14 ศตพรรษ
1
ตอน
1.16K
เข้าชม
41
ถูกใจ
0
ความคิดเห็น
0
เพิ่มลงคลัง

ตอนที่หนึ่ง

#ก้าวแรกจากไม่รู้#

ตุลาคม 2555

พ้นโค้งข้างหน้านี้รถของพ่อชายก็จะถึงหุบเขาสดสวยที่มียอดไลค์มากที่สุดในโลกโซเชียลสำหรับปีนี้แล้ว ผู้เป็นพ่อบอกขณะกำลังขับรถพาครอบครัวมาหาความสงบเงียบแต่สดชื่นของธรรมชาติ ในวันที่แสงแดดสาดส่องลงมาอ่อน ๆ ลมพัดเย็นโบกโบยให้ต้นไม้ข้างทางจนตลอดแนวเขาโค้งซ้ายทอดยาวคู่กับถนนราดยางสองเลนพริ้วไหวตามแรงลมเหมือนแถวนักเรียนในงานกีฬาสีต่อแถวกันทำเวฟดุจลูกคลื่นในทะเล ไม่แน่นะ ธรรมชาติอาจกำลังรอพวกเขาไปร่วมสนุกและมีความสุขกับมันก็เป็นได้

"หิวกันรึยังพวกเรา.. ฮึ..ว่าไง หรือหลับกันหมดแล้ว"   พ่อชายถามเสร็จก็เงยหน้าขึ้นมองกระจกมองหลังที่ติดอยู่ข้างบนกึ่งกลางตัวรถนิดนึง เห็นทุกคนยังคงมีแววตาที่แจ่มแจ๋วกันอยู่

ลูกสาวคนเล็กกับลูกชายคนโตชะเง้อออกมองวิวข้างทางที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่สีเขียวสดสลับอ่อนบ้าง บางครั้งกลุ่มนกฝูงใหญ่ก็จับกลุ่มกันบินเล่นวนเวียนไปมาเพื่ออบอุ่นร่างกายของมัน โขดหินจากภูเขาใหญ่ได้เผยให้เห็นร่องรอยของการเดินทางผ่านระยะเวลาอันยาวนานนับพันล้านปี หากจะจินตนาการได้ประสบการณ์อันโชกโชนของพวกมันก็ช่างน่าทึ่งไม่น้อยและมนุษย์อย่างเราอาจจินตนาการไปไม่ใกล้เคียงกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วก็เป็นได้ ศิลปะที่ผ่านการแต่งแต้มด้วยกาลเวลามันช่างมีเสน่ห์เหลือเกิน

"เด็ก ๆ จ้ะ เดี๋ยวพอลงจากรถแล้ว อย่าเพิ่งไปเล่นที่ไหนไกลนะ นี่ก็ใกล้เที่ยงแล้วด้วย จะได้หาอะไรทานกันก่อน เข้าใจตรงกันนะจ้ะ"  แม่แต้มบอกลูก ๆ พลางพยักหน้าให้พ่อแบบยิ้ม ๆ โดยแม่บ้านรับหน้าที่อีกหนึ่งตำแหน่ง ก็คือ ตุ๊กตาหน้ารถ นั่นเอง

และการเดินทางไปท่องเที่ยวไกล ๆ จากบ้านแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย ๆ สำหรับครอบครัวนี้ ก็ในหนึ่งสัปดาห์คุณพ่อชายต้องไปทำงานถึง 5 วันครึ่งไปแล้ว 5 วันก็คือ วันจันทร์ถึงวันศุกร์ และแถมอีกครึ่งวันเสาร์เช้า ตอนบ่ายกลับบ้านก็เพลียมากแล้ว ได้แม่แต้มช่วยดูแลหุงหาอาหารให้ค่อยคลายเหนื่อยไปได้ พ่อชายเลยขอลาหยุดยาว ๆ 5 วันแบบนี้หาได้ที่ไหน ถือเป็นโอกาสอันดีของทุกคนในบ้านเลยทีเดียว

ไม่กี่อึดใจ รถยนต์ฮอนด้ากลางเก่ากลางใหม่สีขาวจนจะเหลืองก็มาจอด ณ จุดหมายที่ชื่อ #หุบเขากะลาเงิน# จังหวัดนครศรีธรรมราช  อาจเพราะชื่อที่ดีจึงเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะคนไทย ที่นี่ห้ามบันทึกภาพใดๆ ทั้งสิ้น เป็นกฎเหล็กมานานมากแล้ว อาจทำให้มือเซลฟี่ต้องผิดหวังกันบ้างไม่มากก็น้อย

หลังจากนี้ทุกคนต้องเดินและเดินต่อไปเท่านั้น มีบางช่วงต้องต่อเรือพายบ้าง และไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมแต่อย่างใดเลย ใครอยากให้เท่าไร ตามสบาย มีขันเงินหนึ่งใบวางอยู่ที่หัวเรืออย่างแน่นหนาด้วยตะปูสามตัวที่ก้นขัน

ตอนนี้เที่ยงกว่าแล้ว นักท่องเที่ยวทุกคนต่างหิวไปตามๆ กัน เดินลึกเข้าไปในป่าสงวนสักสองกิโล (กิโลเมตร) ก็ได้อิ่มหนำกับไข่เจียวร้อนๆ หมูทอดกระเทียมเคียงด้วยผักชี และต้มยำกุ้งรสแซ่บ กับข้าวสวยร้อน ๆ อาหารเบสิคไทยๆ ที่ไม่ว่าจะทานครั้งไหนก็อร่อย ยิ่งในยามที่หิวด้วยแล้ว

การเที่ยวชมหุบเขาแห่งนี้ไม่สามารถใช้เวลาแค่วันเดียวได้ เพราะธรรมชาติที่สมบูรณ์ดึงดูดให้ผู้คนมาเยี่ยมชมอยู่ไม่ขาด พื้นดิน โขดหิน เถาวัลย์ยักษ์ ต้นตะเคียนใหญ่ ล้วนน่าชม พันธุ์พืชและสัตว์จำนวนมากหลากหลายพันธุกรรม ตลอดทางเข้าสู่หุบเขาใหญ่บางคนต้องใช้เวลาถึงเจ็ดวันจึงจะเที่ยวได้ครบและเดินมาถึงจุดนัดพบพอดี

ที่ว่า กะลาเงิน นี้คือแอ่งขนาดยักษ์ เหมือนขันรองรับน้ำ และแปลกมากที่มีสีคล้ายสีเงินสุกใสอยู่ตลอดปี มีอยู่ด้วยกันห้าแอ่ง มีขนาดลดหลั่นกันไป แอ่งแรกที่พบจะเล็กที่สุด จากนั้นจะมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ หากเดินทางไปทางปีกซ้ายของหุบเขานี้ก็จะพบกับแอ่งน้ำตกขนาดยักษ์หลายพันไร่ คล้ายลักษณะของรูปสี่เหลี่ยมคางหมูที่กว้างไกลสุดประมาณ

กะลาหงายขนาดใหญ่เช่นนี้อาจมีคำถามว่า เมื่อถึงหน้าฝนต้องมีน้ำเต็มกะลาทั้งห้าจนกลายเป็นสระว่ายน้ำขนาดยักษ์อย่างแน่นอน แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะตรงส่วนกลางของกะลาเกิดรูกว้างประมาณความสูงของคน สามรู ให้น้ำได้ไหลผ่านลงไป และมีทางเดินบวกปีนป่ายให้นักสำรวจทั้งหลายได้ลงไปสัมผัสกันถึงก้นบึ้ง แต่ถ้าคิดว่าจะมากางเต๊นท์นอนด้านล่างนี้อย่าหวังเพราะสถานที่สำหรับกางเต๊นท์นั้นอยู่ด้านบนทั้งหมด

ในหนึ่งวันสำหรับนักกีฬาที่แข็งแรงแล้ว การเที่ยวชมจนทั่วกะลาเงินเพียงแค่หนึ่งใบก็หมดวันแล้ว นี่คงเป็นอีกหนึ่งรูปแบบของธรรมชาติที่สรรค์สร้างให้สิ่งมีชีวิตได้ชื่นชมกันจากรุ่นสู่รุ่น  และอาณาจักรอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้อาจมีสิ่งสำคัญที่เป็นปริศนาให้คนที่ไปเยือนได้ขบคิดกันก็เป็นได้

"เดินระวังด้วยนะลูก เถาวัลย์มันเยอะ จะสะดุดล้มเอา ค่อย ๆ ก็ได้"   ผู้เป็นแม่ยังคงตักเตือนด้วยความเป็นห่วงลูกอยู่เนือง ๆ

"ไม่เป็นไรหรอกจ้ะแม่ แค่นี้สิว ๆ จ๊ะ"   น้องเนยลูกสาวตัวเล็กในวัยเพียง 10 ขวบ หันหน้ามาตอบเสียงแจ๋ว แล้วหันหน้ากลับไปจับแนวเถาวัลย์ต้นถัดไปให้มั่นคงก่อนสาวเท้ายาว ๆ ขึ้นเนินเล็ก ๆ ไปต่อ โดยมีพ่อชายและแม่แต้มเดินตามเพื่อคอยดูคอยเตือนความปลอดภัยให้ลูกอีกที

"ที่นี่สวยงามมากเลยครับพ่อ ผมไม่เคยเห็นที่ไหนสวยแบบนี้มาก่อนเลย"   พี่แนวลูกชายอายุ 15 ปีเต็มเข้าเกือบเดือนมาแล้วหยุดมองทิวทัศน์ทางขวาไกลออกไปเห็นแนวป่าและภูเขามีต้นไม้ขึ้นเขียวครึ้มปกคลุมไปทั่วไล่ระดับลึกลงไปเป็นชั้น จึงหันมาแสดงความชื่นชมบ้าง เพราะที่นี่คือแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติที่ผู้พ่อได้ค้นหามานานแรมปีกว่าจะปักหมุดว่านี่แหละคือที่ ๆ บ้านเราต้องมากันให้ได้สักครั้งในชีวิต  แล้วแว๊บนึงในความคิด  "**อยากให้ฟ้ามาอยู่ตรงนี้ด้วยจัง**"   สาวน้อยในห้องเรียนเดียวกันที่เขาเพิ่งได้พบหน้าและคุยด้วยเมื่อตอนเปิดเทอม

กว่าจะถึงเย็นย่ำทุกคนก็เหนื่อยอ่อนกันพอสมควร โดยเฉพาะพ่อชายและแม่แต้มขาอ่อนกันไปตามกัน ส่วนลูกชายนั้นด้วยแรงหนุ่มมีไฟก็ยังคงคึกคักกระฉับกระเฉงอยู่เนือง ๆ ลูกสาวตัวเล็กเหรอก็ขาแข้งอ่อนไปกับพ่อแม่ด้วยอีกคนหนึ่ง  พอถึงเวลาอาหารเย็นบริเวณห่างจากนั้นมาสักหนึ่งกิโลจะมีร้านอาหารเล็ก ๆ ตั้งอยู่เพราะไม่ต้องการให้นักท่องเที่ยวนำอาหารมาปรุงกันเอง อาจสร้างมลภาวะที่ไม่ดีให้กับสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ได้

"วันนี้สนุกมาก ๆ เลยจ๊ะ.. หนูเจอกระรอกตัวสีฟ้าอ่อนด้วยล่ะ สวยมากจ๊ะ"   น้องเนยเอ่ยขึ้นหลังจากทานข้าวหมดไปครึ่งจานด้วยความเหนื่อยและหิวแต่ก็สนุกสนานที่มาท่องเที่ยวธรรมชาติแบบนี้

"อ๋อ..เจ้าตัวนั้น แม่ก็เห็นนะ สวยมากเลย.. มันกระโดดได้ไกลมากเลยลูก"

"ที่มันกระโดดไปได้ไกลแบบนั้นน่ะ สงสัยมันจะหนีหรือซ่อนตัวจากอะไรบางอย่างรึเปล่าลูก"   พ่อชายแย้งขึ้น เป็นเชิงให้ข้อสังเกต

"จริงด้วยพ่อ.. พอพ่อพูดขึ้นมาผมก็นึกขึ้นมาได้ว่า ช่วงนั้นมีเหยี่ยวใหญ่สีน้ำตาลขาวตัวหนึ่งกำลังบินฉวัดเฉวียนอยู่ด้านบนเหนือต้นไม้กลุ่มที่มีกระรอกที่น้องเนยเห็น น่าจะเป็นช่วงเวลาเดียวกันนะครับ"

พ้นวันแรกไปแล้ว ทุกคนช่วยกันกางเต๊นท์อย่างรวดเร็วก่อนที่ฟ้าจะมืดจนมองไม่เห็นอะไร แต่พอมืดเข้าจริง ๆ กลับมองเห็นได้ลาง ๆ เพราะท้องฟ้าที่สดใสกับดวงจันทร์ที่ส่องสว่างเกือบเต็มดวงซึ่งใกล้คืนวันเพ็ญเข้ามาแล้วอีกเพียง 3 วันเท่านั้น  เต๊นท์ขนาดใหญ่ที่นอนรวมกันได้ทั้งสี่คนแบบนี้ให้ความรู้สึกที่อบอุ่นดีไปอีกแบบ ตอนนอนแล้วมองขึ้นไปด้านบนจะมีช่องเปิดให้สามารถมองลอดออกไปเห็นดวงดาวบนท้องฟ้าให้ได้เสพบรรยากาศสบาย ๆ ในวันที่ไม่ต้องเร่งรีบแบบนี้

แต่ละคนได้สูดอากาศรับออกซิเจนที่บริสุทธิ์อย่างเต็มปอดในขณะนอนหงายดูดาวในคืนนี้ ท้องฟ้าสวยจัง มองไปไกลสุดสายตา บางคนอาจทันที่จะมองเห็นดาวตกเล็ก ๆ พุ่งลงมายังโลกของเราแล้วค่อยจางหายไป คืนนี้ ทุกคนคงนอนหลับฝันดี...

 

ย่างเข้าวันที่สาม

เด็กหนุ่มมายืนอยู่ใจกลางของหุบเขากะลาเงินแอ่งที่สาม ในยามเย็นซึ่งไม่ค่อยมีคนอยู่ในบริเวณนี้แล้ว ทุก ๆ คนล้วนขึ้นไปด้านบนและขะมักเขม้นเตรียมเต๊นท์นอนกัน มองไปรอบ ๆ หุบเขานี้เต็มไปด้วยต้นไม้และเถาวัลย์ไม้เลื้อยปกคลุมอยู่มากมาย หนุ่มแนวเดินเล่นไปรอบ ๆ เพราะก่อนหน้านี้ได้ขึ้นไปช่วยพ่อชายกางเต๊นท์เรียบร้อยแล้วเขาจึงปลีกตัวลงมาโดยบอกพ่อไว้ว่าขอตัวลงมาเดินเล่นสักนิดหน่อยก่อนที่จะมืดและจะรีบกลับขึ้นไปให้ทัน และสิ่งที่เขาได้สังเกตเห็นถ้ำลาง ๆ อยู่หลังบริเวณที่มีต้นโพธิ์ใหญ่สามต้นขึ้นอยู่ริมหุบเขา มันค่อนข้างไกลอยู่สักหน่อย เขาค่อย ๆ แหวกพงหญ้าสูงประมาณแนวไหล่ การจะเข้าไปที่จุดนั้นมันค่อนข้างยากอยู่สักหน่อยเพราะมีอุปสรรคทั้งกิ่งไม้ หลุมบ่อน้ำขังขวางอยู่พอสมควร หากจะไปจริง ๆ กว่าจะกลับมาคงค่ำเสียก่อน จนอาจมองไม่เห็นทางขึ้นไปยังที่พัก ประกอบกับไฟฉายก็ไม่ได้นำติดตัวลงมาด้วย  "**ไว้ค่อยมาใหม่ตอนเช้าดีกว่าเรา**"  แนวคิดในใจดังนั้นก็ล่าถอยกลับขึ้นไปที่เต๊นท์ของครอบครัวเพื่อพักเอาแรงเพื่อวันพรุ่งนี้

เช้ามืดวันที่สี่

หนุ่มแนวตั้งใจเด็ดเดี่ยวที่จะเข้าไปสำรวจยังถ้ำที่พอมองเห็นนั้นเพียงคนเดียว เพราะหากจะรอให้ทุกคนตื่นขึ้นมาเสียก่อนก็คงไม่ได้ทำอย่างที่ตั้งใจไว้เป็นแน่  "**พ่อจ๋าแม่จ๋า..เดี๋ยวผมกลับมานะครับ ผมลงไปที่แอ่งสามนี้แหละ จะไปดูถ้ำตรงต้นโพธิ์สามต้นสักหน่อยครับ เดี๋ยวจะรีบกลับนะจ๋ะทุกคน ไม่ต้องเป็นห่วง**"   เขาคิดและเขียนมันลงไปบนด้านหลังของกระดาษ A4 ที่พ่อชายปริ้นท์แผนที่การเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้นั่นเอง

บรรยากาศยามเช้ามืด อากาศค่อนข้างเย็นจนรู้สึกได้ที่ปลายนิ้วและติ่งหู หมอกหนาตาปกคลุมไปทั่วบริเวณแอ่งยักษ์แห่งนี้ บางครั้งที่เรารู้สึกว่าสัมผัสได้ถึงอนูของความเป็นหยดน้ำเล็กจิ๋วที่รวมตัวกันเป็นหมอกนั้นได้เลยทีเดียว

แสงไฟค่อย ๆ สาดส่องลึกเข้าไปในแดนราบของแอ่งยักษ์ที่สามหลังจากที่เจ้าแนวปืนลงมาจากด้านบนด้วยความรวดเร็วเพราะเกรงว่าจะทำให้ทุกคนต้องมาเสียเวลารอตนเองนานจนเกินไป และก็ไม่รู้ว่าสิ่งใดที่ดลจิตดลใจให้เขาต้องลงมาที่นี่ให้ได้ก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน

ไม่กี่อึดใจต่อมาเจ้าแนวหนุ่มรุ่นกระทงก็มาถึงกลุ่มต้นโพธิ์ใหญ่ทั้งสาม แต่ทุกก้าวที่ย่างไปก็ต้องเต็มไปด้วยความระมัดระวัง เพราะตอนนี้ยังไม่มีแสงสว่างใด ๆ เลยนอกเสียจากแสงจากไฟฉายกระบอกสีส้มขนาดเล็กใช้ถ่านขนาด AA ที่เก็บไว้นานนับปีที่บ้านแล้วเพิ่งจะได้นำมาใช้งานอย่างจริงจังก็คราวนี้เอง

ตอนนี้เขายืนอยู่ท่ามกลางต้นโพธิ์ทั้งสามซึ่งจุดที่ขึ้นนั้นมีระยะห่างที่สมดุลกันอย่างมาก หากจะขีดเป็นเส้นต่อกันต้นต่อต้นก็แทบจะได้รูปสามเหลี่ยมด้านเท่า และตรงกลางนี้ค่อนข้างโล่งเตียนเหมือนไม่มีต้นหญ้าต้นอ้อขึ้นมาแซมเลยแม้แต่น้อย ก็ทำให้เขารู้สึกแปลกใจอยู่เหมือนกันในเรื่องนี้ แนวมองสาดส่ายสายตาหาจุดที่เป็นเหมือนถ้ำลาง ๆ ที่เห็นเมื่อวาน และแล้วเขาก็ต้องดีใจขึ้นมาแบบกระทันหันที่ได้เห็นปากถ้ำรูปสามเหลี่ยมขนาดสูงประมาณครึ่งตัวคนซึ่งมีกอต้นกกบังอยู่

สมองสั่งให้มือกดแสงไฟลงต่ำจนเห็นกลุ่มต้นหญ้ารกและเถาวัลย์ครึ้มเป็นทางเดินที่มองไม่เห็นทางไป แต่เขาได้มายืนตรงจุดนี้แล้ว ฝ่าแนวต้นกกต้นอ้อมาก็มากจนได้แผลจากการบาดเล็ก ๆ น้อย ๆ ตามหลังมือตามแขนมาพอสมควร และคงไม่คิดกลับหลังเป็นแน่ เขามองหากิ่งไม้ที่พอจะหาได้เพื่อใช้ในการตีแหวกกอหญ้ารกทึบซึ่งสูงขนาดอกให้ค่อย ๆ ล้มบ้างแหวกบ้าง จะได้เดินเข้าไปสะดวกขึ้น

ขณะนั้นนั่นเอง...

สิ่งที่เขาไม่คิดฝันก็เกิดขึ้น ตรงหน้าที่แหวกแนวหญ้าเข้าไป เสียงที่พุ่งเข้าจู่โจมโสตประสาทอย่างฉับพลันนั้น

"ฟ่อ.... ฟ่อ....."

โดยไม่ทันตั้งตัว มีงูสามเหลี่ยมสีปล้องแดงสลับดำขาวสองตัวกระโดดมาจากทางซ้ายและขวามาบรรจบกัน ณ ตรงกลางอย่างพร้อมใจป้องกันศัตรูผู้รุกรานใหม่อย่างสามัคคี  ในตาพองโตสีแดงก่ำสด จมูกของมันทั้งสองเป็นมันเลื่อมจนแทบจะสะท้อนเงาของเจ้าแนวได้อย่างนั้น ในขณะกำลังตะลึงงันในความสวยงามของสัตว์เลื้อยคลานที่เต็มไปด้วยเดโชฤทธิ์ การผงกหัวถอยหลังเพียงนิดเดียวของพญางูทั้งสองก็สามารถทวีความรวดเร็วในการดีดตัวพุ่งไปยังเป้าหมายได้อย่างทรงประสิทธิภาพแล้วฉะนั้น

เขี้ยวขาววาววับงับเข้าหากันจนเกิดเสียงสนั่นเพราะส่วนบนและล่างของปากอสรพิษร้ายกระทบกัน “ปั๊ก ๆ”  เกือบจะพร้อมกันทั้งสองตัว แต่เขาก็ชักหน้าแข้งหลบถอยมาได้อย่างทันท่วงทีอย่างเส้นยาแดงผ่าแปด

แนวนึกถึงองค์พระที่พ่อชายมอบให้คุ้มครองประจำตัวซึ่งแขวนอยู่ที่หน้าอกของตน เขาคว้าหมับเข้าที่องค์ท่านแล้วระลึกถึง “**ช่วยลูกช้างด้วยครับ หลวงพ่อ**”

สองงูคู่ซี้ยังคงมองตรงมายังเจ้าแนวอย่างไม่ยอมกระพริบตาให้คลาดเคลื่อน แล้ว... ทั้งสองอสรพิษก็แยกกันออกไปคนละข้างเหมือนกับเจ้าแนวได้กดเพลย์แบ๊คเครื่องเล่นดีวีดีตอนกำลังดูหนังแนวผจญภัยที่เขาชื่นชอบเลยทีเดียว แล้วมันก็อันตรธานไปอย่างไร้ร่องรอย

ทุกอย่างเหมือนจะหยุดนิ่งไปสักอึดใจใหญ่.. เขาสาดส่องแสงไฟไปรอบ ๆ อย่างระวังภัย เกรงว่ามันจะลอบมาจากทางสองข้างลำตัวหรือด้านหลังรึเปล่า และเมื่อไม่เห็นว่าจะมีสิ่งใดเคลื่อนไหวรอบตัวอีกแล้ว ประกอบกับความเชื่อมั่นในพุทธคุณขององค์พระที่พ่อชายเคยเล่าถึงประสบการณ์ด้วยแล้วค่อยคลายความกังวลลงไปได้เป็นอย่างมาก

เขาตัดสินใจด้วยความเด็ดเดี่ยวและอยากรู้อยากเห็นอย่างกระเหี้ยนกระหือรือสุดกำลัง จะเป็นเพราะเหตุใดในส่วนลึกของจิตใต้สำนึกก็ยังไม่สามารถตอบตัวเองได้ในตอนนี้ รู้เพียงแต่ว่าเขาควรจะเข้าไป ต้องมีอะไรที่สำคัญบางอย่างกำลังรอเขาอยู่ก็เป็นได้.. เขารู้สึกเช่นนั้นจริง ๆ

และสัมผัสแรกที่ได้พบเจอ มันคือความหนาวเย็นอย่างประหลาด ทั้ง ๆ ที่มันคือถ้ำ จริง ๆ แล้วมันควรจะอุ่นสิถึงจะถูก “**แต่ก็เถอะ**”  เขาคิด  “**รีบเข้าไปดูข้างในดีกว่า ว่ามีอะไรอยู่ข้างในนั้น**”

บางเวลาในความคิดก็ยังสงสัยตัวเองอยู่บ้างเหมือนกันว่า “**เราจะบ้าจนจะบิ่นเกินไปรึเปล่าวะเนี่ย ขืนเจอสัตว์ประหลาดอะไรมาเขมือบเข้าล่ะก็ จบกัน**”   ยิ่งทางเข้าที่ไม่สามารถเดินเข้าไปได้ จะทำได้ก็เพียงกระเถิบเข้าไปในท่านั่งเท่านั้น

แสงไฟยังคงสาดส่องลึกเข้าไป แต่หมอกในถ้ำนี้ยิ่งหนากว่าข้างนอกมากนักจนแสงไฟไม่สามารถตัดทะลุทะลวงผ่านเข้าไปเกินกว่าสองเมตรได้เลย ทำได้ก็แค่เพียงกระเถิบไปอย่างช้า ๆ ในขณะที่มือถือไฟฉายก็ต้องทำงานสาดส่ายซ้ายขวาล่างบนอยู่ไม่นิ่ง เพราะเมื่อตะกี้เขาเพิ่งก้าวข้ามเจ้าเม่นตัวหนึ่งซึ่งกลืนอะไรลงท้องไปสักอย่างจนทำให้มันต้องนอนดิ้นทุรนทุรายอยู่กลางทาง ลิ้นก็จุกปากจนสีแดงก่ำตาเหลือกโปน เจ้าแนวก็สงสารมันอยากช่วยมันเหลือเกิน แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะช่วยมันได้อย่างไร ดีไม่ดีจะถูกขนเม่นสังหารของมันปักเข้าคงแย่หนักขึ้นไปอีก เขาจึงขอข้ามผ่านสถานการณ์นี้ไปก่อน  “**อย่าว่ากันเลยนะเพื่อน##@@**”

ในขณะเดียวกันนั้น ณ รูถ้ำเล็ก ๆ ใต้เต็นท์นอนสีฟ้าหลังใหญ่ของครอบครัวที่น่ารักของพ่อชาย  มีหนูนาสามตัวซึ่งเวียนว่ายตายเกิดในอาณาบริเวณนี้มานมนานหลายชั่วอายุคนในถ้ำนั้นกำลังพูดคุยกันเหมือนกับจะรู้ว่าได้มีใครบางคนที่เขากำลังรอคอยอยู่ได้มาถึง ณ ที่แห่งนี้เพื่อกระทำภารกิจบางอย่างให้สำเร็จ

"ลามา คนที่เราเฝ้ารอมานานเพื่อช่วยงานเขาให้สำเร็จได้มาถึงที่นี่แล้วตั้งแต่เมื่อวาน พ่อคิดว่าเขาคงเข้าไปในถ้ำศตพรรษแล้วเป็นแน่ พ่อเองก็ไม่รู้ว่าภารกิจนี้คืออะไร แต่เราต้องช่วยเจ้าหนุ่มน้อยที่ชื่อ "แนว" ในทุกภารกิจที่เขากำลังตามหา"

"พ่อจ๋า หนูหิวมาก ๆ เลยจ๊ะ แล้วเต๊นท์สีฟ้านี่มันก็หนามากเลย หนูกัดยังไงก็ไม่เห็นจะขาดสักที เราจะทำยังไงกันดีล่ะจ๊ะ"

"เอาอย่างงี้ดีกว่า แม่ว่าเราช่วยกันขุดดินไปทางตะวันออกจะดีกว่านะ เผื่อจะมีทางออกไปได้บ้าง"

"แม่เอ้ย แม่ลืมไปแล้วเหรอว่าพ่อเพิ่งขุดไปทางตะวันออกจนไปเจอรากไม้เก่าขนาดใหญ่มาก เหนื่อยไปหมดแล้วเนี่ย"

"งั้นพ่อจ๋าก็พักให้หายเหนื่อยไปก่อนนะ ระหว่างนี้แม่กับน้องลามาจะขุดไปใต้รากไม้ใหญ่อันนั้น เพราะรากไม้มักจะเติบโตไปในทางแนวนอนเป็นส่วนมาก น่าจะมีทางให้เราไปต่อได้นะ"

"ขอบใจมาก แม่จ๋า งั้นพ่อขอเอนหลังสักแป๊บนึงนะ โอ้ย ปวดเมื่อยไปหมดทั้งตัวเลย"

จากนั้น ก็เป็นหน้าที่ของแม่ลูกนักขุดแล้วล่ะ พวกเขาขุดลึกลงไปใต้แนวโค้งของรากไม้ใหญ่ด้วยความรวดเร็วคล่องแคล่ว โดยลืมเหน็ดเหนื่อย เศษดินเศษหินเล็ก ๆ ถูกตะกุยพุ่งไปทางด้านหลังแบบไม่ต้องหันไปดูให้เสียเวลา นานจนอึดใจใหญ่จึงได้โพรงดินขนาดใหญ่ทะลุไปใต้รากไม้ เมื่อมีกองดินสูงขึ้นจนเกือบจะปิดทางกลับน้องลามาก็จะถอยกลับไปเกลี่ยหน้าดินให้เรียบและสะดวกในการเดิน

"แม่จ๋า.. พ่อหายไปไหนไม่รู้จ้ะ.. ทำไงกันดี..!"   ลามาตื่นตกใจเมื่อเดินกลับมาทางเก่าแล้วมองไม่เห็นพ่อบังเกิดเกล้า

"ไหนลูก ไหนพาแม่ไปดูสิ เค้าจะหายไปไหนได้ยังไงกัน"    ผู้เป็นแม่ไม่เชื่อหูตัวเองว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น จึงเดินย้อนมาดูให้เห็นกับตา และเมื่อเดินมาถึงจุดเดิมที่พ่อหนูนอนอยู่

"ไอ๊หยา.. พ่อหาย.. พ่อหายไปไหน.. พ่อจ๋า.. ที่รัก กลับมาหายาหยีนะจ้ะ..."

เสียงร้องเรียกกึกก้องกัมปนาทไปทั่วถ้ำน้อยของหนูนาทั้งสาม

"โอ้ย.. แม่จ๋า หูหนูจะแตกอยู่แล้วนะจ้ะ อยู่ใกล้กันแค่เนี้ยตะโกนซะดัง"   ลามาน้อยค้อนแม่เล็กน้อยก่อนจะเดินหาพ่อต่อไป

"อะไรกัน.. อะไรกัน.. เสียงดัง เอะอะ โวยวาย ไปทามมายกาน ที่ร้ากจ๋า.."

"อ้าวพ่อ ยังอยู่รึเนี่ย"    แม่หนูถามออกไป ในขณะที่กองดินใหญ่เกือบมิดทางเก่ายังกองสูงอยู่

"ช่วยกันเอากองดินนี้ออกมาเกลี่ยตามทางเดินดีกว่าลูก มาช่วยกันเร็ว"

"โอย หนักมาก ๆ เลย นึกว่าใครแอบมาห่มผ้าให้พ่อซะอีกนะเนี่ย"   พ่อหนูพูดขณะที่ส่วนหัวยังว่างจากการถูกกองดินทับถมเอาไว้

เมื่อพ่อหนูหลุดออกมาจากกองดินได้แล้ว ทั้งสามหนูก็ช่วยกันขุดถ้ำต่อไปทางตะวันออกจนกระทั่ง

"พ่อจ๋า แม่จ๋า หนูขุดไปเจออะไรก็ไม่รู้เนี่ย สีเหมือนอึมนุษย์เลย แต่มันแข็งมากนะจ้ะ"

วัตถุบางอย่างที่เจ้าลามาน้อยเจอนั้นมีลักษณะบางคมแต่แข็ง ความแข็งนั้นก็ยังไม่แข็งมากนัก ยังเป็นรอยได้จากการถูกเล็บของลามาขูดขีดไปมาในขณะทำนะแต่การขุดไปกระทบ

"ดูท่ามันคงจะใหญ่มากเลยนะลูก รึแม่ว่ายังไง พ่อเองก็ยังไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อนเลยนะ เกิดมาก็ 5 เดือนเข้าไปแล้ว"

 

 

 

 

 

-------***  โปรดติดตามตอนต่อไป  ***--------

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

----------------------------------------------------------------------------


 

 

 

 

 

 

 

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว