เหตุบังเอิญ...ภาพแห่งความทรงจำ

เรื่องสั้น

เหตุบังเอิญ...ภาพแห่งความทรงจำ

เหตุบังเอิญ...ภาพแห่งความทรงจำ

Nuttanan-nan

เรื่องสั้น

0
ตอน
10.6K
เข้าชม
93
ถูกใจ
5
ความคิดเห็น
11
เพิ่มลงคลัง

Youtube

เหตุบังเอิญ...ภาพแห่งความทรงจำ

 

 

เหตุบังเอิญ...ภาพแห่งความทรงจำ

ณ บ้านทาเฮ้าส์แห่งหนึ่งอันเงียบสงบ ฉันกำลังนั่งบนเก้าอี้ม้าโยกรับลมระเบียงบ้านยามเย็น                      ฉันเหม่อมองท้องฟ้ากำลังชมพระอาทิตย์ตกดิน และพลางจับลูบท้องของตนที่นับวันเริ่มโตขึ้นจนเห็นได้ชัดว่าฉันกำลังมีหนึ่งชีวิตที่อยู่ในท้องของฉัน ฉันให้กำเนิดเขาด้วยความบังเอิญของโชคชะตาว่ามันเกิดขึ้นกับฉันได้อย่างไร ?

ฉันย้อนเวลาไปเมื่อห้าเดือนก่อนจะเกิดเรื่อง แม่ของฉันล้มป่วยเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวจนเข้าโรงพยาบาลรักษาตัวต้องใช้เงินจำนวนมาก พ่อของฉันต้องเที่ยวไปกู้หนี้ยืมสินเพื่อรักษาชีวิตของแม่ไว้  ส่วนฉันเพิ่งจะเรียนจบปริญญาตรี ฉันพยายามหางานทำ แต่แล้วโชคชะตาไม่ได้เข้าข้างฉันให้เดินเส้นทางที่ดีมากนัก ฉันถูกฝ่ายบุคคลไล่ฉันออกจากงาน ฉันพูดให้กำลังใจตนเองว่าชีวิตคนเราย่อมมีขึ้นมีลงอยู่เสมอ เพื่อนของฉันแนะนำให้ฉันหาแฟนรวย ๆ แต่ฉันไม่เคยคิดจะทำแบบนั้น จนกระทั่งเพื่อนสนิทของพ่อแนะนำให้ฉันมาที่บริษัทของเขา ฉันเริ่มมีความหวังที่จะต่อสู้ชีวิตเพื่อครอบครัว

ในวันรุ่งขึ้นฉันแต่งตัวเตรียมจะสัมภาษณ์งานอย่างเต็มที่ เมื่อไปที่บริษัทเพื่อนของพ่อ เจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลผู้หญิงคนหนึ่งให้ฉันกรอกใบสมัครงาน และนัดสัมภาษณ์งานทันที เจ้าหน้าที่ผู้หญิงเธอบอกรายละเอียดเนื้องานว่า

“ทำงานที่นี้สบาย เธอเป็นเลขาฯ บอส แค่ทำงานตามคำสั่งของบอสได้ก็สบายแล้ว พี่ว่าเธอหน้าตาสวย เรียนจบเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง อนาคตน่าจะไกล ดีแล้วที่ตัดสินใจเลือกมาทำงานที่นี้ แถมยังเป็นคนกตัญญูต่อพ่อแม่อีก”

“ขอบคุณค่ะที่พี่ชมหนู พี่ค่ะจะให้หนูเริ่มงานวันไหนค่ะ”

“วันนี้เลยค่ะ เซ็นสัญญานี้ แล้วเอาคู่มือปฏิบัติงานไปอ่านนะ”   พี่ผู้หญิงยื่นซองน้ำตาลที่มีเอกสารให้กับฉัน  ฉันรับแล้วกล่าวขอบคุณ

“ขอบคุณค่ะ นั้นถ้าไม่มีอะไรแล้ว หนูขอลาก่อนนะค่ะ”

“เดี๋ยวก่อนค่ะ ดื่มน้ำก่อน ป้าเปียกอุตส่าห์มาเสิร์ฟน้ำให้ดื่ม พี่กลัวแกจะเสียใจ ถ้าไม่ดื่มน้ำของแก”

“ค่ะ”   ฉันตอบรับแล้วดื่มน้ำเปล่าไปครึ่งแก้วก่อนที่จะลุกขึ้นออกจากห้องฝ่ายบุคคล ฉันเดินไปไม่กี่ก้าวรู้สึกโลกทั้งใบหมุนจนน่าเวียนหัวก่อนที่ร่างกายของฉันเริ่มทรงตัวไม่อยู่แล้วล้มหมดสติอยู่หน้าห้องฝ่ายบุคคล

 

เช้าวันรุ่งขึ้น ฉันมานอนอยู่ในห้องพักของตนเอง ฉันสับสนตนเองว่าทำไมฉันกลับมาอยู่ที่ห้องพักได้ยังไง แต่ฉันไม่ได้สนใจอะไรรีบอาบน้ำแต่งตัวไปทำงาน ฉันได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากเพื่อนร่วมงานทุกคน วันแรกของการทำงาน ฉันนั่งเล่นคอมพิวเตอร์เปิดอินเตอร์เน็ตอ่านอะไรต่อมิอะไรจนน่าเบื่อ และฉันได้อ่านเอกสารในซองรายละเอียดการทำงาน ในนั้นมีรายละเอียดการทำงานที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำงานเลยซะนิด ในนั้นมีเนื้อหาเขียนว่า

“งานที่ผมให้คุณทำ ผมอยากให้คุณรักษาสุขภาพให้แข็งแรง ทำจิตใจให้เบิกบาน รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ทุกมื้อ เวลาออกกำลังกาย ออกเบา ๆ อย่าออกแรงเยอะ เวลาเดินให้ระวังอย่าให้ลื่นล้ม ผมกลัวคุณจะเป็นอันตราย นอนพักให้เพียงพอวันละแปดชั่วโมง ดื่มนมกับน้ำให้มาก ๆ แล้วอย่าดื่มแอลกอฮอล์กับกาแฟ ผมเป็นห่วงสุขภาพของคุณ ขอให้คุณทำตามที่เขียนนะครับ ขอให้คุณมีความสุขกับหน้าที่งานที่มอบหมายให้คุณทำนะครับ”

“นี่อะไรกัน เขียนข้อความการทำงานแค่นี้นะ ไม่เห็นจะเกี่ยวกับงานเลย อันนี้มันให้ดูแลตัวเองชัด ๆ”                      ฉันบ่นพึมพำกับตนเองว่าบอสของฉันเขาคงเพี้ยนหรือเปล่า แต่ฉันก็เชื่อทำตามที่เขาสั่ง

ฉันถูกย้ายให้ไปอยู่บ้านทาเฮ้าส์หลังใหญ่ บอสบอกว่าฉันควรอยู่บ้านที่มีสภาพแวดล้อมที่ดีกว่านี้ ชีวิตของฉันเปลี่ยนไปมากมายตั้งแต่มาอยู่บริษัทนี้ ฉันได้รับความเป็นอยู่ที่แสนสุขสบาย มีเพื่อนร่วมงานที่ดี มีคนรับใช้ทำงานบ้านให้ และมีมานพ เพื่อนที่แสนดีที่คอยจัดโภชนาการอาหารให้กับฉัน และรับส่งฉันไปทำงานทุกเช้า และเย็น เวลาฉันอยากไปไหน เขาจะเป็นคนพาไปจนทุกคนเข้าใจผิดว่า ชายหนุ่มหน้าตาดีดูไม่น่าจะเป็นคนขับรถของฉันได้ ทุกคนเข้าใจว่าเขาเป็นแฟนของฉัน

สามเดือนผ่านมาฉันมีความสุขมากที่ได้อยู่ในองค์กรบริษัทที่มีเพื่อนร่วมงานที่ทำให้ฉันยิ้มมีความสุขได้ตลอดเวลา ไม่รู้สึกเบื่อ มีมานพเป็นเพื่อนสนิทที่คอยดูแลเอาใจใส่ฉันทุกเรื่อง จนกระทั่งเข้าเดือนที่สี่ และเดือนที่ห้า ฉันได้ส่องกระจกดูรูปร่างตนเองตอนค่ำ ฉันเริ่มสังเกตท้องของตนเองที่ขยายโตป่องขึ้นผิดปกติ ฉันรู้สึกแน่น อึดอัดท้องมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่วันนี้ฉันเริ่มรู้สึกว่าเหมือนมีอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ในท้องของฉัน หน้าท้องที่ยื่นออกมาทำให้ฉันใส่ชุดเสื้อเดรสที่ซื้อมาสวย ๆ ไม่ได้ ยิ่งใส่ก็ยิ่งเหมือนคนท้องเข้าไปทุกที ฉันไม่กล้าไปทำงาน และออกจากบ้านไปไหน มานพรู้ว่าฉันอายที่อยู่ ๆ ร่างกายที่มีรูปร่างสวยงามของฉันเปลี่ยนแปลงไปผิดหูผิดตา จึงบอกกับฉันว่า

“ผมจะพาคุณไปหาหมอ จะได้รู้คุณไม่สบายเป็นโรคอะไร”

“ก็ดีเหมือนกัน”

“นั้นพวกเราไปวันนี้เลยนะครับ”

ฉันไปโรงพยาบาลตามคำแนะนำของมานพคนขับรถ เมื่อถึงโรงพยาบาล คุณหมอที่สูตินารีแพทย์ได้ตรวจฉัน  เขายิ้ม และบอกกับฉันว่า

“หมอแสดงความยินดีกับคุณทั้งคู่ด้วยนะครับ ภริยาของคุณตั้งครรภ์ได้ห้าเดือนแล้วครับ”

ฉันกับมานพฟังถึงกลับอึ้งไม่เชื่อ ฉันคัดค้านบอกกับหมอว่า

“คุณหมอค่ะ คุณมานพ เป็นเพื่อนของฉันค่ะ ส่วนฉันยังไม่เคยมีแฟน และไม่เคยมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายคนไหนเลยนะค่ะ แล้วฉันจะท้องได้ยังไงค่ะ คุณหมอรบกวนช่วยตรวจฉันอีกรอบจะได้มั้ยค่ะ”

“เอาอย่างนี้ครับ ผมจะพาคุณไปอัลตร้าซาวด์ข้างในท้อง จะได้ทราบว่าคุณท้องจริง”

หมอให้ฉันเตรียมตัวไปห้องอัลตร้าซาวด์ ฉันขึ้นเตียงนอนเปิดเสื้อให้หมอตรวจท้อง เครื่องอัลตร้าซาวด์ได้ตรวจเห็นข้างในท้องของฉัน หมอบอกกับฉันว่า

“คุณดูหน้าจอนะครับ ลูกของคุณอยู่ในท้อง เขากำลังมีชีวิตอยู่ในท้องของคุณ ลูกของคุณเป็นเพศชายครับ”

ฉันมองจอเครื่องอัลตร้าซาวด์ สองมิติอย่างไม่เชื่อสายตา แต่ฉันต้องยอมรับความจริง เมื่อกลับมาถึงที่บ้าน ฉันแทบอยากจะร้องไห้ ฉันร้องไห้ให้มานพเห็นความอ่อนแอของฉัน

“คุณจีน ร้องไห้ทำไมครับ”

“นายน่าจะรู้ นายอยู่กับฉันมาตลอด ฉันไม่เคยยุ่งกับผู้ชายคนไหนเลย แล้วฉันจะท้องได้ยังไง”

ฉันร้องไห้เสียใจที่ทำให้วงศ์ตระกูลเสื่อมเสีย ฉันกลับกลายเป็นผู้หญิงที่ท้องไม่มีพ่อ มานพกอดปลอบใจฉันอยู่เคียงข้างเป็นเพื่อนฉันทั้งคืน

สองวันต่อมา ฉันพอทำใจได้สวมชุดคลุมท้องเพื่อไปหาเรื่องกับฝ่ายบุคคลที่บริษัท เพื่อนร่วมงานทุกคนมองที่ตัวฉันอย่างตาค้าง เพราะฉันไม่ได้มาทำงานเกือบหนึ่งเดือน และเห็นสภาพของฉันใส่ชุดคลุมท้องสีเหลืองอ่อนเดินเข้ามาในออฟฟิศอย่างไม่อายใคร เมื่อเข้ามาที่ห้องฝ่ายบุคคล ฉันเข้าไปหาเรื่องพี่ผู้หญิงเจ้าหน้าที่เสียงดังลั่น

“พี่หลอกหนูทำไม”

“พี่หลอกอะไรเธอ เธอเป็นคนเซ็นยอมรับงานนี้เองต่างหาก”

“พี่บอกว่าให้ฉันเป็นเลขาฯ ทำงานตามคำสั่งของบอสไม่ใช่หรือค่ะ”

“ก็ถูกต้องไงค่ะ นี่แหละคืองานที่เธอต้องรับผิดชอบ พี่ก็ให้ซองเอกสารกับเธอไปอ่านแล้วนะ”

“ใช่ค่ะ แต่มันขุ่นเคือง”  ฉันเอาซองเอกสารสีน้ำตาลวางไว้ที่โต๊ะต่อหน้าพี่ผู้หญิง เธอหยิบซองดึงเอกสารเปิดออกอ่านแล้วยิ้มบอกว่า

“เธอน่าจะเอ๊ะใจนะ ว่าข้อความนี่คืองานที่เธอต้องรับผิดชอบอย่างสูงสุด เธอกำลังอุ้มทายาทให้กับครอบครัวของบอส ภริยาของบอสเธอมีลูกไม่ได้”

“แล้วเห็นฉันเป็นใคร เห็นฉันแค่เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่รับจ้างอุ้มบุญนั้นหรอ ฉันมีสิทธิ์ฟ้องกรมแรงงานได้นะ ว่าคุณหลอกฉันมาทำงานแบบนี้”

“คุณอย่าให้มันเป็นเรื่องใหญ่เลยนะค่ะ ดิฉันขอร้อง เพราะยังไงคุณก็ฟ้องร้องอะไรไม่ได้อยู่แล้ว”

“คุณกำลังขู่ฉันหรอ”

“ไม่ได้ขู่ แต่แม่ของคุณต่างหาก ที่ตอนนี้อาการดีขึ้นเรื่อย ๆ เพราะนายเป็นคนให้เงินพ่อคุณไปรักษาแม่ของคุณ คุณควรสำนึกบุญคุณท่านบ้างนะ”

ฉันถึงกลับยืนอึ้งชั่วขณะเหมือนโลกกำลังหยุดหมุน พี่ผู้หญิงฝ่ายบุคคลบอกว่า

“เธอลองไปคิดดี ๆ ระหว่างชีวิตแม่ของเธอกับการตอบแทนพระคุณให้กับครอบครัวของบอสมีทายาทสืบสกุล พี่ว่าเธอควรจะทำ และที่สำคัญบอสไม่เคยทิ้งคุณจนกว่าจะให้กำเนิดทายาทให้กับเขา แล้วคุณจะได้เป็นอิสระ คุณทนหน่อยแล้วกันนะ”

ฉันน้ำตาซึมพูดไม่ออก เพราะคำว่าบุญคุณที่สะกดอยู่ในใต้สำนึกของฉัน ถ้าฉันไม่ทดแทนพระคุณโดยการอุ้มบุญ แล้วใครจะช่วยจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้กับแม่ของฉันหล่ะ

ฉันกลับมาบ้านแล้วคิดทบทวนไม่กินข้าวกินปลา มานพเดินมาหาฉันแล้วถามด้วยความเป็นห่วง

“คุณจีนครับ กินข้าวเถิดครับ คุณไม่ได้ทานอะไรเกือบทั้งวัน เดี๋ยวคุณจะแย่นะครับ”

“ฉันไม่ทาน วางไว้เถิด”

“แต่คุณ...”

“อย่ามาเซ้าซี้กับฉันได้มั้ย นายจะไปไหนก็ไป ฉันอยากอยู่เงียบ ๆ”   ฉันว่ามานพอย่างไม่สบอารมณ์   เขาเดินออกจากห้องนอนของฉันทันที ส่วนฉันเก็บตัวเงียบคิดถึงเรื่องสนทนาทางโทรศัพท์ ฉันโทรไปหาคุณพ่อของฉัน

“พ่อ ทำแบบนี้กับหนูทำไม พ่อเอาเงินของเจ้านายมารักษาแม่ แล้วให้หนูไปทำงานชดใช้หนี้หรือพ่อ”

พ่อได้ฟังสิ่งที่ฉันว่า ท่านตอบว่า

“พ่อขอโทษ มันเป็นทางสุดท้ายแล้วจริง ๆ เพื่อนของพ่อบอกว่า เจ้านายของเขาเป็นคนใจดี ลูกได้เจอเขาแล้วหรือยัง”

“ยังค่ะ จนห้าเดือนแล้วก็ยังไม่เคยเห็นหน้า”   ฉันพูดพลางร้องไห้ พ่อของฉันสงสัยถามฉันในสาย

“ลูกเป็นอะไรหรือเปล่า”

“เปล่าค่ะ พ่อค่ะพักนี้ หนูงานยุ่ง หนูอาจจะไม่มาเยี่ยมแม่นะค่ะ แค่นี้นะค่ะ”

ฉันรีบกดตัดสายทิ้งไม่อยากให้พ่อถามว่าฉันเป็นอะไร ฉันสุดแสนจะช้ำใจ เพราะเราเกิดมาจนหรือถึงต้องขอพึ่งใบบุญจากคนอื่นเขา และทดแทนคุณด้วยการจำยอมเป็นคนอุ้มบุญให้กับคนที่ฉันไม่เคยเห็นหน้า ไม่เคยรู้จัก ฉันร้องไห้เสียใจ รู้สึกเหมือนคนที่ขาดอิสระภาพในชีวิต ฉันเรียนหนังสือจนจบปริญญาตรีเพื่อหางานทำแลกกับเงิน และเป้าหมายความฝันในชีวิต แต่แล้วทำไมฉันต้องมาเป็นแม่คน ฉันเห็นสภาพตนเองแล้วรับไม่ได้ ฉันกรี๊ดอย่างบ้าคลั่งแล้วจะทุบท้องทำร้ายตนเอง แต่มานพเปิดประตูเข้ามาในห้องนอนของฉันเขาเข้ากอดตัวฉันไว้

“คุณจีน ผมขอร้อง คุณอย่าทำร้ายตนเองกับคุณหนูในท้องเลยนะครับ”

“ฮือ ๆ ฮือ ๆ ฮือ ๆ ปล่อยฉัน ฉันไม่อยากมีลูก”

“คุณจีนตั้งสติหน่อยสิครับ อย่าทำร้ายเองตนเองกับลูกในท้องของคุณเลยนะครับ ขอให้คุณคิดถึงคุณแม่จะได้มั้ยครับ”

ฉันหยุดร้องไห้ และหยุดโวยวาย เมื่อมานพพูดถึงคุณแม่ขึ้นมา

“คุณจีนครับ คุณแม่รักคุณมากขนาดไหน แล้วคุณจีนหล่ะครับไม่รักคุณหนูที่อยู่ในท้องหรือครับ”

ฉันหยุดยั้งความคิดที่ทำร้ายตนเองแล้วหันมามองหน้ามานพที่กำลังเตือนสติฉัน

“หยุดทำร้ายตนเองเถิดครับ คุณทุกข์ ผมก็ทุกข์ตาม อะไรที่พลาดไปแล้วกลับมาให้เป็นเหมือนเดิมไม่ได้ก็ปล่อยวางเสียเถิดครับ เชื่อผมนะครับ ผมจะเป็นเพื่อนอยู่เคียงข้างคุณ”

ฉันร้องไห้ระบายความทุกข์ให้กับมานพ เพื่อนสนิทที่เข้าใจฉันมากที่สุด เขาเตือนสติฉันแล้วบอกว่า

“เด็กที่เกิดจากคุณกับบอส จะเกิดด้วยเหตุผลอะไรมันไม่สำคัญเท่ากับเขาได้มีชีวิตอยู่ในท้องของคุณ และคุณคือแม่ของเขา คุณกล้าทำลายเลือดเนื้อเชื้อไขที่คุณอุตส่าห์อุ้มท้องมาถึงห้าเดือนได้หรือครับ”

ฉันร้องไห้แล้วจับท้องที่ยื่นออกมาแทบจะยืนทรงตัวไม่อยู่ มานพเข้าไปประคองฉัน และพาฉันไปนั่งอยู่บนเตียงนอน ฉันพยายามสงบสติอารมณ์ลองคิดทบทวนดูว่าลูกที่อยู่ในท้องของฉัน เขาไม่มีความผิด แล้วทำไมฉันถึงตัดสินจะทำลายชีวิตของเขา

นับจากวันนั้นเป็นต้นมา มานพดูแลฉันอย่างใกล้ชิดพาฉันไปวัดทำบุญสังฆทาน และเรียกฉันตื่นนอนทุกเช้าเพื่อตักบาตรทำบุญ ทำให้จิตใจของฉันสงบเย็นลง และพาฉันไปเที่ยวให้เห็นคุณค่าของชีวิตที่โรงพยาบาล ฉันเห็นเด็กที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งจำนวนมาก และมีแม่ที่คอยดูแลให้กำลังใจกับลูก พวกเธอหวังว่า ลูกของตนจะต้องหายจากโรคร้าย และเป็นแก้วตาดวงใจของพ่อกับแม่ สิ่งเหล่านี้ทำให้ฉันอยากมีชีวิตเพื่อลูกต่อไป ทั้งที่ฉันยังรู้สึกเจ็บปวดที่ไม่เต็มใจทำหน้าที่อุ้มบุญ และทดแทนพระคุณให้กับเจ้านายที่ช่วยเหลือชีวิตแม่ของฉัน

แต่ความผูกพันสายใยรักไม่อาจตัดใจได้ ฉันกลับดูแลลูกในท้องอย่างทะนุถนอมในช่วงเวลาที่อุ้มท้องเหลือเพียงสี่เดือนเท่านั้นที่ฉันจะได้เห็นหน้าลูกน้อย ฉันพูดคุยกับลูกในท้องทุกวันแล้วสัญญากับลูกว่า

“แม่จะดูแลหนูให้ดีที่สุดนะลูก แม่ขอให้หนูแข็งแรงนะลูก”

ฉันอวยพรแล้วพลางลูบท้องที่นับวันเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนใกล้คลอดเต็มที มานพ แอบมองฉันพูดกับลูกในท้อง เขายิ้มอย่างดีใจที่ฉันเข้มแข็งกล้าเผชิญกับความจริง จนในที่สุดวันนั้นก็มาถึงวันที่ฉันเจ็บมากที่สุดในชีวิต เจ็บมากกว่าการปวดประจำเดือนเป็นสองเท่าทวีคูณ

ณ โรงพยาบาล มานพอยู่เป็นกำลังใจคอยจับมือของฉัน ทั้งที่เขาไม่ได้เป็นสามีฉัน ฉันถามถึงบอส              ผู้เป็นพ่อของลูกในท้องฉัน

“มานพ บอสเขาไม่มาหรือ ตั้งแต่ฉันท้องลูกของเขา ฉันยังไม่เคยเห็นหน้าเขาเลยสักครั้ง”

“ท่านติดธุระที่ต่างประเทศมาไม่ได้ครับ ท่านสั่งให้ผมมาดูแลคุณแทน ผมจะเป็นธุระดูแลคุณทุกอย่าง คุณไม่ต้องกลัวนะครับ”

“ขอบใจมากนะ ที่ดูแลฉันมาตลอดเก้าเดือน”

“ไม่เป็นอะไรครับคุณจีน มันเป็นหน้าที่ของผม และความเป็นห่วงของผมในฐานะเพื่อน คุณปวดท้องมากมั้ยครับ”

“ปวด แต่มีนายอยู่ฉันไม่ปวดมากเท่าไหร่”

อาการปวดท้องคลอดของฉันเริ่มหนักหน่วงขึ้นเรื่อย ๆ จนนางพยาบาลผู้ช่วยทำคลอดรายงานนายแพทย์หนุ่มผู้ทำคลอดว่า

“อาจารย์หมอค่ะ ปากมดลูกของคุณจีรานุช เปิดปากมดลูกกว้างแล้วค่ะ จะให้เข้าห้องคลอดเลยมั้ยค่ะ”

“นั้นรีบพาคุณจีรานุชเข้าห้องคลอดเลยครับ”

“ได้ค่ะ คุณหมอ”   นางพยาบาลตอบรับแล้วบอกบุรุษพยาบาลให้เข็นเตียงของฉันไปที่ห้องคลอด ตอนที่ฉันกำลังคลอด ฉันให้มานพคอยอยู่เป็นเพื่อนฉัน

“มานพ เธออยู่ในห้องคลอดเป็นเพื่อนฉันหน่อยนะ”

“ได้ครับคุณจีน”  มานพตอบรับปาก หมอกับนางพยาบาลเตรียมอุปกรณ์ทำการคลอดลูก และแนะนำวิธีการคลอดลูกให้กับฉัน ฉันทำตามทุกอย่างที่หมอกับนางพยาบาลแนะนำ ฉันเบ่งคลอดลูกตามจังหวะที่หมอส่งเสียงบอกให้เบ่งจนในที่สุดลูกของฉันออกมาลืมตาดูโลก ความเจ็บปวดของฉันเริ่มหายทันทีเมื่อได้ยินเสียงลูกร้องออกมา และมานพบอกกับฉันว่า

“ลูกชายของคุณออกมาแล้วนะ”   เขายิ้มดีใจ ฉันมองหน้าเขาแล้วยิ้มตอบก่อนจะหมดสติด้วยความอ่อนเพลีย

 

เช้าวันรุ่งขึ้น ฉันตื่นนอนขึ้นมา มานพเดินเข้าที่ห้องผู้ป่วยพิเศษที่ฉันนอนพัก ฉันถามถึงลูกชายของฉัน

“มานพ ลูกของฉันหล่ะ”

“ลูกของคุณโดนบอสรับไปแล้วครับ เมื่อเช้านี้”

“อะไรนะ !”  ฉันอุทานด้วยความตกใจรีบลุกขึ้นนั่งทั้งที่เจ็บแผลที่ช่องคลอด มานพเข้าจับมือของฉันแล้วบอกว่า

“คุณทำหน้าที่ความเป็นแม่ได้ดีที่สุดแล้วครับ คุณเป็นอิสระนับจากนี้เป็นต้นไป”   มานพบอกกับฉันด้วยน้ำเสียงเย็นชาพร้อมหยิบซองใส่เช็คให้กับมือของฉัน

“นี้เช็คจำนวนหนึ่งล้านบาท ซื้อลูกของคุณ และยังมีเงินเดือนงวดสุดท้ายโอนเข้าธนาคารให้คุณสิ้นเดือนนี้ คุณนำเงินตรงนี้ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้นะครับ”

คำพูดของเพื่อนรักทำให้หัวใจของฉันเหมือนถูกมีดเสียมแทงกลางหัวใจตรงแผลเดิมอีกครั้ง ฉันเอาเช็คคืนในมือของมานพแล้วบอกกับเขาว่า

“ฝากบอกบอสด้วย ฉันยินดีคืนเช็ค ฉันต้องการเอาลูกชายของฉันคืนกลับมา”

“คุณเก็บเช็คไปเถิด บอสเอาลูกของคุณไปที่เมืองนอกแล้ว แล้วจะไม่มีทางกลับมาให้คุณเห็นหน้าอีก”

ฉันแทบใจสลายที่ได้ฟังประโยคนั้น ความรัก ความผูกพันระยะเวลาเก้าเดือนทั้งที่ตอนแรกฉันโกรธที่ถูกหลอกให้อุ้มบุญ จนได้แรงบันดาลใจจากความรักของแม่ทลายกำแพงความโกรธกลายเป็นความรักอันบริสุทธิ์ระหว่างฉันกับลูกที่ไม่มีเงื่อนไขคำว่าทดแทนบุญคุณให้ใครทั้งนั้น ตอนนี้ความศรัทธาของฉันกลับสูญสลายไปพริบตาเพียงชั่วข้ามคืนที่ฉันเผลอหลับไป ฉันรู้สึกเสียใจนั่งอยู่บนเตียงเหม่อใจลอยคิดถึงลูกชาย บอสเป็นพ่อที่ใจร้ายที่สุดอย่างน้อย เขาควรให้ฉันป้อนนมแม่ให้กับลูกเหมือนแม่คนอื่นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เขาจะเอาลูกไปอยู่กับครอบครัวของเขา

ฉันได้กลับมาอยู่ที่บ้านของพ่อ เพื่อทำใจลืมทุกอย่างโดยที่ครอบครัวของฉันไม่รู้ว่าฉันเพิ่งไปคลอดลูกมา และได้ทำหน้าที่ความเป็นแม่อุ้มบุญได้อย่างเสร็จสมบูรณ์ด้วยใจที่บอบช้ำเต็มที ฉันพยายามทำใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าฟ้าคงลิขิตให้ฉันได้ทำงานที่ฉันไม่อยากทำ แต่ฉันต้องทำเพราะมีเหตุจำเป็น และสอนให้ฉันเรียนรู้รสชาติชีวิตของการเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดและเป็นผู้ถูกพลัดพรากจากแก้วตาดวงใจไปชั่วนิรันด์

 

ยี่สิบสองปีต่อมา เรื่องราวมรสุมชีวิตของฉันได้ผ่านพ้นไป ฉันได้กลายเป็นเลขานุการที่ผู้บริหารเชื่อใจของบริษัทแห่งหนึ่ง ตอนนี้ฉันอายุสี่สิบสี่ปี ผู้บริหารอาวุโสแนะนำให้ฉันรู้จักกับผู้บริหารหนุ่มไฟแรงเพิ่งเรียนจบปริญญาโท ชายหนุ่มหน้าตาดีผิวขาว หุ่นสูงอย่างเป็นนายแบบพระเอกชื่อดังได้

“นี้คือคุณจีราภัทร์ ลูกของคุณจีระศักดิ์ จะมาเป็นกรรมการใหญ่ของบริษัทเราครับ คุณจีนช่วยแนะนำงานให้ด้วยนะครับ”

“ได้ค่ะ”   ฉันรับปากกับผู้บริหารอาวุธโส และฉันทักทายชายหนุ่ม ผู้บริหารคนใหม่

“สวัสดีนะค่ะ คุณจีราภัทร์ ยินดีที่ได้รู้จักนะค่ะ”

“สวัสดีครับ ช่วยแนะนำผมด้วยนะครับ”    ผู้บริหารคนใหม่ยิ้มใส่ให้กับฉันอย่างเป็นมิตร

นับจากวันนั้นเป็นต้นมา ฉันเป็นเลขานุการให้กับคุณจีราภัทร์ ฉันกับผู้บริหารคนใหม่สนิทกันมาก  จนคุณจีราภัทร์เอ่ยเรียกฉันว่าคุณน้า

“คุณน้าครับ วันนี้ไปทานข้าวกับผมนะครับ อย่าเพิ่งกลับนะครับ”

“ค่ะ”    ฉันตอบรับผู้บริหารหนุ่ม

ฉันไปรับประทานอาหารกับผู้บริหารหนุ่มอยู่บ่อยครั้ง จนพนักงานบริษัททุกคนรู้ว่าฉันกับคุณ                 จีราภัทร์สนิทสนมมากเพียงใด พนักงานต่างนำเรื่องของฉันไปนินทา ฉันเริ่มห่างเหินกับคุณจีราภัทร์ เพราะกลัวมีเรื่องชู้สาวทำลายภาพพจน์ของผู้บริหารหนุ่ม แต่คุณจีราภัทร์ไม่แคร์บอกกับฉันในห้องทำงานส่วนตัวว่า

“คุณน้า กลัวเรื่องนี้ใช่มั้ยครับ ถึงทำตัวห่างเหินกับผม”

“เรื่องอะไรหรือค่ะ”

“เรื่องพนักงานที่กำลังนินทาระหว่างผมกับคุณน้า ผมเข้าใจนะครับ ว่าคุณน้ายังเป็นสาวโสด                      ไม่มีสามี แล้วกลัวผมคิดอะไรเลยมากกว่าคำว่านายจ้างกับลูกจ้าง”

“ใช่ค่ะ น้าไม่อยากใครมาว่าคุณในทางเรื่องชู้สาว”

คุณจีราภัทร์ลุกขึ้นออกจากเก้าอี้ทำงานของผู้บริหารแล้วเดินมาหาฉัน ผู้บริหารหนุ่มบอกกับฉันว่า

“คุณน้าไม่ต้องกลัวนะครับ ผมรู้สึกยังไงกับคุณน้า ผมรู้ตัวดี”

ฉันมองหน้าผู้บริหารรุ่นราวคราวลูกที่มองด้วยสายตาอย่างจริงจัง เขาบอกกับฉันว่า

“ผมอยากให้คุณน้าเป็นแม่ของผม”

ฉันฟังถึงกลับอึ้ง แววตาของเขาบ่งบอกถึงความรักอันแสนอบอุ่นพิเศษที่ฉันโหยหาความรักนี้มาตลอดเวลาเกือบยี่สิบกว่าปี ทำให้ฉันคิดถึงลูกชายที่ฉันอุ้มบุญเมื่อยี่สิบที่แล้ว ถ้าตอนนี้ลูกของฉันยังมีชีวิต และกลับมาเจอฉันอีกครั้ง  ลูกของฉันคงอายุเท่ากับคุณจีราภัทร์

ฉันกับคุณจีราภัทร์แอบนัดเที่ยวกันอยู่บ่อยครั้ง ทั้งเที่ยวสวนสัตว์ สวนสนุก ฉันถามคุณจีราภัทร์ขณะที่ขึ้นกระเช้าชมวิวรอบสวนสนุก

“ทำไมถึงชวนแม่ไปเที่ยวสวนสัตว์ สวนสนุกหล่ะลูก”

“แม่ไม่ชอบหรือครับ”

“เปล่าลูก แต่แม่รู้สึกแปลกใจ เห็นโตเป็นหนุ่มแล้ว ยังชอบมาเที่ยวแบบนี้ แต่งตัวเป็นเด็กวัยรุ่น”

“ก็ผมยังรู้สึกตัวเองยังเป็นเด็กอยู่งี่ครับแม่”

ฉันขำการพูดจาของเขาที่ดูเหมือนเด็กไร้เดียงสา ผู้บริหารหนุ่มยิ้มอย่างเขินอายที่ฉันกำลังขำ

“แม่ขำผมหรอ”

“จะไม่ให้ขำได้ยัง เราโตเป็นหนุ่ม จะขอผู้หญิงแต่งงานได้แล้วนะ”

“แม่ก็แซวผมไปได้  แม่รู้มั้ยที่ผมอยากเที่ยวกับแม่ เพราะผมคิดถึงตอนเด็ก ผมอยากให้คุณพ่อกับคุณแม่พามาเที่ยวสวนสัตว์ สวนสนุกเหมือนพ่อแม่คนอื่นเขา”

“แล้วทำไมเขาไม่พาลูกไปเที่ยวหล่ะ เขางานยุ่งมากหรอ”

“คุณพ่องานยุ่ง แล้วต้องดูแลคุณแม่ที่ป่วยที่เป็นอัมพฤตอัมพาต ก็เลยไม่มีเวลาว่างให้กับผม แต่ผมเข้าใจท่านดีครับ”

“แล้วตอนนี้คุณแม่หายดีแล้วหรือยังค่ะ”

“ท่านเสียชีวิตแล้วครับ ท่านเสียตอนที่ผมเรียนจบปริญญาโทพอดี เสียดายที่ท่านไม่ได้ดูความสำเร็จของผม”

ฉันมองแววตาของผู้บริหารหนุ่มที่ดูเศร้า ดูเหมือนเขามีความผูกพันกับแม่ของเขาเป็นพิเศษ ฉันจึงจับมือของเขา และปลอบใจ

“แม่เสียใจนะลูก ที่แม่ของลูกจากไป”

“ไม่เป็นอะไรครับคุณแม่ แม่เขาไปสบายแล้วครับ”    คุณจีราภัทร์ยิ้มกับฉันด้วยแววตาที่เข้มแข็ง

ในวันนั้นฉันรู้สึกสนุกกับกาลเล่นเครื่องเล่นที่สวนสนุกเกือบทั้งวัน ทั้งที่ฉันไม่อยากจะเล่น แต่ด้วยนิสัยความเป็นเด็กผู้ชายของคุณจีราภัทร์กับทำให้ฉันต้องปรับตัวเป็นเด็กไปโดยปริยาย

“แม่ครับ ผมอยากถ่ายรูปตัวการ์ตูนคอสตูมตรงนั้น แม่ไปถ่ายรูปกันนะ”

“ก็ได้ลูก”   ฉันรีบลุกขึ้นนั่งตามแรงจูงมือที่กำลังดึงของผู้บริหารหนุ่มให้ไปถ่ายรูปภาพกับตัวการ์ตูน           คอสตูม คุณจีราภัทร์เดินไปบอกนักท่องเที่ยวสาวสองให้ถ่ายรูปภาพเป็นที่ระลึกให้ฉันกับเขาได้ถ่ายรูปคู่เป็นแม่ลูกกัน ฉันมองรอยยิ้ม ความน่ารัก ความสดใสของผู้บริหารหนุ่มเวลาที่อยู่กับฉันอย่างมีความสุข ฉันแทบอยากเก็บช่วงเวลานั้นไว้ให้นานที่สุดเท่าที่ฉันจะทำได้

 

จนเมื่อถึงเวลากลับบ้าน  ฉันกลับมาที่บ้านครอบครัวของฉัน คุณพ่อกับคุณแม่ของฉันต้อนรับขับสู้อย่างดีกับแขกคนพิเศษ

“เป็นเกียรติมากเลยครับ ที่ผู้บริหารใหญ่มากินอาหารบ้านของเราสองตายาย”    คุณพ่อของฉันเอ่ยยิ้มอย่างยินดีใส่ผู้บริหารหนุ่ม

“ขอบคุณนะครับ ที่เชิญผมกินข้าวครับ คุณตา”

“ไม่เป็นอะไรกินเยอะ ๆ ไม่ต้องเกรงใจ เชิญตามสบายเลยนะพ่อหนุ่ม”

“ครับ คุณตาใจดีจัง”   คุณจีราภัทร์เอ่ยชมคุณพ่อของฉันแล้วรับประทานข้าวเย็นด้วยสีหน้าดูมีความสุข ส่วนคุณแม่ของฉันตักข้าวให้คุณจีราภัทร์ คุณพ่อกับคุณแม่ของฉันชอบแขกคนพิเศษที่ฉันพามา ฉันมองคุณ     จีราภัทร์ดูมีความสุขมากที่ได้พูดคุยกับคุณพ่อกับคุณแม่ของฉันเหมือนกันหลานชายได้เจอกับคุณตาคุณยาย คุณจีราภัทร์เห็นฉันมัวแต่นั่งมองแล้วยิ้มชื่นชม เขาตักกับข้าวให้กับฉันแล้วบอกว่า

“แม่ครับ ผมตักลูกชิ้นปลากรายไว้บนจานแม่นะ”

“จ้ะลูก”  ฉันตอบพร้อมยิ้มรับให้กับคุณจีราภัทร์  คุณพ่อกับคุณแม่ได้ยินผู้บริหารเอ่ยเรียกฉันว่าแม่   คุณพ่อท่านจึงแซว

“นี่พ่อหนุ่ม เรียกลูกสาวของตา ว่าแม่ ใช่แม่ทูนหัวหรือเปล่าลูก”

“แม่ทูนหัวหมายถึงอะไรครับ คุณตา”

“คุณพ่อค่ะ คุณภัทร์ เขาไม่รู้ความหมายหรอกค่ะ คือจีนกับคุณภัทร์ เรานับถือกันเป็นแม่กับลูกค่ะ”

“ได้ยังไงกัน ลูกสาวของตายังไม่มีแฟนเลยนะ จะมาเป็นแม่ได้ไง”

“ได้สิค่ะ คุณพ่อ จีนอายุห่างจากคุณภัทร์เกือบยี่สิบกว่าปี เห็นมั้ยค่ะพ่อ หนูไม่ต้องมีสามี ลูกของหนูเป็นหนุ่มแล้ว”   ฉันลูบศีรษะผู้บริหารหนุ่มเหมือนกับลูกชายของฉัน คุณพ่อกับคุณแม่ท่านยิ้มชื่นชมผู้บริหารหนุ่ม

“ดีเหมือนกันนะพ่อ อย่างน้อยเราจะได้มีหลานชายไว้ชื่นชม ไว้พูดคุยแก้เหงา”

“เอาเห็นดี เห็นงามซะอย่างนั้นแม่ ตอนแรกคิดว่าพ่อหนุ่มจะมาจีบลูกสาว ไป ๆ มา ๆ มาเป็นลูกบุญธรรมของยัยจีนเสียได้”   คุณพ่อของฉันบ่นล้อเล่นไปตามไปภาษาคนแก่ คุณจีราภัทร์ยิ้มหัวเราะกับคำพูดของคุณพ่อของฉันวัยเจ็ดสิบปี

 

สามเดือนต่อมา ฉันเห็นคุณจีราภัทร์ทำงานอยู่ได้สองวันหลังจากนั้นหยุดยาว ฉันรู้สึกเป็นห่วงจึงไลน์เข้าไปถาม

“เป็นยังไงบ้างลูก ทำไมไม่มาทำงาน เห็นหยุดติดต่อสองวัน”

คุณจีราภัทร์ตอบกลับว่า “ผมไม่สบาย นอนอยู่ในบ้าน แม่มาหาผมได้มั้ยครับ”

“ได้สิลูก เดี๋ยวแม่เลิกงานเสร็จจะรีบขับรถไปหา”

หลังจากฉันเลิกงาน ฉันดูแลทำข้าวต้ม และป้อนข้าวต้มให้กับคุณจีราภัทร์ที่ห้องนอนของเขา                     ฉันพยายามป้อนข้าวให้คุณจีราภัทร์ทาน แต่เขากลับปฏิเสธ

“แม่ครับ ผมไม่อยากกินแล้ว”

“ไม่อร่อยหรือรู้”

“ผมทานไม่ลงแม่”

“แม่ว่าลูกไปหาหมอดีมั้ย”

“ไม่ครับ ผมนอนพักเดี๋ยวก็หาย ผมเป็นแบบนี้หลายรอบแล้วครับ”

“แต่พักนี้แม่ว่าลูกผอมลงไปมากนัก ไปตรวจสุขภาพหน่อยก็ดีนะ”

“ได้ครับแม่ เดี๋ยวถ้าไม่ดีขึ้น ผมจะไปหาหมอครับ”

“ดีแล้วลูก”

ฉันวางชามข้าวต้มไว้ที่บนตู้เก็บของใกล้หัวเตียงนอนแล้วบอกกับคุณจีราภัทร์ว่า

“เดี๋ยวแม่จะเช็ดตัวให้ลูกนะ ลูกจะได้สบายเนื้อสบายตัว”

“ขอบคุณครับแม่”

ฉันดูแลเขาทั้งคืน จนเช้าวันรุ่ง ฉันจับหน้าผากของคุณจีราภัทร์ เขารู้สึกตัวตื่นนอน และลืมตามองหน้า                ของฉันพร้อมเอ่ยเรียกฉันเหมือนกับเด็กน้อยที่เพิ่งตื่นนอน

“แม่ครับ”

“ไข้ลดลงแล้วนะลูก หิวมั้ยเดี๋ยวแม่เอาโจ๊กร้อน ๆ มาป้อนลูก”

“ไม่ครับแม่”

“ทำไมลูก เมื่อเย็นก็กินข้าวนิดเดียว เช้านี้จะต้องกินข้าวกับยาพาราอีกนะ”

คุณจีราภัทร์ไม่ได้สนใจกับคำพูดของฉัน แต่เขากลับพยายามลุกขึ้นออกจากเตียงนอนแล้วบอกกับ        ฉันว่า

“แม่ครับ แม่สัญญากับผมได้มั้ยว่าจะไม่ทิ้งผมไปไหน”

“ทำไมพูดกับแม่แบบนี้หล่ะลูก”

“ผมฝันร้าย ว่าแม่เดินหนีผมไป”  คุณจีราภัทร์มองหน้าตาด้วยแววตาเศร้าน้ำคลอเบ้า ฉันถามเขาแล้วลูบศีรษะ

“เป็นอะไรไปลูก แค่ฝันร้ายเอง แม่ว่าเพราะลูกไม่สบายเลยทำให้ฝันแบบนี้ อย่าคิดมากเลยนะ”                  ฉันยิ้มพลางลูบศีรษะปลอบขวัญ แต่กลับทำให้ผู้บริหารหนุ่มร้องไห้แล้วเข้ากอดฉัน

“แม่ครับ สัญญากับผมนะครับ แม่อย่าทิ้งผมไปนะ”

“เป็นอะไรไปลูก โอ้ ๆ ร้องไห้ง้อแง้เป็นเด็กเลยนะเรา เอาอย่างนี้แม่สัญญา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแม่จะไม่ทิ้งลูกโอเคมั้ย”

“ครับแม่”

ฉันพยายามปลอบใจให้ผู้บริหารหนุ่มที่กลายเป็นเด็กน้อยหยุดร้องไห้ง้อแง้ แต่แล้วเขาก็ไม่ยอมจะตามฉันมาทำงานด้วยกัน  แล้วในที่สุดทุกคนในบริษัทคิดว่าฉันกับคุณจีราภัทร์มีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งมากกว่าเจ้านายกับลูกน้อง คณะกรรมการจึงบอกกับฉันว่า

“คุณจีรานุชครับ ผมได้พิจารณากับคณะกรรมการทุกคนลงมติเห็นชอบว่าจะจ้างคุณออกจากงาน                   เพื่อรักษาภาพพจน์ของคุณจีราภัทร์ครับ”

คุณสุชาติ หนึ่งในกรรมการบริษัทผู้รักษาผลประโยชน์ได้เอ่ยขึ้นพร้อมกับนำรูปภาพที่มีคนแอบถ่ายฉันกับคุณจีราภัทร์มาให้ดู ฉันเข้าใจทุกอย่างว่าสักวันผู้บริหารทุกคนต้องรู้เรื่องนี้ ฉันตอบกับคุณสุชาติว่า

“ยินดีค่ะ ถ้าคุณสุชาติ และคณะกรรมการทุกคนเห็นด้วยเช่นนั้นค่ะ”

“ผมเสียใจด้วยนะครับ ที่ไม่สามารถรักษาเลขาฯ ที่มีความสามารถอย่างคุณอยู่ในบริษัทนี้ได้”

ฉันได้รับข่าวร้ายว่าถูกพิจารณาไล่ออกจากงาน เพราะความเข้าใจผิด  คุณจีราภัทร์เห็นฉันออกจากห้องผู้บริหารอาวุธโส เขาเดินเข้ามาถามฉันว่า

“ผู้บริหารว่ายังไงครับ”

“วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายการทำงานของฉันค่ะ คุณภัทร์ ดูแลตนเองให้ดีนะค่ะ”   ฉันพูดสั่งเสียผู้บริหารรุ่นราวคราวลูกที่ฉันรัก และสนิทสนมเหมือนอย่างลูกชายแท้ ๆ ของฉัน ขณะที่ฉันหันหลังจะเดินจากเขาไป เขากลับเดินคว้ามือของฉัน และเอ่ยเรียกฉันให้ทุกคนได้ยินว่า

“แม่ แม่อย่าทิ้งผมเลยนะ”

พนักงานทุกคนในบริษัทได้ยินถึงกลับหยุดชะงักแล้วพากันเดินมามองฉันกับคุณจีราภัทร์ ฉันเอ่ยเรียกผู้บริหารหนุ่ม

“คุณจีราภัทร์ ทำไมคุณเรียกฉันว่าแม่ต่อหน้าทุกคนหล่ะค่ะ”

“ผมรู้ความจริงหมดแล้ว คุณเป็นแม่ที่อุ้มบุญเมื่อยี่สิบก่อน พ่อของผมเป็นคนเล่าให้ผมฟังทั้งหมด”

ฉันฟังถึงกลับอึ้งยืนนิ่ง และมองหน้าผู้บริหารหนุ่มที่กำลังจับมือของฉันแล้วบอกว่า

“แม่ครับ แม่อย่าจากผมไปอีกเลยนะครับ ผมรู้ว่าแม่เจ็บปวดขนาดไหน ที่พ่อเอาผมไปอยู่ต่างประเทศ แล้วทิ้งแม่อยู่ที่เมืองไทย”

เขาพูดแล้วร้องไห้ต่อหน้าฉัน พนักงาน และผู้บริหาร เขาเดินเข้ากอดฉันแล้วพูดข้าง ๆ หูว่า

“ผมรักแม่นะ แม่อย่าทิ้งผมไปนะ”

ฉันร้องไห้แล้วกอดตอบกลับบอกกับผู้บริหารหนุ่มว่า

“แม่ก็รักลูกเหมือนกัน”

พนักงานทุกคน ร่วมทั้งผู้บริหารต่างพากันมองเหตุการณ์แม่กับลูกได้เจอหน้ากัน ฉันคลายกอดลูกชายแล้วมองหน้าของเขา ฉันเอื้อมมือจับใบหน้าของลูกชายยังไม่เชื่อในสายตาว่าคำอธิษฐานของฉัน ว่าขอให้ได้เจอหน้าลูกชายสักครั้งหนึ่งในชีวิตจะเป็นความจริง แต่แล้วลูกชายของฉันที่กำลังยืนมองฉันอยู่ได้ล้มเป็นลมหมดสติไปต่อหน้าต่อตาของฉัน ฉันรีบเข้าไปประคองลูกชายของฉันที่กำลังจะทิ้งตัว ผู้บริหารอาวุธโสรูปร่างสูงใหญ่เห็นเข้ารีบเข้าพยุงร่างลูกชายของฉันที่อยู่ ๆ เป็นลมหน้าซีดและนำเขาส่งโรงพยาบาลทันทีที่อาการเริ่มไม่ดี

 

ข่าวร้ายในโรงพยาบาล ฉันถามนายแพทย์หนุ่มที่ตรวจอาการป่วยของลูกชายฉันในห้องตรวจประจำของเขา

“คุณหมอค่ะ ลูกของฉันเป็นมีอาการป่วยยังไงบ้างค่ะ”

“คุณจีรานุช ฟังแล้วต้องทำใจดี ๆ นะครับ”

ฉันตั้งใจฟังทั้งที่น้ำตาคลอเบ้าเหมือนรู้แก่ใจว่าจะรับฟังข่าวร้าย

“คุณจีราภัทร์ ป่วยเป็นโรคมะเร็งลูคีเมีย ชนิดเรื้อรังครับ”

ฉันฟังถึงกลับอึ้งไม่เคยคิดว่าโรคร้ายนี้มันเคยเกือบทำให้แม่ของฉันเกือบตาย มันได้ย้อนกลับมาทำร้ายลูกชายของฉันอีกคน ฉันตั้งสติก่อนถามหมอว่า

“คุณหมอค่ะ มีทางไหนที่จะช่วยรักษาลูกชายของฉันได้มั้ยค่ะ”

“รักษาด้วยเคมีบำบัด หรืออีกทางหนึ่งปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด  โดยเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดได้รับจากการบริจาคให้เข้ากับผู้ป่วยครับ”

“แล้วดิฉันจะบริจาคได้มั้ยค่ะ”

“ได้สิครับ แต่ได้รับบริจาคแล้วก็ต้องตรวจว่าสามารถใช้กับผู้ป่วยได้หรือเปล่าครับ”

ฉันยิ้มอย่างมีความหวังเล็กน้อย ฉันคิดว่าจะบริจาคเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดให้กับลูกชายของฉัน

 

นับจากวันนั้นเป็นต้นมา หมอให้ลูกชายของฉันพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ฉันนอนเฝ้าดูแลอาการป่วยของลูกชายอย่างใกล้ชิด และฉันพูดให้กำลังกับลูกชายว่า

“ลูกต้องสู้นะ แม่จะเป็นกำลังใจอยู่ข้าง ๆ ลูกนะ”

“ครับแม่ ผมจะออกจากโรงพยาบาลได้เมื่อไรครับ”  คำถามเดิมที่ต้องตอบกับลูกชายที่มีใบหน้าซีด แต่ดวงตาของเขามีความหวังที่จะอยากออกจากโรงพยาบาล

“หลังจากรักษาโรคนี้หายนะลูก นอนหลับพักผ่อนได้แล้วนะ”

“ครับแม่ หมอบอกมั้ยว่าผมเป็นโรคอะไร ทำไมผมรู้สึกทรมานกับการรักษา แล้วผมบนศีรษะของผมล่วงออกมาเป็นกระจุก แม่บอกผมได้มั้ยครับ”

ฉันอยากจะตอบคำถามนี้กับลูกชาย แต่ฉันกลัวว่าถ้าลูกรู้ว่าเขากำลังเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายจะเป็นยังไง ฉันพยายามหาเรื่องโกหก

“หมอยังไม่บอกลูกว่าเป็นอะไร แต่ลูกอย่าคิดมากเลยนะ นอนหลับพักผ่อนเถิดนะ”

“ครับแม่”

ลูกชายของฉันเชื่อในสิ่งที่ฉันพูด ฉันห่มผ้าให้เขานอนหลับแล้วลูบศีรษะของเขา ผมของลูกชายล่วงติดมือของฉัน ฉันเห็นแล้วรู้สึกสะเทือนใจอยากจะร้องไห้ออกมา แต่ต้องทำเป็นเข้มแข็งไม่ให้น้ำตาไหลออกมาให้ลูกได้เห็น

หลังจากที่ลูกชายของฉันนอนหลับสนิท ฉันเดินออกมาจากห้องผู้ป่วยพิเศษมาแอบร้องไห้                        ขณะที่กำลังร้องไห้สงสารลูกชายอยู่นั้น มีมือหนึ่งยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ฉันขณะที่ฉันกำลังร้องไห้ ฉันเงยหน้าขึ้นมามองเขา

“มานพ”

มานพยิ้มใส่ให้ฉัน เขาดูแก่มากแล้วเข้ามานั่งใกล้กับฉัน

“ร้องไห้เหมือนเดิมเลยนะครับ”

ฉันรับผ้าเช็ดหน้าของเขามาเช็ดน้ำตา ฉันเอ่ยถามเขา

“นายไปไหนมา ทำไมถึงทิ้งฉันให้อยู่โรงพยาบาล ไม่มารับฉันกลับบ้านเมื่อยี่สิบปีก่อน”

“ผมต้องรีบไปอเมริกา ผมขอโทษนะที่ทิ้งคุณที่โรงพยาบาล”

“เพราะบอสของคุณสั่งใช่มั้ยให้ทิ้งฉันไว้ที่โรงพยาบาล”

“ไม่ใช่ ผมนั้นแหละคือบอสที่ทิ้งคุณ ผมรู้สึกผิดมาตลอดที่ทิ้งคุณ แล้วเอาลูกไปเลี้ยงที่อเมริกา”

มานพจับมือของฉันแล้วพูดสารภาพบางสิ่งบางอย่างออกมา

“ตอนนี้ผมไม่จำเป็นต้องปกปิดคุณอีกแล้วนะ”

“ปกปิดเรื่องอะไร ฉันไม่เข้าใจ”

“จีราภัทร์ เป็นลูกชายของผมกับคุณ”

“นายอำฉันเล่นหรือเปล่า”

“เปล่า ผมขอโทษที่ทำให้คุณท้อง ผมรู้ตัวดีนะ ว่าผมเป็นคนเห็นแก่ตัว วันที่คุณสมัครงาน ผมเป็นคนวางแผนทุกอย่าง ผมสั่งให้แม่บ้านเสิร์ฟน้ำเปล่าที่ใส่ยานอนหลับให้คุณดื่ม หลังจากคุณหมดสติอยู่หน้าห้องฝ่ายบุคคล ผมเป็นคนสั่งให้พนักงานพาคุณไปที่ห้องทำงานส่วนของผม แล้วผมก็แอบมีอะไรกับคุณตอนที่คุณนอนหลับอยู่ ตอนนั้นผมคิดอยู่อย่างเดียวว่าผมต้องการมีลูกกับคุณ เพื่อให้ภริยาของผมมีลูกอย่างสมหวัง                  ภริยาของผมมีลูกไม่ได้เพราะเธอได้รับอุบัติเหตุจนต้องตัดมดลูกทิ้ง คุณคนเดียวที่เป็นความหวังของผม”  มานพสารภาพความผิดของตนเองจนหมดเปลือก ฉันฟังถึงกลับอึ้งยอมรับไม่ได้

“มานพ นายข่มขืนฉัน ทำไมนายถึงทำแบบนี้กับฉัน  นายรู้มั้ยว่ามันเจ็บปวดมากแค่ไหน กว่าที่ฉันจะทำใจกับเรื่องนี้ได้ ฉันต้องอยู่อย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ เพื่อไม่ให้ใครรู้ว่าฉันท้องกับบอส สามีที่ฉันไม่เคยเห็นหน้า จนฉันคลอดลูกชายให้กับเขา แล้วให้เขาเอาเงินมาฟาดหัวเหยียบหยามศักดิ์ศรีความเป็นลูกผู้หญิงของฉัน                ฉันเหมือนคนโง่มากใช่มั้ย ถึงได้ถูกคนใกล้ชิดหลอกซ้ำ หลอกซาก จนฉันไว้ใจใครไม่ได้อีก”    ฉันร้องไห้เสียใจแล้วดึงมือของมานพออกจากมือของฉัน

“ผมขอโทษ ผมขอโทษ ให้อภัยกับผมเถิดนะ ผมมันเห็นแก่ตัว ผมมันผิดไปแล้ว”

“นายไม่รู้หรอก ความรู้สึกของฉันตอนนี้มันเป็นยังไง นายเล่นละครเป็นเพื่อนแสนดี เพื่อดูแลฉันกับลูก ในเวลาเดียวกันนายช่างร้ายกาจ จนฉันไม่มีวันให้อภัยนาย”

“ผมรู้ ว่าผมผิดมาก คุณคงไม่ให้อภัยผมง่าย ๆ แต่วันนี้ผมดีใจที่ได้เจอคุณแล้วได้สารภาพความผิด                   กับคุณ”

“แต่มันคงสายไปแล้วค่ะ เพราะฉันเกลียดนาย”  ฉันรู้สึกโกรธมากที่เพื่อนคนเดียวของฉันหลอกลวง และหักหลังฉันได้ขนาดนี้  ฉันเดินหนีออกไปจากเขา ในใจของฉันทั้งโกรธ และแค้นใจจนอยากจะร้องกรี๊ดเสียงดังลั่นกลางโรงพยาบาล รอยบาดแผลในใจที่เคยหายนับมาเกือบยี่สิบปีกลับมาเป็นบาดแผลที่บาดลึกมากกว่าเดิม ภาพความทรงจำที่มานพเคยทำดีกลับฉัน มันไม่มีต่อไปอีกแล้ว

แต่เมื่อฉันเห็นหน้าลูกชายที่กำลังนอนป่วยใกล้ตาย หน้าที่ของความเป็นแม่ต้องหลบซ่อนความรู้สึกทั้งโกรธ เกลียด และช้ำใจไม่ให้ลูกชายได้เห็น

“แม่ ไปไหนมาครับ”

“แม่ไปกินข้าวมาลูก ลูกเพิ่งตื่นนอนหรือลูก”

“ครับแม่”

ฉันจับมือของลูกชายมากุม ลูกชายมองหน้าฉันแล้วถาม

“แม่ แม่เจอพ่อหรือยัง”

“เจอแล้วจ้ะ”  ฉันตอบแล้วจับใบหน้าของลูกชาย

“แม่ ดีใจมั้ยที่ได้เจอหน้าพ่อ”

คำถามนี้ฉันตอบไม่ถูก ฉันเงียบนิ่งสักพักก่อนจะตอบให้ลูกได้ยิน

“ดีใจลูก”

“พ่อบอกว่ากับผม แม่เป็นคนสวย เป็นคนจิตดี  ผมไม่รู้ว่าทำไมแม่ถึงอยู่ที่เมืองไทย แล้วพ่ออยู่ที่ต่างประเทศ มันเกิดอะไรขึ้นครับ ทำไมพวกเราถึงไม่ได้อยู่ด้วยกัน แม่เล่าให้ผมฟังได้มั้ยครับ”

“ได้สิ พ่อเขามีภริยาที่จดทะเบียนสมรสอยู่แล้ว ส่วนแม่เพียงทำหน้าที่อุ้มท้อง และคลอดลูกออกมาให้กับครอบครัวพ่อของลูก”

“แม่ยังโกรธพ่อหรือเปล่า ที่พ่อทิ้งแม่”

ฉันเงียบไม่ตอบลูกชาย เพราะในใจลึก ๆ ฉันยังโกรธเขามาก มานพเดินเข้ามาในห้อง ลูกชายของฉันเรียกเขา

“พ่อครับ”

เขาเดินเข้าไปหาลูกของเขา ลูกชายของฉันจับมือของฉันกับมานพประสานกันแล้วบอกว่า

“พ่อกับแม่ครับ พวกเรามาเริ่มต้นครอบครัวกันใหม่เพื่อผมจะได้มั้ยครับ ผมอยากอยู่กับคุณพ่อกับคุณแม่ ก่อนที่ผมจะไม่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อีก”

น้ำตาของฉันไหลมาด้วยความเจ็บปวด เมื่อเห็นลูกชายพยายามส่งสายตาอ้อนวอน และพูดขอร้องให้ฉันให้อภัยพ่อของเขา ฉันลูบศีรษะลูกชาย และลูกชายของฉันร้องไห้ให้ฉันเห็น ฉันเข้ากอดปลอบใจลูกชาย

“ภัทร์ ลูกต้องมีชีวิตอยู่ต่อ ลูกอย่าพูดแบบนี้ออกมาอีกนะ แม่จะพยายามให้อภัยพ่อนะลูก เราจะเริ่มต้นชีวิตครอบครัวใหม่อีกครั้ง แต่ลูกต้องสัญญานะว่าลูกจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อ เพื่อพ่อกับแม่นะลูก”

“ครับแม่”    จีราภัทร์ ลูกชายของฉันร้องไห้ไม่หยุด มานพเดินเข้ามาโอบกอดหลังของฉัน และลูกชาย

 

หนึ่งเดือนที่ฉันดูแลลูกชาย แล้วกลับบ้านของคุณพ่อเป็นบางวัน คุณพ่อกับคุณแม่ถามด้วยความเป็นห่วงฉัน

“จีน พักนี้งานเยอะมากหรือลูก ถึงไม่ค่อยกลับมานอนที่บ้าน”   คุณแม่ของฉันถาม

“ค่ะแม่”

“อย่าทำงานหักโหมให้มากนะลูก”   คุณพ่อพูดกับฉันด้วยความเป็นห่วงพร้อมมองแววตาของฉันที่กำลังโศกเศร้า ท่านจึงทัก

“จีน ลูกมีเรื่องไม่สบายใจหรือเปล่า พ่อเห็นนัยน์ตาเหมือนคนเพิ่งหยุดร้องไห้”

ทันใดที่คุณพ่อทักถาม น้ำตาของลูกผู้หญิงก็ไหลออกมาให้ผู้เป็นพ่อกับแม่เห็นถึงความอ่อนแอของฉัน ฉันไม่ค่อยร้องไห้ให้พ่อกับแม่เห็น คุณแม่บอกกับฉันว่า

“มีเรื่องอะไรอย่างปิดนะลูก เราเป็นสายเลือดเดียวกัน ลูกเจ็บป่วยไม่สบาย มีความทุกข์ เจอเรื่องอะไรมา พ่อกับแม่ยินดีที่รับฟังลูก แล้วหาทางช่วยกันแก้ไขนะลูก”

ฉันยิ่งร้องไห้อย่างหนักออกมาให้ท่านเห็นแล้วเข้ากราบตักแม่ของฉันแล้วสารภาพความจริงที่ปกปิดมานานเกือบยี่สิบกว่าปี

“พ่อจ๋า แม่จ๋า หนูมีเรื่องจะสารภาพพ่อกับแม่อยู่เรื่องหนึ่ง”

“เรื่องอะไรหรือลูก”  คุณแม่ของฉันถาม

“เมื่อยี่สิบปีก่อน ตอนที่แม่ไม่สบายนอนอยู่โรงพยาบาล แล้วคุณพ่อไปยืมเงินของเจ้านาย บริษัทเพื่อนของคุณพ่อ เพื่อนของคุณพ่อแนะนำให้หนูมาทำงานกับเจ้านายของเขา ตอนที่หนูเข้ามาทำงานที่นี้ หนูหลงกลเซ็นสัญญาว่าจ้างงานอุ้มบุญให้กับเขาค่ะ”

“พ่อไม่เข้าใจมันเกิดเรื่องอะไรกับลูก”  คุณพ่อทำหน้าฉงนใจ

“หนูรับจ้างตั้งท้องมีลูกกับบอสค่ะ คุณพ่อ”

“อะไรนะ ! นี่แกไปรับจ้างอุ้มบุญตั้งแต่เมื่อไหร่”  คุณพ่อของฉันอุทานสีหน้าตกใจ

“เมื่อยี่สิบปีที่แล้วค่ะคุณพ่อ ตอนนั้นหนูไม่รู้จริง ๆ ว่าพวกเขาวางยานอนหลับลงในน้ำเปล่าให้หนูดื่ม แล้วเจ้านายของหนูเขาล่วงละเมิดทางเพศ หนูมารู้ตัวอีกที่ หนูก็อุ้มท้องลูกของเขาแล้วค่ะ”

“โถ ! ลูก ทำไมถูกล่วงเกินทางเพศแล้วไม่ไปแจ้งความกับตำรวจ”  คุณพ่อถามอย่างรู้สึกสะเทือนใจ

“เพราะหลักฐานไม่เพียงพอค่ะคุณพ่อ แล้วเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคล เขาขู่ว่าถ้าหนูฟ้องร้อง เจ้านายจะไม่ช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลให้กับแม่”

“โถ ! จีน ลูกแม่”   คุณแม่ของฉันโอบกอดฉัน ฉันร้องไห้เสียอย่างมาก ฉันกล่าวขอโทษคุณพ่อกับคุณแม่ซ้ำไปซ้ำมา

“หนูขอโทษ หนูขอโทษ หนูขอโทษ”

“ไม่ต้องขอโทษลูก แม่ต่างหากที่ต้องขอบคุณลูก ที่ทำให้แม่มีชีวิต และมีความสุขได้ทุกวันนี้เพราะลูก แม่ขอบคุณลูกมากเลยนะกับการเสียสละครั้งนี้เพื่อแม่”

“แม่ไม่ต้องขอบคุณหนูหรอกค่ะ แม่เหนื่อยกับหนูมามากแล้ว แม่เลี้ยงหนูด้วยความยากลำบากจนแม่ไม่สบายป่วยหนักขนาดนี้ อะไรที่หนูทดแทนพระคุณได้ หนูยินดีที่จะทดแทนพระคุณของแม่ค่ะ”                       ฉันกับคุณแม่โอบกอดร้องไห้ด้วยกัน คุณพ่อเห็นแล้วร้องไห้เสียใจตาม

“จีน พ่อขอโทษ ที่พ่อเป็น....”    ฉันรู้ว่าพ่อกำลังจะพูดโทษตนเอง ฉันรีบคลายกอดแม่แล้วจับมือของพ่อบอกกับท่านว่า

“คุณพ่อ อย่าถือโทษโกรธตนเองเลยนะค่ะ เรื่องนี้มันได้ผ่านไปหมดแล้ว จนลูกชายของหนู เขาโตเป็นหนุ่มมาพบหนูแล้วค่ะ”

“แล้วเขาเป็นใครลูก พ่ออยากเห็นหน้าหลานชาย”

“คุณพ่อได้เห็นแล้วค่ะ เด็กผู้ชายที่หนูพามากินข้าวอยู่บ่อย ๆ ค่ะคุณพ่อ”

“อย่าบอกนะว่าพ่อหนุ่มจีราภัทร์ ผู้บริหารใหญ่ เจ้านายของลูกคนนั้น”

“ค่ะคุณพ่อ หนูเพิ่งมารู้ความจริงจากปากอดีตเจ้านาย สามีของหนูว่าเขาเป็นลูกของหนู”

“ฉันว่าแล้วเชียวพ่อ หน้าตาคล้ายกับลูกสาวของเรา แล้วเราก็เอ็นดูอย่างเป็นหลานในไส้ของเราแท้ ๆ                   แม่ไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องแบบนี้จะมาเกิดขึ้นกับครอบครัวของเรา”   คุณแม่ของฉันเอ่ยพูดขึ้น

“ค่ะ แม่ หนูก็ไม่เคยคิดเหมือนกัน”

“แล้วทำไม ลูกถึงไม่เล่าให้พ่อกับแม่ฟังลูก ลูกปกปิดเรื่องนี้ทำไมจนมาถึงยี่สิบปี”

“หนูกลัวพ่อกับแม่จะไม่สบายใจค่ะ แล้วหนูต้องการที่จะลืมทุกอย่าง แต่แล้วบางครั้งโชคชะตาก็เหมือนกลั่นแกล้งให้หนูกลับมาเจอเรื่องร้าย ๆ”

“เรื่องอะไรลูก เล่าให้แม่ฟังได้มั้ย”   คุณแม่ของฉันถามแล้วจับไหล่ของฉัน

“ตอนนี้ลูกของหนู กำลังป่วยเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวนอนอยู่โรงพยาบาล ที่หนูไม่กลับมาบ้าน เพราะหนูไปนอนเฝ้าลูก แม่ค่ะหนูควรจะทำยังไงดี ตอนนี้ลูกของหนูทรมานมาก หนูอยากจะรับความทุกข์แทนลูกมาก หนูสงสารลูกค่ะคุณแม่”   ฉันร้องไห้พลางพูดรำพึงรำพันสงสารลูกชาย แม่ของฉันรู้ว่าฉันต้องการกำลังอย่างมาก แม่บอกว่า

“พ่อแม่ทุกคนเห็นลูกเจ็บ ก็ทุกข์ ลูกต้องทำใจให้เข้มแข็งมากที่สุดอย่าให้ลูกเห็นน้ำตาของพ่อแม่ได้นะลูก ลูกต้องหมั่นหาคำพูดดี ๆ คอยเป็นกำลังใจให้เขามีชีวิตอยู่รอดปลอดภัยนะลูก”

“ขอบคุณค่ะ คุณแม่ที่สอนหนู”   ฉันยกมือไหว้ขณะที่กำลังร้องไห้

วันเวลาที่รอคอยได้มาถึง หมอได้บอกข่าวเรื่องการรักษาลูกชายของฉันกับมานพ

“ผมยินดีด้วยนะครับ เซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดของคุณจีรานุช เข้ากับคุณจีราภัทร์ได้ครับ”

แสงสว่างในการรักษาโรคร้ายมะเร็งเม็ดเลือดขาวเริ่มมีความหวัง มานพจับมือของฉันแล้วบอกว่า

“คุณจีนครับ ลูกของเราจะหายจากโรคร้ายแล้ว ขอบคุณนะครับที่ช่วยลูกของเราเอาไว้”

“ค่ะ ก็เพราะฉันเป็นแม่ของเขา นับจากวันที่ฉันอุ้มท้องจนคลอดเขาออกมา ถึงแม้คุณจะเอาลูกไปเลี้ยง แต่ไม่มีวันไหนที่ฉันไม่คิดถึงลูก เงินไม่สามารถซื้อความรัก ความผูกพันระหว่างฉันกับลูกไปได้ ขอบคุณนะค่ะ ที่คุณยังมีสามัญสำนึกเล่าเรื่องของฉันให้ลูกฟัง ว่าที่เมืองไทยยังมีแม่บังเกิดเกล้าที่ยังรอเขาอยู่”

มานพนั่งฟังคำพูดของฉันถึงกลับอึ้ง เขารู้ตัวว่าตนเองผิดอย่างมากที่พรากฉันกับลูกในวันนั้น และยังหลอกฉันว่าเขาเป็นเพื่อนสนิทของฉันที่เข้ามาดูแลตอนที่ฉันตั้งครรภ์ ทั้งที่เขารู้แก่ใจว่าเขาคือพ่อของลูก เขาหลอกความไว้เนื้อเชื่อใจของฉันไปหมดทั้งหัวใจสิ่งเหล่านี้ที่ทำให้ฉันยอมรับเขาเป็นสามีไม่ได้

หลังจากการรักษาโรคมะเร็งร้ายของจีราภัทร์ได้ผ่านพ้นไปด้วยดี มานพพาลูกชายกับฉันมาอยู่ที่บ้านแห่งความทรงจำว่ากาลครั้นหนึ่งเขาได้เป็นคนดูแลฉัน ฉันคิดถึงภาพเมื่อวันวานที่ฉันได้เป็นแม่คนอย่างไม่รู้ตัว เสื้อชุดคลุมท้องหลายชุดยังคงแขวนอยู่ในตู้เสื้อผ้าในห้องนอนของฉัน และมีภาพวีดีโอที่มานพเป็นคนอัดตอนที่ฉันอยู่ที่นี้ และไปเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ และยังมีภาพถ่ายเป็นอัลบั้มที่ฉันกับเขาถ่ายรูปคู่กันตั้งแต่ฉันรู้จักมานพเป็นครั้งแรกในฐานะคนขับรถรับส่งฉันไปทำงาน จนกระทั่งสนิทสนมเป็นเพื่อนรักคอยดูแลฉันทั้งสุข และทุกข์ จนถึงภาพถ่ายสุดท้ายของอัลบั้มที่มีฉันกับมานพ และลูกในท้องลูกชายของฉันถามฉันว่า

“แม่ครับ ไม่มีรูปภาพแล้วหรือครับ”

“หมดแล้วลูก ภาพนี้คือภาพสุดท้ายก่อนแม่จะคลอดลูกออกมา แม่จำได้ว่าพอถ่ายรูปนี้เสร็จ แม่ก็ปวดท้องคลอดทันที พ่อเป็นคนพาแม่ไปโรงพยาบาล”

“คุณยังจำได้หรือ”    มานพถามฉัน

“จำได้ แล้วจำได้ไม่มีวันลืมด้วย ฉันจำได้ว่าคุณส่งยิ้มให้กับฉันในห้องคลอดแล้วบอกว่าลูกชายของฉันออกมาแล้ว ฉันได้ยินเสียงร้องของลูก แล้วฉันก็เผลอหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย”

ฉันย้อนวันเวลาคิดถึงวันนั้น วันที่ฉันรู้สึกเจ็บปวดท้องคลอดมากที่สุด แต่ในความเจ็บฉันคิดถึงแล้วภาวนาขอให้ลูกของฉันปลอดภัย ฉันขอเพียงแค่ได้ยินเสียง และเจอหน้าของลูกก็พอใจแล้ว แต่ต้องกลับมาเสียใจที่มานพเอาลูกของฉันไป และให้เช็คหนึ่งฉบับพร้อมคำพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาของเขา ลูกชายเห็นฉันคิดอะไรเหม่อใจลอยจึงเอ่ยเรียกสะกิดฉัน

“แม่ครับ แม่เป็นอะไรหรือเปล่า”

ฉันหันมาตอบลูกชาย

“เปล่าลูก ภัทร์ ลูกนอนได้แล้วนะ ดึกมากแล้ว แม่กลัวลูกจะไม่สบาย”

“แต่แม่ครับ เพิ่งจะสองทุ่มเองนะครับ จะรีบเข้านอนแล้วหรือครับ”

“ใช่จ้ะ”  ฉันลูบศีรษะของลูกชาย ลูกชายของฉันหันมามองพ่อของเขา มานพรู้ดีว่าฉันยังโกรธเรื่องของเขาแล้วไม่มีทางที่ฉันจะให้อภัยเขาอย่างง่าย ๆ มานพจับมือของลูกชาย เขาบอกกับลูกว่า

“ไปนอนตามคำสั่งของแม่นะลูก”

“ครับพ่อ”    ลูกชายของฉันตอบรับแล้วลุกขึ้นเดินออกจากโซฟาในห้องนั่งเล่น ฉันลุกขึ้นออกตาม              ลูกชาย แต่มานพลุกขึ้นรีบคว้ามือของฉัน

“คุณจีน ผมอยากมีเรื่องคุยกับคุณ”

ฉันหันหลังกลับมาแล้วถามเขา

“มีอะไรต้องคุยกันอีกค่ะ”

“คือ ผมจะกลับไปที่อเมริกาเหมือนเดิม ผมฝากคุณดูแลลูกชายกับบริษัทได้มั้ย”

“ฉันไม่รับปากค่ะ ว่าจะดูแลบริษัทของคุณได้หรือเปล่า ทำไมคุณไม่มาบริหารเองหล่ะค่ะ”

“เพราะว่าผมเห็นคุณไม่ชอบขี้หน้าผม ขอบคุณนะครับที่ยังเล่นละครให้ลูกของเราเชื่อว่าเรายังรักกันอยู่”

“ค่ะ ตอนนี้ลูกอาการดีขึ้นมากแล้วพวกเราก็หมดหน้าที่เล่นละครให้ลูกเห็นอีก”

ในขณะที่พวกเรากำลังสนทนากันอยู่นั้น เสียงล้มก็ดังขึ้น ฉันกับมานพตกใจรีบวิ่งออกจากห้องนั่งเล่น

“ภัทร์ ลูก”   ฉันเอ่ยเรียกชื่อลูกชายด้วยความตกใจรีบวิ่ง และเห็นลูกชายนอนเป็นลมหมดสติก่อนจะขึ้นบันได ฉันกับมานพต้องรีบพาจีราภัทร์ส่งโรงพยาบาลทันที

ในที่สุดข่าวร้ายของครอบครัวได้มาทำร้ายจิตใจของฉันอีกครั้ง

“คุณจีราภัทร์มีภาวะโรคแทรกซ้อน ผมเกรงว่าร่างกายของผู้ป่วยอาจจะรักษาด้วยเคมีบำบัดไม่ได้อีกแล้วนะครับ ขอให้พวกคุณทำใจนะครับ”

ฉันแทบจะเป็นลมทั้งยืน มานพเข้าประคองตัวฉันแล้วพูดให้กำลังใจฉันว่า

“ลูกจะต้องไม่เป็นอะไร คุณต้องเข้มแข็งเอาไว้นะ ผมจะหาทุกวิธีทางรักษาชีวิตลูกของเราเอาไว้”

ฉันร้องไห้สะอึกสะอื้นกอดเขา เพราะเขาเป็นที่พึ่งสุดท้ายที่อยู่เคียงข้างฉัน และทุกวันฉันกับมานพต้องผลัดกันเฝ้าลูกชายที่นอนอยู่โรงพยาบาล พ่อแม่ที่ดูแลลูกที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งต่างพากันให้กำลังใจพวกเราที่ต้องดูแลลูกให้ต่อสู้กับโรคร้ายที่ใครเขาบอกว่าให้ทำใจ โรคนี้มีแต่ใช้เงินรักษา รักษาเท่าไรก็ไม่หาย              และไม่รอดชีวิตอยู่ดี มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งอายุสิบขวบเป็นโรคมะเร็งในสมองตั้งแต่อายุแปดปี เธอโดนผ่าสมองมาแล้วถึงห้าครั้ง เด็กหญิงให้กำลังใจลูกชายของฉันที่กำลังนั่งรถเข็นรอคอยปาฏิหาริย์อีกครั้ง

“พี่ต้องสู้นะค่ะ อย่าท้อ เพื่ออยู่กับคนที่เรารักให้ได้นานที่สุด”

“ขอบคุณครับน้อง พี่อวยพรให้น้องหายนะครับ สู้ ๆ”

“สู้ ๆ ค่ะ”  เด็กหญิงยิ้มให้ลูกชายของฉัน

ฉันกับมานพพาลูกชายเดินเล่นรอบโรงพยาบาล ฉันเห็นสภาพของลูกชายที่ซูบผอม ผมล่วงหมดศีรษะ ไม่เหลือสภาพเด็กหนุ่มนักเรียนนอกที่เพิ่งจบปริญญาโท และกำลังเป็นผู้บริหารหนุ่มไฟแรง ฉันจับมือของลูกชายแล้วถามความรู้สึกของลูกว่า

“ภัทร์ เหนื่อยมั้ยลูก ที่ต้องป่วยเป็นแบบนี้”

“ไม่เลยครับแม่ ดีซะอีก ผมจะได้อยู่กับคุณแม่กับคุณพ่อ แค่นี้ผมก็มีความสุขมากเกินพอแล้วครับ                 คุณพ่อกับคุณแม่สัญญากับผมได้มั้ย ถ้าวันไหนผมหลับไม่ตื่น ผมอยากให้พ่อกับแม่อยู่ดูแลกัน และกัน ผมจะได้หมดห่วง”

“สัญญาลูก พ่อจะดูแลแม่นะลูก ภัทร์ไม่ต้องเป็นห่วงนะ”   มานพตอบรับปากแล้วเอาแขนโอบกอดไหล่ของฉัน ฉันมองหน้าของเขาที่มีรอยยิ้ม ฉันยิ้มตอบแล้วมองหน้าลูกชายที่กำลังยิ้มอย่างมีความสุข ลูกชายของฉันเลื่อนสายตามาถามฉันว่า

“แล้วคุณแม่จะให้อภัยคุณพ่อได้มั้ยครับ”

ฉันมองหน้าลูกชาย ในใจของฉันยังรู้สึกโกรธเกลียดมานพ แต่เพื่อลูกฉันตอบว่า

“ได้ลูก แม่ให้อภัยคุณพ่อ”

“ขอบคุณนะครับคุณแม่”    ลูกชายของฉันยิ้มให้กับฉัน และมานพ  ฉันเข้ากอดลูกตอบกลับ

 

จากที่หมอบอกว่าลูกชายของฉันจะมีชีวิตอยู่ได้เพียงสามเดือน แต่ด้วยกำลังใจของฉันกับมานพ ทำให้ลูกชายของฉันอยู่ได้ถึงหนึ่งปี

แล้วในที่สุด จีราภัทร์ได้นอนหลับอย่างสงบที่โรงพยาบาลอย่างไม่มีวันกลับมาฉันกับมานพกอดลูกชายที่นอนนิ่งสงบเหลือเพียงภาพถ่ายครอบครัว สามคนพ่อ แม่ และลูกที่ยังเก็บความทรงจำเอาไว้ ว่าครั้งหนึ่งในชีวิตฉันกับมานพเคยสร้างครอบครัวมาด้วยกัน แม้จะไม่สมบูรณ์แบบเหมือนครอบครัวคนอื่น แต่ดวงใจของเราทั้งสามคนจะยังคงผูกพันไม่มีวันเสื่อมคลาย และฉันได้เพื่อนที่เคียงคู่อยู่ด้วยกันมาจนถึงอายุหกสิบปี

วีดีโอ และรูปภาพถ่ายทุกรูป ทุกความรู้สึก จะเก็บไว้ในความทรงจำของฉันไปตลอดกาล……………

 

จบบริบูรณ์

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

จบบริบูรณ์

 

ตัวละครเอก

 

ชื่อตัวละคร มานพ/จีระศักดิ์

 

 ชื่อตัวละคร จีรานุช

 

 

 

 

ชื่อตัวละคร จีราภัทร์

 

 

 

 

 

 

 

 

 

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว