The Emperor Under Moonlight
1
ตอน
2.5K
เข้าชม
54
ถูกใจ
0
ความคิดเห็น
22
เพิ่มลงคลัง

บทนำ

ท้องพระโรงของวังหลวง ณ ตอนนี้อยู่ในช่วงที่พูดได้ว่ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก สวี่ซู่ไท่ ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันที่นับวันจะชราภาพลงเรื่อยๆ ปัญหามากมายถาโถมเข้าใส่ ยิ่งจะทำให้วันที่พระองค์ต้องสละราชสมบัติใกล้เข้ามาทุกที แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาหลัก สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือผู้ที่จะสืบทอดบัลลังก์ของพระองค์  เมื่อสิบปีก่อนทรงแต่งตั้งให้สวี่เหวินหลงโอรสในพระอัครมเหสีเป็นรัชทาญาติ แต่เคราะห์ซ้ำกรรมซัดทำให้ต้องป่วยเป็นโรคร้าย ไม่สามารถเป็นฮ่องเต้ได้  ส่วนพระอัครมเหสี เว่ยเหวินเต๋อ พึ่งจะประสูติพระธิดา นามสวี่เหม่ยอิ๋ง  แต่ถ้าจะรอให้เจ้าหญิงเหม่ยอิ๋ง ทรงพระชันษา  พระองค์คงจะสวรรคตไปก่อน จากนั้นพวกขุนนางรวมถึงประชาชนจะหมดที่พึ่ง และเกิดกลียุคในที่สุด  ดังนั้นพระองค์ที่กำลังจนตรอกจึงให้ขันทีคนสนิทออกตามหาซินแสที่มีชื่อเสียงที่สุดมาทำนายอนาคตของแผ่นดินเพื่อเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจของพระองค์

ซินแสกำลังนั่งจ้องก้อนหินหน้าตาพิลึกอยู่เงียบๆ เขาใส่ก่อนหินเหล่านั้นกลับเข้าไปในกระตองเต่า จากนั้นเขย่าสองสามที แล้วเทก้อนหินเหล่านั้นลงมาใหม่

สวี่ซู่ไท่ประทับอยู่บนบัลลังก์ จ้องมองการกระทำของซินแสผู้นี้อย่างชั่งใจว่า การดูก้อนหินพวกนี้แล้วจะเห็นอนาคตได้จริงๆหรือ  พระองค์เพ่งแล้วเพ่งอีกไม่รู้กี่รอบ ก็ไม่เห็นจะมีรูปภาพ หรือตัวอักษรอะไรขึ้นมา

ขณะทีอยู่ในห้วงความคิดเสียงของซินแสที่ทำให้พระองค์ออกจาภวังค์

“ฝ่าบาท...คำทำนายพะยะค่ะ”

ไม่รู้ว่าพระองค์เหม่อลอยไปนานเท่าไหร่ ถึงขั้นไม่รู้ตัวว่าซินแสผู้นี้เขียนคำทำนายบนกระดาษแล้วส่งให้พระองค์ได้  ทรงคลี่ออก แล้วทอดพระเนตร

ในกระดาษแผ่นเล็กๆ ที่ดูแล้วจะเป็นความลับสุดยอดที่ไม่มีผู้ใดหยั่งรู้ยกเว้นพระองค์กับซินแสผู้นี้ มีความว่า

“ภายภาคหน้า แผ่นดินมังกรต้องมีอันเปลี่ยนแปลง

สตรีเพศจะมีอำนาจล้นฟ้า

โอรสสวรรค์หาได้มาจากชายชาตรีไม่ ”

มีตัวอักษรเพียงไม่กี่ตัว ทว่าทุกๆตัวล้วนมีความหมายกว้างขึ้นเรื่อยๆ ทำให้พระองค์แทบจะตามภาพที่วาดขึ้นในใจของพระองค์ไม่ทัน

“สวี่เหม่ยอิ๋ง อย่างนั้นหรือที่จะได้เป็นฮ่องเต้"  ทรงตรัสถามอย่างพอพระทัยที่ว่าพระองค์ก็มีพระปรีชาในการทำนายเหมือนกัน ตอนแรกที่ว่าเหม่ยอิ๋งเด็กไป แต่ตอนนี้ถ้านำมาผนวกกับคำทำนายที่ตรงกัน ก็มั่นใจได้ว่านางต้องได้ครองราชย์

“มิใช่ พะยะค่ะ” ซินแสผู้นั้นตอบ

“สตรีที่จะได้ขึ้นครองบัลลังก์ จะเป็นหญิงสกุลเจิน ”

จากที่พระองค์กำลังอิ่มเอมใจ ตอนนี้กลายเป็นสงสัยว่า หญิงสกุลจเจิน ผู้นั้นคือใคร เป็นโอรสธิดาในพระองค์หรือไม่ พระองค์เป็นฮ่องเต้ มีแต่คนมาถวายตัวเป็นสนมนอนข้างกายทุกคืนไม่ซ้ำหน้า จะจำได้อย่างไรว่าใครมีสกุลอะไรบ้าง แค่ชื่อพระองค์ยังจำแทบจะไม่ได้

“ ข้าไม่เคยได้ยินว่าในวังมีแซ่นี้อยู่  ”  พระองค์พูดกับตัวเองประกอบกับเค้นความคิดจากส่วนที่ลึกที่สุดมาแล้ว ก็ไม่สามารถรำลึกได้ว่ามีความทรงจำเกี่ยวกับสกุลนี้อยู่

“ ข้าขอบใจเจ้ามาก อย่างน้อยที่ข้าคิด ก็มีส่วนที่เหมือนเจ้าบ้าง ” ทรงตรัสอย่างพอพระทัย แล้วส่งถุงเงินกำมะหยี่ให้ซินแส  ทรงกำชับว่าห้ามปริปากบอกเรื่องนี้ให้ใคร มิเช่นนั้นจะถูกลงโทษโดยการประหารเจ็ดชั่วคน จากนั้นให้ทหารคุ้มกันแล้วพาไปส่งนอกวัง

 

คืนนั้น

ไม่รู้ว่านานเท่าใดแล้วที่พระองค์ไม่รับตัวนางสนมเข้าตำหนัก  เพราะทรงชราภาพมาก ที่สำคัญคือสนมแต่ละคนทำได้เพียงให้พระองค์ระบายความใคร่ แล้วจากไปด้วยเงิน และยศถาบรรดาศักดิ์ แทบจะไม่มีใครรักพระองค์จริงๆ ถ้าให้นึกก็มีแต่เพียงฮองเฮา  เหวินหลง และนางสนมคนหนึ่ง

คืนเหมันต์ฤดูนั้นแสนหนาวเหน็บ วังหลวงเป็นสีขาวโพลน  เทียบอะไรกับกายคนทีแสนเปราะบาง คำทำนายทำให้พระองค์ไม่สามารถบรรทมได้ ทรงประทับอย่างสงบ ทอดพระเนตรทัศนียภาพยามคำคืนที่ศาลาริมน้ำ จะให้พูดว่าทุกครั้งที่ทรงมีเรื่องคับคาใจ จะดำเนินมาประทับยังที่แหล่งนี้ก็ย่อมได้ การได้ปล่อยวางทำให้ทรงคิดอะไรง่ายขึ้น ที่สำคัญคือจะทรงนึกถึงสตรีนางหนึ่ง ที่ยังทรงหาคำตอบไม่ได้ว่าเป็นใครและชื่ออะไร เนื่องจากวันเวลาที่แปรผันตรงกับความทรงจำ ยิ่งนานวันยิ่งเลือนหาย  แต่จากการมาที่นี่หลายครั้งแล้วทำเช่นเดิม ทำให้เรื่องราวได้ประติดประต่อกันเป็นความทรงจำอันรางเลือน

หลายปีก่อนพระองค์ได้รับสตรีนางหนึ่งเข้าวัง เป็นหญิงคนแรกที่ทรงหลงใหลและแต่งตั้งให้นางเป็นสนม นางมีรอยยิ้มที่สว่างไสว เหมือนดวงอาทิตย์ในคิมหันต์ฤดู  นิ้วเรียวยาวมีเล็บที่เงางามและอมชมพูเมื่อประกอบกับเสียงกู่เจิงที่นางดีดทำให้เพลงนั้นเพราะหาใครเปรียบ ผมดำขลับเงาสะท้อนแสงแดด ผิวขาวราวหิมะแต้มด้วยสีแดงชาดที่พวงแก้มและกลีบปากอวบอิ่ม คิ้วเรียวชี้ขึ้นผสานกับตากลมโตทำให้นางดูน่ารักแบบแก่นแก้ว

พระองค์พบนางครั้งแรกเมื่อทรงออกล่าสัตว์  นางเป็นธิดาของขุนนางเกษตรในหมู่บ้านเล็กๆที่ตีนเขาหลี่ซาน  แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้พระองค์ไม่รู้ว่านางเป็นตายร้ายดีอย่างไร หลังจากเหตุการณ์ก่อกบฏของเหล่าขันที ที่นำโดยหัวหน้าขันที่สกุลจวิน ทำให้พระองค์ต้องส่งนางให้หนีออกนอกวัง หลังจากนั้นนางก็ไม่กลับมา  ส่วนหมู่บ้านที่ตีนเขาหลี่ซานถูกเผาทิ้งอย่างไม่เหลือซาก

สวี่ซู่ไท่ พยายามออกค้นหานางตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ โชคร้ายที่คนสนิทของพระองค์ที่รับรู้ว่าทรงมีนางสนมผู้นี้คอยกลับใช้ ได้สิ้นชีพตั้งแต่เหตุการณ์กบฏครั้งนั้นเกือบจะทั้งหมด ดังนั้นจึงแทบไม่มีใครเลยที่พอจะช่วยพระองค์ได้ มีเพียงแต่ขันทีจวิน เขาเป็นทั้งหัวหน้าและตัวการณ์สำคัญในการก่อกบฏ ที่เขายังรอดอยู่ได้เพราะพระองค์อภัยโทษให้ โดยเห็นแก่ความเป็นสหายที่มีมายาวนาน และต้องการที่จะเห็นเขาตายทั้งเป็น

ขันทีจวินถูกขังอยู่ในคุกใต้ดินตั้งแต่วันที่เขาถูกจับ  สวี่ซู่ไท่เคยถามเขาเกี่ยวกับนางผู้นี้ แต่ก็ไม่พ้นจะถูกยอกย้อนด้วยคำที่เสียดแทงจิตใจคนฟัง

“ฝ่าบาทก็มีพระชนม์ชีพมายาวนาน แต่กาลเวลาไม่สามารถบั่นทอนราคะของพระองค์ได้เลยรึพะยะค่ะ ”

ถ้าเป็นสมัยก่อนพระองค์คงจะจับเขาตัดลิ้นทิ้งเสีย แต่ตอนนี้พระองค์ใจแข็งและเย็นชาพอที่จะเมินเฉยต่อคำพวกนั้น รวมถึงความต้องการอย่างสูงสุดที่จะต้องรู้ให้ได้ว่านางเป็นใคร พระองค์จึงเสด็จไปพบขันทีจวินอีกครั้ง

 

 

“ฝ่าบาทเสด็จ”

สิ้นเสียงของขันทีติดตามพระองค์ ทำให้ร่างอ่อนปวกเปียกต้องสะดุ้ง ผิวของเขามีสีขาวซีด  มีรอยจ้ำสีม่วงเป็นหย่อมๆ  หนังแทบจะเป็นเนื้อเดียวกับกระดูก หน้าตอบ ดวงตาลึกเป็นเบ้าชัด  เขาดูไม่ต่างจากซากโครงกระดูก ที่คุกแห่งนี้ มีเขาผู้เดียวเท่านั้นที่โดนขังอยู่ คุกที่ชื้นแฉะ อากาศเย็นแม้กระทั่งในฤดูร้อน แต่ทุกสิ่งทุกอย่างกลับเป็นที่คุ้นชินเหมือนเป็นบ้านอีกหลังของขันทีจวินผู้นี้

สวี่ซู่ไท่ มาถึงหน้าห้องขังของเขา โดยที่ไม่มองหาเขาตรงๆ แต่หันข้างแล้วปรายตามองเหมือนมองสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ ขันทีจวินเองก็ไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะไม่ว่าพระองค์จะเสด็จมาที่นี่ก็ครั้ง ก็จะมีกิริยาเช่นนี้ทุกครั้งไป และให้เขาเป็นคนเริ่มบทสนทนาก่อนทุกครั้ง

“ยามวิกาลเช่นนี้ทรงมีเรื่องอันใดปรึกษากระหม่อมรึพะยะค่ะ หรือว่าพระองค์จะเกิดอารมณ์ราคะขึ้นมา ”

พระองค์ไม่ตอบโต้อะไร ยังคงประทับนิ่งอยู่ที่เดิม

ขันทีจวินเห็นเช่นนั้นยิ่งได้ที แล้วพูดต่อไปว่า

“กระหม่อมถูกขังเช่นนี้  คงไปหาสาวงามให้พระองค์ที่ไหนไม่ได้หรอกพะยะค่ะ  ถ้าสุดวิสัยจริงๆ ก็ทรงไปหานางในสักคน พอประทังคืนนี้ให้ผ่านไปเถอะพะยะค่ะ ”

สิ้นเสียงของขันทีจวิน ก็มีเสียงตวาดของสวี่ซู่ไท่

“หุบปาก!!!”

เขาเงียบไปแต่โดยดี ส่วนสวี่ซู่ไท่เป็นผู้ต่อบทสนทนานี้

“ข้าขอถามเจ้าอีกครั้ง  นางสนมผู้นั้นชื่ออะไร”

ขันทีจวินเมื่อได้ยิน เขาได้แต่หัวเราะในลำคออย่างน่ารังเกียจ และเป็นที่น่ารำคาญแก่ผู้ฟังที่อารมณ์ร้อนอย่างสวี่ซู่ไท่อย่างมาก

“ข้าเห็นแก่ที่ข้ากับเจ้าเป็นสหายกันมายาวนาน ไม่เช่นนั้นเจ้าได้ไปอยู่กับทาสเจ้าที่นรกภูมิตั้งแต่วันนั้น ” สวี่ซู่ไท่พูดออกมาอย่างเย็นชาปนขมขื่น เพราะเวลาพูดเรื่องนี้จะทำให้พระองค์นึกถึงนาง และตระหนักได้ว่านางอาจตายไปแล้ว

“หึหึ” ขันทีจวินหัวเราะยังไม่หยุด เหมือนกันสิ่งที่พระองค์อยากรู้เป็นความลับสุดยอด ที่ต้องถวายชีวิตเพื่อได้มันมา

“เจ้าไม่รู้สึกผิดบางหรือเหอหลาง ” พระองค์พูดขึ้นอย่างอัดอั้นใจ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาพระองค์ไม่เคยได้คุยกับเขาอย่างจริงจังว่าเขาทำไปเพื่ออะไร เพราะเมื่อก่อนพระองค์อารมณ์ร้อน เมื่อเขายั่วโมโห พระองค์ก็โกรธและไม่เป็นอันคุยกัน แต่ตอนนี้ชราภาพลง ทำให้พอรับฟังอะไรได้บ้าง

“......................”  ขันทีจวินหยุดหัวเราะ แล้วเงียบไปอย่างยาวนาน  ถ้าให้เปรียบก็เรียกได้ว่าเงียบไปแทบจะถึงรุ่งสางเลยก็ได้

“ พระองค์อ่อนแอ ”  เขาพูดขึ้นอีกครั้งหลังเงียบไปนานหลายอึดใจ  แต่ในความคิดของสวี่ซู่ไท่  นี่เป็นเพียงข้ออ้าง

พระองค์เอื้อมมือผ่านกรงไม้ไปกระชากคอเสื้อเขา แล้วตะคอกด้วยเสียงที่ดังกว่ากองทัพของจิ๋นซีฮ่องเต้เวลาออกรบว่า

“มิใช่เจ้ากระหายอำนาจหรอกรึ !!!”  ขันทีจวินโดนคอเสื้อรัดจนหายใจแทบไม่ออก คล้ายหลอดลมจะบีบติดกันแล้วไม่มีวันคลายไม่ออก ตาเริ่มเหลือกขึ้น

สวี่ซู่ไท่เห็นดังนั้นจึงปล่อยมืออย่างอารมณ์เสีย และเริ่มระงับสติอารมณ์ เพราะถ้าวู่วามกว่านี้คงไม่ได้ความอะไร

ส่วนขันทีจวินที่หลุดจากมือของสวี่ซู่ไท่ เริ่มหายใจออก และสูดอากาศเข้าปอดอย่างกระหาย คล้ายกับว่านี่เป็นการหายใจครั้งแรกในชีวิต  แล้วกล่าวขึ้นมาอย่างตำหนิว่า

“เมื่อถึงยามวิกาลพระองค์ร่ำแต่สุรานารี  งานราชการแผ่นดินทรงยกให้แต่กระหม่อนตัดสินใจ  ดังนั้นแล้วไม่สู้ยกบัลลังก์ให้กระหม่อมดีกว่ารึ ”

“สวรรค์ส่งพระองค์มาเพื่อดูแลแผ่นดิน และสละชีพเพื่อแผ่นดิน เมื่อโอรสสวรรค์ไม่ทำตามบัญชา ย่อมมีการผลัดปลี่ยน เพื่อแผ่นดินที่สงบสุข  และคนผู้นั้นคือกระหม่อม ”  ขันทีจวินพูดตามตรงทั้งหมด เพราะที่ผ่านมาสวีซู่ไท่ กระทำอย่างที่เขาพูดมาทั้งหมด

“แต่สวรรค์ก็ไม่เข้าข้างเจ้า เพราะสุดท้ายเจ้าก็ต้องมาเป็นนักโทษเช่นนี้ ” สวี่ซู่ไท่พูดแทงใจอีกฝ่าย

“ถึงอย่างไร สุดท้ายพระองค์ก็ต้องสิ้นชีพ ” ขันทีจวินชี้ให้เห็นความจริงว่า ถึงสวี่ซู่ไท่จะจับเขาได้ แต่แผ่นดินก็ต้องมีการผลัดเปลี่ยนอยู่ดี

“ผู้ที่จะเป็นโอรสสวรรค์ต่อจากข้ามิใช่เพศชาย ” สวี่ซู่ไท่บอกจุดประสงค์ที่พระองค์มาหาขันทีจวินให้รับรู้ ถึงจะเกลียดขันทีจวินเข้าไส้ แต่เขาก็ยังเป็นที่ปรึกษาที่ดี

“โอรสสวรรค์ไม่มีทางที่จะเป็นสตรีเพศ  นั่นเป็นสิ่งที่ผิดกฎมนเทียรบาล ” ขันทีจวินทั้งสงสัยและนึกขันอยู่ในใจว่า  สวี่ซู่ไท่ปั้นเรื่องขึ้นมาโดยไม่นึกถึงความเป็นไปได้

สวี่ซู่ไท่ล้วงกระดาษแผ่นเล็กมาจากอกเสื้อ แล้วส่งให้ขันทีจวินอ่าน

ตอนแรกเขาเลือกที่จะไม่เชื่อสวี่ซู่ไท่ แต่เมื่อได้เห็นรายมือนี้ต้องเปลี่ยนความคิดไปโดยปริยาย เพราะของลายมือคือ จวินเหอจาง พี่น้องร่วมตระกูลของเขา

สวี่ซู่ไท่นั้นรอบคอบ พระองค์วางแผนที่จะนำซินแสที่มีความสัมพันธ์ทางเครือญาติกับขันทีจวิน เพื่อที่เขาจะได้ไม่สามารถโต้แย้งได้ รวมถึงซินแสผู้นี้มีชื่อเสียงด้านการทำนายที่แม่นยำ เหมือนทะลุมิติไปเห็นเองกับตา

“สตรีผู้นั้นคือหญิงสกุลเจิน ”  ขันทีจวินเพียงตั้งคำถามในใจ แต่สวี่ซู่ไท่กลับรู้ใจเขาเหมือนเห็นด้วยอักษรเขียนอยู่บนหน้าผากว่าเขาคิดอะไรอยู่

“...................” เป็นการเงียบครั้งที่สองของขันทีจวิน แต่ครั้งนี้เป็นการเงียบเพื่อตั้งสติและตัดสินใจ

เรื่องราวมาถึงขั้นนี้ สวี่ซู่ไท่กำลังพ้นจากบัลลังก์ คำทำนายที่สะท้านใจคนอ่าน และหญิงสาวนิรนามที่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน  ทำให้เกิดความสับสนวุ่นวายเหมือนปมด้ายที่พันแน่นหาปมยาก แต่เมื่อพบปมแล้ว กระตุกเพียงครั้งเดียวด้ายก้อนนั้นก็จะหลุดกลายเป็นเส้นด้านที่ตรงลื่น ขันทีจวินนึกปลงอยู่ในใจและนึกถึงเรื่องราวมากมายที่อายุถึงปูนนี้แล้วควรละทิ้ง แล้วดำเนินชีวิตด้วยความสงบอย่างเทพเซียน

“เจิน เหมย เฟิง” คำสามพยางค์ที่คนฟังแทบหยุดหายใจ

“ สนมผู้นั้นชื่อเจินเหมยเฟิง ”  ขันทีจวินกล่าวแล้วสงบนิ่งไป ผิดกับคนฟังที่ใจเต้นไม่เป็นส่ำ อารมณ์หลายอย่างทิ่มแทงใจเหมือนหนามแหลมหลายพันเล่ม

สวี่ซู่ไท่ยื่นมือผ่านลูกกรงไม้ไปจับมือของขันทีจวิน แต่แล้วพบว่ามือนั้นเย็นชืด ดวงตาหลับอย่างสงบ เมือพระองค์นำมือไปอังใต้จมูกกลับไม่พบลมหายใจที่เป่าลดลงมา  ถึงใบหน้าจะขาวซีดแต่ดูอิ่มเอม เหมือนพอใจกับการที่ได้หลุดพ้น

“ขอบใจเจ้ามาก...สหายรัก ” สวี่ซู่ไท่พูดด้วยน้ำเสียงที่เบาบาง เหมือนเป็นความลับที่พระองค์กับขันทีจวินเท่านั้นในโลกที่รู้

สวี่ซู่ไท่ ยินดีกับสหายที่ไปรอพระองค์ ณ ปรโลกก่อนแล้ว รอที่จะกลับมานั่งถกเถียงกัน  เยาะเย้ยกัน และเล่าความทรงจำที่มีต่อกัน

ณ ตอนนี้ผู้ที่จะต้องแบกรับความรู้สึกและรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกนี้คือพระองค์ และจากนี้ไปจะต้องตัดสินใจทุกอย่างเพียงผู้เดียว

“ นำศพขันทีจวินไปฟังที่สุสานหลวง ” สิ้นเสียงคำสั่ง  ทหารเข้ามาเปิดกลอนประตูไม้  นำร่างไร้วิญญาณของขันทีจวินออกมา น่าจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เขาจะได้เห็นดวงจันทร์เต็มดวงยามค่ำคืน

 

“คืนเหมันต์หนาวเหน็บ

หญิงนิรนามแซ่เจิน

สหายรักจำพราก

ตัวข้านั้นได้เติบโตขึ้นอีกหน”

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว