6 คน ผิดเพี้ยนไปหมด หลังจากที่ได้ยินคำพูดของ แต้มสิงห์ ในตอนนั้น.

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว