ป่าแห่งโนห์อา
0
ตอน
1.02K
เข้าชม
43
ถูกใจ
1
ความคิดเห็น
7
เพิ่มลงคลัง

ป่าแห่งโนอาห์

 

 

ท่ามกลางไฟแผดเผาลามเลียไปทั่วผืนป่า ต้นไม้ต่างโค่นล้มระเนระนาด ผืนป่าอันแห้งแล้งเป็นต้นเหตุของเพลิงผลาญ ร่างของหมาป่ายักษ์ขนสีฟ้าขาวกำลังนอนหอบรวยรินรอความตายที่กำลังจะมาเยือน นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มที่มันไม่ยอมให้ปิดยังคงมองตรงไปข้างหน้า เบื้องหลังกองไฟยังมีร่างของพวกหมาป่าน้ำแข็งอยู่อีกจำนวนมาก พวกมันไม่ชินกับไฟและความแห้งแล้ง แม้ไฟและภัยธรรมชาติจะทำอะไรหมาป่าวัยฉกรรจ์อย่างพวกมันไม่ได้ แต่พวกออคโทเบียนสามารถสังหารพวกมันได้

ต้องไปช่วย...

หมาป่ายักษ์พยายามใช้เท้าหน้าตระกายพื้นหวังจะลุกยืน มันฝืนลากตัวเองไปข้างหน้า พลันเท้าคู่หนึ่งเหยียบลงบนพื้นขวางหน้ามัน ประสาทสัมผัสเกร็งขึ้นฉับไว มันขู่คำราม แต่เสียงนั้นช่างแผ่วเหลือเกิน ดวงตาที่ล้าเต็มทนของมันเห็นเงาร่างลางเลือน สีทองสว่างบาดเข้านัยน์ตา แล้วชายหนุ่มผู้หนึ่งก็ปรากฏเบื้องหน้า

“ไปมากกว่านี้ไม่ได้” ชายหนุ่มพูด นัยน์ตาสีฟ้ามีประกายแสงวูบวาบเช่นดวงดาว สบมองมันด้วยความเวทนาและสงสาร

หมาป่าพยายามจะพูด แต่ไม่มีเสียงใดออกมา มันยังคงยืดเท้าไปข้างหน้า หวังจะยื่นเข้าไปในกองเพลิง

“ในนั้นมีอะไรหรือ?” ชายหนุ่มมองตามไปยังกองไฟที่ยังลุกโชนอย่างโหดร้าย ไม่มีผู้ใดอยู่ในนั้น หากอยู่ก็ไม่มีทางรอด แต่กระนั้นเขาก็ยังก้าวเดินเข้าไป

หมาป่าเห็นชายหนุ่มเดินฝ่ากองเพลิงเข้าไปก็นึกเจ็บใจที่ตนขยับร่างกายไม่ได้ ทำไม่ได้แม้แต่จะห้าม

แล้วสายลมอันเย็นเยียบก็พัดมา ไอสีดำเย็นยะเยือกดุจความเย็นในอเวจีไหลลามไปเกาะกินเปลวไฟ เพลิงสีแดงไม่อาจต้านทานพลังอำนาจ พวกมันมอดดับลง

ปลายเท้าพร้อมไอสีดำทะมึนปรากฏข้างหัวของหมาป่ายักษ์ ไอเย็นสีดำที่ควบคุมเพลิงเอาไว้ไหลออกมาจากร่างของเขา เมื่อหมาป่าฝืนเหลือบมองก็พบกับร่างอันทะมึนมืดของเผ่ารัตติกาล พวกมันไม่ควรมาอยู่ตรงนี้ ขณะที่ชายเผ่ารัตติกาลกำลังก้าวเท้าไปข้างหน้า หมาป่าได้พยายามใช้แรงเฮือกสุดท้ายกัดขาสีดำนั้นเพื่อรั้งเอาไว้ เพราะหากชายหนุ่มที่มีแสงสีทองเป็นบุตรแห่งพระเจ้าตามที่ตำนานว่าไว้ เช่นนั้นก็ไม่ควรพบเจอกับเผ่ารัตติกาล พวกเขาเป็นสองด้านที่ไม่ควรปรากฏพร้อมกัน หากพบกันโลกต้องแตกสลาย หมาป่าเคยได้ยินมาเช่นนั้นจึงหยุดรัตติกาลเอาไว้

“ปล่อย”

เสียงอันทรงอำนาจออกคำสั่งกับมัน มันยังเห็นดวงตาสีแดงแข็งกร้าวที่พร้อมจะสะกดทุกอย่างให้หยุดนิ่ง เรี่ยวแรงของหมาป่าใกล้ตายหรือจะสู้กับรัตติกาลที่แข็งแกร่ง กระนั้นมันก็ยังไม่คลายคมเขี้ยวของมัน

พลันมืออันอ่อนโยนคู่หนึ่งก็แตะลงบนหัวของมันอย่างแผ่วเบา นุ่มนวล ดุจปุยเมฆที่โอบอุ้มทุกสิ่งไว้ แสงสีทองสว่างจ้าเสียจนมองอะไรไม่เห็น แต่กลับทำให้ใจของมันสงบลงอย่างน่าประหลาด สติของหมาป่ากำลังจะดับลง

ไม่ได้ มันจะหลับไม่ได้ ข้างในนั้นยังมี...

 

โลกใบนี้กำลังบิดเบี้ยว มันเป็นการบิดเบี้ยวที่เป็นรูปธรรม เริ่มจากน้ำทะเลที่ไหลไปรวมกันที่อีกด้านของโลก เกิดเป็นน้ำท่วมฉับพลัน ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก ในขณะที่อีกด้านเกิดภัยแห้งแล้ง ผู้คนอดยากล้มตาย ไม่ต่างกันเลย ล้วนแต่ต้องตายทั้งสิ้น

ภัยพิบัติทางธรรมชาติเกิดขึ้นรอบด้าน ต่อกันเป็นทอดๆ เมื่อน้ำท่วมหรือแห้งแล้งก็ต้องหาที่อยู่ใหม่เพื่อเอาชีวิตรอด ที่รอดก็รอด ที่ตายก็ตาย แต่ในขณะที่หนีตายนั้น ผู้คนไม่ได้คำนึงถึงการแย่งชิง เมื่อผู้มาใหม่เข้ามาในอาณาเขตของผู้อยู่เก่า สงครามแย่งชิงถิ่นที่อยู่ก็เกิดขึ้น เช่นเดียวกับที่พวกหมาป่าน้ำแข็งพบเจออยู่ในขณะนี้ หลังจากที่ธารน้ำแข็งขั้วโลกละลาย น้ำเอ่อล้นท่วมป่าของพวกมัน พวกมันจำเป็นต้องละทิ้งบ้านเกิด

เมื่ออพยพไปยังป่าที่น้ำท่วมไม่ถึง ไม่นึกเลยว่าป่าอีกด้านก็กำลังประสบภัยแล้ง ใบไม้แห้งกรอบ ต้นไม้กลายเป็นฟืน รอบด้านเต็มไปด้วยป่าที่กำลังลุกไหม้ ไม่ตายด้วยน้ำก็ตายด้วยไฟ หรือนี่จะเป็นการลงโทษจากพระเจ้า

พวกเราไม่เหลือทางรอดแล้วหรือ?

ฝูงหมาป่าน้ำแข็งเหลือรอดเพียงหมื่นหลังจากอพยพมานับแสน เดิมทีพวกมันแข็งแรงทนทานต่อภัยพิบัติ ไม่ว่าจะน้ำหรือไฟพวกมันก็ไม่เสียท่าง่ายๆ และหนังของมันก็ทนทานต่อไฟมาก เมื่อเดินทางผ่านป่าที่กำลังลุกไหม้ด้วยใจที่ยังมีหวัง ในที่สุดพวกมันก็พบเจอกับดินแดนที่สามารถอาศัยอยู่ได้เสียที แต่ต่อมาก็พบว่าพวกมันคิดผิด

หลังจากที่น้ำท่วมพื้นที่ครึ่งโลกและไฟผลาญพื้นที่อีกครึ่งที่เหลือ บททดสอบต่อไปของพระเจ้าก็เริ่มขึ้น

โลกสั่นไหวอย่างรุนแรง แผ่นดินสั่นสะเทือน แตกระแหง และหักออกจากหัก ราวกับว่าโลกกำลังจะถูกมือที่มองไม่เห็นฉีกเป็นชิ้นๆ แล้วสิ่งมีชีวิตที่อยู่บนโลกเล่าจะเหลือสิ่งใดไว้

มันคือหนึ่งในเหตุผลที่ฝูงหมาป่าน้ำแข็งเหลือเพียงหยิบมือ ส่วนใหญ่เป็นหมาป่าวัยฉกรรจ์ที่ร่างกายแข็งแรงทนทาน ถึงจะเหลือน้อยจนน่าใจหายแต่ก็ยังเหลือรอด หากยังมีสักตัวที่เหลือรอด พวกมันก็ยังไม่สูญพันธุ์ โลกก็ยังมีเผ่าพันธุ์หมาป่าน้ำแข็งอยู่ แต่แล้ววิกฤติก็ตามหลังมาติดๆ พวกมันพบกับศัตรูที่ไม่ว่าเผ่าพันธุ์ไหนต่างก็หวาดกลัวและไม่อยากพบเจอที่สุด

ราวกับพระเจ้าไม่ต้องการให้พวกมันเหลือรอดจึงส่งเพชฌฆาตมาสังหาร

มีตำนานกล่าวถึงสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีวันตาย ออคโทเบียน พวกมันมีรูปร่างอิสระ สามารถแปลงกายเป็นสิ่งที่มันเคยพบเจอ แย่งชิงพลังชีวิตของสิ่งที่พวกมันฆ่า พวกมันเกิดขึ้นมาเพื่อเข่นฆ่าและพรากชีวิตผู้อื่น ในขณะที่ผู้อื่นนั้นไม่สามารถ
ฆ่ามันได้ ไม่มีอาวุธอะไรที่ล้มพวกมันได้เลย แต่มีสิ่งหนึ่งที่พวกมันเกลียดกลัว สิ่งมีชีวิตที่ได้รับพรจากพระเจ้า ตำนานเรียกสิ่งมีชีวิตที่สามารถเปล่งแสงสีทองออกมาจากร่างกายได้ว่า บุตรแห่งพระเจ้า พวกเขาคือศัตรูโดยธรรมชาติของออคโทเบียน แต่พวกหมาป่าน้ำแข็งไม่เคยพบเจอบุตรแห่งพระเจ้ามาก่อน และพวกมันก็ไม่แข็งแกร่งพอจะต่อกรกับออคโทเบียน

มันเป็นจ่าฝูง ผู้นำของหมาป่าน้ำแข็ง มันพาพรรคพวกที่เหลือหนีการตามล่าของออคโทเบียนไปยังป่าแห่งหนึ่ง หวังจะซ่อนตัวในนั้น ออคโทเบียนตนนั้นใช้ไฟล้อมทางหนีของพวกมันเอาไว้ พวกมันทำได้แค่หันหน้าสู้ตายเท่านั้น แม้ศัตรูจะมีแค่คนเดียว ส่วนพวกมันมีอีกหนึ่งกองทัพย่อมๆ ก็ไม่อาจสู้ได้ ออคโทเบียนแข็งแกร่งสมคำร่ำลือ ท้ายที่สุดมันซึ่งเป็นจ่าฝูงก็ออกคำสั่งให้พรรคพวกที่เหลือหนีไป ต้านศัตรูเพียงลำพัง มันสู้ออคโทเบียนไม่ได้แต่ต้านไม่ให้ตามพรรคพวกของตนได้

และแล้วเวลาของมันก็มาถึง หลังจากมันล้มลงออคโทเบียนคล้ายหมดความสนใจจึงจากไป มันที่สิ้นไร้เรี่ยวแรงไม่อาจตามฝูงของมันไปได้อีก แต่พอแล้ว ขอแค่ที่เหลือรอดไปหาที่อยู่ใหม่ได้ก็พอ มันในเวลานั้นได้แต่หวนนึกถึงความทรงจำที่หนีตายร่วมกันกับเพื่อน ด้านหลังกองเพลิงนั้นมีสิ่งแทนคำสัญญาของพวกมันอยู่ แต่มันไม่สามารถรักษาสัญญาได้อีกต่อไปแล้ว

พระเจ้า... ข้าไม่รู้ว่าท่านมีตัวตนหรือไม่ แต่หากมี ท่านได้ยินเสียงของข้าไหม? ข้านั้นมีคำสัญญาหนึ่งที่ไม่ว่ายังไงก็อยากทำให้สำเร็จ... ข้าในเวลานี้ยังไม่วางใจเลย ...พรรคพวกจะหนีได้ไหม? สถานที่ที่จะใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัยนั้นยังมีอีกหรือ?

...หากได้ยินเสียงข้าแล้ว โปรดมองดูพวกเขา...แทนข้าด้วย...

...

“ยังมีความปรารถนาอยู่ใช่ไหม?”

...เสียงใครกัน ไม่ใช่เสียงข้านี่

“หากยังมีความปรารถนาแล้วล่ะก็... จงมีความหวัง”

ความหวัง... ใช่ ข้ายังหวังว่าข้าจะมีชีวิตอยู่ต่ออีกสักหน่อย ขอข้าได้ทำหน้าที่นั้นอีกสักครั้ง แล้วข้า...

 

เฮือก!

มันสะดุ้งสุดแรง พลันดีดตัวขึ้น ระแวดระวัง แต่มองซ้ายมองขวาไม่เจอเจ้าออคโทเบียนนั่น เห็นแต่เครื่องเรือนไม่คุ้นตาภายในบ้านหลังเล็กที่ทำจากไม้และใบไม้ แล้วมันก็กำลังนอนอยู่บนเตียง...

เตียงหรือ?

มันไม่ควรจะนอนอยู่บนเตียง อันที่จริงมันไม่ควรจะอยู่ในบ้าน มันควรนอนอยู่ในป่าสิ แต่พอขยับลุกจากเตียงและยืนขึ้นเท่านั้นมันก็พบความผิดปกติ มันเป็นหมาป่าวัยฉกรรจ์ตัวโตร่วมสามเมตร บ้านแค่นี้พอยัดแค่หัวมันเท่านั้นเอง แต่ตอนนี้ตัวมันเล็กลง มองไล่ไปตามตัว แขนเรียวยาวไร้ขนสีฟ้าขาวและมัดกล้ามที่ภาคภูมิ แถมยืนด้วยสองขา ทั้งยังสวมเสื้อผ้าอีกด้วย นี่มันเกิดอะไรขึ้น มันกำลังฝัน? ไม่ใช่ มันควรจะตายไปแล้วต่างหาก! แล้วตอนนี้ข้างนอกเกิดอะไรขึ้นบ้าง พรรคพวกของมันล่ะ? ใช่แล้ว บุตรแห่งพระเจ้ากับรัตติกาลที่มันเจอก่อนตายล่ะ นั่นก็ความฝันด้วยหรือ?

มันโงนเงนตั้งสติอยู่พักใหญ่ก็วิ่งพรวดเปิดประตูออกไป แล้วป่าสีเขียวก็เข้าสู่สายตา ต้นไม้สูงใหญ่ขึ้นเป็นระเบียบ หนาแน่นจนมองอะไรไม่เห็น แต่ยังเห็นพื้นดินสีน้ำตาลและหญ้าบางๆ สีเขียว มีถนนสีเทาเชื่อมจากบ้านหลังนี้ถอดยาวเข้าไปในป่า พอเห็นถนนมันก็รีบวิ่งออกไปทันที แต่พอก้าวเท่านั้นมันก็สูญเสียการทรงตัวทันที

ถนนที่เคยอยู่บนผิวดินขณะนี้กำลังลอยอยู่บนอากาศ! เกิดอะไรขึ้น! มันรีบคว้าขอบของพื้นถนนไว้เพื่อไม่ให้ตัวเองตกลงไปบาดเจ็บ ถนนเคลื่อนตัวพามันเข้าไปในป่าราวกับมีชีวิต แค่นั้นยังไม่พอ ต้นไม้ที่เคยสงบนิ่งกำลังหลีกทางให้ถนนผ่านไป รากที่เห็นอยู่นั้นจริงๆ แล้วเป็นขาของมันต่างหาก!

“เหวออออ”

มันกัดฟัน ได้แต่ทรงตัวบนถนนมีชีวิตที่กำลังพามันไปที่ไหนก็ไม่รู้ ถ้าพาออกไปข้างนอกได้เลยก็ยิ่งดี แต่พอต้นไม้แหวกออกเป็นทางยาวมันก็เห็นลานกว้างที่เต็มไปด้วยผู้คน ในป่ายังมีผู้คนอีกจำนวนมากกำลังนั่งหันหน้าไปยังใจกลางของลาน ผู้คนที่ว่านั้นล้วนมาจากเผ่าพันธุ์ต่างๆ ทั้งที่มันเคยเห็นและไม่เคยเห็น ทั้งสิ่งมีชีวิตจากป่าเหนือ ป่าใต้ ป่าตะวันออก และป่าตะวันตกล้วนมีหมด นี่มันผิดปกติเกินไปแล้ว แต่พอดูดีๆ คนพวกนี้ล้วนมีบาดแผลกันทั้งนั้น มากบ้างน้อยบ้าง

ถนนลอยข้ามหัวคนพวกนั้นไป มีเสียงเพลงดังแว่วเข้าหูมัน จากนั้นถนนก็ทิ้งมันลงไปรวมกับคนอื่นภายในลานแล้วกลับไปยังที่เดิมกลายเป็นถนนอย่างที่ควรเป็น ผู้คนเห็นมันแล้วก็ไม่ได้แตกตื่นแต่ทักทายราวเป็นเรื่องปกติที่จะเจอคนแปลกหน้า ตบที่ว่างให้มันนั่งบนขอนไม้แล้วหันไปสนใจกิจกรรมกลางลานต่อ

มันได้ยินเสียงเพลงชัดถ้อยชัดคำขึ้น เห็นเด็กๆ จากต่างเผ่าพันธุ์กำลังล้อมวงเต้นรำรอบตัวเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เด็กหนุ่มมีเรือนผมสีทองสว่างคล้ายบุตรแห่งพระเจ้าที่มันเจอแต่สั้นกว่ามาก สวมเสื้อผ้าสีขาวบางเบาดูคล้ายกับเทวทูตลงมาจากสวรรค์ เขากำลังร้องเพลงด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เช่นเดียวกับเด็กๆ ที่กำลังร้องประสานเสียงและเต้นรำอย่างสนุกสนาน

แผ่นดินโลกนี้ ทะเลแสนสวยงาม ท้องฟ้านั้นสีคราม แต้มด้วยเมฆลอยวน บนถนน ยังมีเธออยู่ดี

ผู้คนเมืองนี้ เมืองที่แสนครื้นเครง พวกเราร่วมร้องบรรเลง ขับขานเพลงสดุดี

บ้านของฉัน บ้านที่แสนอบอุ่น บนเตียงนุ่ม ยังมีฉันอยู่ดี

...

...

เด็กหนุ่มทั้งร้องทั้งเต้นอยู่นาน ผ่านไปหลายท่อนราวกับไม่เหน็ดเหนื่อย มันมองภาพเหล่านั้นด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย มันไม่เคยได้ยินภาษาของเด็กหนุ่มมาก่อนแต่กลับเข้าใจว่าเขากำลังสื่อสารอะไร เข้าใจและคล้อยตามราวกับเสียงเพลงนั้นมีเวทมนตร์

เพลงนี้คล้ายจะสื่อสารให้เห็นโลกที่สวยงาม โลกในจินตนาการ แต่โลกในตอนนี้กำลังเจ็บปวด มันไม่ใช่ความฝัน วันเวลาที่เลวร้าย ความเจ็บปวด และความสูญเสียจากการหนีตายเป็นของจริง ผู้คนที่มารวมกันอยู่ ณ ที่นี้ก็คงมีชะตากรรมเดียวกับมัน

มันกัดฝันกรอด เจ็บแค้นชะตากรรมที่ทำร้ายพวกมันอย่างนี้ พลันเสียงข้างตัวก็ดังขึ้น

“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ” ผู้พูดคืออาร์คติเวียส(สัตว์ที่ยืนสองขา)เผ่าเสือดำ บนตัวเต็มไปด้วยผ้าพันแผล “ถ้าเด็กๆ เห็นมันจะไม่ดี”

มันได้ยินก็พลันสะอึก หันไปมองเด็กๆ ต่างเผ่าที่กำลังร้องรำทำเพลงกันอย่างสนุกสนาน เด็กๆ เหล่านี้เองก็เผชิญชะตากรรมเดียวกับมันเช่นกัน พอหันไปมองรอบๆ ก็เห็นว่าผู้คนกำลังซ่อนความเศร้าเอาไว้และร้องรำไปกับพวกเด็กๆ ด้วย บางคนซ่อนเอาไว้ไม่ได้ นั่งร้องไห้เงียบๆ อยู่หลังต้นไม้ ไม่ให้เด็กๆ เห็น

“เขากำลังทำให้เด็กๆ ลืมช่วงเวลาอันเลวร้ายและสอนให้เห็นว่าโลกภายนอกนั้นน่าอยู่และสวยงาม เพื่อสักวันที่กลับออกไป เด็กๆ เหล่านี้จะได้จดจำภาพอันสวยงามและสร้างบ้านเมืองของตนให้น่าอยู่อย่างที่พวกเขาวาดฝันไว้” อาร์คเสือดำพูด

“กลับออกไปหรือ? กลับออกไปได้ด้วยหรือ?” มันรีบถามทันทีคล้ายเห็นทางสว่าง

“นี่เจ้าไม่รู้อะไรเลยหรือ ท่านผู้นั้นไม่ได้บอกไว้หรือไง?” เสือดำขมวดคิ้วมองมัน มันส่ายหน้างงๆ เสือดำจึงตอบคำถาม “ที่นี่คือป่าแห่งโนห์อา”

“ป่าแห่งโนห์อา?” มันไม่คุ้นชื่อเลย

“ป่าแห่งโนห์อาคือโลกที่ท่านผู้นั้นสร้างขึ้นเพื่อให้ผู้อพยพอย่างเราอาศัยอยู่ชั่วคราว เจ้าก็รู้ว่าข้างนอกนั้นอันตรายมาก มีหลายชีวิตที่ต้องจากไป ป่าซึ่งเป็นของเราก็เต็มไปด้วยน้ำและไฟ แผ่นดินเองก็ยังสั่นสะเทือนไม่ยอมหยุด แต่อยู่ที่นี่ไม่รู้สึกเลยใช่ไหมล่ะ”

มันพยักหน้า ราวกับที่นี่อยู่คนละโลกกับโลกที่พวกมันเคยอยู่ “ถ้าอย่างนั้นที่นี่คือที่ไหน?”

เสือดำแยกเขี้ยว “ก็บอกอยู่ว่าป่าแห่งโนห์อา แต่ไม่รู้ว่าอยู่ส่วนไหนของโลก อาจจะเป็นป่าอันห่างไกลที่ไม่ถูกผลกระทบของภัยพิบัติก็ได้”

มันฟังแล้วก็ขมวดคิ้ว ไม่ถูกสิ “ดูจากสิ่งมีชีวิตจากป่าทั้งโลกแสดงว่าตอนนี้ป่าทั่วโลกกำลังได้รับผลกระทบกันหมด เป็นไปไม่ได้ที่จะมีป่าที่ไม่ได้รับผลกระทบอยู่อีก” ถ้าอย่างนั้น...เพื่อนๆ ของมันจะเป็นอย่างไรกันบ้าง ยังเผชิญกับภัยพิบัติอยู่หรือเปล่า ขณะกำลังคิดมันก็นึกขึ้นได้ว่า “แล้วเรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? ผู้คนจากทั่วโลกทำไมถึงมารวมกันอยู่ที่นี่?”

เสือดำมองมันอย่างฉงน “...นี่เจ้าไม่รู้อะไรเลยจริงๆ หรือ? หรือสูญเสียความทรงจำไปแล้ว?”

มันพยักหน้า เอาแบบนั้นไปก่อนละกัน เพราะมันก็งงกับตัวมันเองเหมือนกัน

“คนที่ช่วยพวกเราไว้คือท่านผู้นั้น ท่านผู้นั้นและผู้ช่วยของท่านเดินทางไปทั่วทุกแห่งในโลกเพื่อพาพวกเรามาหลบภัยอยู่ที่นี่ ส่วนใหญ่เป็นพวกที่ยังรอดตายอยู่ล่ะนะ”

“ท่านผู้นั้น.... บุตรแห่งพระเจ้าน่ะหรือ?” มันทบทวนความทรงจำ แล้วภาพของชายหนุ่มผมสีทองยาว รอบกายเต็มไปด้วยแสงสีทองอันอ่อนโยน

“จะเรียกยังงั้นก็ได้” เสือดำพยักหน้า “ถ้างั้นเจ้าก็ยังไม่ถึงกับสูญเสียความทรงจำทั้งหมดสินะ ว่าแต่ข้าไม่เคยเห็นสิ่งมีชีวิตแบบเจ้ามาก่อน ไม่ใช่อาร์คซะด้วย เอลฟ์ก็ไม่ใช่” เสือดำดมกลิ่นตามตัวมัน “ไม่เหมือนบุตรแห่งพระเจ้า เจ้าเป็นใคร? มาจากไหนกัน?”

“ข้าคือหมาป่าน้ำแข็ง” มันตอบตามตรง

เสือดำถึงกับอึ้ง แล้วก็หัวเราะออกมา พูดว่า “หมาป่าน้ำแข็งถือเป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก ไม่นับเผ่ารัตติกาลที่ดูไม่เหมือนสิ่งมีชีวิตกับเจ้าพวกออคโทเบียนที่ไม่นับเป็นสิ่งมีชีวิตด้วยซ้ำ ข้ารู้จักเผ่าหมาป่าน้ำแข็งหรอก ไม่ต้องมาโกหกข้า ถึงข้าจะอยู่ป่าตะวันตกแต่ก็เคยเห็นหมาป่าน้ำแข็งอยู่หลายครั้ง พวกมันตัวใหญ่ แข็งแรง ดูน่าเกรงขาม แต่ดูเจ้าสิ ตัวกระจ้อยร้อยแค่นี้เนี่ยนะ”

ตอนแรกมันยืดอกภูมิใจ แต่ประโยคหลังทำให้มันจ๋อยสนิท

เสือดำตบบ่ามัน พูดว่า “เอาเถอะ ค่อยๆ คิด เดี๋ยวความจำของเจ้าก็กลับมา”

มันพยักหน้าไปส่งๆ แต่ก็แอบคิดว่าหรือมันจะจำสับสน จริงๆ แล้วมันไม่ใช่หมาป่าน้ำแข็ง แต่เป็นอย่างอื่น แล้วอะไรล่ะ? มันยกแขนผอมที่ดูไม่มีแรงขึ้นมองอย่างฉงน

“สวัสดีสหายผู้มาใหม่” เสียงหนึ่งทักขึ้น เมื่อมองไปก็พบกับนัยน์ตาสีฟ้ากระจ่างกับแสงสีทองสว่างจ้าเข้าตา เป็นเด็กหนุ่มที่เมื่อครู่ยังร้องเพลงอยู่นั่นเอง แต่ตอนนี้เขาหยุดร้องแล้ว

มันพยักหน้าตอบ สายตาเหลือบมองเห็นเงาเล็กๆ ด้านหลังเด็กหนุ่ม เด็กสองสามคนยืนเกาะอยู่ มองมาทางตนอย่างหวาดกลัว

เสือดำเห็นดังนั้นก็หัวเราะลั่น เรียกความสนใจจากทุกคน “ฮ่าๆ เห็นไหมเล่า หน้าตาเจ้ามันน่ากลัวเกินไป เด็กๆ เลยพาลกลัวหมด”

ได้ยินดังนั้นมันก็ขมวดคิ้ว แต่พอเห็นเด็กๆ สะดุ้งมันก็คลายหัวคิ้วออกช้าๆ ฉีกปากคล้ายจะยิ้มออกมา เด็กๆ เห็นดังนั้นก็มองเหมือนมองสัตว์ประหลาด มันเลยขู่แฮ่ให้เด็กๆ สะดุ้งถอยกรูด เรียกเสียงหัวเราะจากรอบทิศ เด็กๆ ที่ตอนแรกกลัวแต่ตอนนี้พากันหัวเราะบ้างแล้ว ส่งเสียงต่อว่ามันที่ทำให้ตกใจ

พลันเสียงผู้คนฮือฮาขึ้น ต่างชี้ไปบนฟ้า พูดว่า “ดูนั่น ท่านเอลซิสกลับมาแล้ว”

ชายหนุ่มผู้หนึ่งกำลังบินมาทางนี้ด้วยปีกนกสีขาวทั้งหกคู่บนกลางหลัง ในมือหอบบางอย่างที่คล้ายผ้าเอาไว้ ผู้คนเบื้องล่างต่างพากันค้อมศีรษะให้ พูดอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “วันนี้ก็เหนื่อยหน่อยนะครับ/ค่ะ!”

เมื่อชายหนุ่มถลาลงกลางฝูงชนมันจึงเห็นหน้าชัดขึ้น ผมสีทองยาวและนัยน์ตาสีฟ้า บุตรแห่งพระเจ้าที่มันเคยเจอก่อนหน้านี้ และคงเป็นต้นเหตุที่ทำให้มันมาอยู่ที่นี่ หรือควรพูดให้ถูกว่า...ผู้มีพระคุณ

มันเดินไปหาบุตรพระเจ้า เขาซึ่งถูกเด็กๆ รายล้อมกำลังลูบหัวเด็กทุกคนอย่างเอ็นดูและอ่อนโยน มันหยุดฝีเท้าลงตรงหน้าพวกเขา อ้ำอึ้งอยู่นาน แต่ไม่รู้จะพูดอะไรออกไปดี พอคิดหนักคิ้วพาลขมวดจนคนรอบข้างนึกว่ามันจะทำมิดีมิร้ายบุตรแห่งพระเจ้า แต่บุตรแห่งพระเจ้าไม่สนใจ พอเห็นตนก็ยื่นสิ่งที่หอบหิ้วมาให้ สิ่งนั้นคือหนังสีเทากองใหญ่กองหนึ่ง

“นี่เป็นของนายสินะ เราหาอยู่นานกว่าจะพบมันในกองไฟ แต่สุดยอดเลย ไฟท่วมขนาดนั้นก็ยังเผาไม่มอด โชคดีจัง” เขายิ้มร่าเหมือนเด็กๆ ก่อนจะเกาหัวตัวเอง พูดด้วยท่าทางสลดๆ “ถ้าเราพบมันเร็วกว่านี้ดีก็คงดี ตอนที่เราพบมันก็เหลือแค่ไม่กี่ชิ้นเท่านั้นเอง แถมเป็นแผ่นเล็กๆ ตั้งหลายชิ้น เราก็เลย...เอามันมาเย็บต่อๆ กันเป็นเสื้อคลุมได้พอดี เอ้อ เราคิดว่าถ้าเป็นผ้าคลุมก็คงพกพาสะดวกดี นายคง...ไม่ว่าอะไรสินะ”

มันมองบรรดาหนังที่ถูกเย็บต่อกันด้วยความรู้สึกหลากหลาย ไม่คิดว่าจะได้พบมันอีกแล้วด้วยซ้ำ หนังของเพื่อนๆ ที่ร่วมต่อสู้กันมา หนังที่แทนคำสัญญาระหว่างกัน

“หากใครรอดตายก็เอาหนังพวกนี้ไปยังบ้านใหม่ด้วยล่ะ”

“จำไว้นะ เราจะต่อสู้ร่วมกันเสมอ แม้ข้าจะตัวตาย แต่อุดมการณ์ของข้ายังไม่สูญสลาย!”

“ข้าจะคอยมองดูพวกเจ้าผ่านหนังของข้าดีไหม”

“แล้วอย่าลืมพาพวกข้าไปดูบ้านใหม่ของเราด้วยนะ”

คนแล้วคนเล่าที่จากไป ทั้งพวกที่ตายในกองเพลิง ทั้งพวกที่ตายในการต่อสู้ พอตายไปแล้วยังมีหน้ามาขอให้มันเลาะหนังเก็บไว้เป็นที่ระลึกอีก

เจ้าพวกบ้า...

มันจมอยู่ในความคิดอยู่นานจนเสียงหนึ่งดังขัดขึ้น มันมองตามก็เห็นบุตรแห่งพระเจ้ากำลังยิ้มอยู่ตรงหน้า อา ช่างบริสุทธิ์จริงๆ พระเจ้า ท่านก็มารับข้าไปแล้วสินะ

“แบบว่า...นายชอบหรือไม่ชอบล่ะ? อย่าทำหน้าเหมือนจะไปสวรรค์อย่างนั้นสิ”

แล้วมันก็รู้สึกถึงโลกแห่งความจริง พบว่าตนกำลังจับมือที่ถือหนังพวกนั้นอยู่ และบุตรแห่งพระเจ้าก็ยังยิ้มให้ตนอย่างไม่เร่งร้อน ส่วนคนรอบข้างต่างมุงดูมันอย่างสนอกสนใจ มันรู้สึกหน้าร้อนขึ้นในฉับพลัน รีบคว้าแผ่นหนังเอาไว้ พอคว้ามาไม่ทันระวัง หนังแผ่นใหญ่ก็คลี่ออกกลายเป็นผ้าคลุมผืนโต แต่ฝีมือการเย็บไม่น่าดู เพราะมันยังเห็นรอยปะเป๋ๆ ปัดๆ เต็มไปหมด เงยหน้ามองดูบุตรแห่งพระเจ้า เขาหัวเราะแหะๆ

“เราขอให้พวกคุณป้าสอนแล้วนะ แต่คงออกมาได้ไม่ดีเท่าไหร่”

คนๆ นี้... มันอึ้งกับท่าทางซื่อๆ ของบุตรแห่งพระเจ้า ...ช่างประหลาดดีแท้

“โอ้ นี่มันหนังของหมาป่าน้ำแข็งไม่ใช่หรือ?” อาร์คเผ่าสิงโตพูด “ข้าเคยเห็นมันมาก่อน ว่ากันว่าหนังของหมาป่าน้ำแข็งนั้นแข็งแกร่งทนทาน โดนน้ำไม่เปื่อย เผาไฟไม่ไหม้ หากทำเป็นเสื้อผ้าจะกลายเป็นเกราะป้องกันระดับสุดยอด ป้องกันเวทมนตร์ระดับล่างถึงระดับกลางได้ นี่มันขอหายากเชียวนะ!”

เอลฟ์ตนหนึ่งที่ยืนอยู่หลังต้นไม้พูดว่า “เขลาจริงๆ ถ้าหากสิ่งนั้นวิเศษขนาดนั้นเผ่าหมาป่าน้ำแข็งคงถูกล่าไปหมดแล้ว จะเหลือให้เราพบเห็นอย่างทุกวันนี้ได้ยังไง ถึงหนังจะแข็งแรง ทนทายาด แต่ที่ป้องกันเวทมนตร์ได้ก็เพราะมันอยู่บนตัวพวกเขาต่างหาก พอผนวกเข้ากับความแข็งแกร่งทางกายและทักษะการต่อสู้ รวมทั้งเวทมนตร์น้ำแข็งบริสุทธิ์ที่หาได้ยาก เผ่าหมาป่าน้ำแข็งจึงถูกยกย่องว่าแข็งแกร่งที่สุดในโลกไงล่ะ”

มันได้ยินทุกคนพูดแล้วก็พลอยยืดอก

“แล้วถ้านี้เป็นของจริง...” อาร์คเสือดำที่อยู่ข้างๆ เหล่มาทางมัน ถามมันว่า “เจ้าไปได้มันมาจากไหน?”

มันยังไม่ทันตอบก็มีคนชิงพูด “ได้ยินมาว่าหากหมาป่าน้ำแข็งตนใดพึงพอใจใครเข้าก็จะมอบหนังอันแข็งแกร่งของพวกมันให้คนๆ นั้นเป็นของแทนใจ ว่าไง เจ้าพบรักกับหญิงสาวเผ่าหมาป่าน้ำแข็งสินะ นางถึงมอบหนังให้เจ้า”

จะไปมีเรื่องแบบนั้นได้ยังไง ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็แสดงว่านางตายแล้วสิถึงมอบหนังผืนใหญ่ขนาดนี้ให้ได้น่ะ!

สัตว์ป่าหลายเผ่าเดินเข้ามาดอมดมกลิ่นกายของมัน ต่างถามอย่างสงสัยว่า “ในนี้มีหลายเผ่าพันธุ์ให้พบเจอจากทุกป่าบนโลก น่าจะมีเผ่าพันธุ์เดียวกับเจ้าบ้างสิ แต่ข้ากลับไม่เคยได้กลิ่นของเจ้ามาก่อน เจ้าเป็นเผ่าพันธุ์ไหนกันแน่?”

มันตอบแบบซึมๆ “ข้าไม่รู้ชะตากรรมของเผ่าข้า ก่อนจะมาที่นี่ ข้ากำลังจะตาย และถูกช่วยไว้ คนที่เหลืออยู่ที่ไหนข้าก็ไม่รู้ ไม่รู้อะไรเลย...”

“จริงสิ!” บุตรแห่งพระเจ้าพลันร้องขึ้น คว้าไหล่ทั้งสองข้างของมันไว้ ทำจนมันสะดุ้ง “เรามาที่นี่ไม่ใช่แค่เอาหนังมาให้นายเท่านั้น แต่ยังมาเพื่อบอกอะไรนายอีกนิดหน่อย เพื่อจะได้ไม่สับสน”

“ท่านจะบอกอะไรข้า?”

“ในเมื่อทุกคนก็อยู่ที่นี่ งั้นเราก็ขอบอกให้ทุกคนรู้ไปพร้อมกันเลยนะ ว่า...”

ทุกคนต่างเงี่ยหูฟังอย่างใจจดใจจ่อ

บุตรแห่งพระเจ้าผายมือออก ทุกคนก้มหัวหลบหวืด ก่อนจะวาดมือขวากลับมาประทับหน้าอกและค้อมศีรษะลงตรงหน้ามัน พูดด้วยเสียงอันทรงพลังและดังกึกก้องให้ทุกคนได้ยินว่า “ยินดีต้อนรับลอร์ดคนใหม่ของเรา นับจากวันนี้ไปนายคือตัวแทนธรรมชาติและสิ่งมีชีวิตจากทุกเผ่าพันธุ์บนโลก ณ โลกใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นของเรา ขอให้ทำงานด้วยความตั้งใจและปณิธานอันแรงกล้าเพื่อคนรุ่นหลังด้วยนะ” แล้วเขาก็เงยหน้าขึ้นยิ้ม “ขอฝากตัวด้วย!”

“เอ๋!!!!!”

ทุกคนอ้าปากค้างไปเป็นเวลานาน มันเองก็จับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ที่เป็นหนักคืออาร์คเผ่าเสือดำที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาช็อกค้างไปนานมาก จนสามารถเอ่ยปากออกมาได้ในที่สุด เขาพูดตระกุกตระกักทำลายความเงียบว่า “งั้นที่ก่อนหน้านี้บอกว่าความจำเสื่อม ที่แท้เจ้าก็... ท่านก็...เป็นลอร์ดหรือนี่!?”

ลอร์ดอะไร? มันไม่เข้าใจสักนิด ได้แต่มองตาผู้ที่พูดให้คนอื่นสับสนหวังว่าจะอธิบายเพิ่มเติม

บุตรแห่งพระเจ้ายิ้ม อธิบายว่า “นายจำได้ว่านายตายแล้วสินะ ใช่ นายตายแล้ว แต่เราช่วยดึงเอาความปรารถนาของนายกลับมา สร้างร่างใหม่ให้นาย ทำให้นายมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งเพื่อทำตามพันธะสัญญาที่ฝังลึกอยู่ในใจของนาย แต่ที่นายได้ร่างของเผ่าพันธุ์ใหม่ที่ยังไม่เคยมีบนโลกเป็นเพราะความปรารถนาของนายตรงกับความปรารถนาของเรา...”

มันสบเข้ากับนัยน์ตาสีฟ้าใสของบุตรแห่งพระเจ้า แววตานั้นคือแววตาของผู้ที่สูญเสีย กล้ำกลืนความโศกเศร้าและความเจ็บปวดมาอย่างยาวนานจนไม่อาจจะทนรับได้อีกต่อไป

“เรายังมีความหวังอยู่นะ... หวังว่าสักวัน...” เขาเงยหน้ามองฟากฟ้า “วันที่เราจะพบกับความสุขที่แท้จริงจะมาเยือน”

“หากยังมีความปรารถนาแล้วล่ะก็... จงมีความหวัง”

เสียงของใครคนหนึ่งบอกกับมันในความฝัน บอกให้มันมีความหวัง มันหวังที่จะมีชีวิตต่ออีกนิดเพื่อมองดูฝูงหมาป่าน้ำแข็งที่เหลือหาบ้านใหม่พบ รอดูว่าพวกเขาจะใช้ชีวิตกันอย่างไร? จะมีความสุขกันดีไหม? หากคนตรงหน้ามันเองก็ปรารถนาสิ่งเดียวกัน เช่นนั้นเขาอยากจะเฝ้ามองดูอะไร?

“นายไม่รู้จริงๆ น่ะเหรอ?” เสียงอันกังวานใสของเด็กหนุ่มดังขึ้นข้างหู เด็กหนุ่มเทวทูตผู้มีประกายสีทองรอบกายไม่ต่างจากบุตรแห่งพระเจ้าจับมือของมันมากอบกุมไว้ พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่รู้จริงๆ หรือว่าเขาคือใคร? นายน่าจะรู้ดีที่สุดนี่”

พระเจ้า? สิ่งที่พระเจ้าอยากจะเฝ้ามองคือประชาชนทุกคนบนโลกใช่ไหม?

มันหันไปมองบุตรแห่งพระเจ้า ถามว่า “ทำไมถึงช่วยข้าไว้?”

เขายังคงยิ้ม “นายเรียกเราไม่ใช่หรือ?”

หากได้ยินเสียงข้า โปรดมองดูพวกเขาแทนข้าด้วย

คำพูดหนึ่งดังขึ้นมาจากในใจของมัน ใจของมันเจ็บปวดจนต้องยกมือขึ้นกอบกุม มันก้มหน้าลง สงบใจอยู่นาน กว่าจะเงยหน้าขึ้นถามชายตรงหน้าด้วยความขมขื่น “หากท่านช่วยข้าได้ ทำไมจึงไม่ช่วยพวกเขาด้วยล่ะ?”

บุตรแห่งพระเจ้าจนคำพูด นัยน์ตาเบิกกว้างอย่างคาดไม่ถึง สักพักเขาจึงพูดว่า “เรื่องนี้...”

“ชีวิตของข้านั้นกำลังจะสูญสิ้น! แต่คนอื่นยังมีทางรอดไม่ใช่หรือ? หรือว่า... หรือว่า...” มันพลันนึกอะไรขึ้นมาได้ ถามเสียงสั่นเครือ “หรือว่าทุกคน...จะไม่อยู่แล้ว?”

“ไม่ใช่ เรื่องนี้...” บุตรแห่งพระเจ้ามีท่าทางร้อนรนก่อนจะเงียบไป บางอย่างหยุดคำพูดของเขาไว้ พอดีกับที่หูของมันก็ได้ยินเสียงคำรามแว่วเข้ามา เสียงคำรามแว่วจากไกลๆ บ่งบอกความรู้สึกผ่านเสียง ผู้คำรามมีหลายคน พวกเขากำลังตื่นตกใจจนต้องคำรามเสียงหลงออกมา

มันคุ้นเคยกับเสียงเหล่านั้นดี ค่อยๆ เบือนหน้าขึ้นมองที่มาของเสียงอย่างอัศจรรย์ใจ ไม่นานนักถนนสีเทาก็เลื้อยข้ามยอดไม้มายังใจกลางลานดินแห่งนี้ บนถนนทั้งแปดสายมีร่างสีฟ้าขาวอันใหญ่โตของหมาป่าที่คิดว่าชาตินี้คงไม่ได้พบเจอกันอีกแล้ว

ถนนพาหมาป่าน้ำแข็งทั้งแปดตัวมาวางตรงหน้ามัน ร่างอันใหญ่โตร่วมสามเมตรของหมาป่าน้ำแข็งหมอบลงกับพื้นทันที ขาของมันยังสั่นระริก เพราะพวกมันไม่เคยบินบนฟ้า แต่ไหนแต่ไรมา กล้ามเนื้อขาทั้งสี่ของพวกมันก็มากพอจะพาพวกมันทะยานข้ามหุบเขามานักต่อนัก รวดเร็ว ฉับไว ดุจดั่งติดปีก แต่มันชอบเวลาที่เท้าติดพื้นมากกว่า ไหนเลยวันนี้จะต้องถูกพาบินด้วยสิ่งมีชีวิตไม่ทราบเผ่าพันธุ์อย่างถนนพวกนั้น พวกหมาป่าที่ภาคภูมิใจในความแข็งแกร่งยังต้องยอมล้มลุกคลุกคลานอยู่กับพื้น แถมต่อหน้าผู้คนนับพัน ความทะนงตนที่เคยมีหายไปสิ้น

บุตรแห่งพระเจ้าแตะไหล่ของมันเบาๆ พูดว่า “เมื่อกี้เราจะบอกว่า ตอนที่เรากำลังช่วยชีวิตนาย ลอร์ดเดวิลอสช่วยดับไฟทั้งหมดลงทำให้พวกเขาหานายจนเจอ เราถึงได้รู้ว่าพวกเขาตามหานายอยู่รอบกองไฟตลอดเวลา ไม่ได้จากไปไหน”

เจ้าพวกดื้อรั้นพวกนี้... ข้าบอกให้หนีไปไม่ใช่หรือ? เห็นคำพูดของผู้นำเป็นอะไร?

มันมองท่าทางทุลักทุเลของหมาป่าทั้งแปดตน พอพวกมันพบหน้าของมัน แม้ไม่คุ้นหน้าแต่คุ้นกลิ่น รีบมอบลงก้มหัวติดพื้น เรียกเป็นเสียงเดียวกันว่า “ท่านผู้นำ!”

“ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าให้รักษาความองอาจของผู้เป็นใหญ่เอาไว้น่ะเจ้าพวกบ้า!” มันตะเบ็งเสียงตวาดจนกลายเป็นเสียงคำราม แต่แทนที่พวกมันจะตกใจกลัวอย่างที่เคยเป็น กลับทำหน้าดีใจปานจะร้องไห้ มันคร้านจะทนดูหน้าของพวกนั้น เดี๋ยวจะรับไม่ได้เอาเปล่าๆ จึงหันไปหาบุตรแห่งพระเจ้า มองเขาด้วยสายตาที่มั่นคงและเต็มไปด้วยการตัดสินใจ

“ช่วยเหลือไว้มากขนาดนี้ แม้จะพูดขอบคุณก็รู้สึกว่ายังไม่พอ” มันคุกเข่าลงกับพื้น ฝ่ามือทาบอก ค้อมศีรษะด้วยความเคารพจากใจจริง พูดด้วยเสียงอันดังก้องของผู้เป็นใหญ่ในป่าอย่างที่มันเคยมีในอดีต “ต่อแต่นี้ไม่ว่าด้วยการใด ข้า เลนาร์ด เลโอนาร์ดแห่งเผ่าพันธุ์หมาป่าน้ำแข็งจะขอรับใช้คำบัญชาของท่านตลอดไป ขอให้ข้าได้เป็นกำลังแก่ท่านผู้สูงส่งด้วยเถิด!”

บุตรแห่งพระเจ้านิ่งอึ้ง ทุกคนก็พาลตะลึงไปด้วย

หมาป่าน้ำแข็งทั้งแปดตนเห็นผู้นำทำเป็นตัวอย่างก็เข้าใจดี พวกมันก้มหัวให้บุตรแห่งพระเจ้า ตะเบ็งเสียงพูดว่า “ข้าแต่นายท่านผู้เป็นใหญ่แห่งเผ่าพันธุ์หมาป่าน้ำแข็ง บัดนี้จักขอรับใช้ผู้ที่นายท่านปฏิญาณตนด้วยใจเคารพ! โปรดให้เราได้เป็นกำลังแก่ท่านผู้สูงส่งด้วยเถิด!”

มันเหลือบตามองหมาป่าน้ำแข็งที่ปฏิญาณตนอยู่เบื้องหลัง แล้วเงยหน้ามองผู้ที่มันเข้าใจว่าเป็นบุตรแห่งพระเจ้าในตำนานของป่าเหนือมาตลอด เขาทำหน้าประหลาด ทั้งยิ้มทั้งอึ้งทั้งตกใจ มันเห็นแล้วจึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าไม่รู้ว่าพระเจ้ามีจริงหรือไม่ แต่หากท่านมีตัวตน ท่านคงได้ยินเสียงข้าสินะ”

ทีแรกบุตรแห่งพระเจ้ายังคงอึ้ง ต่อมาก็เข้าใจในสิ่งที่มันพูด เขายิ้มอย่างอ่อนโยน พยักหน้าแล้วพูดว่า “ได้ยินสิ เสียงที่เต็มไปด้วยความปรารถนาของนายน่ะ”

เขายิ้ม มันก็ยิ้ม พวกหมาป่ายิ้ม ผู้คนทั้งหมดทั้งมวลต่างก็ยิ้ม โลกกำลังจะสดใสขึ้นแล้ว

“ได้ยินว่าเผ่าหมาป่าน้ำแข็งมีวัฒนธรรมมาอย่างยาวนาน พวกเขาจะปฏิญาณตนต่อสิ่งที่เขาเถิดทูนและยึดมั่นไว้เป็นสิ่งที่คอยเหนี่ยวรั้งจิตใจ เวลาที่พวกเขากำลังจะล้มลงก็จะนึกถึงปฏิญาณที่เคยกล่าวไว้แล้วพวกเขาก็จะมีใจฮึดขึ้นสู้อีกครั้ง” อาร์คเสือดำพูดขึ้น เขาคุกเข่าลงต่อหน้ามัน ไม่นานคนอื่นๆ ก็คุกเข่าลงเช่นเดียวกัน พูดว่า “เราควรเอาเยี่ยงอย่างความหนักแน่นของผู้เป็นใหญ่แห่งป่าเหนือบ้างนะ ว่างั้นไหม?”

“ใช่!” ผู้คนขานรับอย่างพร้อมเพรียง

แม้แต่เอลฟ์แห่งป่าตะวันออกที่ทะนงตนไม่แพ้หมาป่าน้ำแข็งก็ค้อมศีรษะให้เช่นกัน เอลฟ์หนุ่มผู้หนึ่งพูดขึ้นว่า “ผู้เป็นใหญ่แห่งป่าเหนือเอ๋ย ผู้นำแห่งเผ่าหมาป่าน้ำแข็ง ลอร์ดเลนาร์ด บัดนี้การพังทลายของโลกนั้นยังไม่สิ้นสุด แต่อีกไม่นานแล้วที่เราจะได้ออกจากสถานพยาบาลแห่งนี้ ป่าแห่งโนห์อาผู้มีพระคุณ เมื่อถึงเวลาที่เราออกไป เมื่อโลกใบใหม่สร้างเสร็จสมบูรณ์ ผู้เป็นตัวแทนธรรมชาติและสิ่งมีชีวิตทุกเผ่าพันธุ์บนโลกเอ๋ย โปรดบอกเราเถิด หน้าที่ของเราคืออะไร?”

เลนาร์ดลุกขึ้น น้อมรับคำปฏิญาณของทุกคนด้วยใจจริง สัมผัสได้ถึงความแน่วแน่ของทุกคน หลังจากผ่านวันเวลาที่เจ็บปวดและโศกเศร้า หากยังมองไปข้างหน้า วันที่เราจะลุกขึ้นยืนและสถานที่ที่เราควรอยู่จะปรากฏอยู่เบื้องหน้า โลกใบใหม่คือโลกหลังจากผ่านภัยพิบัติไปแล้ว อาจจะไม่หลงเหลือสิ่งที่เคยมีเอาไว้ แต่หากผืนดินนี้ยังคงอยู่ เราก็แค่ใช้สองมือสร้างขึ้นมา

มันหันไปมองบุตรแห่งพระเจ้า เอ่ยตอบทุกคนที่กำลังรอฟังด้วยน้ำเสียงที่เข้มแข็ง “หน้าที่ของเราคือสร้างโลกใบใหม่ของพวกเราให้เต็มไปด้วยผืนป่าที่มีสัตว์ป่าอยู่อย่างเนืองแน่น อาณาจักรที่เต็มไปด้วยผู้คน หนองน้ำที่เต็มไปด้วยปลา ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยนก ต้องสร้างโลกที่สดใสและสงบสุข เพื่อที่ว่า...” มันเลื่อนสายตาลงมองเด็กๆ ที่เกาะอยู่ข้างเอวของเด็กหนุ่มเทวทูต เด็กเหล่านั้นกำลังถูกท่าทางของทุกคนดึงความสนใจ พอมันมองไปก็เงยหน้าขึ้นสบตา มันมองแววตาใสซื่อบริสุทธิ์และไร้เดียงสาของเด็กพวกนั้น มันเก็บซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้ข้างใน แล้วส่งยิ้มให้พวกเขาเหล่านั้น พูดกับทุกคนต่อว่า “...เพื่อที่ว่าโลกใบใหม่จะได้กลายเป็นโลกที่เด็กๆ จะอยู่ได้อย่างปลอดภัยและเต็มไปด้วยความฝันยังไงล่ะ”

“น้อมรับบัญชา!”

หลังจากทุกคนขานรับอย่างพร้อมเพรียง เอลฟ์หนุ่มหัวเราะหึหึในลำคอ “พูดได้ดี สมกับเป็นอดีตผู้ยิ่งใหญ่แห่งป่าเหนือ แต่ลอร์ดเลนาร์ด ตอนนี้เจ้ายังไม่รู้เลยไม่ใช่หรือว่าปัจจุบันตัวเองเป็นเผ่าพันธุ์ไหนกันแน่ ได้ยินว่าเป็นเผ่าพันธุ์ใหม่ ท่านช่วยเฉลยให้ข้าน้อยผู้โง่เขลารู้หน่อยสิขอรับ พระเจ้าของเรา ลอร์ดเอลซิส”

บุตรแห่งพระเจ้าถูกเรียกก็สะดุ้งตื่นจากบรรยากาศความขลังของพิธีปฏิญาณตนแบบเรียบง่ายของทุกคน เขาเกาหัวแล้วหัวเราะร่า “ฮ่าๆ เล่นเอาใจตุ้มๆ ต้อมๆ พวกนายนี่จริงๆ เลย”

“ขอโทษนะขอรับ แต่พวกเราอยากทำอะไรให้มีหลักมีแนว เตรียมพร้อมสำหรับวันข้างหน้า” ทุกคนหันไปมองหน้ากัน มีความแน่วแน่อยู่ในแววตา

บุตรแห่งพระเจ้าพยักหน้ารัวๆ “ดีแล้วๆ วันข้างหน้าเหรอ ช่างเป็นคำที่ดีจังเลยน้า”

เลนาร์ดหยุดคำว่าน้าที่เริ่มจะยาว ถามเสียงเข้มว่า “ตกลงข้าคือเผ่าพันธุ์ใดกันแน่ ท่านคงตอบได้สินะ”

“อ้อ” บุตรแห่งพระเจ้าคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบ “อีกไม่นานเราจะสร้างสิ่งมีชีวิตหนึ่งขึ้นมา สิ่งมีชีวิตนั้นอยู่ในจินตนาการของเรามาช้านานแต่ยังไม่มีโอกาสได้สร้าง เรารักสิ่งมีชีวิตนั้นเหลือเกิน ก็เลยอยากให้พวกเขาได้อยู่ในโลกที่เราสร้าง โลกที่เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ เพียงพอต่อความต้องการของสิ่งมีชีวิต”

ฟังแล้วก็เหมือนกับพวกมันที่อยากสร้างโลกที่น่าอยู่ให้ลูกหลานรุ่นต่อไปได้อาศัย บุตรแห่งพระเจ้าเองก็มีเช่นกันสินะ ลูกหลานน่ะ งี้นี้เอง ถึงได้บอกว่ามีความปรารถนาเหมือนกัน...

“แล้วตกลงว่าสิ่งมีชีวิตนั้นคือ...”

บุตรแห่งพระเจ้ายิ้มอย่างอ่อนโยน นัยน์ตาเต็มไปด้วยความหวังและความฝัน “มนุษย์”

“มนุษย์หรือ?”

“ไม่เคยได้ยิน”

“มีลักษณะเป็นยังไงหรือ?”

“แล้วมีพลังอะไร? มีอำนาจหรือไม่?”

หลังจากได้ยินคำตอบทุกคนก็ยิงคำถามเป็นชุด มันฟังแล้วไม่รู้สึกยินดียินร้ายอะไร ในฐานะที่มันเองก็ถูกสร้างขึ้นมาใหม่โดยคนตรงหน้าย่อมรู้ดีว่าเขาสามารถสร้างของจำพวกนี้ขึ้นมาได้อยู่แล้ว มันมองบุตรแห่งพระเจ้าที่ทำหน้าเคลิ้มฝันอยู่ในโลกของตัวเอง ยืนยันคำถามเดิมว่า “แล้ว...เกี่ยวอะไรกับข้า? ตกลงข้าคือเผ่าพันธุ์อะไร? มีพลังหรือไม่? ทำไมข้าไม่รู้สึกว่ามีพลังอะไรเลย?”

“ก็นั่นไงล่ะ มนุษย์ที่เราจะสร้างได้ต้นแบบจากเรา นายเองก็ได้ต้นแบบไปจากเราเช่นกัน ไม่สังเกตเลยหรือ?” เขาขมวดคิ้ว สายตาสำรวจร่างกายพิกลพิการของมัน แล้วพยักหน้า “อื้ม สมบูรณ์แบบมาก!”

“ใช่ที่ไหน! นี่มันง่อยเปลี้ยมากสิไม่ว่า! เอาร่างกายที่ใหญ่โตของข้าคืนมา เอาพลังของข้าคืนมา!” สองคนช่วยกันจับมันเอาไว้ก่อนที่มันจะไปฆาตกรรมบุตรแห่งพระเจ้า บุตรแห่งพระเจ้าหนีไปแอบอยู่ข้างหลังฝูงชน ชะโงกหน้าออกมาเมียงมอง

อันที่จริงมันก็พอสัมผัสถึงพลังได้บ้าง ทั้งที่เปลี่ยนแปลงและไม่เปลี่ยนแปลง มันสงบใจลงแล้วถามตรงๆ ว่า “ข้าไม่ใช่มนุษย์สินะ”

“เอ้อ นั่นก็...” บุตรแห่งพระเจ้าอ้ำๆ อึ้งๆ ไม่ยอมตอบ แล้วไพร่ไปอีกเรื่อง “จริงสิ เมื่อตกลงกันได้แล้วเราก็ไปกันเถอะ!”

“ไปไหน?” ทุกคนงงกับท่าทีของเขาจนตามไม่ทัน

บุตรแห่งพระเจ้ายิ้มร่า ชี้นิ้วขึ้นฟ้า “ก็ไปฉลองต้อนรับเพื่อนใหม่และอุดมการณ์ใหม่กันไงล่ะ!”

สิ้นเสียง ถนนที่เคยสงบนิ่งก็พุ่งขึ้นฟ้าราวกับงูยักษ์ สร้างความแตกตื่นกับภาพอลังการ ไม่ใช่ ที่พวกเขาแตกตื่นก็เพราะเจ้าถนนพวกนั้นกำลังรัดพันพวกเขาอยู่ต่างหาก มันเองก็ถูกรวบเอวแล้วกระชากขึ้นฟ้าไปทั้งแบบนั้น ถนนเคลื่อนตัวเหนือแนวยอดไม้ เหล่าต้นไม้ชูยอดสั่นไหวไปมา เสียงซู่ซ่าของใบไม้ที่กระทบกันคล้ายกับว่ามันกำลังเต้นรำอยู่ ถนนพาผู้คนพันกว่าชีวิตบินจากลานกว้าง ผ่านบ้านเรือนหลังเล็กหลังแล้วหลังเล่า ผ่านอาทิตย์อัสดงสีส้มดวงโต

จากที่ตื่นตัวก็กลายเป็นสงบ มันพยายามทำใจกับการคมนาคมของโลกนี้ แม้จะคลื่นไส้อยู่บ้าง และการที่เท้าไม่ติดพื้นจะทำให้มันไม่ชอบใจอยู่บ้าง แต่การที่ลอยผ่านลมเย็น เบื้องบนคือเมฆสีขาว เบื้องล่างคือผืนป่าสีเขียว ด้านข้างเป็นดวงอาทิตย์ดวงโต ก็เป็นทัศนียภาพที่แปลกใหม่ดี แถมข้างๆ ยังเป็นบุตรแห่งพระเจ้าที่บินด้วยปีกสีขาวทั้งหกข้าง บางครั้งปีกนั้นก็กระพือตีหัวคนอื่นบ้าง ข้างหน้าคือเทวทูตที่บินด้วยปีกสีขาวเล็กๆ ของตน มือทั้งสองข้างจูงมือเด็กน้อย ตามตัวถูกมือน้อยเกาะเกี่ยวให้ลอยไปด้วยกัน ทุกคนพากันหัวเราะ ชาตินี้คงไม่มีวันได้พบเห็นอีกแล้ว แต่ชาติหน้าคงได้พบเจอภาพแบบนี้บ่อยขึ้นแน่ มันหัวเราะอย่างสนุกสนานขึ้นมาบ้าง

 

หมาป่าน้ำแข็งยังคงไม่ชินกับการลง เมื่อถนนพาพวกมันลงจอดก็เอาแต่หมอบ หลายคนเริ่มชิน แต่หลายคนยังปรับตัวไม่ถูก ต่างเกาะเกี่ยวพยุงกันและกัน แข้งขามือไม้อ่อนปวกเปียก

เบื้องหน้าคือลานไม้ใหญ่โต เถาวัลย์กำลังเลื้อยพันกันเป็นชิงช้าบ้าง ม้านั่งบ้าง ต้นไม้ล้มตัวนอนราบกับพื้น ผายมือเชิญให้เราไปนั่ง เถาวัลย์บางส่วนเกี่ยวเอาใบไม้ต่างสี บรรดาดอกไม้ และลูกไม้นานาชนิดตกแต่งพุ่มไม้ให้สีสันสวยงาม ข้างในยังมีคนอีกหลายสิบกำลังปรุงอาหารอยู่ เครื่องเรือนอำนวยความสะดวกหลายอย่างกำลังขยับเขยื้อนเคลื่อนตัวเพื่อช่วยเหลือพ่อครัวแม่ครัว กลิ่นหอมยั่วยวนใจลอยตามสายลมมา

บุตรแห่งพระเจ้ากำลังจะเอ่ยปาก แต่กลับชะงัก ก่อนสายลมเย็นหอบใหญ่จะพัดพาจนหนาวสั่น จากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยขยับก็หยุดนิ่งราวกับภาพที่เคยฉายบนจอถูกรีโมทกดให้หยุดเล่น บรรดาพ่อครัวแม่ครัวสบถพึมพำเพราะยังทำอาหารไม่เสร็จ พวกเขาเตรียมตัวอยู่พักใหญ่ อันไหนวางได้ก็วาง อันไหนทำอะไรไม่ได้ก็ปล่อยทิ้ง จากนั้นก็วิ่งมายังหน้าลาน รวมตัวกับทุกคน แล้วคุกเข่าลงเหมือนกับคนอื่น

มันมองภาพเหล่านั้นอย่างฉงน หันไปมองบุตรแห่งพระเจ้า เขากำลังทำท่าปวดหัว ถอนหายใจเป็นพักๆ พอเห็นว่าตนมองมาก็อธิบายอย่างปลงๆ ว่า “เขากลับมาแล้ว นี่เป็นเวลาของเขา”

มันกำลังจะอ้าปากถาม ความเย็นก็ทวีรุนแรงขึ้น มันคุ้นเคยกับความเย็นนี้ดี ก่อนที่มันจะมาที่นี่เคยสัมผัสความเย็นดุจห้วงอเวจีแบบนี้มาก่อน มันหนาวเย็นยะเยือก ขนลุก และเสียดแทงเข้ากระดูก พวกที่จิตอ่อนหน่อยปานนี้คงกรีดร้องจนเป็นบ้าไปแล้ว แต่ทุกคนที่อยู่ที่นี่ดูเหมือนจะเคยชินเสียแล้ว

“มาธรรมดาก็ไม่ได้ ดูสิ ยังตกแต่งไม่เสร็จเลย” เขามองเถาวัลย์ที่ชะงักอยู่เหนือพุ่มไม้ “อาหารก็ยังไม่เสร็จ”

มันเข้าใจทันที เพราะป่าแห่งโนห์อาผืนนี้ถูกสร้างด้วยพลังของบุตรแห่งพระเจ้า ทุกสิ่งที่ขยับเขยื้อนได้คือพลังของเขา ทั้งถนนที่เลื้อยเป็นงู ต้นไม้และเถาวัลย์ที่มีชีวิต แม้แต่เครื่องเรือนก็เป็นพลังของเขา บุตรแห่งพระเจ้าช่างมีพลังยากหยั่งถึงจริงๆ แข็งแกร่งขนาดไหนกันนะ?

คิดก็ส่วนคิด ตอนนี้สายตาของมันเห็นกลุ่มก้อนสีดำกำลังตรงมาทางนี้ แต่น่าแปลกที่ข้างหลังก้อนสีดำกลับมีจุดเล็กๆ สีขาวตามมาด้วย ไม่นานนักไอเย็นสีดำก็ล่องลอยอยู่เต็มลาน กลุ่มควันสีดำรวมตัวกันกลายเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง นัยน์ตาสีแดงฉานน่าหวาดหวั่น เขาคือรัตติกาลที่มืดมัว อีกคนที่มันเคยเจอ ตำนานกล่าวผิดหรือถูกกันแน่นะ หากสองเผ่าพันธุ์ที่ต่างกันสุดขั้วอย่างความมืดและแสงสว่างมาอยู่รวมกันโลกจะถึงคราวอวสาน โลกเก่าที่มันจากมานั้นคงถึงคราวอวสานแล้วจริงๆ แต่ไม่ใช่กับโลกนี้ ไม่รู้ทั้งสองคนมีความเป็นมาอย่างไรถึงอยู่ร่วมกันได้

“เหนื่อยหน่อยนะครับ/ค่ะ!” ทุกคนกล่าวกับรัตติกาลผู้มาใหม่

ต่อมากลุ่มสีดำก็ปรากฏแก่สายตา พวกเขาคือเผ่ารัตติกาล สวมเสื้อผ้าเน้นสีดำ หยุดยืนอยู่ที่ฝั่งซ้าย ในขณะที่กลุ่มก้อนสีขาวคือเผ่าพันธุ์เดียวกับบุตรแห่งพระเจ้า พวกเขาบินด้วยปีกเพียงคู่เดียว สวมเสื้อผ้าสีขาวเป็นหลัก หอบหิ้วผู้คนที่ได้รับการปฐมพยาบาลมาด้วย บ้างก็เป็นเปลพยาบาล มีบางคนยังไม่ได้สติ พวกเขาบินมาหยุดอยู่ที่ฝั่งขวา แยกขาวกับดำ จากนั้นผู้มาใหม่ทั้งสองด้านก็คุกเข่าลงแนบพื้นเช่นเดียวกับคนอื่นๆ

มีเพียงบุตรแห่งพระเจ้า มัน และรัตติกาลเท่านั้นที่ยังยืนอยู่ มันแอบคิดว่ามันควรจะคุกเข่าด้วยดีไหม มันยังไม่เข้าใจระบบระเบียบของโลกนี้เลย

“ทุกคน เหนื่อยหน่อยนะ” บุตรแห่งพระเจ้าระบายแขนออกถลาเข้าไปหาทุกคน “ยินดีต้อนรับกลับ”

“เรากลับมาแล้ว!” กลุ่มสีขาวพูดเป็นเสียงเดียวกัน

จากนั้นมันก็ไม่ได้มองอีกว่าพวกนั้นทำอะไรกัน เพราะตอนนี้รัตติกาลกำลังใช้นัยน์ตาอันแดงฉานของตนมองมันอยู่ สัมผัสได้ถึงความไม่เป็นมิตร ใช่สิ มันเคยกัดคู่นั้นของเจ้าตัวมาก่อนนี่น่า หลังจากนั้นเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ หวังว่าหนังของรัตติกาลจะแข็งแกร่งกว่าคมเขี้ยวของมันนะ

“เกะกะ” รัตติกาลพูด เขาก้าวเท้ามาข้างหน้าอีกก้าว แน่นอนว่าติดมัน ไม่สามารถไปต่อได้อีก แต่ทางตั้งกว้างกลับเลือกมาทางนี้ จงใจหาเรื่องกันชัดๆ มันจ้องตารัตติกาลอย่างไม่ยอมแพ้ แล้วมือสีขาวคู่หนึ่งก็วางบนไหล่ของรัตติกาล ดึงสติของเราทั้งคู่ไป

บุตรแห่งพระเจ้าถามด้วยรอยยิ้มว่า “จะไม่เก็บพลังก่อนเหรอ? เราจะทำงานต่อนะ”

เป็นครั้งแรกที่มันเห็นรอยยิ้มน่าขนลุกจากใบหน้าซื่อๆ ของบุตรแห่งพระเจ้า ฝ่ายรัตติกาลไม่ปริปากสักคำแต่ไอเย็นกำลังหายไป รวมทั้งควันสีดำทั้งหมดได้ไหลไปรวมอยู่ภายในกายของเขา บรรยากาศตึงเครียดเมื่อครู่หดหายไป แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็เริ่มขยับอีกครั้ง

“เอาล่ะ ทีนี้ก็อนุญาตให้ทุกคนไปทานข้าวได้แล้ว ถ้าลอร์ดเดวิลอสไม่ยอมขยับ พวกเขาคงคุกเข่าอยู่อย่างนั้นจนเช้าแน่ๆ” บุตรแห่งพระเจ้าเตือน

จากนั้นรัตติกาลก็ส่งสายให้ทุกคน พยักหน้าหนึ่งครั้ง ทุกคนก็ลุกขึ้นบิดขี้เกียจแล้วเดินผ่านพวกเราเข้าไปในลาน ต่างคนต่างมีหน้าที่ต้องทำ ฝ่ายเตรียมอาหาร ฝ่ายเตรียมสถานที่ และฝ่ายพยาบาลคนเจ็บที่มาใหม่ ช่วยกันหยิบจับคนละนิดละหน่อยไม่มีเวลาว่างมาสนใจพวกเรา

บุตรแห่งพระเจ้าระริกระรี้ตรงเข้ามาหามัน ถามอย่างตื่นเต้นว่า “เป็นไง เหมือนอาณาจักรไหม??”

“อาณาจักรหรือ?”

“ใช่ เราอยากสร้างอาณาจักรขึ้นมาล่ะ” บุตรแห่งพระเจ้าเล่าอย่างตื่นเต้น “เราอยากเห็นอาณาจักรที่ผู้คนอยู่ร่วมกัน ไม่แบ่งแยก และช่วยเหลือกัน แบ่งปันวัฒนธรรมและความรู้ให้แก่กัน เรียนรู้ไปด้วยกัน เติบโตไปด้วยกัน ต่อสู้ร่วมกัน ไงล่ะ ที่นี่เริ่มเหมือนบ้างหรือยัง?”

มันเริ่มคิดตาม อ้อ ก็คงเหมือน ตอบไปตามตรง “เหมือนจักรวรรดิเสียมากกว่า”

ในความคิดของมันจักรวรรดิคือเมืองที่เคร่งครัด เต็มไปด้วยกฎระเบียบ จักรพรรดิคือผู้เป็นใหญ่ ห้ามผู้ใดฝ่าฝืน เหมือนภาพเมื่อครู่นี้เลย มันเหล่ตามองรัตติกาลที่ยืนมองมันนิ่งๆ พอหันกลับมาก็เห็นบุตรแห่งพระเจ้าสลดลง มันจึงคิดอย่างจริงจังอีกครั้ง

“ที่นี่มีผู้คนมากมายทั้งชายหญิง มีหลากหลายเผ่าพันธุ์ ทั้งเผ่าพันธุ์ที่เหมือนบุตรแห่งพระเจ้า ทั้งเผ่ารัตติกาล ทั้งอาร์คเผ่าต่างๆ เอลฟ์เองก็มีตั้งหลายเผ่า สัตว์ป่าทั้งเล็กใหญ่ก็มีหมด มีต้นไม้ มีใบหญ้า มีผืนดิน มีถนนเจ้าปัญหา อ้อ คิดว่าคงมีหนองน้ำและลำธารอยู่ด้วย” มันหัวเราะ มองบุตรแห่งพระเจ้าที่ยิ้มร่าอย่างสดชื่น มองผู้คนมากมายที่กำลังช่วยกันเตรียมงานฉลอง “เหมือนอาณาจักรมากๆ เลย ไม่สิ นี่คืออาณาจักร ใช่แล้ว อาณาจักรแห่งอิสรภาพ(โนห์อา) ปณิธาน และคำสัญญา”

 

หากยังมีความปรารถนา... จงมีความหวัง (Have a Hope)

 

 

 


[Talk]

สวัสดีคุณผู้อ่านที่ตั้งใจเข้ามาและหลงเข้ามาทุกท่าน

เราชื่อ ยู นามปากกา Yue Yu ปกติเขียนแนวแฟนตาซี แต่จริงๆ ก็ได้หลายแนวนะ หลังอ่านหนังสือหลากหลายแนวแล้ว ยูก็อยากแต่งเองบ้าง เลยฝึกปรือฝีมือเรื่อยๆ เริ่มจากเรื่องสั้นๆ ไปก่อน

ส่วนเรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นตอนเดียวจบ แต่เป็นโครงเรื่องของเรื่องยาว ซึ่งโอกาสหน้าคงได้พบกันอีก

ขอให้อ่านอย่างสนุกนะฮะ!

 

 

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว