กลางเดือน เม.ย.2549

ผมหลับไปตอนไหนก็จำไม่ได้จริง ๆ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่มืดด้วยซ้ำ อาจเกิดจากอาการมึนหัวเล็กน้อย หรือจะเป็นเพราะข่าวที่ได้รับจากโทรทัศน์ดิจิตอลช่อง 14 เพื่อน้ำเพื่อฟ้าเพื่อป่าเพื่อคน ตอนประมาณ 5 โมงเย็นเศษ ๆ เมื่อตะกี้

ที่ว่า มีซุปเปอร์สตาร์เมืองไทย ชื่อย่อว่า "ฉ" ท่านหนึ่งได้โพสในเฟสบุ๊กของตนเองออกมาอย่างโจ่งแจ้งในความต้องการให้มีการรวบรวมกำลังคนและกำลังเงิน ในการระดมกำลังเข้าไปช่วยกันปลูกป่าที่จังหวัดน่าน ที่ภูเขาซึ่งเคยอุดมสมบูรณ์มาชั่วนาตาปีกลับต้องกลายเป็นเขาหัวโล้นไปนับสิบลูก เป็นเหตุให้ป่าต้นน้ำน่านถูกทำลายไปอย่างน่าใจหาย

เหตุจากการขาดที่ทำกินของชาวบ้านในพื้นที่ หรือกลุ่มนายทุนเงินหนากันแน่ที่อยู่เบื้องหลัง เกิดคำถามขึ้นในสังคมโซเชียลเป็นอย่างมาก คนในพื้นที่ซึ่งเป็นลูกหลานต่างก็ออกปกป้องครอบครัวตนโดยการโพสโต้แย้งถึงความยากจนเป็นสาเหตุใหญ่ ส่วนคนชั้นกลางก็จะมองในเรื่องของการทำกินในขนาดพื้นที่ที่เหมาะสมและไม่มากจนเกินไปกับขนาดของครอบครัว ซึ่งเคยได้รับรู้มาจากชาวบ้านตอนที่ผมได้ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อน ๆ แล้วสงสัยถึงการตัดไม้ทำลายป่า ผมกับไอแมวเลยไปนั่งคุยกับคุณลุงท่านหนึ่งใกล้ ๆ กับบริเวณที่ถูกบุกรุกล้ำเข้าไปในป่าสงวนทุกปี  "ไอ้หนูเอ้ย ชาวบ้านเค้าไม่มีที่ทำกิน จะให้เค้าทำยังไง คนมันจน มันก็ต้องถางเข้าไปเพื่อทำไร่ทำสวน จะได้เอาผลผลิตที่ได้ไปขายเอาเงินมาเลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย ลูกก็ต้องเรียน เค้าก็ไม่อยากให้ลูกต้องมาลำบากเหมือนกะเค้า"  นี่คือปากคำของคุณลุงท่านนั้น ซึ่งผมก็เอนเอียงเห็นด้วยกับแกในเรื่องนั้นนะ โดยยังไม่ได้คำนึงถึงองค์ประกอบอื่น ๆ เลย

หลังจากนั้น ก็มีรายการเข้าไปสัมภาษณ์เกษตรกรตัวจริงที่รุกล้ำเข้าไปในป่าและทำให้มันราบเรียบจนกลายเป็นแหล่งเพาะปลูก

พิธีกร  "พี่ทำการเกษตรในที่แปลงนี้มานานรึยังครับ"

เกษตรกร  "สิบสองปีแล้วครับ"

พิธีกร  "พี่มีที่ทำกินตอนแรกเริ่มกี่ไร่เหรอครับ"

เกษตรกร  "ตอนแรกมีอยู่แค่ 5 ไร่เอง"

พิธีกร  "แล้วพอทำกินมั้ยครับตอนนั้น"

เกษตรกร  "มันก็ไม่พอกินหรอกครับ ลูกก็โตขึ้นทุกวันเนอะ"

พิธีกร  "แล้วในปัจจุบันพี่มีที่ทำกินทั้งหมดเป็นกี่ไร่ครับ"

เกษตรกร  "ก็ไม่เยอะนะครับ แค่ 30 ไร่เอง"

พิธีกร  "แล้วพี่มีสมาชิกในครอบครัวกี่คนครับ จะทำกันไหวเหรอครับ ตั้ง 30 ไร่"

เกษตรกร  "มีกันอยู่ 3 คน พ่อแม่ลูกครับ.. ไหวไม่ไหวก็ต้องทำกันไปล่ะครับ คนจนอย่างเราเลือกได้ที่ไหน"

พิธีกร  "ขอโทษนะครับพี่สำหรับคำถามต่อไปนี้.."  สูดหายใจเข้าปอดสักหนึ่งฟืด  "เคยมีใครมาจ้างพี่ไปตัดไม้บ้างมั้ยครับ"

เกษตรกร  "ไม่มีหรอกครับที่นี่ พวกเราถางแค่พออยู่พอกิน ไม่เห็นเคยมีใครมาจ้าง"

พิธีกร  "แล้วทำไมป่าหมดไปเร็วจังครับในแต่ละปี พี่เคยสังเกตบ้างมั้ยครับ"

เกษตรกร  "ก็คนมันเยอะขึ้น คุณก็เห็นเนอะ แย่งกันกิน แย่งกันใช้ โอ้ย"

พิธีกร  "กรูไม่กล้าถามอะไรมรึงต่อแร้ววคร้าบบบ"  นึกในใจ

เสพข่าวนี้แล้วมันทำให้ผมรู้สึกขึ้นมาได้เลยว่า เมืองไทยของเราทำไมมันแก้ปัญหานี้ไม่ได้สักทีวะ...เซ็ง... ๆ ๆ ๆ.... หลังจากนอนเป่าพัดลมแก้ร้อนอยู่บนห้องเช่าเก่า ๆ ราคาถูกอยู่สักพัก ผมก็....หลับไป...

"มาทางนี้สิวะไอ้น้อง"   เสียงหนึ่งดังขึ้นในความมืด

"ใครน่ะครับ ?"     ผมถามออกไปเบา ๆ หลังจากมองไปยังเสียงนั้นในความมืด แต่มีแสงสว่างสลัว ๆ สีเขียวอมส้มเพียงเล็กน้อย แถมด้วยกลิ่นแปลก ๆ คล้ายกับกลิ่นดินคาว ๆ เหมือนกับถูกคลุกไปด้วยเลือดสด ๆ ของมนุษย์หรือสัตว์ก็สุดจะเดา ผมได้แต่เดินไปตามทางนั้นอย่างว่าง่าย แล้วทำไมต้องไปตามเจ้าคนที่เป็นเจ้าของเสียงนั้นด้วยก็ไม่รู้อีกนั่นแหละ แต่ในสมองมันสั่งให้ไปตามที่เค้าบอกมา ผมก็เลยต้องไป

"ทำไมชักช้าจังวะ ไอ้น้อง...เร็วสิ..เดี๋ยวข้าก็จับกินซะนี่.."

"ครับ...มาแล้วครับท่าน !"     เออ..ดูเอาสิ ผมกลายเป็นคนว่าง่ายตั้งแต่เมื่อไหร่กันวะเนี่ย งง..  เหมียนกัน แต่ก็เนอะ ทำไมในสมองเรามันรับรู้เหมือนกับว่าถ้าเราไม่รีบไปตามที่เค้าสั่ง นั่นแหละอาจจะทำให้เราต้องกลายเป็นอาหารมื้อดึกของท่านผู้นั้นจริง ๆ อย่างแน่นอน ทั้ง ๆ ที่สติเราก็ยังสมประดีอยู่แท้ ๆ

สักพักผมก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่อ...

"เฮ้ย....#@****"   ผมร้องอย่างเสียวสุดขีดเมื่อรู้สึกว่าตัวเองได้ตกลงไปในเหวลึกอย่างรวดเร็ว โดยมิอาจหยุดยั้งความเร็วในการร่วงหล่นนั้นได้เลยแม้แต่น้อย ในใจนึกทำใจไว้เลยทีเดียวว่า เราต้องตายเสียแล้วในวันนี้ กรรมใดที่เราเคยประกอบความดีงามแก่พระพุทธศาสนาขอช่วยดลบันดาลให้เราไปในภพภูมิที่ดีด้วยเถิด..สาธุ

"เอ้ามานี่ ไอ้หนู"    ภาพตัดฉับแบบกระทันหันไม่ทันตั้งตัว เรามาหยุดนอนอยู่กับพื้นดินเย็น ๆ โดยเอาคางเกยไว้เหมือนกับไร้เรี่ยวแรงก็ไม่ปาน  และเราก็ได้เห็นพญางูจงอางใหญ่ยักษ์ ในสมองมันสั่งให้คิดแบบนี้จริง ๆ แล้วสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเรานั้นมันก็ยิ่งใหญ่เช่นนั้น ดวงตาที่จ้องมองมายังเราแดงฉานเป็นสีเลือด ปลายลิ้นสองแฉกที่ส่ายไปมาสีชมพูอมส้ม ก็ดูน่ารักดีนะ เพราะมันเต้นตุ๊บ ๆ เหมือนจังหวะการเต้นของหัวใจเราเลย แต่เขี้ยวที่แวววาวนั้นสิ ไม่ค่อยน่าอภิรมย์สักเท่าไหร่ แต่มันสวยและดูเป็นศิลปะดีมาก ๆ หรือว่าเราจะมีหัวใจของนักศิลปะขั้นเทพหรือยังไง ก็รู้สึกแปลก ๆ กับตัวเองนะ  ถัดจากนั้นด้านขวาของเราก็คือที่มาของกลิ่นอันชวนขยะแขยงเป็นอย่างมาก มันคือกองซากศพของมนุษย์ทั้งตัวเล็กและตัวใหญ่ มีหมามีแมวและปลาช่อนตัวใหญ่ ไส้กับตับไตถูกฉีกออกมารวมกันจนแยกไม่ออกเลยว่าเป็นของใครกันบ้าง

"มองอยู่นั่นแหละไอ้น้อง.. กินซะซิเอ็ง เดินทางมาไกลนี่เรา..จัดไป ตามสบายนะ ข้าไม่กวนเอ็งล่ะ" สิ้นเสียงของเจ้าใหญ่ยักษ์ตัวเป้ง ท่านก็ค่อย ๆ เลื้อยหายไปในความมืดอย่างไม่ยากเย็นแต่ประการใด ปล่อยให้เราค่อย ๆ เขมือบซากศพนั้นเข้าคออย่างไม่ยากเย็น รู้สึกได้ว่ามันก็อร่อยไปอีกแบบนะ ความสงสัยก็พอมีอยู่บ้างนะว่าเรากินไปได้อย่างไรกันนี่

กินอยู่นานจนจุกหัวซากศพของชายหนุ่มคนหนึ่งยังคาอยู่ที่ปากของผม ๆ ก้มลงมองตัวเองที่ตรงหน้าอก มันทำไมเป็นเกล็ดล่ะ แต่เราตัวเล็กนะ เล็กมาก ๆ เล็กเท่ากับเข็มเย็บผ้า ใจมันบอกว่าเป็นเช่นนั้น ขาเรา เราไม่มีขาเหรอ.. ขาเรากลายเป็นหาง มันกวัดแกว่งได้ ก็ดีนะ รู้สึกว่าสนุกดีเหมือนกันที่ได้เป็นแบบนี้ ...... ตอนนี้เรากลายเป็น งูจงอางตัวจิ๋ว ไปแล้วหรืออย่างไร ?

"เฮ้ย..!"   ผมตกใจตื่นขึ้นมาด้วยเหงื่อท่วมตัว ทั้ง ๆ ที่เปิดพัดลมยี่ห้อมิตซูบิชิสีแดงตัวเก่งอยู่ด้วยแท้ ๆ

หลังจากที่ตื่นขึ้นมาตอนสองทุ่มสิบห้านาที ผมก็มานั่งคิดว่าความฝันนี้แปลกนะ แปลกมาก แต่ผมก็ไม่อยากคิดอะไรให้มากเกินไป จึงไปอาบน้ำอาบท่าให้สบายตัว แล้วมานั่งดูหนังฝรั่งแอ๊คชั่นบู๊มันส์เรื่องดังจากผลงานของฮอลลีวู๊ดต่ออีกเรื่องหนึ่ง จนเวลาล่วงไปประมาณสี่ทุ่ม ก็ปิดทุกอย่างแล้วหลับไปจนถึงเช้าวันอาทิตย์

"ฟินเอ๊ย...ฟิน..ตื่นได้แล้วลูก สายแล้ว"   เสียงแม่ลอยเข้ามาทางหน้าต่าง ทำให้ผมค่อย ๆ ลุกขึ้นจากที่นอน ลูบคลำขี้ตาออกด้วยความงัวเงียเล็กน้อย แล้วชะโงกหน้าออกไปทักทายผู้เป็นมารดาสักเล็กน้อย ก่อนจะออกไปช่วยแกล้างผักล้างจาน หั่นหมูหั่นกระเทียม ทำกับข้าวกินกันสำหรับวันหยุดสบาย ๆ แบบนี้ ทำกับข้าวไปก็ดูข่าวในทีวีไปด้วยพลาง ๆ เพลิน ๆ

"กลับมาเถิดวันว้าน.. เฮอ เฮ้อ เฮอ เห่อ.."    ทำไปก็ร้องเพลงเล่นไปในครัวซึ่งอยู่ติดกับห้องรับแขกที่มีทีวีตั้งอยู่ ทำให้รู้สึกนึกชมผู้เป็นพ่ออยู่ในใจเงียบ ๆ ว่าแกก็คิดการณ์ไกลนะเนี่ย คนทำครัวก็จะได้ไม่เหงาด้วย แต่ตอนนี้พ่อผมไม่ได้อยู่บ้านหรอกครับ แกไปเป็นมัคทายกประจำวัดบางจงอางใหญ่ ทึ่จังหวัดน่าน ทางภาคเหนือโน่น เดือนนึงจะกลับมาสัก 5-6 วัน แล้วก็กลับไปช่วยงานที่วัดต่อ ซึ่งแม่ผมก็ไม่ได้ขัดศรัทธาแกแต่อย่างใดเลย

"รู้ดี..เธอน่ะใจร้าย..แต่ก็ไม่วายจะ.."   ร้องได้แค่นี้จริง ๆ หลังจากนี้..ลืมเนื้อ !!  อิอิ แต่ก็ชอบนะครับวงนี้ แนวดี

"นี่พี่ฟิน จะร้องเพลงอะไรก็ไม่เห็นว่าจะจบสักเพลง..เฮ้อ..ไม่ร้องดีกว่าป่ะ ?"   เจ้าน้องชายคนเก่งตัวแสบ สิงห์คะนองนา เพิ่งกลับมาจากไปซื้อน้ำเต้าหู้กะปาท่องโก๋ให้แม่ตั้งแต่เช้า ด้วยจักรยาน BMX สีเขียวคู่ใจ ถึงเค้าจะกวน ๆ ไปสักนิด แต่เค้าก็เป็นน้องชายที่น่ารัก และกำลังจะขึ้น ป.6 แล้วล่ะครับ ก็กำลังซนได้ที่ทีเดียว และผมก็มักจะไม่ใส่ใจถือสาคำพูดของน้องแต่อย่างใด ก็เค้าเป็นน้องชายผมนิ่ครับ เจ้าน้องชายตัวแสบ

"เอาน่า ทน ๆ ฟังเอาหน่อยไอ้น้อง เดี๋ยวก็ชินไปเอง..นะ นะ.... มา ๆ ช่วยกันทำกับข้าวดีกว่า มา"

ไม่นานพวกเราสามคนก็มานั่งล้อมวงกันทานข้าวเช้าฝีมือแม่ครัวประจำบ้านแสนอร่อย นั่งกินข้าวไปแซวกันไปเป็นที่สนุกสนานกันเลยทีเดียว  สักพักแม่ก็เริ่มชักชวนให้พวกเราไปเยี่ยมหาพ่อกันที่น่านบ้าง แกถามความคิดเห็นว่าจะไปกันมั้ย ถ้าจะไป เมื่อไหร่ถึงจะเหมาะ ผมบอกกับแม่ว่า ช่วงนี้ก็น่าจะดีเพราะผมกำลังจะได้งานที่กรุงเทพฯ ในเดือนหน้า ไปหาพ่อสักอาทิตย์นึงแล้วค่อยกลับก็น่าจะ ตอนนี้ก็ใกล้หน้าฝนเข้ามาแล้วด้วย เจ้าน้องชายก็ไม่ได้ขัดข้องอะไรเพราะอยู่ในช่วงปิดเทอม กลับมาก็เปิดเทอมพอดี เป็นอันว่าสรุปตามนั้น

สองวันต่อมา...

"ฟิน ขึ้นไปบนบ้านแล้วหยิบมือถือของแม่มาให้ที แม่ลืมไว้ข้างบนโน่นแน่ะ"

"แม่วางไว้ตรงไหนล่ะครับ.."

"แม่วางไว้.. น่าจะ ตรงหัวเตียงนะลูก ถ้าไม่มีก็หน้าโต๊ะเครื่องแป้งนะ ไปลองไปดูให้แม่ที"

"ครับ.."   สิ้นเสียงแม่บังเกิดเกล้า ผมก็รีบวิ่งตื๋อขึ้นไปยังชั้นสองของบ้านไม้ครึ่งปูนโดยด่วน ขณะที่ผมกำลังกึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้ามาในบ้าน ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ในบ้านทั้งสิ้น แต่กลับมีเสียงหนึ่งไม่ดังมากนัก ถ้าไม่สังเกตดี ๆ อาจไม่ได้ยิน เสียงนั้นมีลักษณะครืดคราด ๆ กับพื้นไม้อยู่ข้างบนแปลก ๆ และไอ้เสียงเจ้ากรรมนั้นมันทำให้ผมนึกไปถึงเพื่อนคนหนึ่งที่โรงเรียนได้ดี ไอแมวเพื่อนซี้ผม มันเคยบอกผมเอาไว้ตอนที่เรานั่งดูหนังฝรั่งแนวผีเฮี้ยนด้วยกัน “ไอฟิน มึงรู้ปะ ถ้าเป็นกูได้ยินเสียงแปลก ๆ แบบเนี้ยนะ ขอบอกว่ะ กูไปดูแน่นอน ไม่มีหลบคร้าบบบ ไอแมวโว้ยเพื่อน...”  นั่นแหละที่ทำให้ผมนึกถึงมันขึ้นมาอย่างกะทันหัน ไอบ้าแมว มันน่าจะอยู่ตรงนี้กะผมนะ ผมจะให้มันนำทางขึ้นไปเลย ไอยอดฮีโร่ตัวดี

แต่ตอนนี้ มีเพียงผมกับสิ่งที่ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า มันคือ หรือ เขาคือ อะไรกันแน่หว่า  ยังไงแม่กับน้องชายตัวกลั่นก็กำลังรอผมอยู่ที่ปากทางหน้าสวนชมพู่ห่างออกไปสัก 300 เมตร เห็นจะได้ ซึ่งไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็นว่า ผมกำลังจะได้พบได้เจอกับอะไรเป็นแน่

เอาน่า.. ผมค่อย ๆ ย่องขึ้นบันไดไปทีละขั้นอย่างยากลำบากนักหนาอะไรเพียงนี้ มันช้าซะจนผมนึกรำคาญตัวเองซะด้วยซ้ำไป เฮ้อ.. พอนึกรำคาญตัวเองขึ้นมาก็พลันก้าวเท้าซะยาวพรวดพราดขึ้นไปจนถึงครึ่งทางหักมุมของบันได แต่สิ่งที่ยังพอมองเห็นได้ก็มีเพียงระเบียงกับประตูห้องของแม่กับพ่อเท่านั้น จึงย่องเบา ๆ ขึ้นไปต่ออีกนิดแล้วหยุดนิ่ง จนแทบไม่หายใจเลยก็ว่าได้

ผมพยายามใช้หูที่ไม่เคยได้ใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพเท่ากับครั้งนี้มาก่อนในชีวิต ผมย่องขึ้นหนึ่งขั้น ผมหยุด ผมฟัง หายใจให้เบาที่สุดเท่าที่มันจะทำได้แล้ว สายตากวาดไปทั่ว หลังคา บันได ระเบียง ประตู แสงที่ลอดออกมาใต้ประตู สังเกตทุกอย่างอย่างละเอียดละออมาก ๆ ไอฟินอย่างผมเนี่ยได้กลายเป็นคนละเอียดสุด ๆ ไปแล้วโดยไม่รู้ตัวหรือเนี่ย

ผมขึ้นมาถึงชั้นบนและค่อย ๆ ก้มลงเอาแก้มแนบพื้นหน้าประตูห้องแม่ พยายามใช้สายตาสอดส่องเข้าไปในแสงสลัวภายในห้อง แต่มันก็ไม่ค่อยชัดนัก เสียงที่ได้ยินเมื่อสักห้านาทีก่อนหน้า เงียบหายไป หรือจะหูแว่วไปเองซะเรา หรือเราจะคิดมาก กลัวผีมากเกินรึเปล่า ดูหนังเยอะไป โดยเฉพาะหนังผี ไอบ้าฟิน เรานี่เองว่ะสงสัย  ถอนหายใจยาวออกมาแล้วเอากุญแจห้องมาไขกุญแจเปิดออก.. แล้วผมก็ต้องชะงักงันไปอีกรอบ ถอยผงะชนประตูแรงจนเกิดเสียงปะทะดังตึง

กลิ่น.. กลิ่นอะไรในห้องแม่ ยังดีที่ยังแค่บ่าย 3 โมง นี่ถ้าเป็น 3 ทุ่ม มีหวังป่าราบเป็นแน่ ผมคงวิ่งไปกระเจิดกระเจิงไม่รู้ทิศรู้ทาง มีหวังชนโน่นนี่นั่นปากคอแตกกันบ้างล่ะ กลับมาพูดถึงกลิ่นซึ่งกำลังกระแทกใจผมอยู่ตอนนี้กันดีกว่า มันมีความคาวจนชวนขนหัวลุกเลยทีเดียว มันทำจนผมนึกย้อนไปถึงความฝันเมื่อคืนนั้น ในถ้ำลึกลับนั้น กับเจ้างูจงอางยักษ์เจ้าถิ่นตัวเป้งที่ชอบทำตัวกำแหงจนผมรู้สึกอยากต่อยหน้ามันซะให้ ฮึ่ม..

"แม่กำลังรอเราอยู่"  ผมนึกในใจ จึงค่อย ๆ ย่องไปที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งของแม่ ซึ่งเต็มไปด้วยเครื่องประทินผิวพรรณยี่ห้อต่าง ๆ ที่ผมไม่รู้จักกะเค้าหรอกครับ เยอะจัง.. แต่ก็ยังไม่เจอมือถือของแม่สักที ลองแหวกตรงนั้นทีตรงโน้นทีก็แล้ว มองไปรอบ ๆ หน้าโต๊ะเครื่องแป้งมีเสื้อคลุมสีเขียวอ่อนเก่า ๆ ที่แม่มักใส่อยู่เป็นประจำ และมันก็มีกระเป่าสองข้างลึก ๆ เอาไว้พอใส่ของได้บ้าง ผมจึงลองล้วงมือลงไปดูข้างซ้ายไม่มี แต่ข้างขวา.. อยู่นี่เอง "เย้.." ดีใจจัง

ได้มือถือมาจึงรีบเอาเป้ด้านหลังของผมออกมารูดซิปออก แล้วเอามือถือใส่เข้าไว้ในเป้ก่อนรูดซิปปิดให้เรียบร้อยแน่นอนว่าจะไม่ทำมันหล่นหายไปอีกครั้ง..  ขณะก้มลงมองเป้มองซิปที่รูดก็พลันเหลือบไปเห็นรอยอะไรแปลก ๆ จากปกติที่จะมีในห้องแม่ได้ จนอุทานออกมาเบา ๆ อย่างกระทันหัน  "เฮ้ย.."  "รอยอะไรวะ..?" นึกในใจจนเกิดคำถามกับตัวเอง

ผมรีบไปเปิดไฟให้เห็นได้ชัดขึ้นทันที  "เฮ้ย.."  นี่มันรอยคล้ายคราบงูขนาดใหญ่ กว้างประมาณ 1 ฟุต แต่ก็ไม่ชัดมากนัก ซึ่งพอจะเห็นได้แค่ลาง ๆ เท่านั้น ดูเหมือนจะมาจากทางหน้าต่างหลังบ้านซึ่งเป็นสวนผลไม้เก่าซึ่งบัดนี้ก็ปล่อยร้างไว้เจ้าของไม่ได้มาบูรณะตั้งนมนานมาแล้ว รอยมาหยุดที่ตรงกลางบ้าน.. "รีบลงไปดีกว่าเรา..คงไม่มีอะไรหรอกน่า"

มันก็เป็นปริศนาอันหนึ่ง ที่ทำให้ผมต้องคิดไปเรื่อยเป็นการบ้านได้เหมือนกันขณะที่กำลังนั่งรถตู้ของญาติข้างพ่อเพื่อไปหาพ่อในครั้งนี้..

สามวันแล้วที่ได้มาพักอยู่กับพ่อ..

ไม่ได้เจอพ่อซะนาน ดูแกยังสดชื่นแจ่มใสดี คงเพราะได้อยู่ช่วยงานกับวัด กับอากาศดี ๆ ที่นี่ แต่ป่าบริเวณนี้ก็ถูกบุกรุกถากถางไปจนมันเหลือน้อยลงเรื่อย ๆ แล้ว แต่ก่อนอากาศอาจไม่ร้อนแบบนี้มาก่อน พอมาครั้งนี้เมื่อผมโตเป็นหนุ่มก็รู้สึกได้เลยว่า "ร้อนโคตระเลย"  นึกไปถึงเรื่องป่าเรื่องน้ำเรื่องคนเรื่องความอยากอันไม่จบสิ้น  "เซ็งว่ะ"  ได้แต่บ่นกับตัวเองแบบนั้นไป

ที่วัดบางจงอางใหญ่ ตำบลจงอางใหญ่ อำเภอวังงู จังหวัดน่าน แห่งนี้ ยังคงเป็นวัดที่มีพระสงฆ์จำนวนไม่มากนัก กุฎิยังเป็นเรือนไม้กลางเก่ากลางใหม่อยู่เป็นส่วนมาก มีเพียงกุฎิของเจ้าอาวาสท่านเท่านั้นที่ได้ก่อสร้างเป็นปูนทั้งหลังตามแบบที่เค้านิยมกันทั่วไปหลาย ๆ วัด ก็ไม้บ้านเรามันหายากมากขึ้นทุกวัน ๆ แต่ก็อีกแหละ  "ถึงกุฎิจะเป็นปูน ไอพวกนายทุนมานก็ระเบิดมาจากภูเขาสวย ๆ อยู่ดี"  ทำไมคนไทยถึงไม่รักธรรมชาติเหมือนบ้านอื่นเมืองอื่นกันบ้างนะ ผมสงสัยจัง

ผมเปิดทีวีในบ้านพักของพ่อซึ่งไม่ไกลจากวัดมากนักดูกับแม่สองคน ส่วนเจ้าน้องชายไปยืมจักรยานของอาแม้นน้องชายพ่อและคงกำลังปั่นซิ่งเพลินไปแล้ว เสียงจากทีวีเครื่องเก่าของพ่อซึ่งผมเพิ่งเอาผ้าชุบน้ำบิดหมาดมาเช็ดเมื่อตะกี้ก่อนจะเปิดมันทดสอบว่ายังใช้ได้ดีหรือเปล่า "ญาติของสองสามีภรรยาซึ่งถูกจับกุมในข้อหาตัดไม้ในป่าสงวนแห่งชาติน้ำผาผึ้งหวาน จังหวัดอุดรธานี ร้องเรียนมายังช่อง 14 ของเรานะคะว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากเจ้าหน้าที่ป่าสงวนและเจ้าหน้าที่ตำรวจ ขอให้ช่วยรื้อฟื้นคดีขึ้นมาใหม่ด้วย เพราะสองสามีภรรยาเพียงแค่เข้าไปตัดหน่อไม้มาทำกับข้าวสำหรับพอกินแค่วันสองวันเท่านั้น และไม่ได้มีอุปกรณ์ในการตัดไม้แต่อย่างใด พาหนะก็มีแค่รถจักรยานยนต์คันเดียว........ฯลฯ........"

ไม่รู้เป็นอะไรเหมือนกันที่เกิดขึ้นกับตัวผม เคยจำความได้ว่า ตอนเป็นเด็กไม่เคยสนใจจะดูข่าวสารบ้านเมืองหรือความเดือดร้อนของใคร จะเป็นยังไงก็ช่างหัวมัน ตอนวัยรุ่นก็ยังเฉย ๆ เจอข่าวเป็นเปลี่ยนช่องตลอด ๆ พอมาตอนนี้กลับตั้งใจฟังตั้งใจดูอย่างละเอียดว่ามันเกิดอะไรขึ้น ใครน่าจะผิด ใครน่าจะถูก ใครทำหน้าที่ของตัวเต็มที่หรือยัง ใครขาดจิตสำนึก เพราะสิ่งเล็ก ๆ ในสำนึกของแต่ละคนนั้นจะเป็นสิ่งบ่งชี้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับสภาพแวดล้อมโดยรวม มันไม่ใช่สิ่งเล็ก ๆ อีกต่อไปแล้ว

ถึงแม้ผมจะอายุแค่ 23 และเพิ่งจะเรียนจบด้านนิติศาสตร์มาใหม่ ๆ แต่ผมก็มีใจรักธรรมชาติป่าเขา และอยากให้มันดำรงอยู่ไปตราบนานเท่านาน ผมอยากทำงานด้านอนุรักษ์ ทั้ง ๆ ที่เคยเห็นเคยได้ยินมามากมายว่า คนที่เป็นนักอนุรักษ์มักจะจบชีวิตก่อนวัยอันควรซะเป็นส่วนมาก.. ก็ได้แต่หวังเอาไว้ลึก ๆ ว่า ความเป็นนักกฎหมายของผมอาจจะพอช่วยให้ป่าเขาเมืองไทยยั่งยืนเขียวขจีให้พวกเราได้ชื่นชมไปอีกนาน รวมถึงมีการตระหนักถึงความสำคัญของธรรมชาติกันให้มากกว่าใน พ.ศ.นี้

นั่ง ๆ นอน ๆ ดูทีวีกับแม่อยู่นานจนเที่ยงแล้ว เจ้าน้องชายตัวดี ก็ยังไม่โผล่หน้ามาสักที

"เจ้าฟิล์มมันไม่หิวข้าวรึไงกันน้า.. ฟิน เอ้ย ไปตามน้องมากินข้าวได้แล้วลูก ไป"

"ครับ แม่ เดี๋ยวผมออกไปดูเอง"  "ดีเหมือนกัน เราจะได้ไปยืดเส้นยืดสายข้างนอกเสียบ้าง อยากไปสูดอากาศป่าเขาซะหน่อย"

ลงจากเรือนพ่อมา ผมก็เดินไปหาอาแม้นอีกเรือนหนึ่งใกล้ ๆ กัน ซึ่งมีต้นมะม่วงแก้วสามฤดูคั่นกลางเอาไว้ ใครหิวก็ได้เจ้านี่แหละ และคงไม่ต้องปีนขึ้นไปเก็บให้เมื่อย เพราะลูกของมันดกมาก เก็บกวาดกันแทบไม่ทัน ต้องช่วยกันเก็บล้างแล้วเอาใส่ไว้ที่จุดวางตะกร้ามะม่วงที่ถูกสร้างขึ้นไว้เป็นจุดรวมมะม่วงสุก ใครหิวก็มาหยิบไปทานกันตามสะดวก ใครว่างก็มาช่วยเก็บกวาด ลูกไหนเน่าแล้วก็เก็บทิ้งไป มองไปแล้วตอนนี้มันก็เรียบร้อยดี แต่เช้าบ้านอาแม้นคงมาเก็บกวาดก่อนแล้ว

ยืมรถจักรยานคันใหญ่ของอามาได้ผมก็ปั่นตัวปลิวออกไปตามหาน้องทันที ท่ามกลางบรรยากาศสบาย ๆ เพราะหน้าบ้านมีต้นไม้ใหญ่หลายต้นหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น สักทอง ทุเรียน มังคุด ตะแบก มะม่วง และมะขาม ช่วยเพิ่มร่มเงาให้ผู้อยู่อาศัยได้อย่างดีทีเดียว นั่นอาจจะเป็นเหตุผลให้พ่อผมไม่อยากอยู่ในกรุงเทพ ฯ นาน ๆ ก็เป็นได้

วิ่งมาตามทางโค้งซ้ายไปเรื่อย ๆ ถึงแดดจะแรงสักหน่อย แต่ลมก็พัดให้ได้สบายอยู่ตลอดทาง ห่างจากบ้านออกมามีทิวเขาทิวไม้ใหญ่น้อยมามิได้ขาด รู้สึกชื่นใจอย่างบอกไม่ถูก คงเพราะต้นไม้ช่วยบังแดดร้อน ยิ่งมีต้นไม้ใหญ่ร่มเงาเยอะก็ยิ่งมีร่มเงาใต้ต้นไม้มาก เมื่อมีร่มเงาใต้ต้นไม้มากเป็นบริเวณกว้างยิ่งทำให้เกิดความเย็นสบายเกาะกันเป็นปึกแผ่น ร่มเงาแห่งความเย็นนี้ทำให้เกิดความชื้น และความชื้นทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตจำนวนมากมายตามมา สัตว์น้อยใหญ่จึงชอบที่จะอาศัยอยู่ในเขตแนวที่มีความชื้นมีความเย็นสบาย เกิดต้นไม้เล็ก ๆ ขึ้นอย่างหลากหลาย สิ่งเหล่านี้อาจรวมตัวกันเป็นแหล่งกำเนิดต้นน้ำลำธารอันใสเย็นให้มนุษย์เราได้ดื่มด่ำความฉ่ำเย็นหลั่งไหลลงมาหล่อเลี้ยงมวลมนุษย์ตั้งแต่อดีตย้อนไปเป็นหมื่นเป็นแสนปีมาแล้ว  แต่ความโลภแท้ ๆ ที่ทำให้ธรรมชาติที่เคยดูแลเราต้องมา.....  "น่าเวทนา ไอความโลภในจิตใต้สำนึกของมนุษย์..ึเหม็นนี่เสียจริง"   ผมถอนใจยาว

ห่างบ้านพ่อออกมาประมาณสักสองกิโล (กิโลเมตร) เห็นจะได้ มองไปทางฝั่งซ้ายที่เทลึกลงไปเป็นทางสโลปไกล ๆ ก็เห็นเจ้าฟิล์มกำลังปีนต้นลำไยใหญ่อยู่อย่างขะมักเขม้น ในมือก็มีกิ่งไม้ยาว ๆ อันหนึ่งถือไว้ด้วยอาการเหยียดมือเหยียดแขนออกไปสุด ๆ เพราะเจ้าพวงลำไย 4-5 พวงใหญ่ ๆ กระจายกันออกไปอยู่รอบ ๆ ต้นห่าง ๆ กันไป ไม่มีเลยที่จะห้อยระย้าลงมาเรี่ยดินให้เก็บกินอย่างง่ายดาย จักรยานคันเล็กจอดตะแคงอยู่ริมถนนราดยางเข้ามาในบริเวณแนวต้นหญ้าที่ขึ้นยังไม่สูงมากนัก

"ฟิล์ม"  ผมตะโกนเรียกน้อง     "ฟิล์มมมม เอ้ย"

"เฮ้ย"  เจ้าฟิล์มท่าทางตกใจจนกิ่งไม้ยาวพลัดหลุดจากมือลงมาปักอยู่ใต้ต้นไม้

"เป็นอะไรรึเปล่าฟิล์ม.."  วางจักรยานแล้วผมก็วิ่งตื๋อตามแรงดึงดูดของโลกลงไปหา แบบไม่ต้องออกแรงแต่อย่างใด เพียงแต่ต้องสับขายกให้เร็วเท่านั้น มิเช่นนั้น อาจเป็นเช่นนี้..  "เฮ้ย..โอ้ย.."   วิ่งมาครึ่งทางแล้วสะดุดเข้ากับกิ่งไม้ผุ ๆ ท่อนหนึ่งเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ ยังดีที่เคยฝึกการม้วนหน้ามาในตอนเรียนชั้นมัธยมหนึ่งในวิชาพละศึกษา จะได้ใช้ประโยชน์กันก็คราวนี้แหละ พุ่งม้วนไปเสร็จก็กลิ้งต่อไปอีกสักหน่อย ถึงกับนอนแผ่หรากันเลยทีเดียว  "โอ้ย.."

"เป็นไรรึเปล่าพี่ฟิน.."  เจ้าน้องชายกลับมาเป็นห่วงพี่ชายแทนซะแล้ว และรีบกุลีกุจอลงจากต้นลำไยมาดูพี่ชายโดยไม่ชักช้า

"โอย..พี่ไม่เป็นไรมากหรอก เคล็ดหลังกับไหล่ขวานิดหน่อย โอย.."  ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนกล่าวกับน้องชายต่อ  "ไปนั่งพักกันที่ใต้ต้นไม้ดีกว่าฟิล์ม"

"ไปใต้ต้นไม้กันดีกว่าพี่"  ฟิล์มเข้ามาประคองพี่ชายไปนั่งใต้ต้นลำไย

ต้นลำไยซึ่งแผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาได้เป็นอย่างดี ถึงแสงแดดจะไม่ร้อนมากนัก แต่การได้เข้ามานั่งอยู่ในร่มเงาของต้นไม้ใหญ่นั้นมันให้ความรู้สึกที่ดีมาก ๆ ทีเดียว "ลมพัดเย็น ๆ ชวนนอนเป็นที่สุด"  ผมก็ได้แต่นึกไป  พักได้สักครู่จึงมีแรงปีนขึ้นไปช่วยกันเก็บลำไยสักพวงสองพวงกะว่าจะเอากลับไปฝากแม่กับพ่อก็น่าจะดี ผมถือพวงใหญ่ เจ้าฟิล์มถือพวงเล็กหน่อย เราสองคนกำลังเดินมุ่งขึ้นไปที่จักรยานจอดนอนเอาไว้ พลันก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลังของผมและน้อง...

"เดี๋ยวซีหนุ่มน้อย"  เป็นเสียงของผู้ชาย   "ได้ของกินแล้วก็จะไปเลยรึไงเล่า"   เจ้าของเสียงใช้คำพูดราวกับว่าเค้าคือเจ้าของลำไยต้นนั้น

ผมกับน้องชายหันไปมองเกือบจะพร้อมกัน ก็เห็นลุงคนหนึ่งในชุดสีเทาเก่า ๆ ซีดทั้งชุด มีหนวดเครารุงรัง ที่ไหล่ขวามีถุงผ้าแบบถักสีขาวห้อยอยู่ ในถุงนั้นเหมือนมีกล่องข้าวสเตนเลสสีเงินแวววับใส่อยู่ด้วย

ชายแปลกหน้า  "ลำไยน่ะ เอาไปกินได้นะไอ้หนู แต่เอ็งสองคนน่ะกลับมานี่ก่อน ข้ามีอะไรจะคุยด้วย"

ผมกับน้องชายหันมามองหน้ากัน พยักหน้าน้อย ๆ แล้วค่อยเดินไปหาชายแปลกหน้าคนนั้น ทั้งสองหยุดเดินก่อนถึงตัวลุงคนนั้นสัก 5 เมตรได้

ผม   "คุณลุงมีอะไรเหรอครับ"

ชายแปลกหน้า   "มีของกินน่ะซี เอ็งจะเอาลำไยกลับไปข้าไม่ว่านะ แต่เอ็งต้องกินอาหารกับข้าก่อน"

ผม   "อาหารอะไรเหรอครับ ถ้าแปลก ๆ ผมไม่ทานนะ ทานไม่เป็นหรอกลุง"

ชายแปลกหน้า   "อะไรวะ ยังไม่ทันเห็น ก็จะเบี้ยวข้าซะแระ"

ผม   "งั้น ผมไม่เอาลำไยลุงก็ได้นะครับ เอ้าผมคืนหมด 2 พวงเรยยยย"

เจ้าฟิล์ม   "ไม่เอาก็ได้"

ชายแปลกหน้า    "ไม่เอาไม่ได้ พวกเอ็งเด็ดมันออกจากขั้วไปแล้ว ข้าจะไปต่อกลับให้มันเหมือนเดิมก็ไม่ได้แล้ว ข้าไม่ใช่ผู้วิเศษนะไอ้หนู"

ผมกับเจ้าฟิล์มมองหน้ากันส่ายหัวเบา ๆ แล้วถอนหายใจแทบพร้อมกันในวินาทีนึง

ชายแปลกหน้า   "เอาอย่างงี้ไอ้หนู เจ้าตัวเล็กเอาลำไยกลับบ้านไปก่อน ข้ารู้ว่าพ่อแม่ของเอ็งคงรอกินข้าวกลางวันอยู่.. ส่วนเจ้าคนโตอยู่กินของกับข้าก่อน แล้วค่อยกลับตามไป เอ็งจะว่ายังไงวะ"

เมื่อผมเห็นว่าน้องจะปลอดภัยกว่าจึงหันไปพยักหน้าให้น้องกลับไปก่อน และส่งลำไยพวงใหญ่ให้น้องไป

ผม   "แล้วฟิล์มจะหิ้วยังไงล่ะเนี่ย ต้องปั่นจักรยานด้วย"

เจ้าฟิล์ม   "ไม่เป็นไรหรอกพี่ เดี๋ยวฟิล์มใส่ถุงพลาสติกไปได้ เมื่อตะกี้เห็นกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่ข้างบนโน่น"

ผม   "ได้ ๆ ขี่รถดี ๆ นะฟิล์ม ระวังรถด้วย"

แล้วผมก็ได้เผชิญหน้ากับคุณลุงแปลกหน้าสองต่อสอง หรือจะเรียกว่า หนึ่งต่อหนึ่ง ก็ไม่ผิดนะครับ  จากนั้นคุณลุงก็ชวนให้ผมนั่งลงกับแกที่ใต้ต้นลำไยใหญ่นั้น บรรจงหยิบกล่องอาหารนั้นออกมาวางตรงหน้าผมและแก

ชายแปลกหน้า   "เอ้าไอ้หนู เอ็งเปิดกล่องอาหารได้แล้ว ข้าก็หิวแล้ว"

ผม   "คุณลุงหิวก็แทนที่จะทานคนเดียวก็หมดเรื่องเนอะ จะให้ผมมาแย่งคุณลุงกินอีก"

ชายแปลกหน้า   "เอ็งนี่ นอกเรื่องไปเรื่อย เอ้าเปิดตามที่ข้าบอกก็พอ"

ผมก็รู้สึกแปลก ๆ นะที่ใครเขาจะเอาของอร่อยมาแบ่งให้คนอื่นกินด้วย มันไม่ใช่ธรรมดาแน่ ๆ ก็ให้รู้สึกหวาดระแวงอยู่เหมือนกัน  "แต่ก็เอาเหอะ ในเมื่อมีแต่เราคนเดียวที่ต้องมาลุยมาลุ้นกับคนแปลกหน้าและดูเหมือนจะไม่เต็ม รึเปล่า.."   เปิดฝากล่องออกก็เห็นเป็นผัดกะเพราซึ่งมีเนื้อที่เราไม่คุ้นในกลิ่นเลย หมูสับหรือไก่น่ะคงไม่ใช่

ผม   "เนื้ออะไรครับเนี่ยคุณลุง"

ชายแปลกหน้า   "เนื้อ 7 สวรรค์"

ผม   "อะไรกันครับ เนื้อ 7 สวรรค์ ผมไม่เห็นจะเคยได้ยินมาก่อน"

ชายแปลกหน้า   "สิ่งนี้จะทำให้เอ็งใจกล้า เป็นคนกล้า เชื่อข้าสิ.. มา ๆ กินกันได้แล้ว"

คุณลุงหยิบช้อนยาวส่งให้ผมคันนึง ส่วนคุณลุงให้ช้อนสั้นตักผัดกะเพราเนื้อ 7 สวรรค์ใส่ปากที่เต็มไปด้วยหนวดเครา ขบเคี้ยวอย่างน่าอร่อย แล้วพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้ผมต่อจากแกได้เลย แถมยังยิ้มหล่อให้ผมอีกนะ ดูแกกินแล้วแกคงมีความสุขมากเลยนะ ผมเลยตักเนื้อสวรรค์ลองสักหน่อยสิ ว่าจะอร่อยแค่ไหนกัน "อื้อ..ใช้ได้"  เนื้อ 7 สวรรค์ แปลกดี ทั้งหอมทั้งเผ็ดอย่างประหลาด ชิมไปคนละคำคุณลุงก็ควักกระติ๊บข้าวเหนียวเล็ก ๆ ออกมาจากถุงผ้า แล้วจัดแจงแบ่งปันให้ผมอย่างกะลูกหลานของแก เราสองคนกินกันไปคุยกันไป...

ผมรู้สึกว่ามีความสุข จิตใจปล่อยว่าง โล่ง ลมพัดเย็น อากาศเริ่มเย็นสบาย

"พี่ฟิน.. พี่ฟิน.. ตื่นได้แล้วพี่ ตื่น ๆ แม่ให้มาตามพี่กลับบ้าน"

ผมลืมตาตื่นขึ้นด้วยสภาพร่างกายและจิตใจที่โล่งอย่างบอกไม่ถูก มันรู้สึกสบายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลยจริง ๆ แต่ก็แปลกใจอยู่นะที่ตื่นขึ้นมาแล้วเจอเจ้าฟิล์ม ทั้ง ๆ ที่จำได้ว่าเมื่อตะกี้ยังนั่งกินผัดกะเพราเนื้อ 7 สวรรค์อยู่แท้ ๆ  ผมปั่นจักรยานกลับบ้านกับน้องชายแบบงง ๆ พอถึงบ้านแม่ก็ซักไซ้ไล่เรียงว่ามันเกิดอะไรขึ้น เป็นอะไรรึเปล่า ทำไมไม่รีบกลับบ้าน เพราะตอนที่เจ้าน้องชายไปเรียกนั่นก็ประมาณ 5 โมงเย็นเข้าไปแล้ว แม่กับพ่อก็เห็นท่าไม่ดีด้วย จึงรีบให้ไปตามกลับบ้าน

เช้าวันต่อมา

พ่อพาผมไปเป็นเพื่อนในงานทำบุญบ้านที่หมู่บ้านท่าตะโก้ขาว เราออกกันตั้งแต่ตี 5 ด้วยรถเครื่อง (รถมอเตอร์ไซค์) คันเก่าสีขาวยี่ห้อฮอนด้า ผมชอบเสียงของมัน อาจไม่ดังบรึ้มมม ๆ ๆ เหมือนกับรถฮาเล่ย์จากฝั่งตะวันตกแต่มันก็คลาสสิคไปอีกแบบ และก็เหมาะกับชีวิตชนบท มันเหมาะกับพ่อผมนะผมว่า สำหรับชีวิตที่พอเพียง ในงานนั้นหลังจากพระสงฆ์ฉันเช้าเรียบร้อยแล้วพ่อกับผมก็ได้มีโอกาสได้นั่งคุยกับชาวบ้านแถบนั้นซึ่งทุกคนล้วนมีที่ดินทำไร่ทำสวนกันทั้งนั้น แล้วผมก็ได้เดินเข้าไปในวงสนทนาของพ่อกับคุณตาท่านนึงในขณะที่ท่านทั้งสองคุยกันไปได้สักระยะแล้ว

คุณตา   "ตาไม่อยากพูดหรอก เรื่องแบบนี้ มันขึ้นอยู่กับใจคน"

พ่อ   "ผมก็ไม่อยากเห็นใครทำลายป่าบ้านเราให้หมดไปทุกวัน ๆ แบบนี้เลยคุณตา แต่ไหนแต่ไรบ้านเราอากาศดีมาก สักบ่าย 3 ฟ้าครึ้มหมอกจับไปทั่ว เย็นสบายมากเลยครับ มาตอนนี้..ร้อนเหลือเกิน ร้อนจนถึงเย็นโน่น เอาป่ามาปลูกข้าวโพดส่งขายโรงงานกันซะหมด ไปทำเป็นอาหารเลี้ยงสัตว์ แล้วก็เอาสัตว์นั้นมาขายให้คนไทยกิน"  จบประโยคแกก็ถอนหายใจ

ผม   "นั่นสิครับ ผมอยากรณรงค์ให้คนไทยเลิกกินข้าวโพดไปเลย เลิกกินหมูไก่จากโรงงานระดับประเทศไปเลยดีกว่า"

คุณตาและคุณพ่อหันมามองหน้าผมพร้อม ๆ กัน แล้วก็พยักหน้าน้อย ๆ นัยว่าเห็นด้วยกะแกนะไอ้หนู กลับมาถึงวัดแล้วผมมานั่งเล่นกับพ่อที่หลังวัด มีต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาร่มเย็นสบายดี ผมเองก็นั่งเล่นมือถือไปพลาง พ่อก็ไปเปลี่ยนเป็นชุดลำลองแล้วหยิบตะกร้อมาเดาะเล่นเป็นการออกกำลังกายเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่เสริมทักษะได้อย่างดีไปด้วย มิน่าล่ะพ่อผมถึงได้แข็งแรงอยู่เสมอ

สักครู่พ่อก็มานั่งพัก แล้วเล่าเรื่องที่ได้คุยกับคุณตาเมื่อเช้า

พ่อ  "พ่อรู้ว่า ฟินมีความรู้สึกรักป่ารักภูเขาและธรรมชาติเหมือนๆ กับพ่อ"

ผม  "ใช่ครับ ผมชอบธรรมชาติ ผมรักป่าเขาลำเนาไพรมากๆ"

พ่อ   "สิ่งที่คุณตาเล่าให้พ่อฟัง.. มันเป็นเรื่องเศร้า จริงๆ"

ตอนนี้ผมรับรู้ได้เลยว่าพ่อกำลังจริงจังมากๆ ในสิ่งที่จะเล่าให้ผมฟัง เมื่อผมหันไปมองหน้าพ่อในขณะที่เรากำลังนั่งอยู่บนม้านั่งไม้ตัวเดียวกัน แล้วปล่อยสายตาทอดยาวออกไปยังท้องทุ่งนากว้างไกลจนสุดขอบฟ้าและมีภูเขาสีเขียวเข้มสลับกับสีเหลืองอ่อนอีกหลายลูก นั่นก็หมายความว่า ภูเขา ป่าไม้ ต้นน้ำจากธรรมชาติกำลังถูกรุกรานอย่างหนักทุก ๆ วัน

ผม  "ครับพ่อ"

พ่อ  "เมื่อ 20 ปีก่อน คุณตามีลูกชายที่กำลังมีอนาคตอันรุ่งโรจน์ เพิ่งได้รับบรรจุเข้าเป็นรองหัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาหินงามซึ่งเป็นแหล่งรวมธรรมชาติที่แสนสมบูรณ์ ลูกชายคุณตาเป็นคนรักป่าและธรรมชาติเป็นชีวิตจิตใจ ในทุกวันเขาจะออกตรวจตราไปทั่วอาณาบริเวณอุทยานที่กว้างใหญ่แห่งนี้  แต่ไม่วายมีสิ่งเล็ดรอดสายตาเกิดขึ้นได้เสมอ ด้วยความที่มีเจ้าหน้าที่จำกัด จึงมีต้นไม้ถูกตัดไปขายทุก ๆ วัน ไปเฝ้าระวังทางเหนือมันก็ไปตัดทางใต้ เหมือนมีพรายกระซิบอย่างนั้น ส่วนใหญ่เกิดจากเกลือเป็นหนอนซะเอง เกลือที่ไม่อยากจะกัดก้อนเกลือกินให้ลำบาก มันไม่ยอมรักษาความเค็ม.. มีเจ้าหน้าที่ในอุทยานหลายคนที่พ่ายแพ้ให้กับเงิน และเมื่อพวกเขาถูกจับได้ก็จะอ้างว่าทำไปเพื่อปากท้อง ลูกเมีย พ่อแม่ เงินเดือนน้อยไม่พอกิน ลูกต้องเรียน เมียอยากได้เสื้อผ้าใหม่ อยากได้บ้าน ที่ดิน และอีกมากมายจิปาถะ ถึงเหตุที่จะทำให้เกิดผลงานชั่ว ๆ เช่นนี้ ทำไมคนเราถึงไม่รักษาความขาวเอาไว้ในตัวตน ไยต้องยอมให้สีดำมากลืนกินจนกลายเป็นคนสีเทา รู้ทั้งรู้ว่า หากไม่มีป่าก็ไร้น้ำลำธารเย็น ไม่มีสัตว์ในธรรมชาติขาดห่วงโซ่อาหารสำหรับคนด้วยเช่นกัน สุดท้ายจะเหลือเพียงป่าคอนกรีตที่ร้อนจนแสบก้น เหมือนในเมืองกรุง"

ผม  "แล้วเจ้าหน้าที่เหล่านั้นติดคุกรึเปล่าครับ"

พ่อ  "ไม่มีใครถูกจับสักคนเลยลูก เนี่ยแหละนะเมืองไทย"

ผม  "ทำไมมันเป็นอย่างนั้นไปได้ล่ะครับพ่อ"

พ่อ  "คุณตาเล่าว่า หัวหน้าอุทยานมีท่าทีเข้าข้างเจ้าหน้าที่ที่ทำผิดอยู่บ่อยครั้ง และเขามักจะมีนัดทานมื้อเย็นกับผู้กำกับสถานีตำรวจในพื้นที่นั้นอยู่เป็นประจำ คือสิ่งที่ลูกชายคุณตามักจะนำมาเล่าให้ผู้เป็นพ่อฟังอยู่เสมอ และมันกลายเป็นสิ่งไม่ปกติที่เกิดขึ้นมาอย่างปกติเสียแล้วในทุกวัน ในหนึ่งปีจะมีนับวันได้ที่จะขาดเรื่องเล่าแนวนี้ ในคราวที่มีกลุ่มคนจากเมืองใหญ่มาร่วมกันปลูกป่า มันจะเป็นวันที่ลูกชายคุณตามีความสุข ในแววตาเหมือนคนกำลังจะเป็นพ่อคนเลยทีเดียว ผ่านไปสองปีกว่าและวันนั้นเป็นวันเกิดของลูกชายคุณตา คืนนั้น คุณตารอคอยการกลับมาของลูกจนรุ่งเช้า ตั้งแต่วันนั้น เขาก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย แจ้งความคนหายไปแล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ปิดปากเงียบ หัวหน้าอุทยานถือกระเช้าเข้ามาแสดงความเสียใจถึงบ้าน ซึ่งคุณตารู้ดีว่ามันอยู่เบื้องหลังการหายตัวไปของลูกชายสุดที่รัก โดยทุกคนในอุทยานพูดตรงกันว่า รองหัวหน้าอุทยานขับรถออกไปตั้งแต่ 1 ทุ่ม แล้วทั้งรถทั้งคนก็หายไป"

ผม  "แล้ว..เอ่อ..ลูกแกไม่ได้โทรบอกคุณตาเหรอครับพ่อ"

พ่อ  "ก็ หลังจากนั้นสองวัน คุณตาจึงคิดถึงเรื่องโทรศีพท์ขึ้นมา แล้วเช็คข้อความที่ฝากไว้ เพราะคุณตากำลังทำธุระในห้องน้ำอยู่ ลูกชายแกบอกว่าพ่อรอสักชั่วโมงนะ ผมจะไปดูฝั่งตะวันออกที่ใกล้หมู่บ้านสะพุง มีสายรายงานมาว่ามีกลุ่มคนพร้อมเครื่องมือตัดไม้กำลังบุกรุกเข้าไป"

ผม  "ปกติจะมีทีมเจ้าหน้าที่ไปด้วยเสมอนี่ครับ แล้วคืนนั้น..."

พ่อ  "คินนั้น หัวหน้าอุทยาน บอกว่าเจ้าหน้าที่ทุกคนยกเว้น สมศักดิ์ ที่เฝ้าอุทยานเพียงคนเดียว ทำให้ลูกชายคุณตาต้องออกไปบินเดี่ยว"

ผม  "นั่นมันอันตรายมากๆ เลยนะครับพ่อ"

พ่อ  "วันรุ่งขึ้นคุณตาจึงขี่มอไซค์คู่ใจไปยังจุดที่ลูกชายบอก พร้อมกับปืนโคลท์ลูกโม่ .38 คู่ใจ แกพยายามมองหาตรวจตราทุกสิ่งอย่างละเอียดที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อหาเบาะแสของลูกชายว่าเขาหายตัวไปไหน เป็นตายร้ายดีอย่างไร โดยไม่ตีโพยตีพาย แต่ใช้สติไตร่ตรองค้นหาในแบบฉบับของคนเดินป่าที่มีความช่างสังเกตอยู่เป็นทุนเดิม ทางที่เดินเข้าไปนั้นสักสองกิโลจะเจอกับลำธารใสเย็นที่ไม่ลึกมากนัก สามารถมองเห็นก้อนหินที่ด้านล่างได้อย่างชัดแจ๋วเลยทีเดียว ซึ่งต้องเดินเท้าข้ามไปไม่มีสะพานให้ข้ามในตอนนั้น ในขณะที่แกกวาดสายตามองไปทั่วทั้งซ้ายและขวาของตนเองในขณะนั้นเป็นช่วงเที่ยงวันพอดี พลันมีแสงแวบวาบมาเข้าตาแกอย่างจัง ซึ่งน่าจะมาจากทางด้านขวามือไกลออกไปสัก 7-8 เมตร เมื่อพลิกหน้าหลบแสงสะท้อนนั้นแล้วหันกลับไปมองเพื่อหาที่มาของแสงอีกครั้ง แสงแวบวาวนั้นก็หายไป แกค่อย ๆ เดินเข้าไปยังจุดที่คาดว่าน่าจะเป็นที่มาของแสงนั้นอย่างช้า ๆ และไม่อยากให้คลาดเคลื่อนจากจุดที่แกยังคงจำตำแหน่งนั้นได้"

ผม   "แล้ว ยังไงต่อครับพ่อ"

พ่อ   "ใจร้อนจังนะเราเนี่ย.. เจ้าฟิน.  เมื่อไปถึงจุดนั้น สิ่งที่แกได้พบก็คือปืนลูกโม่สมิธแอนด์เวสสัน .38 สเตนเลส ที่แกเป็นคนซื้อให้ลูกชายสุดที่รักนั่นเอง.. แกเปิดลูกโม่ออกดูปรากฎว่า ที่ก้นลูกปืนทั้ง 6 นัด ถูกตอกด้วยเข็มแทงชนวนครบทั้งหมด แต่เมื่อเทลูกออกมาใส่มือปรากฎว่าหัวกระสุนยังอยู่ครบ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่.."

ผม   "มันเกิดอะไรขึ้นล่ะครับพ่อ ลูกปืนด้านหรือไงกัน"   ด้วยความอยากรู้ของผม ทำให้ต้องถามแกออกไป

ในขณะที่สองพ่อลูกกำลังนั่งขบคิดถึงเรื่องราวการหายตัวไปของรองหัวหน้าอุทยานฯ ลูกชายสุดที่รักของคุณตาแห่งหมู่บ้านท่าตะโก้ขาวอยู่นั้น ทั้งสองหารู้ไม่ว่า กำลังมีใครอีก 3 คน หรือจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า 3 ตัว ก็คงไม่ผิดนัก

ผึ้ง   "เฮ้ย..เพื่อน นั่นเค้ากำลังพูดถึงนายเมื่อ 20 ปีก่อนใช่ปะวะเพื่อน"

กบ   "ก็ใช่นะซีวะไอผึ้งเพื่อนยาก เค้ากะลังพูดถึงไองูน้อยเพื่อนเราน่ะแหละ"

งูน้อย   "เฮ้อ.. มันต้องทำใจว่ะ ข้าเองก็อยากกลับไปหาพ่อของข้าเหมือนกันนะ แต่ถ้าไปเจอแก มีหวัง พ่อข้ากระทืบข้าจมดินแหงเลยว่ะ ใครล่ะจะเชื่อว่า ลูกตัวเองจะกลายเป็นแบบเนี้ย"

ผึ้ง   "เองเป็นอย่างเนี้ยแหละดีแล้วเพื่อน คอยให้ความรู้พวกข้าด้วย ช่วยให้บรรดาสัตว์น้อยใหญ่ในป่าบ้านเรามีจิตวิญญาณที่จะหวงแหนป่าน้ำลำธารเอาไว้ให้สัตว์ให้คนให้ธรรมชาติได้อาศัยกันทั่วหน้า ตราบนาน"

กบ   "ซึ้งว่ะ..ฮือ ๆ ๆ ซึ้ง..เพื่อนเอ๋ย เองกล่าวสุนทรพจน์ได้เยี่ยมมาก ๆ ข้าน้ำตาซึมแระเนี่ย.."

งูน้อย   "อย่าย่อท้อนะพวกเรา สิ่งที่พวกเราพยายามทำกันอยู่ มันจะสำเร็จหรือไม่ เราก็ต้องพยายามทำไป อาจมีคนเห็นด้วยกับเราบ้างไม่มากก็น้อย ในช่วงชีวิตของเราหากเราสิ้นไป ข้าก็หวังว่าต้องมีเยาวชนรุ่นหลังที่จะดำเนินรอยตามรอยเท้าการอนุรักษ์ป่าให้อุดมสมบูรณ์สืบต่อไป"

กบ   "แน่นอนเพื่อน บรรดากบและคางคกที่หมู่บ้านของข้า ทุกคน เฮ้ย ทุกตัว..ก็เข้าใจดีว่าต้องช่วยกันบอกต่อกันไปยังสัตว์อื่นด้วยว่า เราต้องปกป้องผืนป่าเอาไว้ให้จงได้ ถึงแม้พวกเราจะต้องตายด้วยน้ำมือของมนุษย์จิตใจเหี้ยมโหดสักกี่คนก็ตาม เราก็จะไม่ยอมแพ้ ไอจอห์นนี่กบแดงพิษแรงฤทธิ์มันก็ไปติดต่อกับหมู่บ้านแมงป่องช้างให้ช่วยกันสู้กับไอพวกที่มาตัดไม้ที่ภูเขาหินดำทางด้านตะวันตกของอุทยานแล้ว ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี แมงป่องช้างทุกตัวถึงแม้จะไม่สามารถทำให้มนุษย์ถึงตายได้ แต่เค้าก็พร้อมลุกขึ้นสู้ในทุกรูปแบบนะเพื่อน"

ผึ้ง   "เมื่อวานซืนที่ผ่านมา ข้าได้บินไปทางป่าทิศเหนือที่นั่นมีการรุกป่าหนักมาก คนเห็นแก่เงินมันเยอะจริง ๆ มันตัดมันฆ่าสัตว์มันเผา รวมถึงมันฆ่ามนุษย์ด้วยกันที่มาห้ามการตัดไม้ของมัน.. วันนั้นข้าได้พบกับพญาต่อหัวเสือ เขาเป็นผู้นำของบรรดาต่อหัวเสือในเขตทิศเหนือทั้งหมด เขาสัญญากับข้าเป็นแม่นมั่นว่าจะร่วมมือกันป้องกันการตัดไม้ทำลายป่าอย่างถึงที่สุด ถึงชีวิตจะหาไม่ก็ตาม หลังจากที่เขาได้ฟังเรื่องราวของเจ้างูน้อยเพื่อเราที่ต้องมามีชะตากรรมเช่นนี้.."

งูน้อย   "ข้าขอขอบใจเพื่อน ๆ ทุกคนเป็นอย่างมากที่ร่วมมือกันปกป้องผืนป่าแห่งนี้ไว้ในทุกวิถีทาง เพราะปัจจุบันเราไม่สามารถจะพึ่งพามนุษย์แบบที่ข้าเคยเป็นได้อีกแล้ว คนเหล่านั้นพ่ายแพ้ต่อเงินตรา เมื่อมีเงินมาวางไว้ตรงหน้า พวกเขาจะตามืดบอด เห็นผิดเป็นถูกทันที น่าอนาถกับอนาคตป่าน้ำลำธารเมืองเรายิ่งนัก"

จากนั้นเพื่อนทั้งสามก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ผู้อนุรักษ์ป่าต่อไป เพราะมีรายงานจากผึ้งหลวงนำสารทางใต้ว่า ให้ระดมกำลังลงไปช่วยกันปกป้องผืนป่าด่วนที่สุด ขณะนี้มีกำลังคนหน้าเงินประมาณ 30 นาย อาวุธครบมือเครื่องมือตัดไม้มากมายกับรถบรรทุกอีก 3 คัน ขอกำลังจากหน่วยรบทางอากาศด่วนมาก ๆ  ส่วนการสนทนาของสองพ่อลูกยังคงดำเนินต่อไปถึงสาเหตุการหายตัวไปของลูกชายคุณตา

พ่อ   "ด้วยความอยากรู้ แกจึงหมุนหัวลูกปืนออกจากปลอกกระสุน ปรากฎว่าไม่มีดินปืนอยู่ในนั้นเลย มีเพียงดินเหนียวที่ถูกอุดเข้าไปแทนที่เท่านั้น ทำให้แกสันนิษฐานว่า ต้องมีใครเปลี่ยนลูกกระสุนของลูกชายแกในขณะที่ลูกชายไปเข้าห้องน้ำหรือไปทานอาหารกลางวันก็เป็นได้ เพราะด้วยความไว้วางใจว่าเจ้าหน้าที่อุทยานทุกคนจะเป็นคนดี ยึดมั่นในความถูกต้อง รักป่ารักอุทยาน และไม่เห็นแก่เงิน ซึ่งนี่แหละคือจุดอ่อนของความไว้วางใจ คนใกล้ชิดจะรู้ว่าลูกชายแกจะเก็บปืนไว้ในลิ้นชักซึ่งไม่ได้ล็อคกุญแจแต่อย่างใด ถึงแม้ลูกกระสุนจะคนละยี่ห้อกับที่ลูกชายแกชอบใช้ แต่สีของปลอกกระสุนนั้นเป็นซิลเวอร์ (สีเงิน) เหมือนกัน และเวลาที่เขาจะนำปืนติดตัวออกไปตรวจพื้นที่ก็แค่หยิบปืนออกจากซองครึ่งหนึ่งพอ แล้วตะแคงปืนให้พอมองเห็นจากด้านข้างลูกโม่ว่ามีกระสุนในโม่ก็ถือว่าใช้ได้ คนที่ทำแบบนี้ก็เท่ากับว่าจงใจฆ่าเขาให้ตายเลยทีเดียวเพราะหมดหนทางต่อสู้ด้วยปืนอีกต่อไป แกยังพอใจชื่้นขึ้นมาบ้างที่ได้เจอปืนคู่กายของลูกชาย จึงสังเกตโดยรอบต่อไปว่ามีรอยเท้าของรองเท้าลูกชายแกบ้างไหม มีร่องรอยการต่อสู้ตรงไหนบ้าง และมันจะนำไปสู่จุดไหนต่อไป และแกก็พบว่า ห่างออกมาจากจุดที่พบปืนประมาณ 20 เมตร มีรอยตะเกียกตะกายขึ้นบนคันดินที่มีต้นเฟิร์นสูงประมาณฟุตกว่าแหวกกระจายหักอยู่จนพอจะสังเกตรอยของพื้นรองเท้าได้บ้าง"

ผม   "ใช่ของลูกชายแกมั้ยครับ พ่อ ใช่มั้ยครับ..?"

พ่อ   "ใช่แล้วลูก เป็นรอยพื้นรองเท้าของลูกชายแกแน่นอน แกจำได้เพราะแกเคยซ่อมรองเท้าให้ลูกด้วยตัวเองเมื่อประมาณหนึ่งเดือนก่อนหน้านั้น แกค่อย ๆ ตามรอยนั้นไปอย่างละเอียดที่สุดเท่าที่จะอนุมานได้ว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรในเมื่อเขาไม่สามารถใช้ปืนได้ ปืนหลุดมือตกน้ำไปแล้ว เขาคงต้องวิ่งหนีตายไปตามทางขึ้นเนินบ้าง ลงโคลนตื้น ๆ ที่เต็มไปด้วยจอกแหนบ้าง แกตามรอยนั้นไปลึกเข้าไปในดงป่าดิบ ที่แสงสว่างของพระอาทิตย์แทบส่องไม่ถึงพื้น เพราะไม้เลื้อยครอบคลุมไปทั่วต้นไม้ใหญ่ด้านบน จากนั้นจึงมาพบกับเนินเขาใหญ่ซึ่งพอมองเห็นทางเดินของหมูป่าอยู่บ้างแต่ก็ไม่กว้างนัก"

จำเป็นเหลือเกินที่จะต้องขัดจังหวะการเล่าของพ่อสักหน่อย เพราะผมเองก็สงสัยเป็นอย่างมากว่า "ทำไมพ่อเล่าได้ละเอียดจัง ทั้ง ๆ ที่ได้นั่งคุยกับคุณตาแค่สักหนึ่งชั่วโมงได้ ขณะรอรถมารับพระกลับวัดในช่วงเช้าของวันนั้น ทำไม?"  จึงยกมือขึ้นถามพ่อในขณะที่แกหยุดพักหายใจ

ผม  "พ่อครับ วันนั้นพ่อได้นั่งคุยกับแกแค่สักชั่วโมงเดียว ทำไมพ่อรู้เรื่องราวละเอียดจังครับพ่อ"

พ่อ   "ก็พ่อกับแกเคยไปเจอกันโดยบังเอิญเมื่อเดือนก่อน ที่งานประจำปีวัดกลางใหญ่ในเมืองโน่น แกก็ไปทำบุญให้ลูกชายแก ส่วนพ่อก็ไปช่วยงานที่วัดนั้น นั่งคุยกันสักพักก็ชอบพอนิสัยกันน่ะ หลังจากนั้นพ่อก็ไปนั่งเล่นนั่งคุยที่บ้านแกบ่อย ๆ จนได้รับรู้เรื่องราวหัวอกของคนเป็นพ่อที่ต้องมาสูญเสียลูกไปอย่างไม่รู้ชะตากรรมแบบนี้  พ่อเล่าถึงช่วงที่มาเจอเขาใหญ่ลูกหนึ่งซึ่งมีทางค่อนข้างชัน แต่ฝูงหมูป่าก็สามารถใช้เป็นทางวิ่งผ่านได้อย่างสบาย แกขึ้นไปตามทางชันนั้นแบบค่อยเป็นค่อยไป ตอนนั้นอายุแกก็ปาเข้าไป 52 แล้วล่ะ ก็ยังแข็งแรงดีนะ คงด้วยเป็นคนชอบออกกำลังกายอยู่เสมอ อยู่กับป่ากับธรรมชาติอากาศสดชื่น ขณะที่กำลังขึ้นไปตามทางซึ่งพอมีร่องรอยเท้านั้นแกได้เจอกับสิ่งหนึ่งเข้า นั่นคือ งูจงอางยักษ์ เวลาที่มันแผ่แม่เบี้ยออกมาจะมีขนาดพอ ๆ กับโอ่งใหญ่สีแดงจากจังหวัดราชบุรีเลยทีเดียว เคยมีคนหาของป่าพูดถึงอยู่เหมือนกันว่าเคยเห็นมันเลื้อยผ่านหน้าไปในระยะห่างประมาณสัก 30 เมตร ซึ่งความเร็วในการเคลื่อนตัวผ่านไปก็มองไม่ค่อยทันอยู่ดี แต่ก็ยังไม่เคยมีใครถูกทำร้ายนะ เพราะคนที่ดีมักจะได้เจอว่ากันว่าอย่างนั้น งูจงอางยักษ์จ้องมองมายังคุณตาสักอึดใจก็ค่อยเปลี่ยนทิศทางกลับหลังไป ซึ่งทางที่เคลื่อนผ่านนั้นเป็นทางเดียวกันกับรอยเท้าที่แกตามมาเสียด้วยซิ  ค่อย ๆ ตามทางไปช้า ๆ จนมาพบกับผนังเถาวัลย์ใหญ่ปกคลุมมีลักษณะแบนเรียบคล้ายมีถ้ำลึกอยู่ด้านหลังนัันเพราะพอมองเห็นร่องรอยการเลื้อยผ่านเข้าไปสู่ด้านใต้ของกำแพงเถาวัลย์ใหญ่ แกกล้า ๆ กลัวนะในตอนนั้น เพราะมีพญางูใหญ่เป็นเจ้าของอาณาจักรอยู่ในนั้นด้วย แต่ด้วยความเป็นห่วงลูกสุดหัวใจจึงได้นั่งลงพนมมือขึ้นและกล่าวออกไป  "ข้าแต่พญางูใหญ่ เจ้าที่เจ้าทางในอาณาบริเวณแห่งนี้ ข้ามาตามหาลูกชายจนถึงปากถ้ำของท่าน ขออนุญาตให้ข้าได้เข้าไปพบกับลูกชายของข้าด้วยเถิด เขาเป็นคนดี ขอให้ท่านอย่าได้ทำอันตรายแก่เขาเลย"   ไม่ได้มีเสียงตอบออกมาแต่อย่างใด สักอึดใจใหญ่ เหมือนอยู่ในภวังค์กึ่งความฝัน  "เขาปลอดภัยดี เจ้ากลับไปได้แล้ว เขาจะทำหน้าที่ปกป้องป่าเขาแห่งนี้ตลอดไป" เป็นเสียงที่ดังอยู่ในสมองในความคิดแบบนั้น ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกคราก็เกือบเย็นจะพลบค่ำแล้ว แกจึงรีบเดินทางกลับบ้านด้วยหัวใจที่มีความหวัง มันพองโตด้วยความดีใจและภูมิใจที่ได้รับรู้ถึงการมีชีวิตของลูกชายแม้จะอยู่แค่ในภวังค์ก็ตาม แต่แกยังคงเชื่อคำที่สื่อสารมาว่าต้องเป็นความจริงดังนั้น"

ผม  "คืนนั้น แกกลับไปบ้านคงจะหลับสบายยิ้มแป้นไปเลยนะครับ"

พ่อ  "แกก็บอกนะ ว่าแกดีใจ โล่งใจ อย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียว"

ผม  "พ่อครับ ผมว่าพ่อเล่ามานานแล้ว พ่อคงจะคอแห้งเป็นผงแล้วล่ะครับ เดี๋ยวผมไปขอยืมกระติกน้ำแข็งที่กุฎิหลวงตาเพี้ยนมาให้พ่อดื่มก่อนดีกว่า รอเดี๋ยวนะครับพ่อจ๋า"   พูดจบก็รีบวิ่งตื๋อไปยังกุฏิหลวงตาเพี้ยนโดยด่วน

จากเหตุการณ์ในครั้งนั้นผ่านมาคุณตาก็ไม่เคยได้ข่าวลูกชายของตนอีกเลย เพียงแต่พอจะแว่วข่าวของคนลอบตัดไม้ว่า มีบางคนถูกต่อหัวเสือต่อยจนสลบ บางรายแพ้พิษหนักก็ถึงเสียชีวิตไป หลายเดือนก่อนมีนายทุนใหญ่คนหนึ่งเป็นเจ้าของรีสอร์ทหรูหลายแห่งถูกแมลงหรือแมงอะไรสักอย่างกัดเข้าที่น่องมองแทบไม่เห็นรอยกัด แต่กลับสร้างความทุรนทุรายให้กับนายทุนใจโฉดได้อย่างแสนสาหัส เขามีเงินมากมายลูกน้องเขาจึงเรียกเฮลิคอปเตอร์ (ฮ.) มารับ แต่ก็เป็นที่น่าเสียดาย เขาสิ้นใจตายอยู่กลางอากาศนั้นเอง เงินที่เขาหามาได้จากการขายไม้เถื่อนที่ตัดมาจากอุทยานป่าสงวนเป็นอันว่าต้องนำมาใช้ในการจัดงานศพอันหรูหราอลังการให้คนข้างหลังได้ชื่นใจกับน้ำพักน้ำแรงที่น่าเหยียดหยามเป็นที่สุด

ด้วยความที่ยังไม่คลายสงสัยในเรื่องราวของลูกชายคุณตา ผมจึงยิงคำถามพ่อต่อไป..

ผม  "พ่อจ๋า ผมว่าจริง ๆ แล้ว ถ้าลูกชายคุณตายังมีชีวิตอยู่จริง เขาก็น่าจะกลับมาเยี่ยมคุณตาบ้างนะครับ สงสารแกนะ ตั้ง 20 ปีเข้าไปแล้วเนี่ย.."

พ่อ  "มันก็จริงนะ แต่เราก็ไม่รู้ว่า เขาจะมีชีวิตอยู่จริงหรือเปล่า เพราะไม่เคยมีร่องรอยของมนุษย์ออกมาจากถ้ำนั้นอีกเลย"

ประโยคที่ผ่านมาได้ไปเข้าหูยุงลายตัวหนึ่งเข้า จึงบินไปบอกกับเจ้าผึ้งเพื่อนซี้ของเจ้างูน้อยให้กลับไปเยี่ยมพ่อผู้ให้กำเนิดเสียบ้าง เป็นเหตุให้งูน้อยครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่นานหลายวัน จนในที่สุดก็ตัดสินใจขอความช่วยเหลือจากเพื่อนหลาย ๆ กลุ่มมาช่วยกันในภารกิจครั้งนี้ เขาขอให้มดงานไปช่วยกันขนกระดาษสีขาวที่มีหน้าว่าง ๆ มาหนึ่งแผ่น นำไปวางไว้ที่หลังบ้านของตนเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ ให้กบสี่ตัวช่วยนั่งทับมุมกระดาษสี่มุมเอาไว้ แล้วให้ไส้เดือนจากใต้ดินบริเวณนั้นช่วยเขียนตัวอักษรให้เป็นไปตามที่งูน้อยต้องการจนเสร็จสิ้นได้คำว่า  "COM rjv z,d]kpgxHo'^8iy["  แล้วลากกระดาษแผ่นนั้นมาวางไว้ที่หน้าบ้านก่อนขึ้นบันไดด้วยแรงของกบทั้งสี่ตัว ข้อความเชิงสัญลักษณ์นี้ ต้องไขปริศนาด้วยการใช้คอมพิวเตอร์ซึ่งลูกชายเคยสอนคุณพ่อให้ได้ลองใช้ในการหาความรู้ความบันเทิงต่าง ๆ เมื่อ 20 ปีก่อนโน้น

เขาไม่ต้องการให้คนอื่นล่วงรู้ความลับ ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ และได้กลายร่างเป็นงูตัวน้อย ๆ ไปแล้ว และเล็กเท่ากับเข็มเย็บผ้าเท่านั้นเอง แต่กลับเดินทางได้รวดเร็วถึงหนึ่งในสิบของผู้ที่ให้ชีวิตใหม่แก่เขา นั่นคืองูจงอางยักษ์ในถ้ำอันลึกลับนั่นเอง

เมื่อคุณตามาพบกระดาษแผ่นนั้น และได้นำกลับขึ้นไปแปลความหมาย แกได้เปิดผ้าคลุมคอมพิวเตอร์ในห้องนอนของลูกชายออกปัดฝุ่นอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเปิดหน้าจอให้รันวินโดว์ก็ได้พบว่าหน้าเดสก์ทอปนั้นเป็นรูปของหญิงสาวน่ารักคนหนึ่ง ซึ่งไม่เคยเปิดเผยให้ผู้พ่อได้รับรู้มาก่อน เขาคงรักเธอ... แกค่อย ๆ แปลปริศนาตัวอักษรไปทีละตัว จนได้ประโยคต่อไปนี้

........"คอม พ่อผมกลายเป็นงูครับ"..........

เพียงเท่านี้เองที่ได้มีการส่งข่าวสารแก่กัน แกก็ดีใจแล้วที่รู้ว่าลูกของตนยังมีชีวิต ถึงจะเป็นในอีกรูปแบบหนึ่ง แต่กระนั้นเขาก็ได้ทำตามความฝันและปณิธานของตัวเองกับบรรดาพวกพ้องต่างสายพันธุ์ที่มีอุดมการณ์ร่วมกัน

หลายวันผ่านมา ในค่ำคืนฝนกระหน่ำ ฟิน กลับมาบ้านที่กรุงเทพฯ แล้ว ขณะหลับสบายอยู่กลับสะดุ้งตัวเกร็ง ไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาบอกใครได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตน สมองสั่งให้นึกย้อนถึงสิ่งที่คุณลุงคนนั้นให้กินเข้าไป ทำให้นึกออกได้มาเองว่า  "เอ้าไอ้หนูหัวใจงูนี่แหละกินซะ"  และอาจเป็นสิ่งนี้เองที่ทำให้ตอนนี้เขาต้องทุรนทุราย จากนั้นร่างของเขากลับลดเล็กลง ๆ จนเล็กเท่ากับเข็มเย็บผ้าในที่สุด

"เฮ้ย.. นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกับเราวะเนี่ย เราฝันไปรึเปล่า เฮ้ย ไม่จริงนะ"  และร่างนั้นก็ทอดยาวไปกับพื้น ฟินตาเบิกโพลงเมื่อมองตัวเองค่อย ๆ กลายเป็นงูจนสมบูรณ์

"มาได้แล้วไอ้น้อง ไม่ต้องตกใจไป พี่รู้ว่าน้องก็มีอุดมการณ์เดียวกับพี่และเพื่อนพ้องของเราที่อุทยานฯ ไปกับพี่ได้แล้ว งานของเรายังมีอีกเยอะ"

ฟินมองไปทางเสียงเรียกปนเกลี้ยกล่อมนั้น ก็เห็นงูหน้าตาดีตัวหนึ่ง และต่อหัวเสือที่มีงูน้อยที่น่ารักอีกตัวหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นคู่รักของงูตัวแรก

ฟินก้มมองตัวเองแล้วส่ายหัวเล็กน้อย สลับกับส่ายหางที่ได้มาใหม่เป็นวงเลขแปด ก่อนถอนหายใจเล็กน้อย เขาก็พร้อมแล้วที่จะก้าวเข้าไปสู่โลกใบใหม่ โลกที่ได้ต่อสู้เพื่อความงดงามของธรรมชาติ เพื่อหมู่มวลสิ่งมีชีวิตทั้งหลายต่อไป....

...........................................จบ......................................

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว