จนกว่าความตายจะพรากเรา - Till Death Do Us Part - นิยายแปล - yaoi

Y

จนกว่าความตายจะพรากเรา - Till Death Do Us Part - นิยายแปล - yaoi

จนกว่าความตายจะพรากเรา - Till Death Do Us Part - นิยายแปล - yaoi

Sweetsky

Y

17
ตอน
27.2K
เข้าชม
85
ถูกใจ
26
ความคิดเห็น
176
เพิ่มลงคลัง

Credit ลิ้งค์ภาษาอังกฤษมาจาก บทที่ 1 อยู่ด้านล่างนี้นะคะ

 

http://bltranslation.blogspot.com.au/2015/10/till-death-do-us-part-ch1.html

 

แต่ง  - Tangstory

 

แปล จีน-อังกฤษ - Ayszhang

 

แปลอังกฤษ-ไทย - Sweetsky

 

บทที่1

 

อากาศเย็นๆ ยังคงมีอยู่ในช่วงต้นเดือนมีนาคม แต่แสงแดดของช่วงเวลากลางวันไม่ยาวนานเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว แสงของพลบค่ำเกิดขึ้นมาทดแทนแสงของตอนกลางวันในช่วงเวลา 6 โมงเย็น ตั๋วหนังของโรงหนัง “ถิงเคิง” มีราคาถูกมาก ในโรงหนังมักจะมีคนมาซื้อตั๋วเพื่อเข้าดูหนังประมาณ 7 หรือ 8 หรือ 10 นั่นคือจำนวนตั๋วที่ขายได้ที่มากที่สุดแล้วในช่วงวันธรรมดา อนึ่ง วันนี้เป็นวันครบรอบวันเสียชีวิตของนักแสดงสาวชาวเซี่ยงไฮ้ที่ชื่อว่า ฉวน ดังนั้นวันนี้ทุกโรงหนังหลักๆ ในเทียนสินตั๋วจึงขายหมดทุกที่นั่ง

 

โรงหนังถิงเคิง เคยฉายหนังเรื่อง “Wild Flowers” มาแล้ว ครั้งแรกที่เรื่องนี้ลงโรงในตอนนั้น เซินเหลียงเซิง ยังเรียนอยู่ที่ประเทศอังกฤษ เขาเคยเห็นรูปของนักแสดงตามหน้าสื่อหนังสือพิมพ์ของประเทศจีน มองย้อนมาในตอนนี้ผู้หญิงที่โด่งดังตอนนั้นที่อยู่ในจอตอนนี้ผู้ที่มีเสียงอันไพเราะมากกว่านกไนติงเกล ตอนนี้กลายเป็นเพียงผลุยผงและเรื่องราวเกี่ยวกับความรักของดาวค้างฟ้าที่จบลงอย่างมีความสุขก็กลายเป็นแค่เรื่องขำขันไป

 

หลังจากหนังจบลงผู้คนในโรงหนังต่างพุ่งตรงไปที่ประตูทางออก อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่ ซัน ชูฟาง โดนลอบฆ่าที่ไลตี้เล้าจ์ เหล่าพวกตระกูลดังๆ ที่มีอำนาจต่างพากันระวังตัวเองอย่างมากแม้พวกเขาจะมีปูมหลังแตกต่างกันแค่ไหนพวกเขาก็ต่างพากันระวังตัวอย่างดี ในเหตุการ์ณนี้ก็รวมไปถึงตัวเอง เซินเหลียงเซิงเองด้วย เขาเองก็ถูกบังคับจาก ท่านผู้นำตระกูลเซิง ให้นำผู้คุ้มกันติดตามเขามาด้วยในทุกๆครั้งที่เขาออกจากบ้านโดยไม่มีข้อยกเว้น ไม่ว่าสถานที่ที่เขาไปจะมีผู้คนมากมายแค่ไหนก็ตามเขาก็มีผู้คุ้มกันไปด้วยทุกครั้งและในทุกที่ที่เขาไปผู้คุ้มกันของเขาก็จะเป็นคนคอยเคลียร์ทางเดินให้เขาโดยที่เขาไม่ต้องไปเบียดกับคนอื่น

 

เซินเหลียงอยู่ใกล้กับทางเข้าแล้ว ก่อนที่ความยุ่งวุ่นวายจากทางด้านหลังของเขาจะมาเรียกร้องความสนใจจากเขาไป

 

ใครบางคนตะโกนด้วยสำเนียงท้องถิ่นว่า “ถ้ารีบกันขนาดนั้น ทำไมยังมายืนกันอยู่ตรงนี้ไม่รีบไปลงนรกซะละ” เซินเหลียงมองข้ามไหล่ของเขาไปแล้วก็เห็นว่ามีใครบางคนได้ทำของบางอย่างหล่นหายไป คนนั้นกำลังก้มลงหาของโดยที่ตัวคนนั้นโดนดันไปข้างหน้าทีข้างหลังที ถ้าคนๆ นั้นล้มลงความแตกตื่นจะต้องตามมาอย่างแน่นอน เขามองและรู้สึกว่าผู้ชายคนนั้นดูน่าสงสาร เขาตกลงใจที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยหลังจากที่ยืนคิดว่าควรเข้าไปช่วยไหมอยู่สักพัก ชินเดินถอยหลังกลับไปที่ผู้ชายคนนั้นพร้อมกับผู้คุ้มกันของเขาเพื่อที่จะสร้างกำแพงของความสงบจากผู้คนให้กับผู้ชายคนนั้น

 

“ถ้าคุณจะกรุณาหลบสักนิด เอ่อ คุณครับ เท้าของคุณ..” ผู้ชายคนนั้นยังคงก้มหน้าก้มตาพร้อมกับพูดพรึมพรำไปด้วย แต่คำพรึมพรำเหล่านั้นแฝงไปด้วยการพูดที่สุภาพไม่ได้ใช้ภาษาท้องถิ่นเหมือนคนที่ตะโกนออกมาก่อนหน้านี้ และเมื่อผู้ชายคนนั้นหาของที่เขาทำหายเจอเขาก็ยืดตัวขึ้นมาผู้ชายคนนั้นดูเป็นคนที่มีความสุภาพชนและดูเป็นบุคคลที่มีการศึกษา ให้ดูจากภายนอกผู้ชายคนนี้เป็นคนที่มีรูปร่างผอมสูงโปร่งสวมใส่ชุดประจำชาติสีฟ้าพร้อมทั้งยังมีรอยยิ้มที่ดูเป็นธรรมชาติอยู่บนที่ริมฝีปากของเขา

 

“ขอบคุณมากครับ” ผู้ชายคนนั้นเปิดบทสนทนาขึ้นมาก่อนในคำขอบคุณนั้นสามารถสื่อได้ถึงความจริงใจที่รู้สึกขอบคุณจริงๆ และแถมยังคงเพิ่มความตลกลงไปในบทสนทนานั้นด้วย “ผมคิดว่าเราสามารถทำผัดปลากระป๋องได้เลยนะครับเนี่ยจากที่ผู้คนเบียดเสียดกันมากขนาดนี้”

 

“ไม่เป็นไร” เซิงเหลียงพยักหน้าให้ด้วยความสงบนิ่งแต่เขาก็สังเกตุเห็นของที่อยู่ในมือของชายคนนั้น “แว่นตากรอบสีดำ” เลนส์ของแว่นตาคู่นั้นแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ที่ยึดเลนส์เอาไว้ก็หายไป ต่อให้ชายผู้นี้ซ่อมมันเขาก็คิดว่าแว่นอันนี้คงไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป

 

“ชรืออิน, นายหายไปไหนมา? ฉันแค่กระพริบตาไปแป้ปเดียวเองนายก็หายไปจากสายตาของฉันแล้ว”

 

ในตอนนี้ผู้คนเริ่มจางลงแล้ว ผู้ชายคนที่มีใบหน้ากลมพยายามที่จะหาทางมาทางนี้และเรียกชื่อเพื่อนของเขาออกมา แต่ย่างก้าวของเขาต้องสะดุดลงเมื่อเขาเห็นผู้ชายที่ยืนตรงข้ามกับเพื่อนของเขา

 

“ฉันโอเค เฮียวลุย” ผู้ชายคนแรกตอบกลับเพื่อนของเขาก่อนที่จะหันมาลากับเซินเหลียง

 

“คุณครับ...” อาจจะเป็นเพราะชรืออินไม่รู้ว่าควรจะเรียกเขาว่าอย่างไรและชรืออินก็ไม่คิดที่จะถามเพื่อให้เขาแนะนำตัวซะด้วยสิ่งที่ชรืออินทำก็เพียงแค่พยักหน้าพร้อมด้วยรอยยิ้มของเขาเอง “หวังว่าเราจะได้พบกันใหม่”

 

“ขอให้คุณมีความสุขกับยามเย็นนี้” เซินเหลียงได้แต่อวยพรให้แก่ชรืออิน ทั้งสองคนได้แยกตัวไปกันคนละทาง ในความจริง เซินเหลียงหยุดก้าวเดินจากทางของเขา หลังจากที่เขาเดินก้าวออกมาจากปากทางเข้าของโรงหนังไปได้เพียงประมาณ 10 ก้าวหรือมากกว่านั้นเพียงนิดหน่อยเพื่อหันหลังกลับไปมองทางที่เขาเพิ่งเดินผ่านมา

 

ไฟข้างถนนเริ่มถูกเปิดขึ้นเพื่อเป็นสัญญาณให้รู้ถึงช่วงของชีวิตกลางคืนได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ร้านค้าตามข้างถนนของเส้น ตรอก21 ได้เริ่มเปิดกันขึ้นแล้ว แต่ถึงความวุ่นวายของท้องถนนจะเริ่มเกิดขึ้นเขาก็สามารถมองเห็นคนๆนึงที่เพิ่งจากกันไปได้เป็นอย่างดี ด้วยรูปร่างที่สูงโปร่งของคนๆนั้นที่ดูเหมาะสมกับชุดที่สวมใส่ แถมร่างนั้นยังดูผอมขึ้นไปอีกถ้าเอามาเปรียบเทียบกับคนที่เดินอยู่ข้างๆกันนั้น คนนั้นเอียงตัวไปด้านข้างเพื่อที่จะฟังว่าเพื่อนของเขาพูดอะไรระหว่างที่เดินไปตามท้องถนน ร่างนั้นดูเป็นเงาลางๆ ยามที่มองในช่วงยามเย็นนี้แล้วก็ค่อยกลืนหายไปในฝูงชนแล้วก็หายไปจากสายตาของเขาในที่สุด

 

“ชรืออิน นายรู้จักกับผู้ชายคนนั้นเหรอ?”

 

“ไม่นะ”

 

หัวข้อในการสนทนาระหว่างเพื่อนครั้งนี้ไม่พ้นที่เกี่ยวกับผู้ชายคนที่พวกเขาเพิ่งเดินจากมา คนๆนั้นที่หยุดแล้วหันกลับมามองพวกเขา เฮียวลุยผู้ที่เต็มไปด้วยความสงสัยยังคงอดไม่ได้ที่จะขอถามสักอีกคำถาม “งั้น นายได้ถามชื่อของเขาไหม?”

 

“แค่เห็นเสื้อผ้าที่เขาใส่ก็บอกได้แล้วว่าเขาไม่ใช่คนชนชั้นเดียวกับเรา การที่เล่นหัวรู้จักกับคนอื่นไปทั่วมันไม่ใช่วิสัยของฉันนี่น่า”

 

“ชรืออิน นายเลิกทำตัวอวดดีได้แล้ว” เฮียวลุยกล่าวด้วยความขบขำ และยังคงต่อบทสนทนาด้วยความตื่นเต้น “ที่จริง ฉันคิดว่าฉันเห็นเขาตามหน้าหนังสือพิมพ์เลยนะ คือเขาดูเหมือนลูกคนที่สองของ ตระกูลเซิง นะ”

 

นับตั้งแต่รัฐบาลเปียงยังหล่มลง พวกกลุ่มนายพลที่ไม่ได้รับราชการแล้วต่างพากันมาอยู่ที่เทียนจิน เพราะเทียนจินเป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์เปรียบเสมือนแอ่งน้ำที่เต็มไปด้วยปลาแซลมอล บางคนยังคงมีความหวังและเชื่อว่าเทียนจินไม่ได้เป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ขนาดนั้นเมื่อเทียบกับเปียงอินแล้วคนบางกลุ่มยังคงเชื่อว่าเปียงอินจะสามารถกลับมาเป็นพื้นที่ที่สมบูรณ์ได้อีกครั้ง ถ้าโอกาสที่จะสามารถเฟื่องฟูได้นั้นลอยมา บางคนก็รู้สึกหมดหวังและยอมแพ้แล้วเกี่ยวกับหน้าที่ทางการเมืองของเขา แต่ถ้าในเรื่องของเชิงการค้า ตระกูลเซิงยังคงถูกนับว่าอยู่ในอันดับแนวหน้าต้นๆ

 

“นายต้องจำคนผิดแน่นอน ถ้าคนนั้นเป็นคุณเซิงจริงๆ แล้วละก็ เขาควรจะอยู่ที่ฮาวโอไป๋ลู๋ ทำไมเขาต้องข้ามไปมาจนมาถึงตลาดชาอาเยด้วยละ?”

 

“ก็ เปียงอินเป็นพวกเอาแต่หยิ่งเชิดนะสิ พวกนั้นไม่เคยฉายภาพยนต์ที่เป็นภาพยนต์ที่ทำด้วยคนจีนหรอก ไม่แน่นะบางทีคุณเซิงอาจจะเป็นแฟนพันธ์แท้ของคุณฉวนก็ได้ เลยมาที่นี้เพื่อมาดูหนังของเธอเพื่อไว้อาลัยให้กับเธอไงละ”

 

ชรืออินไม่ได้ตอบโต้กลับไปเกี่ยวกับการล้อเล่นนี้แต่กลับให้ความสนใจกับแว่นของเขาที่ตอนนี้หายไปหมดแล้วทั้งเลนส์ทั้งขาของแว่น “ที่รักฉันขอโทษ” เขากล่าวกับแว่นตาของเขาด้วยใบหน้าที่หมดหวังละท้อแท้

 

“พระเจ้า ขอร้องละนายช่วยดูทางตอนที่นายก้าวเดินด้วยได้ไหม?” เฮียวลุยจับไปที่ข้อศอกของชรืออินเพื่อที่ว่าเพื่อนของเขาจะได้ไม่ต้องหายไปอีกตอนที่เขาอาจจะเผลอกระพริบตา

 

ในความเป็นจริงแล้ว ตาของชรืออินก็ไม่ค่อยจะดีนัก และเขายังคงต้องหยีตาให้หรี่เพื่อที่จะให้มองเห็นได้ชัดขึ้นเสมอๆ ถ้าปราศจากกรอบแว่นนั้นแล้ว จุดไฝที่ตาของเขาที่ได้มาตั้งแต่ตอนที่เขาเกิด จะยิ่งเป็นสิ่งที่โดดเด่นในตาคู่นั้นมาก

 

ถ้าให้พูดเกี่ยวกับไฝดวงนั้นแล้วชรืออินมักจะโดนล้อบ่อยๆจากเพื่อนสนิทของเขาตั้งแต่ตอนที่เขายังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยที่เปียงอินว่า “ไฝเม็ดนั้นนะดูแปลกมากมันดูโดดเด่นเป็นที่สุด เพราะฉะนั้นไฝนี้บ่งบอกได้ว่าชาติที่แล้วนายต้องเป็นผู้หญิงอย่างแน่นอนและแฟนของนายก็ทำสัญลักษณ์เอาไว้ที่ตัวนายเพราะฉะนั้นตอนที่นายกลับชาติมาเกิดจะได้กลับมารักกันได้อีกในชาตินี้ไง”

 

แม้ชรืออินจะมีสายตาที่ไม่ดีแต่เขามีการควบคุมอารมณ์ที่ดีแถมเขายังรักเรื่องตลกมากเลยละ แม้จะได้ฟังดังนั้นเขาก็ไม่เคยกล่าวแก้ตัวอะไรเลยแถมยังตอบกลับด้วยท่าทางหน้าตาที่ประหลาดว่า “ให้เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติไม่ใช่สิ่งที่ฉันเป็น” หลังจากนั้นเขาจะเอาหน้าของเขาเข้าไปใกล้กับเพื่อนคนที่ล้อเขาพร้อมกับกล่าวด้วยเสียงแห่งความต้องการว่า “แต่มันก็ช่วยไม่ได้นะฉันเริ่มเชื่อเรื่องพวกนี้ตั้งแต่ฉันได้ยินที่นายพูดแล้วละ โอ้ที่รักของฉัน นายไม่รู้เหรอว่าฉันต้องอดทนเฝ้ารอนายมาทั้งหมดกี่ปีแล้ว?” แค่คำพูดคำนี้ของชรืออินก็สามารถทำให้เพื่อนของเขากระโดดออกจากห่างตัวเขาด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว หลังจากที่เขาสามารถทำให้เพื่อนของเขาหวาดกลัวได้เขาก็โบกมือไปมาพร้อมเสียงหัวเราะ “นี่เป็นของรางวัลให้กับคนที่ย้อนเวลากลับมาเกิดเลยนะ นายไม่ควรที่จะลืมฉันนะ”

 

 

 

50 % ก่อนนะคะ

 

ต่อ

 

“นายน้อยครับ?”

 

เหล่าผู้คุ้มกันต่างรู้สึกกระอักกระอ่วนกับท่าทางของนายน้อยของพวกเขาพาลคิดไปว่าหรือนายน้อยจะรู้สึกได้ว่าจะมีเหตุการ์ณอะไรเกิดขึ้นรึเปล่า เพราะว่านายน้อยของพวกเขาเซินเหลียงหยุดยืนอยู่ที่เดิมด้วยระยะเวลาที่นานผิดปกติ พอเห็นเช่นนั้นเหล่าผู้คุ้มกันต่างพากันเตรียมพร้อมโดยการจับด้ามปืนที่ซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อโค้ทของพวกเขา

 

“ไม่มีอะไรหรอก ไปกันเถอะ”

 

เมื่อกลุ่มของพวกเขาเดินมาถึงที่รถจอด หนึ่งในผู้คุ้มกันรีบเดินมาที่ด้านหน้าของรถโดยที่ผู้คุ้มกันที่เหลือจะยืนคุ้มกันอยู่รอบๆตัวของรถ พวกเขาจะยืนรอจนกว่า เซินเหลียงจะเข้าไปในรถเป็นที่เรียบร้อยแล้วพวกเขาถึงจะกลับขึ้นรถตามขึ้นไป

 

เซินเหลียงเคยขับเชฟโรเลตมาก่อน แต่ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นกับ ซันชูฟาง ท่านผู้นำตระกูลเซิงก็บังคับให้เขาเปลี่ยนมาใช้ด๊อตที่มีการดัดแปลงเปลี่ยนเป็นเหล็กป้องกันกระสุนทั้งคันรถ การบังคับนี้เป็นการโชว์ให้คนอื่นๆ รู้โดยทั่วกันว่าท่านผู้นำตระกูลเซิงเป็นห่วงลูกชายคนเล็กของเขามากขนาดไหน อย่างไรก็ตามเหตุผลที่แท้จริงที่ซ่อนอยู่ในความห่วงใยนี้มันไม่ได้เป็นเรื่องดีที่น่ารับรู้มากนัก

 

แม่ของเซินเหลียงมีเชื้อของชาวโปรตุเกสอยู่ครึ่งหนึ่ง หน้าที่การงานของแม่เขาไม่ได้เป็นอะไรที่น่ายอมรับสักเท่าไหร่ งานของแม่ของเขาคือเป็นหญิงขายบริการให้กับคนชนชั้นสูง ท่านผู้นำเซิงรู้ว่าเซินเหลียงคือลูกของเขาแต่ท่านผู้นำเซิงก็ไม่สามารถที่จะตัดสินใจตกลงแต่งงานกับแม่ของเซินเหลียงได้ เพราะว่าท่านผู้นำเซิงเองก็ไม่อยากที่จะทำให้ภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของท่านรู้สึกโกรธเคือง ดังนั้นท่านผู้นำเซิงจึงตัดสินใจที่จะย้ายให้แม่ของเซินเหลียงไปอยู่ที่อื่น ในช่วงแรกท่านผู้นำชินก็ให้เงินกับแม่ของเขาเพื่อให้แม่ของเขาได้จับจ่ายใช้สอยอย่างสะดวกแต่หลังจากที่แม่ของเขาเริ่มที่จะติดฝิ่น ท่านผู้นำเซิงก็ตัดสินใจที่จะเลิกยุ่งเกี่ยวกับแม่ของเขาเพราะท่านผู้นำกลัวว่ายิ่งให้เงินไปมากเท่าไหร่แม่ของเซินเหลียงก็จะใช้มากเท่านั้น มันจะเหมือนจะการทิ้งเงินไปในหลุมดำที่ถมไปเท่าไหร่ก็ไม่เคยเต็ม

 

แม่ของเขาร่างกายเริ่มอ่อนแอลง ตามตัวของแม่เขาสามารถเห็นได้แต่กระดูกที่โผล่ออกมาแทนเนื้อหนัง ทั้งหมดนี้มาจากที่แม่ของเขาติดสารเสพติด แม่ของเขามักไปโผล่ที่หน้าบ้านของตระกูลเซิง การปรากฎตัวของแม่เขาที่หน้าตระกูลเซิงในวันนั้นทำให้ปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นนับตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา แม่ของเขาเอาแต่ตะโกนเรียกชื่อของนายหญิงของตระกูลพร้อมทั้งเอ่ยว่า “ฉันจะไม่มีวันปล่อยเรื่องนี้ไป อาหลิง ถ้าเธอยังคิดว่าฉันเป็นแม่ของเธออยู่สัญญามาสิว่าเธอจะไม่ปล่อยคุณนายคนนั้นไปง่ายๆนะ”

 

ตอนนั้นสิ่งที่ทำท่านเซิงทำก็เพียงแค่จับแม่ของเขาโยนออกไปให้ไกลเขตบ้าน แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงเวลานึงแม่ของเขามาที่ตระกูลเซิงทุกวัน การกระทำของเธอในตอนนั้นทำให้เซินเหลียงมีช่วงเวลาที่ค่อนข้างจะลำบากในการที่ต้องอาศัยอยู่ในบ้านของตระเซิง เซิงเหลียงถูกส่งให้ไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ ในตอนนั้นเขามีอายุเพียงแค่ 14 ปีเท่านั้น ทุกคนต่างพากันเรียกการถูกส่งตัวออกจากตระกูลในครั้งนั้นว่าการไปเรียนต่อเมืองนอกแต่จริงๆแล้วมันคือการขับไล่เขาออกจากบ้านมากกว่า ตระกูลเซิงจ่ายค่าเล่าเรียนให้เขาในช่วง 2 ปีแรกเท่านั้นที่เหลือหลังจากนั้นเป็นเงินของเขาที่เขาหามาได้จากหงาดเหงื่อของเขาเอง เขาไปสมัครงานทำงานพิเศษแล้วเอาเงินเหล่านั้นมาเป็นค่าใช้จ่าย เขาเดินทางกลับมาที่บ้านเกิดหลังจากที่เขาเล่าเรียนจบ เขาไม่ได้กลับมาสู่ถิ่นบ้านเกิดเพราะว่าเขาคิดถึงหรืออยากระลึกถึงตระกูลหรือบรรพบุรุษ และในขณะเดียวกันเขาก็ไม่ได้ว่าจะกลับมาที่ตระกูลเพื่อที่จะมาล้างแค้นให้กับแม่ของเขา ในความเป็นจริงตัวเขาไม่ได้รู้สึกผูกพันกับแม่ผู้ให้กำเนิดเขาสักเท่าไหร่  ที่เขากลับมาที่ถิ่นบ้านเกิดกลับมาที่ตระกูลก็เพราะหลังจากที่เขาได้ลองคิดไตร่ตรองดูแล้วการกลับมาที่ตระกูลยังมีโอกาสทำมาหากินได้มากกว่าที่จะต้องอยู่อย่างยากลำบากหรือไม่แน่นอนในต่างแดน ประจวบด้วยเหตุการ์ณที่รัฐบาลเปียงยังล่มลง แถมคุณนายเซิงผู้ซึ่งอยู่เหนือกฎหมายมาเสมอ ก็ยังไม่สามารถมาถือตัวเย่อหยิ่งอยู่ในตระกูลเซิงต่อหน้าท่านผู้นำเซิง สิ่งที่เกินความคาดหมายไปกว่านั้นก็คือการที่คุณนายยังมาด่วนจากไปก่อนที่เซินเหลียงจะเดินทางกลับมาบ้านเกิดเสียอีก จากหลายๆ เหตุการ์ณที่เกิดขึ้นเซินเหลียงจึงตัดสินใจกลับบ้านเกิด ท่านผู้นำเซิงที่กลายเป็นพ่อหม้ายตอนอายุ 60 ปี ผู้ที่ยังคงอาศัยอยู่ที่เทียนจินกับลูกชายคนโตผู้ซึ่งไม่ค่อยจะเอาไหนซักเท่าไหร่ ดังนั้นตอนที่ท่านผู้นำเซิงรู้ว่าลูกชายคนสุดท้องจะกลับมาเขาจึงเปิดประตูพร้อมที่จะต้อนรับเซินเหลียงเซิง

 

จากประสบการ์ณที่ต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากในต่างแดน เซินเหลียง สามารถปรับตัวให้เป็นนายน้อยของตระกูลเซิงได้เป็นอย่างดีแม้ว่าจริงๆแล้วตัวตนลึกๆ ของเขาคือแค่คนๆหนึ่งที่ยอมจะทำอะไรก็ได้เพื่อที่จะให้ได้ในสิ่งที่เขาต้องการ เจตนาที่แท้จริงที่เขากลับเข้าตระกูลเซิงก็แค่เพื่อมาหาเงิน เขาต้องการหาเงินให้ได้มากที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ก่อนที่จะออกไปจากตระกูลเซิงอย่างถาวร โลกใบนี้มันออกจะกว้างใหญ่เพราะฉะนั้นไม่ว่าเขาจะไปอยู่ที่ส่วนไหนของโลกก็ตามมันก็คงไม่ใช่ปัญหา ในส่วนตัวแล้วเขาไม่เคยคิดว่าที่ไหนก็ตามในโลกนี้คือบ้านของเขาแม้จะในตระกูลเซิงเองก็เถอะ ทุกๆที่สำหรับเขาคือที่ต่างแดนเพราะตัวเขาเองไม่ได้รู้สึกผูกพันธ์กับที่ไหนหรือใครเป็นพิเศษ

 

พี่ชายของเซินเหลียงเรียกได้ว่าเป็นบุคคลประเภทแบบ “น่าผิดหวังอยู่นิดหน่อย” เพราะฉะนั้นตัวพี่ชายของเขาก็แอบรู้สึกหวาดกลัวในการกลับมาครั้งนี้ของเขา ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องก็แค่เรื่อยๆ ไม่ดีไม่ร้ายถ้ามองจากสายตาของบุคคลภายนอก แต่ในความเป็นจริงที่เกิดขึ้นพี่ชายของเขามักจะแอบแทงข้างหลังของเซินเหลียงอยู่เสมอ พี่ชายของเขาใช้เงินในส่วนพินัยกรรมของตัวเองไปอย่างหนักและนั้นทำให้พี่ชายของเขาเริ่มใช้ชีวิตอย่างหมดหวัง พี่ชายของใช้เวลาส่วนมากหมดไปกับลู่แข่งม้าและหลังจากนั้นไม่นานพี่ชายของเขาก็กลายเป็นคนติดการพนันยิ่งตอนที่หน้าการพนันที่เกี่ยวกับกีฬามาถึงพี่ของเขาก็ยิ่งติดการพนันอย่างหนัก พี่ชายของเขาเอาแต่ขอเงินในทุกครั้งที่พี่ชายของเขาโผล่หน้ากลับมาบ้าน จาก “น่าผิดหวังอยู่นิดหน่อย” พี่ของเขากลับกลายเป็น “คนที่น่าผิดหวัง” โดยสมบูรณ์ หลังๆมาสุขภาพของผู้นำเซิงก็แย่ลงเรื่อยๆ เซินเหลียงเป็นคนที่ดูธุรกิจของตระกูลเซิงซึ่งเขามีหุ้นอยู่ในนั้นอยู่มากกว่าครึ่งและหลังจากนั้นเพียงสี่ปีให้หลังธุรกิจของตระกูลเซิงก็มาอยู่ในความดูแลของเซินเหลียงโดยสมบูรณ์ เพราะฉะนั้นตอนนี้ไม่ว่าเขาจะตัดสินใจจะอยู่ต่อที่ประเทศจีนหรือจะไปจากตระกูลเซิงมันก็ขึ้นอยู่กับแค่สถานการ์ณที่เกิดขึ้นตรงหน้าเท่านั้นเอง

 

เรื่องราวภายในครอบครัวที่น่าอับอายเหล่านี้มีแค่เพียงไม่กี่คนที่รู้ เวลาคนภายในรู้เรื่องราวแล้วเอามาพูดกันความคิดเห็นนึงที่พวกเขาเหล่านั้นที่มีต่อลูกชายคนเล็กของตระกูลเซิงคือ “หมาเห่ามักจะไม่กัด”

 

ไม่ใช่เวลาเซินเหลียงไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องซุบซิบนินทาเหล่านี้เพียงแต่เขาไม่เคยเก็บเอามาใส่ใจ จริงๆเคยมีคนเปรียบเทียบและสงสัยกันว่านายน้อยแห่งตระกูลเซิงจริงๆแล้ว มีหัวใจรึเปล่า ในบางครั้งตัวเขาเองก็คิดเหมือนกันว่าชื่อของเขามันก็ช่างเข้ากับตัวเขาเองเหมือนกัน

 

เขาใช้ชีวิตอย่างเย็นชาจริงๆ

 

ถนนดูเงียบสงบมากขึ้นหลังจากที่รถของเขาออกมาจากตรอก 25 วันนี้เซินเหลียงมีนัดทานข้าวเย็นแน่นอนมื้อนี้ก็ต้องพูดคุยเกี่ยวกับธุรกิจ นัดของเขาอยู่ที่ร้านคีลิ่ง ตอน 2 ทุ่ม เขาบอกให้คนขับรถของเขาขับรถเร็วขึ้นอีกหน่อยเพราะว่าเขาต้องการกลับบ้านเพื่อไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนไปทานมื้อค่ำ แต่เมื่อถึงทางแยกที่สองของถนนเขากลับตะโกนบอกคนขับรถว่า “ช้าลง”

 

คนคุ้มกันที่ตอนนี้ทำหน้าที่เป็นคนขับรถให้กับเซินเหลียงถ้าให้เทียบแล้วเขาเป็นผู้คุ้มกันที่ดี แต่ถ้าเอามาเปรียบเทียบเป็นคนขับรถแล้วเขาดูเหมือนว่าจะทำหน้าที่นี้ได้ไม่ดีเท่าที่ควรเพราะคนขับรถเหยียบเบรกในทันทีที่เขาได้ยินคำสั่งจากเซินเหลียง ในช่วงเวลาที่รถกระชากเบรกตัวแล้วตัวของเซินเหลียงเองก็กระเด้งไปทางด้านหน้า เขาไม่ได้โกรธอะไรคนขับรถเขาแค่พูดว่า “ไม่เป็นไร ขับต่อไป”

 

รถวิ่งไปตามทางเดิมที่มันควรจะเป็น เซินเหลียงนั่งอยู่ที่เบาะหนังเขาเอาหัวของเขาวางไว้ที่ฝามือข้างนึง หน้าของเขาดูเรียบเฉยก็จริง แต่ในความเป็นจริงแล้วอารมณ์ลึกๆที่อยู่ข้างในมันไม่เหมือนกันกับทางหน้าตาที่เขาแสดงออกมาสักนิดเลย

 

เมื่อสักครู่ที่ผ่านมาเขาเห็นคนร่างสูงโปร่งที่ข้างถนนผ่านทางหน้าต่างของรถที่เขานั่งมาแล้วเขาก็เผลอตะโกนออกไปอย่างไม่ทันได้คิดว่าให้ “ช้าลง” แต่พอเขาได้หันกลับไปดูให้ดีปรากฎว่าไม่ใช่คนที่เขาคิดว่าจะใช่

 

มันเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดคาดฝันมาก่อนว่าเขาจะเจอกับคนแปลกหน้าคนนั้นและที่น่าแปลกไปมากกว่านั้นคือเขากลับลืมคนแปลกหน้าคนนั้นไม่ได้แล้วจุดนี้ก็ทำให้เซินเหลียงรู้สึกประหลาดใจอยู่เช่นกัน

 

เขาหลับตาลงแล้วก็พยายามนึกภาพหน้าตาของชายแปลกหน้าที่เพิ่งเจอกันในหัวของเขา ไม่น่าเชื่อว่าภาพในหัวของเขานั้นช่างชัดเจนและมันดูน่าดึงดูดมากภาพของชายคนนั้นชัดเจนถ้าให้เปรียบเทียบภาพนั้นคมเหมือนดั่งใบมีด

 

ผู้ชายคนนั้นยืนอยู่ตรงหน้าของเขาสูงผอมยืนเงียบอยู่ตรงหน้าของเขาแต่ส่งยิ้มมาให้กับเขา ตาของผู้ชายคนนนั้นดูหยีลงอาจจะเป็นเพราะว่าผู้ชายคนนั้นเคยชินกับการใส่แว่น และไฝสีพีชที่อยู่ตรงตาของผู้ชายคนนั้นมันบ่งบอกถึงความรัก และในช่วงเวลานั้นเองที่เบรกมันเกิดดังขึ้นทั้งๆที่ขับมาด้วยความเร็ว เซินเหลียงรู้สึกใจหายไปวูบนึงแล้วหัวใจเขาก็กลับมาเต้นแรงอีกครั้งเขารู้สึกปวดหัวเป็นอย่างมาก แต่เขากลับรู้สึกว่าหัวใจเขากลับมาเต้นเป็นปกติอีกครั้งได้ด้วยมือที่มองไม่เห็นมือนั้นเป็นมือที่ทำให้ใจของเขาสงบลง

 

มื้อเย็นของค่ำคืนนี้เซินเหลียงดื่มมากเป็นพิเศษซึ่งมันเป็นสิ่งที่เขาไม่ค่อยกระทำบ่อยนัก เขาล้มตัวลงนอนบนเตียงของเขาด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์แล้วเขาก็เริ่มฝันซึ่งฝันของเขาคราวนี้มันดูเป็นจริงมากจริงๆ

หลังจากที่เขาทิ้งตัวลงบนเตียงเขาฝัน เขาฝันว่าเขากำลังกอดอยู่บนร่างที่มีความอุ่นร้อนของคนนั้น ในความฝันร่างนั้นที่เขากำลังกกกอดอยู่เป็นผู้หญิงหรือผู้ชายเขาก็ไม่สามารถที่จะบ่งบอกได้ หน้าตาของคนๆนั้นเขาก็มองไม่เห็น สิ่งที่เขาจำได้ทั้งหมดจากร่างกายนั้นก็แค่เม็ดไฝสีแดงสดเม็ดนั้นที่อยู่ที่ตาของคนๆนั้น

มันเป็นแค่เพียงความฝันก็จริงแต่ความรู้สึกความปรารถนาที่เกิดขึ้นมันรุนแรงมาก มันดูสมจริงและตัวเขาเองก็มีความรู้สึกร่วมมากกว่าเซ็กใดๆที่เขาเคยมี หลังจากที่เขาถึงจุดสุดยอดจากในฝันของเขา หัวใจของเขาเต้นแรงมากเมื่อเขากลับมาสู่ความเป็นจริง

ม่านในห้องของเขาถูกปิดสนิท ผ้าม่านที่ทำมาจากผ้าไหมชนิดดีอย่างหนาสามารถกั้นแสงจากภายนอกไม่ให้เข้ามาในห้องของเขาได้ มันให้ความรู้สึกเหมือนเตียงในห้องของเขาถูกตัดขาดออกจากโลกภายนอกนั้น

ทุกอย่างในห้องก็ดูอยู่ถูกที่ถูกทางพร้อมทั้งในห้องนี้ก็มืดมากพอที่จะทำให้ความร้อนแรงที่เพิ่งผ่านไปในห้องนี้มันเย็นลง พออารมณ์ของเขากลับมาสู่ในระดับสามารถหายใจได้ปกติ เขาก็ย้อนนึกไปถึงร่างที่เปลือยเปล่าในความฝันของเขา แค่เพียงนึกถึงร่างในความฝันของเขานั้นชินหลิงชานก็รู้สึกตื่นตัวขึ้นอีกครั้ง

ความต้องการที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีที่มาที่ไปแบบนี้มันค่อนข้างน่าแปลกสำหรับเขา แล้วมันยิ่งน่าแปลกยิ่งกว่าเมื่อพอเขาลองนึกย้อนไปในไปในฝันของเขาอีกทีเขาค้นพบว่าหน้าตาของคนในฝันของเขาก็คือหน้าของชายแปลกหน้าที่เขาเพิ่งเจอไปเมื่อตอนเย็นนั้นเอง ซึ่งชายคนนั้นไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับเขาสักนิดเลย

ถ้าตัดเอาช่วงที่เขาไปใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างแดนออก ตั้งแต่กลับมาที่เมืองจีนเขาพบเจอมาหมดแล้วเรื่องที่ไม่ดีต่างๆ เหล่านี้ มันมาจากการสังสรรค์ในเรื่องของธุรกิจ อย่างเช่นการที่ซื้อพวกดาราชายมาเพื่อความสุขสมชั่วคราว หรือทำเรื่องไร้สาระแบบนี้กับเหล่าเด็กผู้ชายเขาคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่น่าถือสา เพราะที่ที่เขาอยู่ตอนนี้คือเทียนจินแล้วนี่คือเทียนจินที่อยู่ในประเทศจีน ในวังวนของช่วงอายุที่มีเสน่ห์และเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย ถ้าใครสักคนเริ่มจะลืมเรื่องศีลธรรมหรือลืมคิดเกี่ยวกับเรื่องถูกผิดสิ่งถ้าตัดสิ่งเหล่านี้ออกไปแล้ว สิ่งที่เหลือและถูกทิ้งไว้คือความบ้าคลั่งความสนุกสนานและความพึงพอใจ

หลายครั้งที่เซินเหลียงเป็นผู้ยืนดูการกระทำเหล่านั้น เขามองดูด้วยความรู้สึกที่ไม่ได้กระตือรื้อร้น เขารับบทเป็นเพียงแค่พูดดูเหตุการ์ณเหล่านั้นเกิดขึ้นไม่ได้ลงไปเล่น แต่ในขณะเดียวกันตัวเขาเองก็รู้สึกว่าในบางครั้งเขาควรลองใช้ชีวิตแบบสุดเหวี่ยงไม่ต้องคิดเกี่ยวกับความผิดชอบชั่วดีแบบนี้ดูบ้าง

แต่ในขณะนี้เรื่องอื่นคงต้องเอาไว้ก่อนเพราะเขากำลังนอนอยู่บนเตียงของเขาพร้อมกับความเป็นชายของเขาได้ถูกปลุกตื่นขึ้นมาอีกครั้งในมือของเขาเอง เขาคิดย้อนกลับไปที่ทางแยกตรงถนนของเมื่อวานนี้ เขาเฝ้ามองดูรูปร่างในความสลัวนั้นที่ค่อยๆ เดินหายไปในฝูงชน ในใจของเขารู้สึกถึงหลุมที่ว่างเปล่าแปลกๆ และตอนนี้เขากำลังรู้สึกเสียดายที่เขาไม่ได้ถามชื่อบุรุษหนุ่มคนนั้นไว้

มาต่อจนจบแล้วคร่า จบแล้วบทที่ 1 เย้

สวัสดีค่ะ นิยายนี้ฟ้าแปลมาจากฉบับที่เป็นภาษาอังกฤษค่ะ ใครอยากเว่อร์ชั่นภาษาอังกฤษ ตามไปที่ลิงค์ด้านบนต้นเรื่องได้เลยนะคะ

 

ฟ้าได้ขออนุญาตคนแปลมาแปลไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้วค่ะ

เรื่องการแปลถ้าเห็นว่าชื่อไม่ตรงไม่ใช่ มีอะไรแนะนำเพิ่มเติมได้เลยค่ะ ขอบคุณค่ะ

 

 

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว